ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า - ตอนที่ 306 ผู้ทะนงตน
ตอนที่ 306 ผู้ทะนงตน
“หากเป็นเช่นนี้…” หนิวโหย่วเต้าใคร่ครวญพลางพึมพำ
“อะไรหรือ?” ลิ่งหูชิวเอ่ยถาม
หนิวโหย่วเต้าอธิบาย “ข้าหมายความว่ากลุ่มที่ไม่ได้มีอิทธิพลยิ่งใหญ่คอยหนุนหลังน่าจะประมูลม้าทั้งหมดแสนตัวไปไม่ไหว เห็นทีคงต้องแบ่งประมูลไป”
ลิ่งหูชิวเอ่ยว่า “เราไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องนี้เลย เดี๋ยวคอยดูแล้วกันว่าทางฮ่องเต้จะจัดการอย่างไร”
ถึงอย่างไรก็ไม่มีอะไรทำอยู่แล้ว อีกทั้งไม่อาจสงบใจบำเพ็ญเพียรได้ ทั้งสองจึงพูดคุยหารือกันไปเรื่อย
พอถึงช่วงพลบค่ำ หงฟูจัดเตรียมสุราอาหาร หลังจากกินเสร็จฟ้าก็มืดแล้ว
หนิวโหย่วเต้าให้หงฝูทำกาวแป้งเปียกเล็กน้อย จากนั้นไปหากระดาษเหลืองจากห้องหนังสือมาสามสี่แผ่น ปลดโคมไฟดวงหนึ่งที่แขวนอยู่ใต้ชายคาลงมา นำกระดาษเหลืองไปติดไว้บนโคมไฟ ทำให้แสงสว่างที่แผ่ออกมาโคมไฟกลายเป็นสีเหลืองหม่น
“เอาไปแขวนไว้บนกิ่งไม้ต้นนั้น ต้องแขวนในจุดที่คนบนถนนด้านนอกสามารถมองเห็นได้” หนิวโหย่วเต้าชี้ไปยังต้นไม้ที่สูงที่สุดด้านหน้าเรือน เอ่ยสั่งการประโยคหนึ่ง ยื่นโคมไฟในมือส่งให้หงฝูไป
หงฝูถือโคมออกไปจัดการตามเขาสั่ง
ลิ่งหูชิวที่ยืนเคียงกันอยู่ใต้ชายคาเอ่ยถามว่า “น้องหนิว นี่เจ้ากำลังส่งสัญญาณให้ผู้ใดอยู่กระมัง?”
หนิวโหย่วเต้าตอบอืม “ส่งให้พวกเฮยหมู่ตาน”
ลิ่งหูชิวแปลกใจ “พวกนางจากไปแล้วมิใช่หรือ?”
หนิวโหย่วเต้าตอบอย่างคลุมเครือ “มีแผนอื่นเตรียมไว้”
ความจริงแล้วเป็นการส่งสัญญาณให้หยวนกัง หากวันนี้เผยซานเหนียงไม่มา เขาจะแขวนโคมไฟสีขาว แปลว่าให้ลงมือได้เลย แต่โคมไฟสีเหลืองแปลว่าให้ยั้งมือไว้ชั่วคราว
เขาอยากจะพบหน้าหยวนกังมากกว่า แต่ด้วยสถานการณ์ในตอนนี้ยังไม่อาจทำเช่นนั้นได้ มีคนจับตามองมากเกินไป หากทำให้หยวนกังถูกเปิดโปงเข้า หยวนกังจะตกอยู่ในอันตราย
ที่ไล่พวกเฮยหมู่ตานออกไปก่อนล่วงหน้า ในแง่หนึ่งแล้วก็ถือเป็นการปกป้องหยวนกังด้วย ทันทีที่เกิดการวางเพลิงเมืองหลวง อาจจะมีคนสงสัยว่าเป็นฝีมือเขา เป้าหมายแรกที่จะถูกสงสัยย่อมเป็นลูกน้องของเขา พวกเฮยหมู่ตานที่หายตัวไปแล้วจะกลายเป็นผู้ต้องสงสัย ขอเพียงถ่วงเวลาให้หยวนกังได้มากพอ เขาเชื่อว่าหยวนกังมีความสามารถพอจะเก็บกวาดหลักฐานให้หมดจดได้
