ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า - ตอนที่ 320 หงเหนียง
ตอนที่ 320 หงเหนียง
ในน้ำเสียงเปี่ยมด้วยอารมณ์ซับซ้อนที่ยากจะอธิบายได้
เว่ยฉูเอ่ยด้วยสีหน้าลำบากใจ “ท่านอ๋อง เรื่องนี้เกรงว่าจะจัดการได้ยากพ่ะย่ะค่ะ ทางฝั่งอวี้อ๋องไม่มีทางปล่อยให้ข่าวหลุดรอดออกมาแน่ ส่วนทางปู้สวินพวกเราก็ไม่กล้าไปสอบถามเช่นกัน หากถามไปเกรงว่าจะทำให้ปู้สวินเข้าใจผิดว่าพระองค์แอบสอดส่องเขาอยู่ ไม่เป็นผลดีต่อท่านอ๋องเลยพ่ะย่ะค่ะ ด้านคนที่ติดตามไปกับพวกเขาก็เป็นคนจากสามสำนัก คนของสามสำนักยึดหลักการใดพระองค์ก็ทราบดี พวกเราไม่ควรไปถามเช่นกันพ่ะย่ะค่ะ”
เฮ่าฉี่เอ่ยเสียงทุ้ม “เช่นนั้นก็ไปหาอีกคนหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ไปถามหนิวโหย่วเต้าคนนั้น”
เว่ยฉูกล่าวว่า “พวกเราไม่ทราบสถานการณ์แน่ชัด จู่ๆ ไปสอบถามเลยจะเหมาะสมหรือพ่ะย่ะค่ะ? หากเขาแจ้งไปยังปู้สวินจะทำอย่างไรพ่ะย่ะค่ะ?”
เฮ่าฉี่เงยหน้ามองมาเล็กน้อย “แม้แต่เรื่องเล็กๆ แค่นี้ยังจัดการไม่ได้ แล้วข้าจะเก็บพวกเจ้าไว้ทำไม? ถ้าไม่มีพวกเจ้า คิดว่าสำนักมหาบรรพต สำนักศาสตราลึกล้ำและสำนักเพลิงนภาจะปกป้องความปลอดภัยของข้าไม่ได้หรือ? ไปคิดหาทางเอาเอง!”
เว่ยฉูถูกพูดใส่เช่นนี้ก็มีสีหน้ากระอักกระอ่วน ทว่ายังรับคำสั่งแต่โดยดี “พ่ะย่ะค่ะ! ท่านอ๋องทรงพักผ่อนก่อนเถอะพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะไปจัดการเดี๋ยวนี้”
เขาประสานมือคำนับลา ขณะที่หันหลังเดินไปถึงประตูแล้ว พลันมีเสียงทุ้มต่ำของเฮ่าฉี่แว่วมาจากด้านหลังอีกครั้ง “ในกรณีที่จำเป็น ให้ถามหนิวโหย่วเต้าว่าคิดจะเป็นศัตรูกับข้าอย่างนั้นหรือ?”
…..
รุ่งเช้า ทั่วเมืองหลวงค่อยๆ ตื่นขึ้นมา
ควันไฟลอยโขมงไปทั่ว แม่บ้านของแต่ละครัวเรือนต่างทำงานยุ่งง่วน พ่อค้าแม่ขายชนชั้นแรงงานทยอยปรากฏตัวขึ้นบนท้องถนน วันใหม่เริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง
ลิ่งหูชิวเดินอาดๆ มุ่งหน้าไปทางห้องของหนิวโหย่วเต้า อยากไปถามว่าวันนี้เขาวางแผนจะทำอะไรบ้าง
หงฝูเดินเข้ามาอย่างเร่งร้อน ขวางเขาเอาไว้ “นายท่าน หงเหนียงมาเยือน ต้องการพบท่านเจ้าค่ะ”
