ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า - ตอนที่ 323 ไม่เอาถ่าน
ตอนที่ 323 ไม่เอาถ่าน
หนิวโหย่วเต้าเอ่ยไปว่า “ท่านก็เลยขายข้าสินะ?”
ลิ่งหูชิวโอดครวญแก้ต่าง “จะบอกว่าขายเจ้าได้อย่างไร?? ข้าไม่รู้เลยว่าเจ้ากับปู้สวินคุยอะไรกัน แม้แต่จะหลอกลวงเฉไฉก็ยังกลัวว่าจะพูดอะไรผิดไปด้วยซ้ำ แต่เจ้าเป็นคนฉลาด เจ้ารู้ว่าต้องหลอกอย่างไรถึงจะไม่เกิดข้อผิดพลาด ข้าไม่สามารถปฏิเสธได้ จึงได้แต่ต้องพาเขามา ช่างเถอะ พวกเราสองพี่น้องต้องมาขุ่นเคืองกันเพราะเรื่องนี้ด้วยหรือ?”
เขาโบกมือเล็กน้อย สื่อว่าเรื่องนี้ให้แล้วกันไปเสีย ไม่ต้องมาสืบสาวเอาเรื่องกันและกันอีก “เออใช่ ตอนจากไปสีหน้าของเว่ยฉูคนนี้ดูไม่ค่อยดีเท่าไร ดูเหมือนจะไม่ค่อยเชื่อคำพูดที่เจ้าบอกไปเมื่อครู่นี้ ที่เจ้าบอกเขาไปก่อนหน้านี้เป็นเรื่องจริงหรือเปล่า?”
“จริง” หนิวโหย่วเต้าเงยหน้ามองท้องฟ้า ท่าทางยังไม่หายโกรธ
ลิ่งหูชิวก็เงยหน้ามองฟ้าด้วยเช่นกัน แต่ไม่เห็นอะไรเลย เขาเอ่ยถามต่อว่า “เหตุใดข้าถึงรู้สึกว่าเจ้าหลอกลวงอยู่เล่า ปู้สวินกับพระชายาคนนั้นจำเป็นต้องถ่อมาด้วยตัวเองเพื่อเรื่องเชื่อมสันติอะไรนั่นด้วยหรือ?” เขาก็รู้สึกสงสัยเช่นเดียวกับเว่ยฉู
หนิวโหย่วเต้าโอดครวญอยู่ในใจ ไม่มีใครเชื่อเขาจริงๆ ด้วย ทว่าปากยังคงเอ่ยไปว่า “คนผู้หนึ่งมาบอกให้ข้าพูดอะไร ข้าก็ต้องพูดอย่างนั้นหรือ? เป็นท่านโง่หรือเป็นข้าที่โง่กันแน่? พี่รอง เส้นสายท่านกว้างขวาง เว่ยฉูคนนี้เป็นใคร ท่านลองไปสืบประวัติเขาหน่อย”
หลอกจริงๆ ด้วย! ลิ่งหูชิวถอนใจกล่าวไปว่า “เรื่องของเว่ยฉูข้าต้องไปสืบแน่นอน น้องสาม สรุปแล้วเจ้ากับปู้สวินคุยอะไรกันแน่ ลึกลับซ่อนเงื่อนขนาดนี้เชียวหรือ? ข้าขอบอกเจ้าไว้เลยนะ อย่าได้เข้าไปเกี่ยวข้องกับศึกชิงตำแหน่งรัชทายาทเด็ดขาด เบื้องหลังของเรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับอำนาจของฮ่องเต้ของคนธรรมดาเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวพันไปถึงผลประโยชน์ของผู้บำเพ็ญเพียรจำนวนมากด้วย นี่ไม่ใช่ปัญหาที่เราจะเข้าไปยุ่งได้ ไม่ต้องยกตัวอย่างที่ไหนไกลเลย เจ้าเองก็รู้เรื่องสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ดี พอหนิงอ๋องสูญเสียตำแหน่งไป สำนักสวรรค์พิสุทธิ์มีจุดจบเป็นอย่างไร เจ้าเองก็เห็นแล้ว”
หนิวโหย่วเต้าหันกลับมามอง เอ่ยอย่างขึงขังว่า “พี่รอง ที่ข้าไม่บอกก็เพราะหวังดีกับท่าน วันหน้าท่านย่อมรู้เอง”
ได้! ในเมื่อไม่ได้คำตอบ ลิ่งหูชิวก็คร้านจะถามอีก เขาทราบนิสัยของคนผู้นี้ดี จึงเปลี่ยนไปคุยเรื่องอื่นเสีย “ได้ยินหงซิ่วบอกว่าเจ้ากำลังสืบเรื่องหงเหนียงอยู่หรือ? เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้าไปพบหงเหนียงมา?”