บนเขาสูง ท้องนภาดาษหมู่ดาวราวกับอยู่เพียงเอื้อม ทำให้คนรู้สึกอยากยื่นมือออกไปไขว่คว้า
ด้านหนึ่งของภูเขาคือแสงไฟจากบ้านเรือนนับหมื่นหลังในเมืองหลวง ส่วนอีกด้านหนึ่งคือท้องนภาดาษหมู่ดาวเหนือทุ่งหญ้า สายลมโชยแผ่วเบา
บุรุษชุดแดงคนหนึ่งยืนมือไพล่หลังอยู่ริมเชิงผา ทอดสายตามองแสงไฟในเมืองหลวงและดวงดาวพราวระยับ
ชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่งงามสง่า หน้าตาหล่อเหลาคมคาย ดวงตาทอแววทะนงตนอยู่หลายส่วน แต่เขาก็มีสิทธิ์ให้ทะนงตนจริงๆ เขาคือคุนหลินซู่หัวกะทิรุ่นเยาว์ของสำนักเพลิงนภา ในบรรดาศิษย์รุ่นเดียวกันไม่มีผู้ใดเทียบเขาได้
สาวงามในชุดกระโปรงแดงนางหนึ่งเหินละลิ่วลงมา ค่อยๆ ร่อนลงมาจากบนอากาศ ร่อนลงข้างกายคุนหลินซู่ นางมีรูปร่างอ้อนแอ้นอรชร จ้องมองคุนหลินซู่ด้วยดวงตาสุกสกาว เอ่ยถามด้วยเสียงนุ่มนวล “ศิษย์พี่ กำลังคิดอะไรอยู่?”
นางมีนามว่าเนี่ยอวิ๋นซาง หรือที่คนเรียกกันว่า ‘หั่วเฟิ่งหวง[1]’ เป็นศิษย์หัวกะทิอีกคนในรุ่นนี้ของสำนักเพลิงนภา มีความสัมพันธ์แบบกึ่งสามีภรรยากับคุนหลินซู่ เนื่องจากทั้งสองหมั้นหมายกันแล้ว
คุนหลินซู่หันไปมองนางพลางอมยิ้มเล็กน้อย จากนั้นหันกลับไปมองแสงไฟในเมือง เอ่ยขึ้นว่า “ได้ยินว่าสภาวะของหนิวโหย่วเต้ายังอยู่ในระดับสร้างฐานเช่นกัน เจ้าคิดว่าระหว่างข้ากับเขาผู้ใดจะแข็งแกร่งกว่ากัน?”
หั่วเฟิ่งหวงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “คนปลิ้นปล้อนผู้หนึ่งไหนเลยจะเทียบชั้นกับศิษย์พี่ได้ สภาวะของพวกเราสองศิษย์พี่น้องใกล้จะทะลวงสู่ระดับโอสถทองแล้ว เขาจะมาเทียบได้อย่างไร”
คุนหลินซู่เอ่ยว่า “เช่นนั้นเจ้าคิดว่าในบรรดาผู้อาวุโสของสำนักเรามีสักกี่คนที่สามารถเอาชนะจั๋วเชาได้?”
หั่วเฟิ่งหวงเอ่ยอย่างเย่อหยิ่งว่า “อันสิ่งที่เรียกว่าทำเนียบโอสถ ศิษย์พี่เคยเห็นคนจากสำนักที่มีตำแหน่งในหอเลือนสลัวมีชื่อติดอยู่บนทำเนียบโอสถกี่คนกันเล่า ไม่ควรให้ค่าเลย จั๋วเชาไหนเลยจะเทียบชั้นได้ สำนักเพลิงนภาของพวกเราย่อมมีคนที่สามารถเอาชนะจั๋วเชาอยู่นับไม่ถ้วน”
คุนหลินซู่เอ่ยว่า “เช่นนั้นเจ้าคิดว่าหากข้าท้าประลองกับหนิวโหย่วเต้า ข้าจะเอาชนะเขาได้หรือไม่?”
