ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า - ตอนที่ 289 ไม่แน่จริงย่อมไม่กล้าแผลงฤทธิ์ในต่างแดน
ตอนที่ 289 ไม่แน่จริงย่อมไม่กล้าแผลงฤทธิ์ในต่างแดน
จั่วเต๋อซ่งค่อนข้างตกตะลึงพอสมควร “วาจาไม่อาจกล่าวส่งเดชได้ องค์หญิงใหญ่จะติดหนี้เจ้าได้อย่างไร?”
แม้ปากจะกล่าวไปเช่นนี้ แต่ความคิดในหัวกลับกำลังใคร่ครวญอยู่ อีกฝ่ายมาหาถึงที่ คาดว่าคงไม่พูดจาเหลวไหลแน่
หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “ปีก่อน ยามที่องค์หญิงใหญ่ปลอมตัวออกเดินทางไปเที่ยวชมหอหิมะเหมันต์ พระองค์ได้ติดหนี้ข้าไว้”
การออกไปท่องเที่ยวครั้งนั้นของเฮ่าชิงชิงได้ถูกดำเนินการอย่างลับๆ อีกทั้งปกปิดไว้มิดชิดยิ่ง ไม่มีทางปล่อยให้แพร่งพรายสู่โลกภายนอกได้ เพราะถ้าเกิดเรื่องนี้แพร่ออกไป จะมีอันตรายใดแฝงอยู่บ้าง เพียงแค่คิดดูก็รู้แล้ว ดังนั้นจั่วเต๋อซ่งจึงไม่ทราบเรื่องนี้เลย แต่เขารู้ดีว่าเรื่องนี้มีความเป็นไปได้ จึงซักถาม “องค์หญิงติดหนี้เจ้าเท่าไร ถึงทำให้เจ้าดั้นด้นเดินทางไกลจากแคว้นเยี่ยนมาถึงแคว้นฉีได้?”
หนิวโหย่วเต้าชูนิ้วขึ้นมาสองนิ้ว “ไม่มาก สองล้านเหรียญทองเท่านั้น!”
“…..” จั่วเต๋อซ่งพูดไม่ออก ถ้าสองล้านเหรียญทองไม่ถือว่ามาก เช่นนั้นเท่าไรถึงจะเรียกว่ามากเล่า?
เฉียนโยวที่ฟังอยู่ด้านข้างก็อดไม่ได้ที่จะสังเกตดูสีหน้าของจั่วเต๋อซ่ง
“….” ลิ่งหูชิวเองก็ตะลึงงัน คิดไม่ถึงว่าองค์หญิงใหญ่แห่งแคว้นฉีจะติดหนี้เจ้าหนุ่มคนนี้มากขนาดนี้ เรื่องนี้จะเป็นไปได้หรือ?
เมื่อครู่ได้ยินหนิวโหย่วเต้ากล่าวทำนองว่าไม่ได้มาเพราะม้าศึก เขาย่อมนึกว่าเป็นเพียงลูกไม้ข้ออ้าง ยามนี้พอได้ยินจำนวนเงินที่ติดไว้ เขากลับนึกสงสัยขึ้นมาแล้วจริงๆ ตลอดทางมานี้คนผู้นี้เอื่อยเฉื่อยไม่เร่งร้อน ดูไม่คล้ายว่าจะมาจัดการเรื่องสำคัญ คงไม่ใช่ว่าคิดจะใช้เรื่องม้าศึกมาเป็นข้ออ้าง หยิบยืมกำลังของสำนักทั้งหลายช่วยปกป้องตัวเองเพื่อเดินทางมาทวงหนี้ที่แคว้นฉีกระมัง?
ที่เขาสงสัยเช่นนี้ย่อมมีเหตุมาจากจำนวนเงินที่ติดหนี้ไว้ สองล้านเหรียญทอง ซางเฉาจงจะให้เงินมากขนาดนี้แก่หนิวโหย่วเต้าได้หรือ? หากหนิวโหย่วเต้าได้เงินก้อนนี้ไป ยังจำเป็นต้องทำงานรับใช้ซางเฉาจงอีกหรือ?
จั่วเต๋อซ่งดึงสติกลับมา เอ่ยถาม “เหตุใดองค์หญิงใหญ่ถึงติดหนี้เจ้ามากมายขนาดนี้?”
หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “เหตุผลภายในเรื่องราวข้าไม่สะดวกจะบอกเล่าอย่างละเอียด เพื่อไม่ให้องค์หญิงใหญ่ต้องเสียหายอับอาย เรื่องนี้ฝ่าซือประจำตัวองค์หญิงใหญ่ต่างเป็นพยานได้ ใต้เท้าจั่วไปถามดูย่อมรู้เอง”
จั่วเต๋อซ่งเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นเอ่ยถามด้วยแววตาวาววับ “มีการลงนามทำสัญญาไว้หรือไม่?”
หนิวโหย่วเต้าตอบว่า “เดิมทีมีการลงนามทำสัญญากับข้าไว้ แต่ข้าคืนสัญญาให้องค์หญิงใหญ่ไปแล้ว เนื่องจากข้าเชื่อว่าเชื้อพระวงศ์แคว้นฉีมิใช่คนถ่อยที่จะฉ้อโกงเบี้ยวหนี้”
จั่วเต๋ออันหัวเราะฮ่าๆ ขึ้นมา “เงินสองล้านเหรียญทองมิใช่จำนวนน้อยๆ เจ้าไร้หลักฐานแต่กลับบอกว่าคนเขาติดหนี้เจ้า จะให้คนอื่นเชื่อเจ้าได้อย่างไร? หากว่าทุกคนต่างพูดปากเปล่าเหลวไหลเช่นนี้ได้ ใต้หล้ามิวุ่นวายแย่หรือ?”
หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “ความยุติธรรมอยู่ในใจคน หากองค์หญิงใหญ่ไม่ยอมคืน ข้าก็อับจนวาจาจะกล่าว ดังนั้นจึงได้แต่มาขอร้องให้ใต้เท้าจั่วช่วยไปแจ้งต่อองค์หญิงใหญ่สักหน่อยว่าข้ามาแล้ว ช่วยนำเงินที่ติดค้างข้าไว้มาคืนด้วย!”
จั่วเต๋อซ่งลูบเคราส่ายหน้า “เรื่องราวจริงเท็จประการใดข้าไม่ทราบแน่ชัด ต่อให้องค์หญิงใหญ่จะติดหนี้เจ้าจริง แต่เรื่องของเชื้อพระวงศ์คือเรื่องในราชวงศ์ มิใช่เรื่องที่คนนอกอย่างพวกเราจะสอดมือเข้าไปแทรกแซงได้ ข้าเองก็ช่วยไม่ได้เช่นกัน สภาองคมนตรีตะวันตกรับผิดชอบดูแลเรื่องราวต่างๆ ในราชวงศ์ ขอแนะนำให้เจ้าไปหาคนของสภาองคมนตรีตะวันตกช่วยจัดการ…”
เขาหาข้ออ้างมาผลักเรื่องราวให้พ้นตัว เขาจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องประเภทนี้ได้อย่างไร นี่มิใช่จำนวนเงินเล็กน้อยเลย เสนาบดีปฏิคมผู้ทรงเกียรติช่วยคนนอกทวงเงินเชื้อพระวงศ์มันหมายความว่าอย่างไร?
