ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า - ตอนที่ 3 ถกเถียงเรื่องสืบทอดตำแหน่ง
ตอนที่ 3 ถกเถียงเรื่องสืบทอดตำแหน่ง
ฟ้าเยือกดินเย็น อากาศอันหนาวเหน็บไม่อาจแช่แข็งสายน้ำได้ ไกลออกไปมีเสียงน้ำตกดังครืนๆ
ภายใต้ดวงเดือนและดารา ม้าตัวหนึ่งห้อเหยียดเข้ามา พ่นลมหายใจร้อนๆ ออกมาตลอดทั้งทาง คนที่อยู่บนหลังม้าซ่อนตัวอยู่ภายใต้ผ้าคลุมสีดำ
ม้าวิ่งมาถึงธารน้ำตื้น หักเลี้ยวลงริมธาร ย่ำเหยียบลงไปในน้ำ ควบไปยังอีกฟากฝั่งของธารน้ำท่ามกลางหยดน้ำที่สาดกระเซ็น ห้อตะบึงต่อไปยังป่าที่อยู่ไกลออกไป
ป่าลึกมืดทึบวังเวง ขณะที่ห้อตะบึงเข้าไปในป่า คนที่อยู่บนหลังม้าสะบัดมือ ภายใต้ผ้าคลุมสีดำมีแสงนวลสีขาวอมชมพูสว่างวาบขึ้นมา ส่องสว่างทางเบื้องหน้า
แสงนวลสีขาวอมชมพูคือผีเสื้อที่กระพือปีกโบยบินอย่างรวดเร็วตัวหนึ่ง มันมีชื่อว่า ‘เสี่ยวเยวี่ย’ ความหมายคือพระจันทร์ดวงน้อย บนตัวมีเปลือกแข็ง ภายในปีกมีกระดูก ยามเผชิญกับแสงอาทิตย์ร้อนแรงในเวลากลางวันดูไม่มีอะไรผิดปกติ แต่เมื่ออยู่ในความมืดจะเปล่งแสงนุ่มนวลออกมา ให้ความสว่างภายในระยะสองจ้างได้โดยไม่มีปัญหา ความเร็วในการบินประเดี๋ยวช้าประเดี๋ยวเร็ว ถูกคนในโลกบำเพ็ญเพียรเลี้ยงเอาไว้เพื่อให้ความสว่าง
แหล่งกำเนิดแสงของ ‘เสี่ยวเยวี่ย’ อยู่บนปีก บนผิวภายนอกของปีกไม่มีแสง แสงมาจากด้านในปีก ด้วยเหตุนี้เวลาที่มันกระพือปีก ขอบเขตที่แสงสาดกระจายออกมาจึงประเดี๋ยวเล็กประเดี๋ยวใหญ่ ให้ความรู้สึกเหมือนประเดี๋ยวสว่างประเดี๋ยวสลัว เวลาที่มันหยุดกระพือปีกสามารถเอามาใช้แทนโคมไฟได้
เสี่ยวเยวี่ยคอยให้แสงสว่างอยู่เบื้องหน้า ม้าควบตามอยู่ด้านหลัง
จู่ๆ ภายในป่าด้านหน้าพลันมีแสงสว่างสายหนึ่งมาขวางทางเอาไว้ นั่นคือผีเสื้อที่เปล่งแสงสว่างอีกตัวหนึ่ง
คนที่อยู่บนหลังม้ารีบดึงบังเหียนหยุดม้า เสี่ยวเยวี่ยที่ทำหน้าที่นำทางบินกลับมาตรงหน้าเขา คนที่อยู่ใต้ผ้าคลุมสีดำเงยหน้าขึ้นมา นั่นคือชายชราที่มีใบหน้าซูบผอมแต่มีชีวิตชีวาผู้หนึ่ง หนวดเคราสีขาวยาวห้อยตก ดวงตาเปล่งประกาย สะบัดมือซัดป้ายคำสั่งอันหนึ่งออกไป
คนที่ซ่อนตัวอยู่บนต้นไม้รับป้ายคำสั่งไป หลังตรวจสอบแล้วก็โยนป้ายคำสั่งกลับมา ผีเสื้อเปล่งแสงที่ขวางทางอยู่บินกลับไปอย่างรวดเร็ว ก่อนจะหายตัวไปในความมืดมิด
ม้าออกตัวห้อตะบึงไปอีกครั้ง ไล่ตามอยู่ด้านหลังเสี่ยวเยวี่ย ก่อนจะหายเข้าไปในส่วนลึกของป่าทึบ
แสงจันทร์กระจ่างแจ้ง ในส่วนลึกของป่ามีสถานที่ที่มีพลังวิญญาณหนาแน่นแห่งหนึ่ง ยอดเขาประหลาดที่มีผาสูงชันตั้งตระหง่านอยู่ท่ามกลางหมู่ไม้ บนผามีอาคารสิ่งก่อสร้างใหญ่โตตั้งเรียงราย แสงไฟส่องสว่าง สถานที่แห่งนี้ก็คือที่ตั้งสำนักสวรรค์พิสุทธิ์แห่งโลกบำเพ็ญเพียร
ชายชราที่อยู่ภายใต้ผ้าคลุมกระโดดลงจากหลังม้าตรงด้านล่างหน้าผา เปิดผ้าคลุมศีรษะออก เผยให้เห็นใบหน้าที่แท้จริง เขาคือถังมู่ เจ้าสำนักสวรรค์พิสุทธิ์
ศิษย์ผู้หนึ่งรีบเดินเข้ามาคารวะ “ท่านเจ้าสำนัก!”
