ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า - ตอนที่ 317 ชาวแคว้นเยี่ยน
ตอนที่ 317 ชาวแคว้นเยี่ยน
แม้ว่าปู้สวินจะเป็นคนสุขุมเยือกเย็น แต่ก็ยังอดไม่ได้ที่จะตะลึงไปเล็กน้อย คิดไม่ถึงว่าจู่ๆ หนิวโหย่วเต้าจะลากโยงไปหาเซ่าผิงปอได้ อยู่เหนือความคาดหมายของเขาจริงๆ
หลังจากดึงสติกลับมาได้ เขายิ้มบางๆ พลางเอ่ยว่า “มณฑลเป่ยโจวแห่งแคว้นเยี่ยนหรือ? มิใช่ว่ามณฑลเป่ยโจวตกเป็นของแคว้นหานไปแล้วหรอกหรือ?”
“ฮ่าๆ ยงผิงจวิ้นอ๋องคิดว่ามณฑลเป่ยโจวเป็นของแคว้นเยี่ยน ผู้น้อยเลยเรียกตามเขาจนชินเท่านั้น” หนิวโหย่วเต้าเองก็ไม่โต้เถียงกับเขาเรื่องแว่นแคว้นต่อเช่นกัน แต่แก้ไขสถานการณ์อย่างชาญฉลาด วกกลับเข้าประเด็นต่อ “ประเด็นสำคัญคือเซ่าผิงปอคนนี้เฉลียวฉลาด เหมาะจะเป็นศิษย์ของท่านผู้ดูแลหลวงอย่างยิ่ง”
ปู้สวินอมยิ้มพลางเอ่ยว่า “ราชันเป่ยโจว ราชันเป่ยโจว ว่ากันว่าข่าวโคมลอยนี้เป็นฝีมือของเจ้า ตอนนี้ข้าเริ่มเชื่อขึ้นมาเล็กน้อยแล้ว มณฑลเป่ยโจวในปัจจุบันนี้มีเซ่าผิงปอเป็นเสาหลักของเป่ยโจว ต่อให้เฉลียวฉลาดแค่ไหน แต่เขาจะวิ่งมาเป็นศิษย์ข้าที่แคว้นฉีได้อย่างไร ต่อให้เขาตอบตกลง เกรงว่าสำนักเขามหายานคงจะไม่ยอมตกลงด้วย”
หนิวโหย่วเต้าเอ่ยว่า “ขอเพียงผู้ดูแลหลวงมอบผลประโยชน์ให้มณฑลเป่ยโจวมากพอที่จะล่อเซ่าผิงปอมาที่เมืองหลวงแคว้นฉีได้ เมื่อถึงเวลานั้นจะยอมหรือไม่ก็ไม่ได้ขึ้นอยู่กับพวกเขาแล้ว!”
หากเซ่าผิงปอรู้ว่าคนผู้นี้ยังนึกถึงเขาอยู่เสมอไม่ว่าไปแห่งหนตำบลใด ทั้งยังเจรจาเรื่องที่จะเปลี่ยนเขาให้กลายเป็นขันทีอีก ไม่รู้ว่าเซ่าผิงปอจะรู้สึกอย่างไร
ปู้สวินกล่าวว่า “เจ้าก็ช่างคิดเผื่อเขาเสียจริง แต่ข้าไม่ต้องตาเขา คนที่จะมารับช่วงต่อจากข้าจำเป็นต้องมีสุขภาพและจิตใจที่แกร่งกล้าแข็งแรง เพื่อรับผิดชอบภาระงานมากมายที่หนักหนาเหนื่อยล้า ไม่อาจปล่อยให้อาการป่วยไข้มาถ่วงรั้งให้งานล่าช้าได้ เขาไม่ใช่ผู้บำเพ็ญเพียรจึงไม่เหมาะสม”
“อย่างนี้นี่เอง เช่นนั้นก็น่าเสียดายจริงๆ” หนิวโหย่วเต้าส่ายหน้าพลางถอนหายใจ มั่นใจแล้วว่าคนผู้นี้เป็นผู้บำเพ็ญเพียรจริงๆ
ปู้สวินไม่ได้มีเวลาว่างพอมาคุยเรื่อยเปื่อยกับเขา จึงเข้าประเด็นทันที ถามไปว่า “ไม่ทราบว่าครั้งนี้ยงผิงจวิ้นอ๋องส่งเจ้ามาด้วยธุระใด?”