การที่เขามานั่งคุยกับหนิวโหย่วเต้าอยู่ตรงนี้ก็ถือว่าให้เกียรติมากแล้ว มิเช่นนั้นด้วยฐานะตำแหน่งของเขา ไม่จำเป็นต้องเห็นหนิวโหย่วเต้าอยู่ในสายตาเลย ที่ยอมมาคุยด้วยเช่นนี้ก็เพียงเพราะชื่อเสียงอันโด่งดังของหนิวโหย่วเต้า อยากเห็นว่าเป็นคนแบบไหนกันแน่
ว่ากันในอีกมุมหนึ่งแล้ว บางครั้งชื่อเสียงก็เป็นสิ่งที่มีประโยชน์ จะมีความสามารถจริงเหมือนอย่างชื่อเสียงหรือไม่ไม่สำคัญ แต่ผลประโยชน์อื่นๆ ที่ตามมาจากการที่ผู้คนจำนวนมากจับตามองมานั้นคือเรื่องจริง ยกตัวอย่างเช่นเสวียนจื่อชุนที่ยอมเสี่ยงมาท้าทายหนิวโหย่วเต้า มิใช่เพราะชื่อเสียงหรอกหรือ เมื่อมีชื่อเสียงก็ย่อมมีผลประโยชน์ตามมาด้วยเสมอ
จากนั้นเขาย่อมอ้างว่ายังมีภาระงานต่อ เพื่อจะไล่หนิวโหย่วเต้าออกไป
หนิวโหย่วเต้าก็ไม่ได้ดึงดันจะอยู่ที่นี่เช่นกัน ถึงอยากอยู่ก็อยู่ไม่ได้ หากต้องถูกคนอื่นไล่ตะเพิดออกไปคงอับอายขายหน้า ระหว่างที่ลุกขึ้นกล่าวอำลา เขาได้เอ่ยขอร้องครั้ง “ใต้เท้าจั่ว หนี้ที่ติดค้างย่อมต้องชำระคืน ในเมื่อข้ามาหาใต้เท้าจั่วทั้งที ก็หวังว่าใต้เท้าจั่วจะยอมเมตตา ช่วยถ่ายทอดถ้อยคำให้ สำหรับใต้เท้าจั่วแล้ว นี่มิใช่เรื่องยากเย็นอันใดเลย!”
จั่วเต๋อซ่งยิ้มน้อยๆ กล่าวไปว่า “ข้าพูดไปชัดเจนมากแล้ว ข้ารับผิดชอบเรื่องติดต่อภายนอกแคว้น เรื่องราวของราชวงศ์อยู่ในความรับผิดชอบของสภาองคมนตรีตะวันตก เฉียนโยว ส่งแขก!”
“เชิญ!” เฉียนโยวผายมือเชิญทันที
หนิวโหย่วเต้ายกมือขึ้นมา สื่อว่าขอเวลาอีกสักครู่ “ก็เป็นเพราะใต้เท้าจั่วรับผิดชอบเรื่องติดต่อภายนอกแคว้น ข้าถึงได้มาหาใต้เท้าจั่ว”
จั่วเต๋อซ่งร้องโอ้ เอ่ยด้วยความรู้สึกสนใจ “ข้าชักอยากฟังเรื่องนี้ขึ้นมาแล้วสิ หรือว่าเจ้าจะเป็นราชทูตลับจากแคว้นใด? ”
หนิวโหย่วเต้าอธิบายไปว่า “คนที่อยู่ในแคว้นฉี บางทีข้าอาจจะจัดการได้ไม่สะดวก แต่คนที่อยู่นอกแคว้นฉี เมื่อไม่มีอิทธิพลอันแข็งแกร่งของแคว้นฉีคอยปกป้องคุ้มครอง จะเกิดเรื่องใดขึ้นบ้างข้าเองก็ไม่กล้ารับประกัน ยกตัวอย่างเช่นจั่วอันเหนียนบุตรชายของท่านที่ไปปฏิบัติหน้าที่ในแคว้นจ้าว แล้วก็ยังมีผู้ใต้บังคับบัญชาอีกมากมาย ข้าคิดว่าใต้เท้าคงไม่อยากเห็นลูกน้องของตนประสบเหตุนอกแคว้นอยู่เนืองๆ กระมัง!”
วาจานี้เปี่ยมไปด้วยน้ำเสียงของการข่มขู่
ลิ่งหูชิวสะดุ้งโหยง ไม่คิดเลยว่าจู่ๆ หนิวโหย่วเต้าจะพูดจาไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำเช่นนี้ออกมา เขารีบกระตุกแขนเสื้อหนิวโหย่วเต้าเล็กน้อย “ระวังคำพูดหน่อย!”
ม่านตาจั่วเต๋อซ่งหดตัววูบ
“สามหาว!” เฉียนโยวโมโหขึ้นมาทันที
จั่วเต๋อซ่งกลับยกมือปรามเล็กน้อย ยิ้มน้อยๆ เอ่ยไปว่า “หนิวโหย่วเต้า เจ้ารู้หรือไม่ว่าเจ้ากำลังพูดอะไรอยู่ เจ้ากำลังข่มขู่ข้าหรือ?”