ถังมู่โยนสายบังเหียนให้แก่อีกฝ่าย มิได้กล่าวอะไร รีบสืบเท้าเดินไป พุ่งตัวขึ้นไปบนบันไดหินที่หักงอคดเคี้ยวไปมาตามหน้าผา ปลายเท้าแตะพื้นไม่กี่ครั้งก็กระโดดขึ้นไปบนยอดผา มาถึงด้านนอกเรือนที่ใหญ่โตโอฬารบนภูเขา จากนั้นรีบสืบเท้าเดินต่อไป
ใต้ชายหลังคาของเรือน หญิงสาวผู้หนึ่งยืนนิ่ง ผมเกล้าเป็นมวยขึ้นไปคล้ายเปลือกหอย สวมใส่อาภรณ์ผืนบาง
คิ้วเรียวยาวดั่งใบหลิว ตาหงส์แลดูสูงศักดิ์ นัยน์ตาดำขลับคล้ายหยกดำ จมูกได้รูปสวยงาม ริมฝีปากอวบอิ่มคล้ายเกสรดอกไม้ที่เบ่งบาน ใบหน้างดงามดุจดอกบัว แฝงเอาไว้ด้วยความสง่างามและหยิ่งทะนง ผิวพรรณขาวผ่องเป็นยองใย ปทุมถันกลมกลึงสมส่วน รูปร่างอรชรอ้อนแอ้น สวมชุดกระโปรงยาวสีเทา ท่าทีประหนึ่งเซียนบนสรวงสวรรค์
นางคือถังอี๋ บุตรสาวของถังมู่ แหงนหน้ามองฟ้า ชมจันทร์เพียงลำพังในค่ำคืนที่เงียบสงัด
ผีเสื้อเปล่งแสงดึงดูดสายตา แม้นจะถูกเก็บไปเมื่อขึ้นมาถึงยอดผา แต่มันก็ยังถูกถังอี๋พบเห็นเข้า
ถังอี๋เหลียวหน้ากลับไปมอง รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย จึงเดินไปยังบันไดเพื่อต้อนรับ จากนั้นมองไปยังด้านหลังผู้เป็นบิดา ทว่าไม่เห็นใครคนอื่น จึงกล่าวถามถังมู่ที่เดินขึ้นบันไดมาอย่างแปลกใจว่า “ท่านพ่อ พวกศิษย์พี่ไม่ได้กลับมาด้วยกันหรือคะ?”
ทว่าจู่ๆ ร่างของถังมู่กลับโงนเงนเล็กน้อย ขณะไม่ทันระวังเท้าของเขาพลันสะดุดขั้นบันไดจนล้มลงบนบันได ขณะเดียวกันก็กระอักเลือดออกมาคำหนึ่ง
ถังอี๋ตกใจเป็นอย่างมาก ด้วยสภาวะของท่านพ่อทำไมถึงเป็นเช่นนี้ได้ จึงรีบถลาตัวเข้าไปช่วยพยุง
แต่เมื่อเข้าไปใกล้ นางก็ได้กลิ่นคาวเลือดอบอวลจากบนร่างของผู้เป็นบิดา มือที่จับไปบนแขนเสื้อสัมผัสได้ถึงความรู้สึกเปียกชื้น อีกทั้งยังมีความเหนียวเหนอะหนะ นางยกมือขึ้นมาดู ด้วยแสงไฟจากใต้ชายหลังคาทำให้นางมองเห็นว่ามันคือคราบเลือด จึงรีบกล่าวถามด้วยความรู้สึกตกใจจนหน้าถอดสีว่า “ท่านพ่อ ท่านได้รับบาดเจ็บหรือคะ?”