หนิวโหย่วเต้าผงะไป “ท่านไปพบหงเหนียงมาหรือ?”
ลิ่งหูชิวแปลกใจ “เจ้าไม่รู้หรือ?”
หนิวโหย่วเต้าตอบว่า “ท่านไม่ได้บอกข้าไว้ ข้าจะรู้ได้อย่างไร ท่านไปพบนางทำไม?”
ลิ่งหูชิวหัวเราะเหอะๆ เอ่ยเยาะเย้ยตัวเอง “ใช่ข้าไปพบนางเสียที่ไหน เป็นนางที่มาหาข้า หลอกข้าไปที่สวนไม้เลื้อยของนาง พอไปแล้วถึงได้รู้ว่านางเป็นคนกลางติดต่อให้เว่ยฉู นางก็ถูกนางหลอกเช่นกัน แต่ข้าก็พอจะเข้าใจสถานการณ์ของนางได้ คนของจวนจินอ๋องไปหาทั้งที ย่อมทำอะไรไม่ได้อยู่แล้ว ”
หนิวโหย่วเต้าถาม “เช่นนี้แสดงว่าท่านรู้จักหงเหนียงหรือ?”
ลิ่งหูชิวตอบว่า “นับว่าเป็นคนรู้จักเก่ากระมัง เจ้าสนใจเรื่องของนางไปทำไม?”
หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “ข้าสืบสถานการณ์ของเมืองหลวงแคว้นฉีดูนิดหน่อย เห็นว่าสตรีนางนี้ค่อนข้างน่าสนใจ ข้าเลยรู้สึกสนใจขึ้นมา เพียงแต่ทางข้ามีข้อมูลเกี่ยวกับนางไม่มากนัก ในเมื่อพี่รองรู้จัก อย่างนั้นท่านลองเล่าให้ข้าฟังหน่อยสิ สตรีนางนี้เป็นคนแบบไหนกัน?”