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เผชิญกับเหตุการณ์ที่มีผู้บำเพ็ญเพียรต่างแคว้นกล้าวิ่งมาข่มขู่วางอำนาจต่อหน้าเขาในจวนเสนาบดีปฏิคมของตน
หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “ข้าหวังดีทั้งสิ้น”
“ความหวังดีมักจะทำให้คนเข้าใจผิดได้ง่ายๆ” จั่วเต๋อซ่งยกมือไพล่หลัง ถามกลับไปว่า “หากว่ายั่วยุจนข้ามีน้ำโหขึ้นมา ข้าก็ไม่กล้ารับประกันเช่นกันว่าเจ้าจะยังได้ออกไปจากที่นี่หรือเปล่า ทางที่ดีตอนนี้รีบพูดอะไรที่ทำให้ข้าอารมณ์ดีขึ้นมาหน่อยเถอะ มิเช่นนั้นเกรงว่าวันนี้เจ้าคงไม่ได้กลับออกไป”
หนิวโหย่วเต้ากลับถามไปว่า “อย่างนั้นหรือ? ใต้เท้าจั่วไม่ลองถามเฉียนโยวดูหน่อยเล่า ว่าผู้คุ้มกันในจวนเทียบกับจั๋วเชาแล้วเป็นอย่างไร? หากว่าข้าเกิดเรื่องขึ้นในจวนจั่ว ผลลัพธ์ที่ตามมาคงจะร้ายแรงอย่างมาก!”
เฉียนโยวเพ่งมองออกไปด้านนอกประตูอย่างรวดเร็ว ดวงตาฉายแววระแวดระวัง
จั่วเต๋อซ่งหรี่ตามองเขา
หนิวโหย่วเต้าเอ่ยเตือนต่อว่า “ไม่แน่จริงย่อมไม่กล้าแผลงฤทธิ์ในต่างแดน ในเมื่อข้ากล้ามา ไม่มีทางที่จะไม่เตรียมตัว!”
จั่วเต๋อซ่งเอ่ยว่า “เจ้าอย่าได้ลืมสิว่าที่นี่คือเมืองหลวงแคว้นฉี ไม่มีผู้ใดทำตัวกำแหงส่งเดชได้!”
ความหมายในวาจาเข้าใจง่ายยิ่ง ต่อให้ข้ายอมปล่อยเจ้าออกจากจวนจั่ว เจ้าก็ออกไปจากเมืองหลวงแคว้นฉีไม่ได้อยู่ดี
หนิวโหย่วเต้าตอบโต้กลับไปอย่างตาต่อตาฟันต่อฟัน “ใต้เท้าจั่วก็อย่าลืมเสียเล่า ใต้หล้าดูเหมือนจะแบ่งแยกเป็นแว่นแคว้น แต่ความจริงแล้วอยู่ในการควบคุมของผู้บำเพ็ญเพียร หาใช่ราชสำนักใดไม่!”
ความหนักแน่นทรงอำนาจในวาจานี้ชัดเจนเป็นอย่างยิ่ง เรียกได้ว่าทำให้จั่วเต๋อซ่งใจสั่นขึ้นมา
ทั้งสองจ้องตากัน จั่วเต๋อซ่งพลันโบกมือเอ่ยขึ้นว่า “พวกเจ้าสองคนออกไปก่อน”
หนิวโหย่วเต้าก็พยักหน้าให้ลิ่งหูชิวเล็กน้อยเช่นกัน ลิ่งหูชิวกับเฉียนโยวสบกัน ไม่ทราบว่าชายชราและคนหนุ่มคู่นี้จะคุยอะไรกัน ถึงต้องให้พวกเขาหลบไปก่อน พวกเขาค่อยๆ หันหลังเดินออกไปจากโถงรับแขก
กระทั่งไม่มีใครอื่นแล้ว จั่วเต๋อซ่งจึงถามขึ้นมา “ข้าช่วยถ่ายทอดคำพูดให้เจ้าแล้วจะได้ผลประโยชน์อะไร?”
หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “ตัวข้าชมชอบคบค้าสหาย เชื่อมาโดยตลอดว่าหากมีเพื่อนเพิ่มคนหนึ่งก็จะมีหนทางเพิ่มขึ้น ข้าทราบว่าใต้เท้าจั่วตำแหน่งสูงส่ง ไม่แน่ว่าจะเห็นพวกชอบต่อสู้ฆ่าฟันอย่างข้าอยู่ในสายตา ไม่แน่ว่าอยากจะคบค้าสมาคมกับข้า เพียงแต่วันนี้ข้าขอบอกไว้ตรงนี้เลยว่า วันหน้าหากใต้เท้าจั่วมีธุระใดที่ข้าสามารถช่วยเหลือได้ ท่านสามารถเอ่ยมาได้เต็มที่เลย ข้าจะช่วยเหลืออย่างสุดกำลัง! ทางฝั่งยงผิงจวิ้นอ๋องแห่งแคว้นเยี่ยน ข้ายังพอมีอิทธิพลอยู่เล็กน้อย ไม่แน่ว่าอาจมีสักวันที่ใต้เท้าจั่วต้องการใช้ประโยชน์ ข้ารับปากเช่นนี้ ใต้เท้าอาจจะไม่เชื่อ แต่ในมุมมองของใต้เท้าจั่วแล้ว ก็ไม่นับว่าเสียหายอันใด ลองดูสักหน่อยจะเป็นอะไรไปเล่า?”
ดวงตาจั่วเต๋อซ่งฉายแววแปลกประหลาด จู่ๆ ก็หัวเราะฮ่าๆ ออกมา ยื่นมือไปตบแขนหนิวโหย่วเต้าพลางกล่าวว่า “ช่างเป็นคนหนุ่มที่น่าสนใจ!”
หนิวโหย่วเต้าเองก็ยิ้มขึ้นมา “เพียงแต่ไม่ทราบว่าใต้เท้าจั่วคิดเห็นประการใด?”
“คนหนุ่มมีไฟ มีความทะเยอทะยาน ข้าชอบ!” จั่วเต๋อซ่งชี้หน้าเขาเล็กน้อย พยักหน้าแล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เรื่องช่วยทวงเงินให้เจ้าน่ะเป็นไปไม่ได้ แต่ข้าช่วยแจ้งเรื่องต่อทางวังหลวงให้เจ้าได้ ส่วนทางวังหลวงจะยอมคืนเงินให้เจ้าหรือไม่ นั่นมันอยู่เหนือการควบคุมของข้าแล้ว”
หนิวโหย่วเต้ายิ้มร่า กล่าวว่า “เงินทองเป็นของนอกกาย ได้ผูกไมตรีกับใต้เท้าจั่วต่างหากเป็นเรื่องสำคัญที่สุด หากใต้เท้าจั่วบอกว่าอย่าได้ทวงหนี้ส่วนนี้ ข้าก็จะปล่อยผ่านไปทันที รับรองว่าจะไม่เอ่ยถึงเรื่องที่องค์หญิงใหญ่ติดหนี้ไว้อีกเด็ดขาด!”
“หนี้ของเจ้าจะทวงหรือไม่นั้นเป็นเรื่องของเจ้า ตัวข้าไม่ได้มีปัญญามากพอจะไปบอกให้ใครโยนเงินสองล้านเหรียญทองทิ้งง่ายๆ” จั่วเต๋อซ่งโบกมือเล็กน้อย จากนั้นก็ตบแขนเขาเบาๆ อีกครั้ง “วันหน้าหากอยากมานั่งเล่นที่จวนจั่วก็มาได้ทุกเมื่อ บอกต่อคนอื่นว่ามาในนามตัวแทนของยงผิงจวิ้นอ๋อง!”