“หงเหนียงหรือ?” ลิ่งหูชิวผงะไปเล็กน้อย
หงเหนียงก็นับเป็นคนมีชื่อเสียงคนหนึ่งในแวดวงผู้บำเพ็ญเพียรของเมืองหลวงแคว้นฉีแห่งนี้ หงเหนียงเป็นชื่อที่คนนอกเรียกกัน นามที่แท้จริงคือก่วนฟางอี๋ สถานะไม่ต่างไปจากลิ่งหูชิวเลย เป็นนายหน้าคนหนึ่งเช่นกัน
เนื่องจากสันทัดการแนะนำจับคู่ จึงถูกคนอื่นเรียกว่าหงเหนียง[1]
แม้จะเป็นนายหน้าเหมือนกัน แต่ก็มีจุดที่แตกต่างกับลิ่งหูชิวเล็กน้อย ลิ่งหูชิวออกท่องไปทั่วหล้า ทว่านางกลับยึดเอาเมืองหลวงแคว้นฉีเป็นถิ่นฐาน อาศัยอยู่ที่นี่มานาหลายปี เชี่ยวชาญการเจรจาผูกไมตรี ไม่ว่าจะเป็นคนของกลุ่มอิทธิพลใดในเมืองหลวงล้วนรู้จักทั้งสิ้น
ที่นี่คือเมืองหลวงของโลกคนธรรมดา ย่อมมีกฎระเบียบในแบบของคนธรรมดา ไม่สามารถค้าขายทรัพยากรบำเพ็ญเพียรอย่างเปิดเผยได้เหมือนที่เมืองไจซิง หากปล่อยให้ทำเช่นนั้นจริงๆ เกรงว่าคงจะวุ่นวายกันไปหมด ส่วนผู้บำเพ็ญเพียรที่เดินทางมายังที่นี่ก็พกพาทรัพยากรบำเพ็ญเพียรปริมาณมากติดตัวมาไม่ได้ หากถึงเวลาที่ต้องการใช้ขึ้นมาก็มาหานางได้ หรือถ้าหากมีข้าวของใดที่อยากจะปล่อยขายก็มาหานางได้เช่นกัน
นางมักจะช่วยหาผู้ซื้อที่ต้องการของให้ลูกค้าได้เสมอ แล้วก็ช่วยหาผู้ขายที่ลูกค้าต้องการให้ได้เสมอเช่นกัน ส่วนตัวนางที่เป็นนายหน้าช่วยแนะนำก็จะได้ส่วนแบ่งจากการค้าขาย
นางอยู่ในเมืองหลวงมาหลายปี มีความน่าเชื่อถือมากพอให้นางได้ใช้ชีวิตอยู่ในเมืองหลวงแห่งนี้อย่างสุขสำราญ
กิจการในแบบที่นางทำอยู่นี้ หาใช่กิจการที่ผู้ใดนึกจะทำก็ทำได้ เส้นสายความสัมพันธ์และความน่าเชื่อถือที่นางสะสมมานานหลายปีคือหัวใจสำคัญ จึงแทบไม่มีผู้ใดมาแทนที่นางได้ แทบจะกินรวบค่านายหน้าจากผู้บำเพ็ญเพียรทั้งหมดที่เดินทางเข้าออกเมืองหลวงแคว้นฉี แล้วชีวิตจะไม่สุขสำราญได้อย่างไร?
ลิ่งหูชิวก็เคยมาพักอยู่ทางนี้เช่นกัน ได้ชื่อว่าเป็นนายหน้าชื่อดัง ซ้ำยังเป็นคนในสายอาชีพเดียวกัน แล้วจะไม่รู้จักก่วนฟางอี๋ได้อย่างไร
“เจ้าแน่ใจหรือว่านางมาพบข้า?” ลิ่งหูชิวพยักเพยิดหน้าไปทางประตูห้องของหนิวโหย่วเต้าที่ปิดสนิทอยู่ “ไม่ได้มาหาเขาหรอกหรือ?”