หนิวโหย่วเต้าก็หยุดพูดไร้สาระแล้วเช่นกัน ตอบกลับไปว่า “ขอเรียนท่านผู้ดูแลหลวงตามตรง ข้ามาเพื่อม้าศึก ”
เขารู้แก่ใจดี สำหรับคนประเภทนี้ไม่จำเป็นต้องพูดจาไร้สาระในเรื่องเช่นนี้เลย ปิดบังอีกฝ่ายไม่ได้อยู่แล้ว อีกฝ่ายเอ่ยออกมาแล้วว่าซางเฉาจงส่งเขามา ไหนเลยจะไม่ทราบว่าเขามาทำอะไร
ปู้สวินไม่พูดมากอีก ล้วงป้ายคำสั่งชิ้นหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อ โยนไปให้หนิวโหย่วเต้า
ป้ายคำสั่งอีกแล้วหรือ? หนิวโหย่วเต้ารับไว้พลางผงะไปเล็กน้อย เขาพลิกป้ายดู ป้ายคำสั่งชิ้นนี้เห็นได้ชัดว่าไม่งามสง่าเท่าป้ายคำสั่งลายมังกรก่อนหน้านั้น ด้านหนึ่งสลักลวดลายอาชาไว้ ส่วนอีกด้านสลักอักษรคำว่า ‘ซือ’
เขาไม่เข้าใจ ค่อนข้างกระวนกระวายขึ้นมา คนผู้นี้คงไม่ได้คิดจะบังคับให้เขาเข้าวังไปเป็นขันทีจริงๆ กระมัง? เขาลองถามหยั่งเชิงดู “ท่านผู้ดูแลหลวง นี่หมายความอย่างไรหรือ?”
ปู้สวินเอ่ยว่า “หากมีป้ายคำสั่งนี้จะสามารถขนส่งม้าศึกหนึ่งหมื่นตัวผ่านทุกด่านในแคว้นฉีได้ตลอดเวลา ซางเฉาจงครอบครองพื้นที่สองจังหวัด ม้าศึกหนึ่งหมื่นตัวคาดว่าคงเพียงพอแล้ว หลังออกจากแคว้นฉีไป ทางเจ้าจะขนม้ากลับไปอย่างไร นั่นก็เป็นเรื่องของเจ้าแล้ว”
หนิวโหย่วเต้าฉงนคลางแคลง ไม่เข้าใจเลยสักนิด “ท่านผู้ดูแลหลวงมอบป้ายคำสั่งนี้ให้ข้ามีเงื่อนไขอันใดอยู่หรือไม่?”
ปู้สวินกล่าวว่า “ไม่มีเงื่อนไขอันใดทั้งสิ้น อีกทั้งมิใช่ข้าที่เป็นคนมอบให้เจ้า แต่เป็นฝ่าบาทที่ทรงประทานให้เจ้า”
“ฝ่าบาททรงประทานให้ข้าอย่างนั้นหรือ?” หนิวโหย่วเต้าแปลกใจอย่างมาก ในมุมมองของเขา เฮ่าอวิ๋นถูไม่สังหารเขาก็นับว่าบุญมากแล้ว นี่ยังจะมอบม้าศึกให้เขาอีกอย่างนั้นหรือ?
จู่ๆ ปู้สวินปรับเปลี่ยนน้ำเสียงให้จริงจังขึ้น เอ่ยอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า “รู้เหตุผลมีหลักการ ดำเนินการไปทีละขั้น ไม่ยืดเยื้อเยิ่นเย้อ ยืดได้หดได้ เป็นยอดชายชาตรี ลูกผู้ชายตัวจริง! คนผู้นี้อายุยังน้อยก็มีวิสัยทัศน์ถึงเพียงนี้ อีกทั้งมีความสามารถขนาดนี้อีก หากฝ่าฟันผ่านพ้นปัญหาหนักหน่วงไปได้ วันหน้าต้องกลายเป็นยอดคนแน่! ข้าเห็นแววในตัวเขา เขาต้องการม้าศึกมิใช่หรือ? เช่นนั้นข้าก็จะให้เขา!”
เขาเอ่ยทวนคำพูดของเฮ่าอวิ๋นถูอีกครั้ง แต่มีการตัดทอนเล็กน้อย จากคำว่า ‘อยากแสดงไมตรี’ ก็เปลี่ยนเป็น ‘เห็นแวว’ เขาไม่อยากให้คำพูดของเฮ่าอวิ๋นถูดูไม่น่าฟังสำหรับคนนอก
หนิวโหย่วเต้าฟังแล้วตะลึงงัน คนที่สามารถแทนตัวว่า ‘ข้า[1]’ ได้ยังเป็นใครไปได้อีก? เขาถามด้วยความสงสัย “นี่คือคำพูดของฝ่าบาทหรือ?”