“……” หั่วเฟิ่งหวงผงะไป จากนั้นจึงเอ่ยเตือน “ศิษย์พี่ ท่านอย่าก่อเรื่องเลย ทางฝั่งองค์ฮ่องเต้ยังต้องการใช้งานหนิวโหย่วเต้าในการเก็บกวาดความวุ่นวายในเมืองหลวงอยู่ เรื่องนี้ก็เป็นผลดีต่อสำนักเพลิงนภาของพวกเราเช่นกัน ผู้คนมากหน้าหลายตาทำให้สำนักเพลิงนภาต้องคอยพะวงหลายทาง หากทำเสียเรื่องขึ้นมา เรื่องศักดิ์ศรีหน้าตาของฮ่องเต้ล้วนเป็นเรื่องรองทั้งสิ้น แต่หากทำให้พวกอาจารย์ไม่พอใจล่ะก็ แบบนั้นต้องแย่แน่”
คุนหลินซู่เอ่ยว่า “เรื่องนี้ข้าย่อมรู้ดี ข้าเพียงอยากเห็นหนิวโหย่วเต้าผู้สังหารจั๋วเชาคนนั้นสักครั้ง ข้าเคยไปที่ลานน้ำตกเหินหาวมาแล้วแต่ก็ไม่พบ หวังว่าการไปที่ทะเลสาบส่องนภาในวันพรุ่งนี้จะไม่ทำให้ข้าต้องผิดหวังอีก!”
“ศิษย์พี่…”
หั่วเฟิ่งหวงยังไม่ทันได้พูดจบ คุนหลินซู่ก็ยกมือปรามพร้อมเอ่ยตัดบท “ข้าแค่อยากไปดูเท่านั้น อาจารย์เองก็ให้ข้าไปสังเกตการณ์งานประมูลวันพรุ่งนี้เช่นกัน หากเกิดเรื่องขึ้นจะได้รายงานต่อสำนักได้ทันท่วงที”
หั่วเฟิ่งหวงเงียบไปเล็กน้อย เอ่ยขึ้นว่า “ศิษย์พี่ พรุ่งนี้พาข้าไปด้วย”
คุนหลินซู่หันไปมอง เห็นนางส่งยิ้มให้จึงค่อยๆ ยื่นมือไปกุมมือเรียวลออของนางไว้
หั่วเฟิ่งหวงค่อยๆ เอนซบข้างกายเขา ศีรษะพิงลงที่ไหล่ของเขา เผยสีหน้าคาดหวังตั้งตารอออกมาเล็กน้อย พึมพำว่า “ยังต้องรอไปอีกค่อนปีเชียวหรือ”
คุนหลินซู่ทราบดีว่านางหมายถึงงานวิวาห์ของพวกเขาสองคน แต่ภาพที่ผุดขึ้นมาในหัวเขาอยู่เป็นระยะกลับเป็นเหตุการณ์ช่วงที่เข้าเวรในวังหลวงวันนี้
ระหว่างที่ฮ่องเต้เสด็จผ่าน บังเอิญเห็นเขาเข้าพอดี ทรงเอ่ยถามว่าหนิวโหย่วเต้าที่สังหารจั๋วเชาได้คนนั้นแข็งแกร่งแค่ไหนกัน?
เขาตอบไปว่าไม่เคยพบพาน ไม่ทราบถึงความสามารถ ยากจะวิจารณ์ได้
ฮ่องเต้ถามเขาต่อว่า หากนำมาเทียบกับเจ้าจะเป็นอย่างไร?
เขาตอบกลับว่าไม่เคยประลองกัน จึงไม่ทราบ!
ฮ่องเต้ถามอีกว่า หากเทียบระหว่างเจ้ากับจั๋วเชาเล่า?
ตอนนั้นเขาเงียบไป เขาไม่เคยพบจั๋วเชามาก่อน ยิ่งไม่เคยประมือกับจั๋วเชาด้วย ถึงแม้สำนักเพลิงนภาจะไม่เห็นจั๋วเชาอยู่ในสายตา แต่ยอดฝีมือในลำดับต้นๆ บนทำเนียบโอสถก็หาใช่เรื่องล้อเล่นไม่ แน่นอนว่าล้วนต้องมีฝีมือกันอย่างแท้จริงบ้างไม่มากก็น้อย เขาเองก็ไม่กล้าพูดส่งเดชว่าตนเป็นคู่ต่อสู้กับจั๋วเชาได้ ยิ่งไปกว่านั้นคือระดับสภาวะก็ห่างชั้นกันอย่างชัดเจน
พอเห็นเขาเงียบ องค์ฮ่องเต้ก็หันหลังเดินจากไป แต่ก่อนจากไปกลับทอดถอนใจออกมาประโยคหนึ่งว่า ‘ได้ยินว่าจั๋วเชาเป็นยอดฝีมือลำดับต้นๆ บนทำเนียบโอสถ แต่กลับสู้หนิวโหย่วเต้าไม่ได้ คาดว่าบรรดาคนรุ่นเดียวกันในโลกบำเพ็ญเพียรคงไม่มีใครต่อกรกับหนิวโหย่วเต้าได้ หากดึงตัวมาทำงานรับใช้เราได้คงจะดีไม่น้อย!’