ถังมู่โบกมือเล็กน้อยเพื่อบอกนางว่าอย่าส่งเสียงดังไป
ด้านนอกอากาศหนาวเย็น บนภูเขาอากาศยิ่งหนาวเย็น ทว่าภายในเรือนกลับอบอุ่นราวฤดูใบไม้ผลิ กระถางสัมฤทธิ์ใบใหญ่ที่ดูคล้ายเตาหลอมยาตั้งอยู่กึ่งกลางโถง หากไปยืนอยู่ใต้เตาจำเป็นต้องแหงนหน้าขึ้นมอง ด้านในคือถ่านที่กำลังลุกไหม้ เมื่อเข้าไปใกล้จะสามารถรับรู้ได้ถึงความร้อนระอุที่แผ่กระจายออกมา ทำให้ภายในเรือนทั้งหลังอบอุ่น ไอร้อนไหลไปยังห้องต่างๆ ที่อยู่ภายในเรือน แม้นจะเปิดประตูหน้าเอาไว้ก็ยากที่จะทำให้ความอบอุ่นที่อยู่ภายในเรือนลดลงไปได้
ถังอี๋พยุงผู้เป็นบิดาเข้ามานั่งภายในโถง สีหน้าร้อนรุ่ม คิดอยากจะตรวจดูอาการบาดเจ็บให้บิดา
ถังมู่ยกมือห้าม กล่าวเสียงคร่ำเคร่งว่า “รีบไปแจ้งผู้อาวุโสทั้งสามและศิษย์สายในให้มาพบข้า ข้ามีเรื่องสำคัญจะแจ้ง!”
ถังอี๋ร้อนใจ “ท่านพ่อ อาการบาดเจ็บของท่าน…”
ถังมู่ตะคอกตัดบท “รีบไป! เร็ว!”
ถังอี๋กัดริมฝีปาก ในดวงตามีน้ำตารื้นขึ้นมา คล้ายรู้ได้ถึงอะไรบางอย่าง แต่สุดท้ายก็จำต้องสะบัดกระโปรงรีบวิ่งออกไป
ผ่านไปไม่นานก็มีศิษย์สายในหลายคนรีบวิ่งเข้ามา เมื่อเห็นสภาพของถังมู่ก็รู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก เห็นได้ชัดว่าพวกเขามองออกว่าถังมู่ได้รับบาดเจ็บสาหัส
เหล่าลูกศิษย์รีบเข้าไปตรวจดูอาการ โดยเฉพาะเว่ยตัวที่เป็นศิษย์คนโตของถังมู่นั่นยิ่งร้อนใจเป็นอย่างมาก “อา…อาจารย์…ทำ…ทำไมท่าน…ถึง…ถึงได้บาดเจ็บ…ขนาดนี้….ศิษย์…ศิษย์จะรักษา…อา…อาการบาดเจ็บให้ท่าน!” เขาพูดติดอ่างมาแต่กำเนิด
ถังมู่โบกมือเพื่อบอกให้พวกเขาถอยไป ไม่ให้พวกเขาเข้ามายุ่ง เว่ยตัวที่ใบหน้าใสซื่อรีบคุกเข่าลงไปข้างๆ ไม่ยอมลุกไปไหน
ถังมู่หลับตา คล้ายไม่มีแรงที่จะพูดอะไรกับพวกเขามากนัก
จากนั้นครู่หนึ่ง ผู้อาวุโสสามคนของสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ที่อาศัยอยู่ในเขาด้านหลังก็บินลงมายังด้านนอกประตู เดินเคียงกันเข้ามาด้านใน สองชายหนึ่งหญิง
ทั้งสามคนคือหลัวหยวนกง ซูพั่ว ถังซู่ซู่ ทั้งหมดล้วนอายุมากแล้ว แก่กว่าถังมู่ที่เป็นเจ้าสำนัก เดิมทีทั้งสามล้วนเป็นอาจารย์อาของถังมู่ หลังจากถังมู่เป็นเจ้าสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ พวกเขาก็กลายเป็นผู้อาวุโสของสำนัก