เนื่องจากหลายวันมานี้แขกที่มาเยือนล้วนมาหาหนิวโหย่วเต้าทั้งสิ้น แทบจะไม่เกี่ยวอะไรกับเขาเลย รู้สึกเหมือนสองนายบ่าวเป็นเพียงผู้ติดตามรับใช้หนิวโหย่วเต้าเท่านั้น
หงฝูเอ่ยอย่างเย็นชาว่า “มาเพื่อพบนายท่านเจ้าค่ะ นางระบุว่าต้องการพบนายท่าน”
นางมักจะมีท่าทางเย็นชาเช่นนี้เสมอ แตกต่างกับพี่สาวของนางที่มีสีหน้ายิ้มแย้มอยู่เสมอ
“สตรีคนนี้มาหาข้าทำไม? หรือว่ามีของอยากขายให้ข้า? ตอนนี้ข้าก็ไม่มีอะไรอยากจะซื้อนี่นา?” ลิ่งหูชิวส่ายหน้า สีหน้าเปี่ยมไปด้วยความไม่เข้าใจ แต่ถึงกระนั้นก็ยังหันหลังเดินออกไป ก่วนฟางอี๋เองก็นับว่าเป็นเจ้าถิ่นของทางนี้ ในเมื่อนางมาหาถึงที่แล้ว เขาก็จำเป็นต้องไว้หน้ากันบ้าง
รถม้าคันหนึ่งจอดนิ่งอยู่นอกประตูใหญ่ นายบ่าวเดินผ่านประตูออกมา หงฝูพยักเพยิดหน้าไปทางรถม้าเล็กน้อย สื่อว่านางอยู่ในรถม้า
ม่านหน้าต่างรถม้าแหวกเปิดออก หญิงงามวัยกลางคนที่งามเย้ายวนแบบกระดังงาลนไฟเผยหน้าออกมา คลี่ยิ้มสดใสปานบุปผาแล้วกวักมือเรียกลิ่งหูชิว สื่อว่าให้ลิ่งหูชิวขึ้นรถม้ามา ท่าทางเป็นมิตรสนิทสนม ทำให้คนเห็นแล้วรู้สึกอยากเข้าใกล้
ลิ่งหูชิวท่องโลกมานานหลายปี ไหนเลยจะถูกลักษณะภายนอกของสตรีนางนี้หลอกเอาได้ เขาตื่นตัวอยู่ในใจเล็กน้อย เดินไปที่ด้านหน้ารถม้า ยื่นมือไปเลิกเปิดม่านรถม้าพลางมองเข้าไปด้านใน เห็นว่ามีเพียงก่วนฟางอี๋ในชุดงามหรูหราคนเดียว ไม่เห็นคนอื่น จึงโล่งใจขึ้นมาเล็กน้อย
แต่เขากลับไม่ได้ขึ้นไปบนรถม้า หากแต่ปล่อยม่านลงแล้วเดินไปที่ข้างหน้าต่างรถม้าอีกครั้ง ยื่นมือไปแหวกเปิดม่านหน้าต่าง เอ่ยถามคนด้านใน “มีธุระใด?”
เพียะ! ก่วนฟางอี๋ยื่นมือออกมาฟาดลงบนมือของเขาอย่างมีจริตจะก้าน “ขึ้นรถแล้วค่อยคุยกันเถอะ กลัวข้าจะจับเจ้ากินหรือไง?”
ลิ่งหูชิวเอ่ยว่า “ข้ายังมีธุระต่อ ไม่มีเวลามาหยอกเอินกับเจ้า มีธุระอะไรก็ว่ามาก่อน”
ก่วนฟางอี๋จึงกล่าวว่า “มีคนอยากพบเจ้า”
ลิ่งหูชิวถามด้วยความฉงน “ผู้ใด?”
ก่วนฟางอี๋ตอบว่า “ไม่สะดวกจะเปิดเผยที่นี่ เอาไว้ไปพบแล้วเจ้าย่อมรู้เอง ข้าอุตส่าห์ถ่อมารับเจ้าด้วยตัวเองเชียวนะ หรือเจ้าจะไม่ไว้หน้าข้าสักนิดเลย?
ลิ่งหูชิวขมวดคิ้วเอ่ยไปว่า “ใช่ว่าข้าจะไม่ไว้หน้าเจ้า แต่ถ้าเขาอยากพบก็มาหาข้าเลยสิ คิดว่าคงรู้กันไปทั่วแล้วว่าข้าอยู่ที่นี่ หาตัวได้ยากเสียที่ไหน? จำเป็นต้องอ้อมค้อมติดต่อผ่านทางเจ้าด้วยหรือ?”
ก่วนฟางอี๋เอ่ยว่า “เจ้าโง่หรือเปล่า คนเขาไม่สะดวกมาพบซึ่งๆ หน้า ย่อมมีเหตุผลที่ไม่สะดวกอยู่ ขึ้นรถม้าเถอะ ข้าจะทำร้ายเจ้าให้เสียชื่อเสียงตัวเองไปไย?”