เขาได้ยินว่าหนิวโหย่วเต้าอ่อนวัยนัก ตนน่าจะแก่กว่าหนิวโหย่วเต้านับสิบปีได้ เขาไม่รู้ว่าตนกับหนิวโหย่วเต้านับเป็นคนรุ่นเดียวกันหรือไม่ แต่วาจาขององค์ฮ่องเต้ทำให้เขาอึดอัดใจเป็นอย่างมาก…
….
เผยซานเหนียงบอกว่าสำนักมหาบรรพตจะมารับหนิวโหย่วเต้าแต่เช้าตรู่ก็มากันแต่เช้าตรู่จริงๆ ผู้บำเพ็ญเพียรสิบกว่าคนขี่ม้ามารออยู่นอกตรอก ไม่ได้เข้ามาในตรอก
เผยซานเหนียงลงจากม้ามาคนเดียว เดินเข้าไปในตรอก เข้าไปในเรือน ผ่านไปสักพักก็พาพวกหนิวโหย่วเต้าออกมา
พอมาถึงนอกตรอก หนิวโหย่วเต้าพลันประสานมือคำนับเหล่าศิษย์สำนักมหาบรรพต ทว่าไม่มีใครสนใจเขาเลยต่างปรายตามองอย่างเย็นชา
มาอย่างเป็นมิตรแต่กลับถูกหมางเมิน ทำให้หนิวโหย่วเต้ากระอักกระอ่วนอย่างยิ่ง โชคดีที่หนิวโหย่วเต้าไม่ใส่ใจเรื่องนี้เท่าไร มิเช่นนั้นคงรู้สึกเสียหน้าจริงๆ
เขาเองก็ทราบดี หากไม่ประสบเรื่องราวเช่นนี้ ตัวเขาไหนเลยจะมีค่าพอให้สำนักมหาบรรพตเดินทางมารับเขา
เผยซานเหนียงชี้ม้าตัวหนึ่งให้หนิวโหย่วเต้า ยังมีม้าว่างอีกตัวสำหรับลิ่งหูชิวด้วย ดูเหมือนคาดการณ์มาแล้วว่าลิ่งหูชิวต้องตามไปด้วยแน่ อีกทั้งรู้แล้วว่าทั้งคู่สาบานเป็นพี่น้องกัน
แต่ก็จัดเตรียมม้าไว้ให้เพียงสองตัวเท่านั้น ไม่ได้เตรียมไว้สำหรับหงซิ่วและหงฝู
“ไปเถอะ!” ชายฉกรรจ์คนหนึ่งที่อยู่บนหลังม้าตรงหัวขบวนเอ่ยขึ้นมาพลางควบม้าพุ่งออกไป
“พวกเจ้าไม่ต้องไปด้วยหรอก รอที่นี่เถอะ” ลิ่งหูชิวสั่งการหงซิ่วและหงฝู จากนั้นปีนขึ้นหลังม้าพร้อมกับหนิวโหย่วเต้าแล้วควบม้าออกไป
ทุกคนมองตาม
เมื่อเห็นสำนักมหาบรรพตรับหน้าที่คุ้มกันไปส่งด้วยตัวเอง เหล่าผู้บำเพ็ญเพียรที่ไม่เผยตัวตนจำนวนไม่น้อยในตรอกต่างมองกันไปมองกันมา ไม่มีผู้ใดกล้าผลีผลามทำอะไร
ในเมืองมีคนมากมาย ไม่สะดวกจะควบม้าวิ่งห้อ หลังออกจากเมืองไปแล้ว ทั้งคณะถึงจะเริ่มเร่งม้าควบทะยาน มุ่งหน้าไปทางทิศเหนือ ดูเหมือนจะมีคนคอยจับตามองไปตลอดการเดินทาง…
….