ถึงแม้ก่อนมาทั้งสามจะเตรียมตัวเตรียมใจเอาไว้บ้างแล้ว แต่เมื่อได้เห็นสภาพของถังมู่ก็ยังอดรู้สึกตกใจอย่างมากไม่ได้ ทั้งสามคนเดินเข้าตรวจอาการของถังมู่ด้วยกัน
คราวนี้ไม่เหมือนกับลูกศิษย์ก่อนหน้านี้ ถังมู่ยากจะปฏิเสธได้ จึงได้แต่ต้องปล่อยให้พวกเขาตรวจอาการ
หลังทั้งสามใช้พลังตรวจสอบอาการแล้ว สีหน้าของทุกคนก็ล้วนแต่ดูหนักใจเป็นอย่างมาก ทราบถึงสาเหตุที่ถังมู่ไม่ยอมให้รักษา เพราะว่ารักษาไม่ได้แล้ว อาการบาดเจ็บสาหัสเป็นอย่างมาก อวัยวะตันทั้งห้าอวัยวะกลวงทั้งหกล้วนแต่เสียหายไปไม่น้อยแล้ว ตอนนี้อาศัยพลังชีวิตเฮือกสุดท้ายพยุงตัวเองเอาไว้ไม่ให้ล้ม
ทั้งสามเองก็พอจะเดาได้ว่าถังมู่รีบเรียกทุกคนมาเพื่อจะแจ้งอะไร
“ฝีมือใคร?” ถังซู่ซู่กล่าวถามอย่างโมโห นางคืออาแท้ๆ ของถังมู่ ในอดีตก็เป็นนางที่แนะนำถังมู่เข้ามายังสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ ภายหลังถังมู่สามารถนั่งในตำแหน่งเจ้าสำนักได้ นางเองก็มีส่วนช่วยอยู่ไม่น้อย หลานของตัวเองกลายเป็นแบบนี้ จะไม่ให้นางโมโหได้อย่างไร
ถังมู่กล่าวอย่างเนิบช้า “รอคนมาครบก่อน!”
ทุกคนจึงได้แต่ต้องรอ
กระทั่งถังอี๋กลับมา พร้อมกับเรียกศิษย์ทั้งหมดที่ยังอยู่ในสำนักสวรรค์พิสุทธิ์จำนวนหลายสิบคนมาด้วย จากนั้นทั้งหมดยืนเรียงเป็นแถวตามลำดับอาวุโสอยู่ภายในโถง ถังมู่สองมือคว้าจับที่พักแขน นั่งยืดตัวตรงขึ้นมา กล่าวด้วยเสียงดังฟังชัดและมีพลังว่า “เนื่องจากร่างกายของข้า จึงทำให้ข้าไม่สามารถดูแลสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ต่อไปได้ วันนี้ศิษย์สายในทั้งหมดล้วนอยู่ที่นี่ ทุกคนจงเป็นพยาน ข้าขอประกาศยกตำแหน่งเจ้าสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ให้แก่ตงกัวเฮ่าหรานผู้เป็นศิษย์น้องของข้า ผู้ที่ได้ยินแล้วต้องปฏิบัติตามกฎของสำนัก ใครขัดขืนลงโทษสถานหนัก!”
กลุ่มลูกศิษย์นั้นยังดีหน่อย ต่างเพียงแค่สบตากัน แต่ผู้อาวุโสทั้งสามคนกลับตกใจไม่น้อย ยกตำแหน่งให้ตงกัวเฮ่าหรานอย่างนั้นหรือ?
ตามกฎของสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ ผู้ที่จะเป็นเจ้าสำนักสวรรค์พิสุทธิ์จะต้องเป็นศิษย์สายในเท่านั้น โดยให้เจ้าสำนักรุ่นก่อนเป็นคนเลือก หากเจ้าสำนักเกิดเรื่องอะไรจนไม่สามารถทำการเลือกได้ ก็ให้ศิษย์สายในทั้งหมดเลือกศิษย์ในสายสืบทอดของเจ้าสำนักคนหนึ่งออกมาสืบทอดตำแหน่งเจ้าสำนัก นอกเสียจากเจ้าสำนักจะไม่มีลูกศิษย์เลย ถึงจะให้ทำการเลือกคนมาจากสายสืบทอดอื่น
ตงกัวเฮ่าหร่านเป็นศิษย์น้องของถังมู่ เขาย่อมต้องถือเป็นศิษย์สายใน แล้วก็เป็นคนที่เหมาะสมที่จะมาเป็นผู้สืบทอดตำแหน่งเจ้าสำนัก แต่ถ้ามองจากมุมของสายสืบทอดของถังมู่แล้ว นี่กลับเป็นการเลือกคนจากนอกสายสืบทอดมารับตำแหน่งเจ้าสำนัก อีกทั้งด้วยเหตุผลบางประการ จึงทำให้ตงกัวเฮ่าหรานไม่เหมาะที่จะเป็นผู้สืบทอดตำแหน่งเจ้าสำนัก
ถังซู่ซู่เป็นคนแรกที่ทนไม่ไหว นางกล่าวเสียงดังว่า “ขอเจ้าสำนักโปรดไตร่ตรองด้วย ตงกัวเฮ่าหรานและหนิงอ๋องซางเจี้ยนปั๋วแอบลอบติดต่อกันมาเป็นเวลานาน ซางเจี้ยนปั๋วเหิมเกริมคิดการใหญ่ ทำให้ผู้บำเพ็ญเพียรในใต้หล้าไม่พอใจ และก็เป็นเพราะเหตุนี้ ในอดีตตอนที่ศิษย์พี่คิดจะยกตำแหน่าเจ้าสำนักให้แก่ตงกัวเฮ่าหราน ถึงได้ถูกเหล่าอาจารย์ลุงและอาจารย์อาขัดขวางเอาไว้ จากนั้นถึงจะยกตำแหน่งให้แก่ท่าน ตอนนี้ท่านยังจะกลับไปทำแบบเดิมอีก หรือท่านไม่รู้ว่าทันทีที่ตงกัวเฮ่าหรานได้เป็นเจ้าสำนัก เขาจะนำเอาหายนะครั้งใหญ่มาสู่สำนักสวรรค์พิสุทธิ์ เรื่องใหญ่แบบนี้ยังจะทำเป็นเล่นได้หรือ!”
ถังมู่กล่าวอย่างใจเย็น “ระหว่างทางที่กลับมาข้าได้ข่าวว่าซางเจี้ยนปั๋วถูกลอบสังหารจนตายแล้ว ดังนั้นเรื่องซางเจี้ยนปั๋วผ่านไปแล้ว”
ซางเจี้ยนปั๋วตายแล้ว? หนิงอ๋องซางเจี้ยนปั๋วเป็นน้องชายแท้ๆ ของฮ่องเต้องค์ปัจจุบันของแคว้นเยี่ยน เป็นสมุหพระกลาโหมซึ่งเป็นหนึ่งในสามขุนนางที่มีอำนาจสูงสุดในราชสำนัก มีอำนาจนำกองทหารม้าของแคว้นเยี่ยน เชี่ยวชาญการสู้รบ เป็นผู้มีอำนาจบารมีอย่างแท้จริง แต่กลับมาถูกลอบสังหารจนเสียชีวิต เรื่องใหญ่ขนาดนี้ ทำไมทางนี้จึงไม่ทราบข่าวอะไรเลย?
“ถังซู่ซู่ที่แก่ชรายืดอกเงยหน้ากล่าวว่า “ข้าคัดค้าน!”
ถังมู่เหลือบมองนาง กล่าวถามว่า “เหตุใดถึงคัดค้าน? ข้าทำผิดกฎสำนักหรือ?”
ถังซู่ซู่กล่าว “มิใช่ทำผิด ทว่านับแต่ที่สำนักสวรรค์พิสุทธิ์ก่อตั้งมา ตำแหน่งเจ้าสำนักก็ล้วนแต่สืบทอดต่อให้ศิษย์สายตรงของเจ้าสำนัก ยังไม่เคยมีใครสืบทอดให้ศิษย์นอกสายมาก่อน ในบรรดาศิษย์ของเจ้าสำนักมิใช่ว่าไม่มีคน เหตุใดถึงต้องสืบทอดต่อให้คนนอกสายด้วย จะทำเช่นนั้นก็ต้องมีเหตุผลหรือเปล่า?”