ปู้สวินเปลี่ยนกลับไปใช้น้ำเสียงในแบบของตนแล้ว พยักหน้าตอบว่า “เป็นวาจาของฝ่าบาท! หลังจากทรงทราบว่าเจ้าเอาชนะคุนหลินซู่ได้ มุมมองที่ฝ่าบาทมีต่อเจ้าก็เปลี่ยนแปลงไปมาก ทรงชื่นชมเจ้านัก ป้ายคำสั่งนี้เป็นรางวัลเล็กๆ น้อยๆ จากฝ่าบาท”
หนิวโหย่วเต้าเองก็ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายพูดจริงหรือหลอก เขาพลิกป้ายคำสั่งในมือดู รู้สึกขบขันนัก หากว่าเป็นความจริง เขาใช้ชีวิตมาแล้วสองชาติ แต่เพิ่งเคยได้รับความโปรดปรานจากคนระดับฮ่องเต้เป็นครั้งแรก
คิดว่าไม่น่าจะใช่เรื่องเท็จ ไม่มีความจำเป็นต้องนำเรื่องเช่นนี้มาหลอกลวงเขาเลย
พอเห็นว่าเขาไม่พูดไม่จา ปู้สวินจึงเอ่ยว่า “ฝ่าบาทมีราชกิจรัดตัว ตามปกติแล้วสนใจคนนอกน้อยมาก ดังนั้นในใต้หล้านี้ คนที่มีโอกาสได้รับความสนใจจากฝ่าบาทจึงมีอยู่ไม่มาก เจ้าคงจะไม่ปฏิเสธกระมัง?”
หนิวโหย่วเต้าตอบว่า “ข้าไม่มีเหตุผลที่จะต้องปฏิเสธพระเมตตาของฝ่าบาทเลย”
“ดี! วันนี้นับว่าพวกเราได้รู้จักกันแล้ว วันหน้าหากมีเรื่องใดที่อยากพบข้า ให้เจ้าไปที่วังหลวงแล้วบอกทหารองครักษ์ให้มาแจ้งเรื่องแทนเจ้าโดยตรงได้เลย ข้ามีภาระงานรัดตัว ไม่รบกวนต่อแล้ว” ปู้สวินกล่าวจบก็ลุกขึ้น หนิวโหย่วเต้าก็ลุกเดินออกไปส่งทันที
แต่เดินไปได้ไม่กี่ก้าว จู่ๆ ปู้สวินก็ชี้ป้ายคำสั่งที่อยู่ในมือเขาพลางกระดิกมือเล็กน้อย
แม้จะไม่เข้าใจว่าเพราะอะไร แต่หนิวโหย่วเต้าก็ยังยื่นส่งคืนให้เขา ยิ้มเจื่อนพลางเอ่ยถามว่า “มิใช่ว่าจะมอบให้ข้าหรอกหรือ?”
ปู้สวินเอ่ยว่า “เดี๋ยวจะมีคนนำป้ายคำสั่งนี้กลับมาส่งให้เจ้าอีกครั้ง เจ้าเป็นชาวแคว้นเยี่ยน ในเมืองหลวงแห่งนี้ยังมีชาวแคว้นเยี่ยนอยู่อีกคน จากถิ่นฐานบ้านเกิดมาหลายปีไม่เคยได้หวนกลับไปเลย คะนึงถึงถิ่นเกิดมาโดยตลอด พอได้ยินว่ามีคนบ้านเดียวกันมาเยือนก็อยากจะทำความรู้จักเจ้าสักหน่อยเจ้าลองพบหน่อยแล้วกัน”
ชาวแคว้นเยี่ยนที่อยู่ในเมืองหลวงแคว้นฉีแห่งนี้คาดว่าคงมีอยู่ไม่น้อย แต่คนที่ทำให้ท่านผู้นี้เอ่ยถึงได้ต้องไม่ใช่คนธรรมดาแน่นอน หนิวโหย่วเต้าย่อมอดถามไม่ได้เป็นธรรมดา “ผู้ใดหรือ?”