ภายในวังหลวง ในตำหนักหลังหนึ่งที่ใช้สำหรับสะสางจัดการงานราชกิจ เฮ่าอวิ๋นถูตรวจสอบเอกสารราชการอยู่หลังโต๊ะทำงาน ท่าทางจริงจังและมีสมาธิ
ผู้ดูแลหลวงเร่งเดินเข้ามาจากด้านนอกประตู หลังจากถวายความเคารพแล้วถึงจะเดินอ้อมไปข้างโต๊ะ โน้มตัวลงกระซิบข้างหูเฮ่าอวิ๋นถู “ฝ่าบาท เพิ่งได้รับรายงานมาพ่ะย่ะค่ะ คนของสำนักมหาบรรพตคุ้มกันหนิวโหย่วเต้าออกเดินทางแล้ว ส่วนทางเกาะจันทร์ฉาย คุนหลิงซู่ไปถึงแล้วพ่ะย่ะค่ะ!”
เฮ่าอวิ๋นถูเงยหน้ามองแสงอรุณด้านนอกตำหนักเล็กน้อย แค่นเสียงเอ่ย “ทะนงตนมีความมั่นใจสูง ไหนเลยจะทนรับคำยั่วยุได้ ข้าคิดไว้แล้วว่าเขาต้องไป”
ปู้สวินเอ่ยว่า “ฝ่าบาท หลอกใช้คนของสำนักเพลิงนภาคงไม่ค่อยดีกระมังพ่ะย่ะค่ะ? อันที่จริงหลังจบเรื่องค่อยปล่อยข่าวลือออกไปว่าหนิวโหย่วเต้าทำไปเพื่อปกป้องตัวเอง จึงวางแผนจัดงานประมูลครั้งนี้ขึ้นก็ได้พ่ะย่ะค่ะ เช่นนี้สำนักที่ประสบความสูญเสียเหล่านั้นจะต้องไปคิดบัญชีกับหนิวโหย่วเต้าทีหลังแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”
เฮ่าอวิ๋นถูกล่าวว่า “แค่ผู้บำเพ็ญเพียรตัวเล็กๆ คนหนึ่ง มีค่าพอให้ข้าต้องได้ชื่อว่าเป็นคนที่พอเสร็จงานก็ถีบหัวส่งอย่างนั้นหรือ แต่หนิวโหย่วเต้าคนนี้ก็ดูเหมือนจะมีความสามารถอยู่บ้างจริงๆ พยายามหลีกเลี่ยงการปะทะสร้างศัตรู พยายามหันเหเบี่ยงเบนความขัดแย้งอย่างเต็มที่เท่าที่จะทำได้ อนาคตจะเป็นอย่างไรไม่มีผู้ใดบอกได้ชัดเจน ดังนั้นปัญหาที่สามารถจัดการได้ตรงหน้าก็อย่าได้ถ่วงรั้งให้ล่าช้าไปถึงภายหลัง! คุนหลิงซู่ผู้นั้นเย่อหยิ่งทะเยอทะยาน ไม่เห็นผู้ใดอยู่ในสายตา แม้แต่ลูกชายของข้าก็ยังกล้ามาทุบตี ไม่ได้เห็นข้าอยู่ในสายตาเลย เขาไม่มีทางบอกเรื่องพวกนี้ต่อทางสำนัก หนิวโหย่วเต้าคนนั้นก็มีชื่อเสียงเลื่องลือมานาน ชื่อเสียงนั้นจะเป็นเพียงเสียงลือเสียงเล่าอ้างหรือไม่ ให้คุนหลินซู่ไปลองหยั่งเชิงดูก็ไม่เสียหายอะไร” พูดจบก็ก้มหน้าลงไปจัดการงานราชกิจบนโต๊ะทำงานต่อ
“พ่ะย่ะค่ะ!” ปู้สวินค้อมกายให้เล็กน้อยพลางเอ่ยตอบรับ เข้าใจถึงเจตนาขององค์ฮ่องเต้แล้ว
คนหนึ่งกล้าทุบตีองค์ชาย อีกคนกล้าหลอกล่อองค์หญิง ฝ่าบาทจึงคิดจะทำให้ทั้งสองคนปะทะกันเอง
หากว่าคุนหลิงซู่พ่ายแพ้ ถึงไม่ตายก็ต้องขายขี้หน้า หากหนิวโหย่วเต้ามีชัย สำนักเพลิงนภาไม่มีทางยอมเสียหน้า ต้องลงมือจัดการหนิวโหย่วเต้าแน่นอน
….