ถังมู่หลับตาพลางถอนใจ “ศิษย์ที่ติดตามข้าออกไปครั้งนี้ล้วนแต่ตายหมดแล้ว”
ทุกคนนิ่งเงียบไปเล็กน้อย การที่ถังมู่กลับมาในสภาพเช่นนี้ อีกทั้งยังไม่เห็นศิษย์คนอื่นๆ ติดตามมา ภายในใจของทุกคนก็พอจะคาดเดาได้แล้ว ตอนนี้เมื่อได้รับการยืนยัน แต่ละคนจึงอดนึกสงสัยขึ้นมาไม่ได้ว่ามันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?
ถังซู่ซู่ชี้ไปยังเว่ยตัว “เว่ยตัวเป็นศิษย์คนโตของท่าน เจ้าสำนักทำเช่นนี้มิเท่ากับข้ามหัวเขาหรือ?”
ถังมู่กล่าวอย่างไม่หวั่นไหวแม้แต่น้อย “เว่ยตัวซื่อสัตย์จริงใจ เป็นผู้สนับสนุนได้ แต่ไม่เหมาะเป็นผู้นำ เขารับผิดชอบตำแหน่งเจ้าสำนักไม่ไหว”
คำพูดนี้ไม่มีใครคัดค้าน เมื่อรวมกับเรื่องที่เว่ยตัวพูดติดอ่างแล้ว หากเขาเป็นเจ้าสำนักล่ะก็ นั่นจะต้องส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของสำนักสวรรค์พิสุทธิ์อย่างที่ว่าจริงๆ กระทั่งเว่ยตัวเองพอได้ฟังก็ยังก้มหน้าลงไป
ถังซู่ซู่ชี้ไปยังถังอี๋ “ถังอี๋ล่ะ สำนักสวรรค์พิสุทธิ์ไม่มีกฎห้ามผู้หญิงเป็นเจ้าสำนักนี่”
ถังมู่กล่าว “ถังอี๋เป็นลูกสาวข้า สำนักสวรรค์พิสุทธิ์มิใช้สมบัติส่วนตัวของตระกูลข้า แล้วจะให้ข้าที่เป็นเจ้าสำนักซั่งแสดงความเห็นแก่ตัว ส่งต่อมันให้ลูกหลานในตระกูลอย่างนั้นหรือ?”
ถังมู่กล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “ไม่เหมาะ!”
ถังซู่ซู่กล่าวอย่างโกรธเกรี้ยว “สรุปแล้วก็คือเจ้าสำนักคิดจะยกตำแหน่งเจ้าสำนักให้แก่ตงกัวเฮ่าหราน นี่มันเพราะอะไรกันแน่ หรือว่ามีเหตุผลอะไรที่ห้ามไม่ให้ใครรู้?”
ถังมู่เบิกตาโพรงทันที กวาดสายตามองไป ในน้ำเสียงแฝงความขึงขังดุดันเอาไว้หลายส่วน “หรือว่าสำหรับท่านผู้อาวุโสแล้ว กฎของสำนักสวรรค์พิสุทธิ์นั้นมิได้สำคัญเลย?”
“….” ถังซู่ซู่พูดอะไรไม่ออก สองมือกำแน่น โกรธจนตัวสั่น คิดไม่ถึงว่าหลานแท้ๆ ของตัวเองจะต่อว่านางเช่นนี้ต่อหน้าคนอื่น นี่เป็นครั้งแรกที่เขามีท่าทีแข็งกร้าวกับนางเช่นนี้ ฉีกหน้านางต่อหน้าศิษย์คนอื่นๆ
“ข้าตัดสินใจแล้ว!” ถังมู่หยิบเอาป้ายคำสั่งเจ้าสำนักออกมา ส่งให้หลัวหยวนกงที่อยู่ใกล้ตัว “ศิษย์น้องตงกัวเฮ่าหรานไม่อยู่ที่นี่ ตามกฎสำนักแล้ว ให้ผู้อาวุโสทั้งสามเป็นคนดูแลป้ายคำสั่งเจ้าสำนักแทนร่วมกัน หลังศิษย์น้องกลับมา ให้ตงกัวเฮ่าหรานเป็นผู้สืบทอดตำแหน่งเจ้าสำนัก ศิษย์ทั้งสำนักสวรรค์พิสุทธิ์เป็นพยาน ห้ามมิให้ผิดพลาด!”
……………………………………………………………..