ปู้สวินโบกป้ายคำสั่งในมือเล็กน้อย เอ่ยว่า “เดี๋ยวช่วงหัวค่ำจะมีคนนำป้ายคำสั่งนี้มาขอเข้าพบ เมื่อถึงเวลานั้นเจ้าย่อมทราบเองว่าเป็นผู้ใด ส่วนทางสำนักเพลิงนภาเจ้าไม่จำเป็นต้องกังวล ด้านนอกมีศิษย์ของสำนักเพลิงนภาอยู่ อีกไม่นานสำนักเพลิงนภาคงทราบเรื่องที่ข้ามาเยือนที่นี่ เมื่อรู้ว่าข้ามาพบเจ้า สำนักเพลิงนภาคงไว้หน้าข้าอยู่บ้าง ไม่มีทางแตะต้องเจ้าง่ายๆ อีก”
“ขอบพระคุณผู้ดูแลหลวงที่ช่วยเหลือ”
“ยังมีพี่ชายร่วมสาบานที่อยู่ด้านนอกคนนั้นอีก พฤติกรรมดูผิดแปลก มิใช่วิสัยของผู้บำเพ็ญเพียรทั่วไป หากมิใช่สายลับก็คงเป็นโจรถ่อย อาจจะไม่ได้เป็นพวกเดียวกับเจ้า เจ้าต้องระวังตัวไว้ให้มาก”
การเอ่ยเตือนก่อนจากไปนับเป็นการแสดงไมตรีต่อหนิวโหย่วเต้าอีกทางหนึ่ง
หนิวโหย่วเต้าลอบทอดถอนใจ เรื่องราวที่คนมากมายในโลกผู้บำเพ็ญเพียรไม่ทราบต้นสายปลายเหตุ แต่คนใหญ่คนโตในวังหลวงอย่างท่านผู้นี้กลับรู้ชัดแจ่มแจ้ง นี่จะเรียกว่าคนนอกมักจะมองเห็นได้ชัดเจนกว่าคนในหรือเปล่า ผู้บำเพ็ญเพียรส่วนใหญ่ทะนงตนว่าสูงส่ง ไม่เห็นคนธรรมดาอยู่ในสายตา ไม่ทราบเช่นกันว่าสรุปแล้วเป็นผู้ใดกันแน่ที่เลอะเลือน
แต่ภายนอกเขากลับแสดงท่าทีไม่เชื่อในวาจานี้
เมื่อเห็นเขาเป็นเช่นนี้ ปู้สวินจึงไม่พูดอะไรมากความอีก ลดมือลง แขนเสื้อคลุมป้ายคำสั่งในมือ เดินออกจากประตูไป
ทั้งคู่เดินเคียงกันไปตลอดทาง เดินมาส่งคนเขาที่ประตูใหญ่ด้วยตัวเอง
ก่อนจะขึ้นรถม้าไป ปู้สวินชะงักเท้าหันกลับมา มองเขาอย่างลุ่มลึกคราหนึ่ง “เจ้ายังวิ่งกลับมาเมืองหลวงได้ นี่ค่อนข้างเหนือความคาดหมายของข้า ช่างเป็นคนใจกล้าจริงๆ!”
กล่าวจบก็ไม่ได้ให้หนิวโหย่วเต้าอธิบายอะไร หันหลังก้าวขึ้นรถม้า มุดเข้าไปในห้องโดยสารแล้วชักม่านปิดบังร่างไว้
เผยซานเหนียงเองก็มองหนิวโหย่วเต้าอย่างลุ่มลึกคราหนึ่ง ในหัวยังมีภาพที่หนิวโหย่วเต้าทำร้ายคุนหลินซู่ปรากฏอยู่ การที่ปู้สวินเดินทางมาหาหนิวโหย่วเต้าด้วยตัวเองนางเองก็มองไม่ออกเช่นกัน
รถม้าเคลื่อนออกไป หนิวโหย่วเต้าและพวกลิ่งหูชิวประสานมือคำนับส่งพร้อมกัน
เมื่อเห็นรถม้าหายลับไปจากปากตรอกแล้ว คนที่คอยเฝ้าระวังอยู่ในตรอกก็สลายตัวไปเช่นกัน พวกเขาจึงกลับเข้าไปในเรือน
พอไม่มีคนนอกอยู่แล้ว ลิ่งหูชิวจึงเอ่ยถามทันที “น้องสาม มีอะไรหรือ?”
“มีอะไรอะไร?” หนิวโหย่วเต้าเดินเอื่อยๆ ไม่เร่งไม่ร้อน
“ปู้สวินไง!” ลิ่งหูชิวถามด้วยสีหน้าเปี่ยมความสงสัย “เขาไม่มีทางถ่อมาหาเจ้าโดยไร้สาเหตุ เขามาหาเจ้าด้วยเรื่องใด?”