ห่างจากเมืองหลวงไปห้าสิบลี้ ทะเลสาบกว้างใหญ่ที่มีระลอกคลื่นทอประกายระยิบระยับปรากฏอยู่ด้านหน้า เมื่อทอดสายตามองออกไป ทะเลสาบที่ว่านั้นดูราวกับท้องทะเลที่กว้างไกลสุดลูกหูลูกตา ทว่าเงียบสงบกว่าท้องทะเลมากนัก ผิวทะเลสาบเป็นสีฟ้าคราม ประหนึ่งคันฉ่องบานใหญ่ที่สะท้อนภาพนภาครามเมฆาขาว จึงเป็นที่มาของชื่อทะเลสาบส่องนภา
ทั้งกลุ่มรั้งบังเหียนหยุดม้าที่ริมทะเลสาบพร้อมกัน จากนั้นทยอยเหินกายออกไป โฉบร่อนผ่านคลื่นธารา ทะยานเข้าสู่ส่วนลึกของทะเลสาบส่องนภา
กระทั่งรอบข้างไม่ปรากฏร่องรองของผืนแผ่นดินแล้ว เกาะแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่กลางทะเลสาบจึงปรากฏต่อสายตาของทุกคน ทั้งกลุ่มร่อนลงบนเกาะอย่างรวดเร็ว
ตัวเกาะเป็นทรงจันทร์เสี้ยว มีป่าไม้หน้าทึบ มีการสร้างเรือนพักไว้บนเกาะ เป็นสถานที่เหมาะสำหรับพักผ่อนหย่อนใจ
เดิมทีสมควรเป็นสถานที่เงียบสงบที่มีผู้คนบางตา แต่ยามนี้บนเกาะกลับเนืองแน่นไปด้วยผู้คน คาดว่ามีคนรวมตัวกันอย่างน้อยๆ ก็หลายพันคนขึ้นไป ผู้คนมากหน้าหลายตาต่างจ้องมองพวกหนิวโหย่วเต้าที่เพิ่งมาถึง ทุกคนสวมหน้ากากไว้ทั้งสิ้น ไม่เผยให้เห็นโฉมหน้าที่แท้จริง
ไม่มีการอ้อยอิ่งโอ้เอ้อันใด คนของสำนักมหาบรรพตพาหนิวโหย่วเต้ามุ่งตรงขึ้นไปยังหน้าผาแห่งหนึ่งที่อยู่บนเกาะ มีคนจำนวนหนึ่งยืนรออยู่ในศาลาหลังหนึ่ง มีสองคนที่สวมผ้าคลุมกันลมสีดำไว้ แล้วก็ยังมีชายหญิงอีกคู่หนึ่งด้วย ฝ่ายชายสวมอาภรณ์สีแดง ฝ่ายหญิงสวมชุดกระโปรงสีแดง เป็นคุนหลินซู่และหั่วเฟิ่งหวงนั่นเอง
ลิ่งหูชิวเอ่ยกระซิบข้างหูหนิวโหย่วเต้า “คนที่สวมผ้าคลุมกันลมสีดำน่าจะมาจากสำนักศาสตราลึกล้ำ ส่วนคนที่สวมชุดแดงน่าจะมาจากสำนักเพลิงนภา”
ทันทีที่ทั้งกลุ่มเข้าไปในศาลา คุนหลินซู่พลันจ้องมองหนิวโหย่วเต้าแล้วเอ่ยทักว่า “เจ้าน่ะหรือหนิวโหย่วเต้า?”
สีหน้าท่าทางในขณะที่พูดแฝงไว้ด้วยความโอหังดูแคลนอยู่หลายส่วน
…………………………………………………………………
[1]หั่วเฟิ่งหวง หมายถึง หงส์เพลิง