ลิ่งหูชิวคิดๆ ดูพบว่าจริงดั่งว่า อยากรู้เช่นกันว่าสรุปแล้วเป็นผู้ใดกันแน่ที่ต้องการพบตนอย่างลับๆ แต่เขาก็ยังต้องเหลือทางรอดเอาไว้ให้ตัวเองบ้าง จึงหันไปส่งสัญญาณให้หงฝูไปแจ้งให้หงซิ่วรู้ ป้องกันไว้เผื่อเกิดเหตุขึ้นกับตนแล้วทางนี้ไม่ทราบด้วยซ้ำว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับตน
เมื่อเห็นเช่นนั้น ก่วนฟางอี๋ก็ไม่ได้เร่งเร้าแต่อย่างใด พอจะเข้าใจได้เช่นกัน นางเอนตัวพิงกรอบหน้าต่างแล้วเริ่มคุยสัพเพเหระกับลิ่งหูชิว “ลิ่งหู เจ้าไม่ได้มาเยือนเมืองหลวงแคว้นฉีหลายปีแล้วกระมัง?”
ลิ่งหูชิวที่คอยมองสำรวจไปทั่วตรอกอยู่ตลอดเวลาหัวเราะเฮอะๆ พลางกล่าวว่า “ข้าจะมาหรือไม่มาแล้วเกี่ยวอันใดกับเจ้าด้วย ถึงอย่างไรก็ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อกิจการของเจ้าเสียหน่อย”
ก่วนฟางอี๋เอ่ยว่า “เจ้าน่ะชอบรับงานใหญ่ สามปีไม่รับงาน แต่พอรับงานก็มีกินมีใช้ไปสามปี ไหนเลยจะมาต้องตากิจการเล็กๆ ของข้าได้”
“ยกย่องเกินไปแล้ว” ลิ่งหูชิวเอ่ยเยาะหยันตัวเองเล็กน้อย
ในเวลานี้เอง หงฝูกลับออกมา พยักหน้าให้เล็กน้อย สื่อว่าเรียบร้อยแล้ว
สองนายบ่าวถึงได้ขึ้นรถม้า โดยสารรถม้าออกเดินทาง
ภายในรถม้าโยกโคลงเคลง ก่วนฟางอี๋เหลือบมองหงฝูคราหนึ่ง ดวงตากลมโตกะพริบปริบๆ เอ่ยด้วยร้อยยิ้ม “แม่นางหงฝูงดงามขึ้นเรื่อยๆ เลยนะ มีคู่แฝดโฉมงามให้โอบซ้ายประคองขวา นับว่าลิ่งหูช่างรู้จักเสพสุขจริงๆ”
สีหน้าหงฝูเรียบเฉย หาได้แยแสไม่
ลิ่งหูชิวกล่าวติ “ปากเจ้าไม่มีหูรูดเอาเสียเลย ข้าว่าตอนนี้เจ้าคงอยากเสพสุขกับบุรุษมากกว่ากระมัง?”
ก่วนฟางอี๋ยกแขนเสื้อปิดปาก หัวเราะคิกๆ เอ่ยไปว่า “บุรุษน่ะถือเป็นของดีสำหรับสตรีอยู่แล้ว หากบอกว่าไม่คิดเลยก็คงโกหกแล้ว แต่ชื่อเสียงของข้าก็ฉาวโฉ่มานานแล้ว ไม่คาดหวังว่าจะมีบุรุษดีๆ ตกมาถึงข้าหรอก แต่ข้าก็คิดตกแล้วเช่นกัน หากมีเงินยังต้องกลัวจะไม่มีบุรุษอีกหรือ? ขอเพียงข้าพอใจ จะเปลี่ยนบุรุษวันละคนก็ย่อมได้ ทั้งยังต้องคอยเอาใจข้าเสียด้วยซ้ำ”
ลิ่งหูชิวฟังแล้วส่ายหน้าทันที “ดูเจ้าสิ วางแผนจะใช้ชีวิตในเมืองหลวงของคนธรรมดาเช่นนี้ไปชั่วชีวิตเลยหรือ?”