หนิวโหย่วเต้าตอบว่า “ก็เรื่องที่พูดไปเมื่อครู่อย่างไรเล่า”
ลิ่งหูชิวถาม “เรื่องที่พูดไปเมื่อครู่หรือ เมื่อครู่พูดเรื่องใด?”
หนิวโหย่วเต้าตอบว่า “ก่อนขึ้นรถม้าไปเขาก็พูดแล้วมิใช่หรือ เขาอยากรู้ว่าเหตุใดข้าถึงกลับมาที่เมืองหลวงอีก จึงมาเพื่อสอบถามข้า”
ลิ่งหูชิวเอ่ยอย่างกระสับกระส่าย “เท่านี้น่ะหรือ? เป็นไปไม่ได้กระมัง! ผู้ดูแลหลวงผู้สูงส่งถ่อมาหาเจ้าด้วยตัวเองเพื่อเรื่องแค่นี้หรือ? เรื่องเล็กน้อยแค่นี้จำเป็นต้องให้เขามาถามด้วยตัวเองหรือ? ให้เผยซานเหนียงมาถามดูก็จบแล้ว”
หนิวโหย่วเต้าก็เอ่ยเฉไฉไปเรื่อยว่า “ข้าก็แปลกใจเหมือนกัน!”
“…..” ลิ่งหูชิวพูดไม่ออก
หนิวโหย่วเต้าไม่ได้กลับไปที่เรือนของเฟิงเอินไท่หลังนั้นอีก หากแต่กลับไปที่เรือนหลัก เดินกลับไปกลับมาอยู่ในลานเรือนพลางใช้ความคิด
เขาล้มเลิกการหลบหนีผ่านเส้นทางอุโมงค์แล้ว ปู้สวินมาหาด้วยตัวเอง วาจาและการกระทำของอีกฝ่ายนั้นมีน้ำหนักพอ ไม่จำเป็นต้องมาหลอกลวงเขาเลย ดูเหมือนเรื่องจะจบลงแล้ว ไม่จำเป็นต้องหนีอีก
แต่การกระทำของฮ่องเต้ผู้นั้นกลับคลุมเครือไม่กระจ่าง ทำให้เขาเดาทางไม่ค่อยออก ทางเขาได้วางแผนโต้ตอบเอาไว้แล้ว เตรียมการว่าหากเห็นท่าไม่ดีจะลงมือตอบโต้ทันที จะก่อความวุ่นวายครั้งใหญ่ขึ้นในเมืองหลวงแห่งนี้ แต่จู่ๆ อีกฝ่ายทำเช่นนี้ ทำให้เขาไม่รู้จะไปลงมือกับใคร เท่ากับแผนการที่แอบเตรียมเอาไว้ต้องสูญเปล่า เขาไม่รู้ว่าเป็นที่เขาหลบหายนะได้พ้น หรือว่าฮ่องเต้เลี่ยงความโกลาหลได้พ้นกันแน่
สรุปคือพออยู่ต่อหน้าฮ่องเต้ผู้นั้นแล้ว เขารู้สึกตกเป็นรองในทุกๆ ด้าน
“นายท่าน ปู้สวินมาหาเขาต้องมีเรื่องราวแน่ แต่เขาไม่ยอมพูดความจริง นี่จะต้องปิดบังอะไรพวกเราอยู่แน่นอนเจ้าค่ะ”
ภายในศาลา หงฝูมองหนิวโหย่วเต้าที่เดินกลับไปกลับมาอย่างว้าวุ่นอยู่ในลานเรือนพลางกระซิบกระซาบบอกลิ่งหูชิว
ลิ่งหูชิวเองก็มองออกเช่นกัน แต่อีกฝ่ายไม่ยอมพูด แล้วเขาจะทำอย่างไรได้? ใครบ้างที่ไม่มีความลับส่วนตัว เขาเองก็มีเรื่องปิดบังหนิวโหย่วเต้าเช่นกัน เขาพูดได้หรือ?