ลิ่งหูชิวส่ายหน้าพลางเอ่ยว่า “กับบางคนก็รู้เพียงหน้าแต่ไม่รู้ใจ เรื่องที่ข้ารู้มาก็มีไม่มาก เป็นเรื่องผิวเผินบางส่วนเช่นกัน ไม่ได้คบหากันอย่างลึกซึ้ง”
หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “เช่นนั้นก็เล่ามาตามที่ท่านรู้”
“หงเหนียง นามจริงคือก่วนฟางอี๋ สตรีคนนี้จะว่าอย่างไรดีล่ะ? สมัยสาวๆ ความสัมพันธ์ด้านชู้สาวค่อนข้างยุ่งเหยิง แต่สมัยสาวๆ นางหน้าตางดงามชนิดหาคนเทียบได้ยาก ไม่มีสำนักนิกายหนุนหลัง ขาดการอบรมและไร้ข้อผูกมัด อีกทั้งตัวนางหน้าตางดงาม จึงเผชิญกับสิ่งล่อตาล่อใจสารพัดอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ย่อมหลงเดินทางผิดได้ง่ายๆ”
“สตรีรูปโฉมงดงามเนี่ย จะให้เก็บตัวอยู่ในป่าเขาลำเนาไพรไหนเลยจะมีความสุขเท่าได้เฉิดฉายรับคำเยินยอจากคนในโลกหล้าได้ เมื่อไม่ถูกผูกมัดด้วยกฎเกณฑ์ย่อมต้องไหลไปในโลกโลกีย์ได้ง่าย ด้วยเหตุนี้จึงมาปักหลักอยู่ที่เมืองหลวงแคว้นฉีแห่งนี้”
“ยามอ่อนเยาว์งดงาม มีบุรุษอยู่รอบตัวนางมากมาย มีหน้ามีตาเป็นอย่างยิ่ง มีคนมากมายที่ก่อเหตุวิวาทกันเพราะหึงหวงนาง ถึงขั้นที่มีคนสิ้นชีวิตลงเพราะนางหลายต่อหลายครั้ง ได้ยินว่าตอนนั้นนางก็คิดจะออกเรือนอยู่หลายหน แต่ชื่อเสียงฉาวโฉ่เกินไป บุรุษที่รายล้อมรอบตัวนางแค่เล่นสนุกด้วยยังพอไหว แต่จะแต่งนางเข้าบ้านได้อย่างไร?”
“ได้ยินว่าสมัยนั้นนางก็ได้พบกับบุรุษที่นางชอบพอเป็นอย่างมากอยู่สองสามคน ก่อเรื่องแทบเป็นแทบตายเพื่ออีกฝ่าย ผลสุดท้ายเกือบถูกคนในสำนักนิกายเหล่านั้นทุบตีจนตาย สุดท้ายก็ยังไม่ได้ออกเรือนอยู่ดี แต่จะว่าไปแล้ว ศิษย์สำนักเลื่องชื่อหรือผู้บำเพ็ญเพียรที่มีตำแหน่งฐานะอย่างแท้จริงไหนเลยจะมาแต่งกับนางได้ ส่วนผู้บำเพ็ญเพียรไร้สำนักธรรมดานางก็ไม่พอใจอีก แล้วก็เป็นเช่นนี้มาเรื่อยๆ”
“ต่อมาพออายุมากขึ้น ความงามย่อมโรยราอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ บุรุษที่เคยมาห้อมล้อมอยู่รอบตัวนางก็ค่อยๆ ห่างเหินออกไป แต่สตรีนางนี้นับว่าพอมีสมองอยู่บ้าง ไม่ได้มีจุดจบน่าเวทนาเหมือนโฉมงามไร้สมองเหล่านั้น นางเอาเส้นสายที่เคยผูกไมตรีไว้ในสมัยสาวๆ มาใช้ประโยชน์ได้ทันท่วงที ถึงได้ค่อยๆ สร้างชื่อเสียงกลายเป็น ‘หงเหนียง’ แห่งเมืองหลวงเช่นในปัจจุบันนี้ อีกทั้งความสำเร็จของนางเป็นสิ่งที่ผู้อื่นยากจะเลียนแบบได้”
ลิ่งหูชิวเอ่ยเจื้อยแจ้ว บอกเล่าเรื่องราวบางส่วนของหงเหนียงที่เขาทราบมา
หลังเล่าจบ พอเห็นว่าหนิวโหย่วเต้ามีสีหน้าสนอกสนใจก็อดถามออกไปไม่ได้ “น้องสาม ความสนใจที่เจ้ามีต่อนางเป็นแบบใดกัน? เจ้าคงไม่ได้มีรสนิยมชอบสาวใหญ่เช่นนี้กระมัง?”