ก่วนฟางอี๋เอ่ยว่า “มีอะไรเสียหายกันเล่า? ข้าชอบโลกที่มีสีสันเช่นนี้ แล้วก็ชอบความคึกคักรุ่งเรืองเช่นนี้ ชอบที่ได้แต่งเนื้อแต่งตัวอวดโฉมให้คนอื่นชื่นชม ข้าเป็นสตรีให้ไปบำเพ็ญเพียรเร้นกายอยู่ในหุบเขาจะมีความหมายอะไร? ต่อให้แต่งตัวงดงามเพียงใดแล้วจะมีใครมามอง จะมีใครมาชื่นชมหรือ? ในอดีตก็เป็นเพราะชอบความรุ่งเรืองของที่นี่ถึงได้ลงหลักปักฐานอยู่ที่นี่ หากได้อยู่เช่นนี้ไปชั่วชีวิตข้าก็พอใจแล้ว”
ลิ่งหูชิวใคร่ครวญตามเงียบๆ จากนั้นพยักหน้านิดๆ “แนวคิดนี้ของเจ้าไม่เลวเลย หวังว่าเจ้าจะได้ใช้ชีวิตเช่นนี้ไปชั่วชีวิต เพียงแต่โลกหล้านี้เต็มไปด้วยปัญหาวุ่นวาย แต่เจ้าก็ยังเอาตัวเข้าไปคลุกคลีอีก หวังว่าเจ้าจะไม่ก้าวไปอยู่ในจุดที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้นะ”
“ปากเสียนัก เห็นข้าอยู่สุขสบายไม่ได้หรือไง?” ก่วนฟางอี๋กระฟัดกระเฟียดใส่ กลอกตาใส่เขาทีหนึ่ง จากนั้นเอ่ยถามว่า “ลิ่งหู ข้าอยากรู้ว่าเหตุใดเจ้าถึงไปคลุกคลีกับหนิวโหย่วเต้าคนนั้นได้ ได้ยินว่าเจ้ากลายเป็นพี่น้องร่วมสาบานกับเขา ยอมเสี่ยงเภทภัยมาอยู่ที่นี่ด้วย เจ้าคิดจะทำอะไรกันแน่?”
หงฝูเหลือบมองลิ่งหูชิวทีหนึ่ง
ลิ่งหูชิวโอดครวญอยู่ในใจ มีความทุกข์ทว่าบอกเล่าไม่ได้ เขาจึงเปลี่ยนหัวข้อสนทนาไปเสีย “มาเที่ยวนี้เจ้าได้เงินเท่าไร? ข้าให้ความร่วมมือขนาดนี้ เจ้าสมควรแบ่งให้ข้าสักครึ่งหนึ่งหรือเปล่า?”
ก่วนฟางอี๋เอ่ยตอบ “ก็ได้ไม่เท่าไรหรอก แค่ร้อยเหรียญทองเท่านั้น ถ้าเจ้าคิดเล็กคิดน้อยขนาดนี้ เดี๋ยวแบ่งให้เจ้าครึ่งหนึ่งแล้วกัน”
ลิ่งหูชิวเอ่ยไปว่า “เจ้าอย่ามาเล่นไม้นี้เลย ทำให้เจ้ายอมถ่อไปรับข้าด้วยตัวเองได้ หากได้น้อยกว่าพันเหรียญทองข้ายอมตัดหัวทิ้งเลย”
ก่วนฟางอี๋ชกไหล่เขาทีหนึ่งอย่างกระเง้ากระงอด “เลิกบ่นได้แล้ว รายได้เล็กๆ น้อยๆ ของข้าเจ้ายังไม่ยอมปล่อยผ่านอีกหรือ….”