หนิวโหย่วเต้าก็เข้าใจความหมายของเขาดี จวนของเสนาบดีปฏิคมแห่งแคว้นฉีก็ไม่ใช่สถานที่ที่ผู้ใดนึกจะมาก็มานึกจะไปก็ไปได้ง่ายๆ อย่าว่าแต่มาที่นี่บ่อยๆ เลย ต่อให้มาเยือนที่นี่เป็นครั้งคราว ก็จะถูกคนเพ่งเล็งได้ง่ายๆ เช่นกัน
แต่ถ้าอ้างชื่อของซางเฉาจงก็จะต่างออกไป ในแง่หนึ่งแล้วทางฝั่งซางเฉาจงก็นับว่ากุมอำนาจในแคว้นเยี่ยนไว้ระดับหนึ่ง การอ้างชื่อของซางเฉาจงก็เท่ากับเป็นราชทูตที่ทางฝั่งซางเฉาจงส่งมาเจริญสัมพันธ์เป็นการส่วนตัว ฝ่ายจั่วเต๋อซ่งรับผิดชอบดูแลเรื่องราวนอกแคว้นฉีพอดี ไปมาหาสู่กันก็นับว่าสมเหตุสมผล
แต่แน่นอน ต่อให้อ้างชื่อซางเฉาจงแล้วก็ใช่ว่านึกอยากจะมาพบก็มาได้ ที่อีกฝ่ายบอกว่าให้มาได้ทุกเมื่อ นั่นเท่ากับเป็นการยอมตกลงผูกไมตรีเป็นสหายกับเขาแล้ว ส่วนจะเป็นแค่การพูดแบบขอไปทีหรือว่าหมายความเช่นนั้นจริงๆ เรื่องนั้นก็มีแต่อีกฝ่ายเท่านั้นที่ทราบดี
“ได้ขอรับ ใต้เท้าจั่วมีงานยุ่ง เช่นนั้นผู้น้อยคงไม่รบกวนแล้ว ขอตัวลาก่อนขอรับ!” หนิวโหย่วเต้าประสานมือคำนับลา
จั่วเต๋อซ่งตะโกนออกไปด้านนอก “ส่งแขก!”
เฉียนโยวได้ยินก็รีบเดินเข้ามา ผายมือเชิญหนิวโหย่วเต้า
เขาออกไปพบกับลิ่งหูชิวที่รอข้างนอก ยามที่เดินออกไป มีใครคนหนึ่งเดินสวนคนกลุ่มนี้เข้ามา เป็นเฉินเปี๋ยผู้บำเพ็ญเพียรที่ออกจากจวนไปชมการต่อสู้ที่ลานน้ำตกเหินหาวก่อนหน้านี้
เฉินเปี๋ยเหลียวมองอยู่หลายครั้ง ไม่ทราบว่าคนที่เฉียวโยวออกไปส่งเป็นใคร เขาเร่งฝีเท้าเดินขึ้นบันไดไป มาหยุดอยู่ข้างกายจั่วเต๋อซ่งที่ยืนอยู่ใต้ชายคา “ท่านจั่ว สองคนนั้นเป็นผู้ใดหรือขอรับ?”
จั่วเต๋อซ่งตอบว่า “หนิวโหย่วเต้ากับลิ่งหูชิว สองชื่อนี้เจ้าน่าจะคุ้นหูอยู่กระมัง?”
“หนิวโหย่วเต้า?” เฉินเปี๋ยแปลกใจ “หนิวโหย่วเต้ามาที่นี่หรือขอรับ?”
เขาคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าหนิวโหย่วเต้าจะไม่ไปที่ลานน้ำตกเหินหาว แต่กลับมาที่จวนจั่วแทน
จั่วเต๋อซ่งเอ่ยถาม “มีอะไรหรือเปล่า?”
“เขาส่งยอดฝีมือกลุ่มหนึ่งไปที่ลานน้ำตกเหินหาว สังหารเสวียนจื่อชุนคนนั้นไปแล้วขอรับ…” เฉินเปี๋ยเล่าเหตุการณ์ที่เห็นมาจากลานน้ำตกเหินหาวอย่างละเอียด
จั่วเต๋อซ่งตะลึงงัน หลงนึกว่าหนิวโหย่วเต้ากลัวเสียหน้า ด้วยเหตุนี้จึงแอบส่งคนไปลอบสังหารผู้ท้าทายล่วงหน้า ผู้ใดจะทราบว่าเหตุการณ์กลับเป็นเช่นนี้ หนิวโหย่วเต้ามาขอเข้าพบทางนี้ แต่กลับส่งคนไปสังหารคนทางนั้นอย่างเปิดเผย กลยุทธ์ที่ผสานไว้ทั้งอ่อนแข็งเช่นนี้ทำให้เขาต้องใคร่ครวญอย่างลึกซึ้งอยู่เป็นเวลานาน สุดท้ายเอ่ยพึมพำเนิบๆ ว่า “หากไม่แน่จริงย่อมไม่กล้าแผลงฤทธิ์ในต่างแดน นี่คิดจะสร้างปัญหาอย่างนั้นหรือ?”
……………………………………………………………..