เขาค่อนข้างสงสัย เพราะไม่ว่าจะเป็นเฮยหมู่ตานหรือว่าหงซิ่วและหงฝูที่อยู่ข้างกายเขา พวกนางล้วนอายุมากกว่าคนผู้นี้ทั้งสิ้น อีกฝ่ายอาจจะมีรสนิยมชอบสาวใหญ่จริงๆ ก็เป็นได้ ยิ่งไปกว่านั้นคือแต่ก่อนคนผู้นี้ก็เคยยอมรับออกมาเอง
หนิวโหย่วเต้าถามว่า “นางมีสภาวะระดับใด?”
ลิ่งหูชิวตอบว่า “ไม่ค่อยแน่ใจ ตามหลักแล้วสภาวะคงอยู่ในระดับโอสถทองแล้วแน่นอน เมื่อก่อนนางก็ไม่เคยขาดแคลนทรัพยากรบำเพ็ญเพียรเลย ไม่รู้ว่ามีคนมากมายเท่าไรที่พร้อมประเคนมอบให้นาง ได้ยินว่าสมัยก่อนมีคนยอมจ่ายเงินนับล้านเหรียญทองเพื่อสร้างรอยยิ้มให้นางด้วย”
หนิวโหย่วเต้าถามว่า “เป็นไปได้ไหมว่าประวัติของนางเป็นเพียงฉากหน้า แต่ความจริงแล้วเบื้องหลังมีกลุ่มอิทธิพลอะไรอยู่?”
ลิ่งหูชิวกล่าวว่า “ไม่มีทาง! หากว่ามีจริงๆ เช่นนั้นคงเป็นราชสำนักแคว้นฉีแน่นอน”
“โอ้” หนิวโหย่วเต้าถาม “หมายความว่าอย่างไร?”
ลิ่งหูชิวกล่าวว่า “มันก็เห็นกันอยู่ชัดๆ สมัยสาวๆ นางทำตัวเหลวไหลเกินไป เอะอะก็ก่อเรื่องขึ้นมา ซ้ำยังมีบุรุษคอยวุ่นวายอยู่รอบตัวมากมาย ทำสิ่งใดล้วนมีคนรู้เห็นทั้งสิ้น หากกลุ่มอิทธิพลใดชุบเลี้ยงคนประเภทนี้ขึ้นมา นั่นมิเท่ากับเป็นการหาเรื่องใส่ตัวหรอกหรือ? ด้วยสถานการณ์ในปัจจุบันของนางรวมถึงงานที่ทำอยู่ ซ้ำยังพำนักอยู่ในเมืองหลวงอันเป็นสถานที่สำคัญของแคว้นฉีมายาวนาน หากราชสำนักแคว้นฉีไม่คอยจับตาดูนางไว้เลยก็แปลกแล้ว กลุ่มอิทธิพลใดจะชุบเลี้ยงคนเช่นนี้เล่า? ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน สตรีนางนี้ล้วนทำตัวเด่นมาโดยตลอด ไม่เหมาะจะทำงานลับที่ไม่อาจเปิดเผยให้ใครรู้ได้”
หนิวโหย่วเต้ายิ้มออกมา ยกกระบี่ขึ้นมาพลางเอ่ยว่า “ตั้งแต่มาเยือนเมืองหลวงแคว้นฉีแห่งนี้ยังไม่เคยได้ออกไปเดินเที่ยวเลย พี่รอง ไปกันเถอะ ถือโอกาสพาข้าไปทำความรู้จักหงเหนียงคนนี้สักหน่อย”
“เจ้าจะไปยุ่งกับนางทำไม? เว่ยฉูกลับไปยังจวนจินอ๋องแล้วจะพูดอย่างไรก็ยังไม่รู้ เจ้าควรคิดดีกว่าว่าจะรับมืออย่างไร”
“หากจวนจินอ๋องอยากลงมือกับข้า พวกเขาก็จำเป็นต้องคำนึงถึงทางฝั่งปู้สวินเสียก่อน อย่างน้อยเขาก็ไม่กล้าลงมือกับข้าตอนอยู่ในเมืองหลวงแห่งนี้แน่”
หนิวโหย่วเต้าไม่แยแสเรื่องนี้ เดิมทีสิ่งที่เขาบอกไปมันก็เป็นความจริงอยู่แล้ว หลังจากทางจวนจินอ๋องสืบข้อมูลมาได้ย่อมจะเข้าใจเอง
“แล้วม้าศึกล่ะ? ไม่ง่ายเลยกว่าจะแก้ปัญหาวุ่นวายก่อนหน้านี้ได้ เจ้าไม่จัดการเรื่องม้าศึกแล้วหรือ?”