ทั้งสองคุยเล่นหยอกล้อกันไปจนมาถึงด้าน นอกสวนที่เงียบสงบแห่งหนึ่ง
ไม่มีประตูเรือน เป็นเพียงสวนที่เงียบสงัดแห่งหนึ่งเท่านั้น บนประตูทางเข้าสวนมีอักษรเขียนไว้สามพยางค์ว่า ‘สวนไม้เลื้อย’
หน้าทางเข้ามีชายชราคนหนึ่งกวาดพื้นอยู่ รถม้าเคลื่อนเข้าสู่ด้านใน ภายในสวนอุดมด้วยแมกไม้เขียวขจี ดอกไม้ใบหญ้าปลูกกระจายไว้ทั่ว สะพานสายน้อยพาดเหนือลำธาร บรรยากาศเงียบสงบผ่อนคลาย
รถม้าหยุดนิ่ง ทั้งสามคนลงจากรถม้า ก่วนฟางอี๋เดินส่ายสะโพกอ้อนแอ้นนำทางอยู่ด้านหน้า พาสองนายบ่าวมาถึงด้านนอกห้องเดี่ยวห้องหนึ่งที่ปิดประตูหน้าต่างเอาไว้ ผลักประตูแล้วเดินเข้าไป
ภายในห้องโล่งโปร่ง มีเพียงโต๊ะน้ำชาหนึ่งตัว มีเงาร่างผอมเพรียวร่างหนึ่งนั่งขัดสมาธิหันหลังอยู่บนเบาะกลม จิบชาอยู่เพียงลำพัง เป็นเว่ยฉูผู้ทำงานรับใช้จวนจินอ๋อง
ก่วนฟางอี๋เดินเข้าไปแย้มยิ้มแล้วเอ่ยเรียก “อาจารย์เว่ย เขามาแล้วเจ้าค่ะ”
เว่ยฉูหันกลับมามองเล็กน้อย วาดแขนเป็นวง ชี้ไปยังอีกด้านของโต๊ะน้ำชา สื่อว่าให้ลิ่งหูชิวเข้ามานั่ง
ลิ่งหูชิวไม่รู้จักเขา แต่ก็ค่อยๆ เดินไปที่อีกด้านของโต๊ะน้ำชา เอ่ยถามว่า “ไม่ทราบว่าท่านคือ?”
เว่ยฉูนิ่งเงียบไม่เอ่ยวาจา ยกการินน้ำชาให้เขาโดยไม่ปริปากพูด
รอยยิ้มของก่วนฟางอี๋ที่อยู่ด้านข้างเจือความกระอักกระอ่วน นางเอ่ยแนะนำว่า “อาจารย์เว่ยฉูคือคนของจวนจินอ๋อง”
คนของจวนจินอ๋องหรือ? ลิ่งหูชิวตะลึงไปเล็กน้อย คนของจวนจินอ๋องอยากพบข้าทำไม?
“พวกท่านค่อยๆ คุยกันไปแล้วกัน ข้าไม่รบกวนแล้ว” ก่วนฟางอี๋ค้อมกายให้เล็กน้อยอย่างค่อนข้างใจฝ่อ รีบเดินออกไปพลางปิดประตูให้
หลังจากรินน้ำชาให้ลิ่งหูชิวเรียบร้อยแล้ว เว่ยฉูผายมือเชิญ “ได้ยินชื่อเสียงอันโด่งดังของลิ่งหูซยงมานาน วันนี้เชิญตัวลิ่งหูซยงมากะทันหัน หวังว่าจะไม่ถือโทษกัน ด้านนอกมีคนของข้าคอยจับตามองอยู่ เรื่องที่เราคุยกันวันนี้จะไม่แพร่งพรายต่อภายนอกแม้แต่คำเดียว ลิ่งหูซยงว่ามาได้เต็มที่”
ลิ่งหูชิวประคองถ้วยชาขึ้นมา เอ่ยขอบคุณ จากนั้นลองถามหยั่งเชิงว่า “อาจารย์เว่ยเชิญข้ามา ไม่ทราบว่ามีเรื่องใดจะชี้แนะหรือ?”
เว่ยฉูตอบว่า “หาใช่จะชี้แนะไม่ เพียงแต่อยากทราบเรื่องบางอย่าง หวังว่าลิ่งหูซยงจะช่วยชี้แจงให้กระจ่าง”
ความคิดซับซ้อนสารพัดว้าวุ่นอยู่ในหัวของลิ่งหูชิว เขาเอ่ยถาม “เรื่องใดหรือ?”
เว่ยฉูถามว่า “เมื่อวานนี้ผู้ดูแลหลวงปู้สวิน อีกทั้งพระชายาอวี้ ต่างไปพบหนิวโหย่วเต้าใช่หรือไม่?”
ลิ่งหูชิวตระหนกสับสนอยู่ในใจ หลังจากเงียบไปครู่หนึ่งก็พยักหน้ารับ “เป็นเช่นนั้นจริง ผู้ดูแลหลวงมาตอนกลางวัน พระชายามาตอนกลางคืน”
เว่ยฉูยิ้มออกมา คล้ายว่าจะค่อนข้างพอใจในคำตอบนี้ เอ่ยถามต่อว่า “ทั้งคู่ไปคุยอะไรกับหนิวโหย่วเต้า?”
………………………………………………………………………………..
[1]หงเหนียง หมายถึง แม่สื่อ