ม่านรัตติกาลคลี่กาง ภายในเมืองหลวงกระจัดกระจายไปด้วยแสงโคม
หนิวโหย่วเต้าที่ยืนอยู่บนหอสูงจมจ่อมอยู่ในห้วงรัตติกาล เหม่อมองความรุ่งเรืองในตัวเมืองที่อยู่ห่างออกไป มาถึงเมืองหลวงแคว้นฉีหลายวันแล้ว แต่ยังไม่เคยได้ชมดูเมืองหลวงแห่งนี้ให้ดีเลย
เขาอยากเห็น แต่กลับมีเรื่องติดพัน ทำให้ไม่สามารถปลีกตัวไปได้ มาเยือนแคว้นฉีครั้งนี้เขาเสี่ยงอันตรายทุกฝีก้าว ไม่ปล่อยให้เขาได้ปล่อยตัวผ่อนคลายเลย
ลิ่งหูชิวที่นั่งพิงราวกั้นด้านข้างให้ความรู้สึกคล้ายเงาที่ตามตัวไม่ห่าง เขายื่นนิ้วไปหยอกล้อผีเสื้อจันทราให้บินร่อนตามเป็นระยะๆ คอยสังเกตปฏิกิริยาท่าทีของหนิวโหย่วเต้าเป็นครั้งคราว
หงซิ่วที่เดินเข้ามาอย่างเร่งรีบทะยานกายขึ้นมาบนหอสูง ส่งสายตาให้ลิ่งหูชิวอย่างรวดเร็ว จากนั้นประคองป้ายคำสั่งส่งให้หนิวโหย่วเต้าด้วยสองมือ “เต้าเหยี่ย ด้านนอกมีคนมาขอเข้าพบเจ้าค่ะ บอกว่าพอท่านเห็นสิ่งนี้ก็จะเข้าใจเอง อีกอย่างคือเผยซานเหนียงก็มาด้วย คนบางส่วนที่ติดตามมาก็เป็นพวกเดียวกับที่ติดตามปู้สวินมาเมื่อตอนกลางวันเจ้าค่ะ”
เผยซานเหนียงมาอีกแล้วหรือ? ดวงตาลิ่งหูชิวพลันวูบไหวเล็กน้อย ยื่นมือไปคว้าป้ายคำสั่งมาก่อน พลิกดูเล็กน้อย มิใช่ป้ายคำสั่งอันเดียวกันกับของปู้สวิน เขาบ่นพึมพำอยู่ในใจ ป้ายคำสั่งอีกแล้ว!
หนิวโหย่วเต้ายื่นมือไปหยิบป้ายคำสั่งมาดูเล็กน้อย เป็นป้ายคำสั่งที่ปู้สวินทวงกลับไปแล้วเอ่ยสั่งการไว้ในตอนกลางวันชิ้นนั้น
เขากุมป้ายไว้ในมือพลางเอ่ยสั่งด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “เชิญเข้ามา!”
หงซิ่วจากไป หนิวโหย่วเต้ายกมือไพล่หลังหันกลับไป ลงจากหอสูงอย่างไม่เร่งร้อน
เขาก็อยากเห็นว่าจะเป็นชาวแคว้นเยี่ยนคนใดที่ต้องการพบเขา
ผ่านไปสักพัก คนกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามา มีเผยซานเหนียงรวมอยู่ด้วย คนผู้หนึ่งที่อยู่ใต้เสื้อคลุมที่มีหมวกเดินเข้ามา มองจากลักษณะการแต่งกายและรูปร่างแล้วน่าจะเป็นสตรี
นี่ยิ่งทำให้หนิวโหย่วเต้าสงสัยมากกว่าเดิม ทว่าศีรษะของอีกฝ่ายมีหมวกคลุมไว้ ซ้ำยังก้มหน้าเดินเข้ามา จึงมองเห็นเพียงส่วนที่ต่ำกว่าจมูกลงมา เห็นใบหน้าไม่ชัด
กฎระเบียบยังคงเป็นเช่นเดียวกับเมื่อช่วงกลางวัน พวกลิ่งหูชิวถูกกันออกไปอีกครั้ง เหลือเพียงหนิวโหย่วเต้าและสตรีในชุดเสื้อคลุมนางนั้น
“เชิญ!” หนิวโหย่วเต้าผายมือเชิญสตรีลึกลับนางนี้
อีกฝ่ายเดินตามมาอย่างสงบเสงี่ยมเงียบเชียบ เข้าไปในโถงหลักพร้อมกับหนิวโหย่วเต้า
………………………………………………………………..
[1]ข้า ในต้นฉบับภาษาจีนจะใช้คำว่า 寡人 ซึ่งเป็นสรรพนามที่ผู้ปกครองแคว้นในสมัยโบราณใช้เรียกแทนตัวเอง