“เรื่องนั้นไม่จำเป็นต้องรีบร้อน มัวขลุกอยู่ที่นี่ไหนเลยจะมีโอกาสได้ ต้องออกไปเดินข้างนอกให้มากหน่อยถึงจะพบโอกาส”
ตอนนี้หนิวโหย่วเต้าไม่ร้อนใจเรื่องม้าศึกเลยแม้แต่น้อย มีป้ายคำสั่งอยู่ในมือแล้ว จะส่งม้าศึกหนึ่งหมื่นตัวออกไปตอนไหนก็ได้ ตอนนี้เรื่องที่ต้องกังวลคือสถานการณ์หลังจากส่งม้าศึกออกไปแล้วต่างหาก แต่เขาก็ยังไม่สะดวกจะบอกเรื่องนี้ให้อีกฝ่ายทราบในเวลานี้…
….
ภายในวังหลวง ปู้สวินเดินเข้าไปในตำหนักด้วยฝีเท้าแผ่วเบา เดินไปหยุดอยู่ข้างกายเฮ่าอวิ๋นถูที่ก้มหน้าตรวจเอกสารอยู่หน้าโต๊ะ เขาโบกมือสื่อให้ขันทีคนอื่นๆ ที่คอยรับใช้อยู่ในตำหนักถอยออกไป ส่วนตนก็ยืนรวบมืออยู่ตรงนั้นอย่างเงียบๆ
เฮ่าอวิ๋นถูเอ่ยโดยไม่เงยหน้าขึ้นมา “มีเรื่องใดก็พูดมา”
ปู้สวินค้อมกายเล็กน้อย กล่าวไปว่า “เว่ยฉูที่เป็นคนของจินอ๋องให้หงเหนียงแห่งสวนไม้เลื้อยไปเชิญลิ่งหูชิวมาพบ จากนั้นก็ออกเดินทางไปหาหนิวโหย่วเต้าพร้อมลิ่งหูชิวอย่างเงียบๆ พ่ะย่ะค่ะ”
เฮ่าอวิ๋นถูนิ่งค้างไป ก่อนจะค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมา เอ่ยถามว่า “เจ้าอยากจะพูดอะไรกันแน่?”
ปู้สวินอึกอักลังเล เรื่องของเหล่าองค์ชาย เดิมทีเขาไม่สมควรกล่าวถึงองค์ชายพระองค์ใดในแง่ร้ายทั้งสิ้น เพราะจะทำให้ฮ่องเต้เข้าใจผิดได้ว่าเขาเอนเอียงหรือเลือกเข้าข้างฝั่งใคร นี่คือข้อห้ามใหญ่หลวงในฐานะคนสนิทข้างกายฮ่องเต้ แต่เขาก็กลัวว่าจะมีผู้ใดเข้ามาก่อปัญหาวุ่นวาย หากเป็นเช่นนั้นมิเท่ากับว่าเขาและพระชายาอวี้ต้องเหนื่อยเปล่าหรอกหรือ ดังนั้นท้ายที่สุดยังคงเอ่ยออกไปตามตรงว่า “จินอ๋องกำลังส่งคนไปสืบเรื่องที่กระหม่อมและพระชายาอวี้ไปพบหนิวโหย่วเต้าพ่ะย่ะค่ะ กำลังสืบอยู่ว่าพวกเราคุยอะไรกับหนิวโหย่วเต้าบ้าง”
เฮ่าอวิ๋นถูขบกรามขึ้นมาเล็กน้อย พลันตบโต๊ะดังปัง! ลุกพรวดขึ้นมาแล้วตวาดด้วยความโกรธ “ไอ้ลูกไม่ได้ความ!
เขาเดินอ้อมโต๊ะยาวออกมา เดินวนกลับไปกลับมาอยู่ภายในตำหนัก ท่าทางคล้ายจะโมโหอย่างมาก
ปู้สวินยืนก้มหน้า เหลือบมองเป็นครั้งคราว
เขาเข้าใจความรู้สึกของของฝ่าบาทดี เรื่องอื่นล้วนจัดการได้ง่าย แต่เรื่องของโอรสธิดามักจะทำให้พระองค์โมโหอยู่เสมอ
จู่ๆ เฮ่าอวิ๋นถูก็เดินมาหยุดตรงหน้าเขา เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงดุดัน “อยากรู้อะไรไยจึงไม่กล้าเข้ามาถามอย่างเปิดเผย? เรื่องที่บอกเขาได้ ข้าจะปกปิดเขาหรือ? เหตุใดต้องทำตัวลับๆ ล่อๆ เช่นนี้? องค์ชายใหญ่แห่งแคว้นฉี กระทั่งความกล้าแค่นี้ก็ไม่มีอย่างนั้นหรือ?”
ปู้สวินรีบช่วยแก้ต่างว่า “บางทีองค์ชายใหญ่อาจคิดว่าเรื่องเล็กน้อยแค่นี้ไม่จำเป็นต้องรบกวนฝ่าบาท เลยทำไปด้วยใจกตัญญูพ่ะย่ะค่ะ!”
“เจ้าพูดเหลวไหลต่อหน้าข้าให้น้อยๆ หน่อย เรื่องราวเป็นอย่างไรเจ้ารู้แจ้งแก่ใจดี กตัญญูอย่างนั้นหรือ ข้าว่าทำเพื่อตัวเองมากกว่ากระมัง?” เฮ่าอวิ๋นถูโบกแขนเสื้อคราหนึ่ง เอ่ยด้วยความโกรธ “อย่าปล่อยให้เขาทำเสียเรื่อง นำถ้อยคำของข้าไปถ่ายทอดต่อเขาเดี๋ยวนี้”
เขาพลันชี้มือขึ้นไปด้านบน เอ่ยด้วยเสียงดังองอาจว่า “จิตใจผ่องแผ้วดั่งทินกรถึงจะสามารถลิดรอนอันธการ! หากจิตใจหม่นมัวดังแสงจันทร์จะบังเกิดเพียงผีร้ายในความมืด! อินทรีสมควรสยายปีกเหนือนภา ไหนเลยจะลงมาหมอบคลานบนพื้นดินได้?”
น้ำเสียงโกรธเกรี้ยวจนน่ากลัว ความขุ่นข้องที่แฝงอยู่ในน้ำเสียงเป็นเพราะแค้นเคืองที่พร่ำอบรมสั่งสอนไปแต่บุตรชายกลับไม่เอาถ่าน!
นี่คือโอรสคนโตของเขาเชียวนะ!
“พ่ะย่ะค่ะ!” ปู้สวินค้อมกายรับคำสั่ง
….
ณ จวนจินอ๋อง พอฟังรายงานข้อมูลจากเว่ยฉูจบ เฮ่าฉี่มีสีหน้าคร่ำเคร่ง ยกมือไพล่หลังเดินวนไปมาพลางใช้ความคิด เอ่ยถามไปว่า “สมานฉันท์หรือ? ไปหาเขาเพื่อคุยเรื่องสมานฉันท์ ปู้สวินคนเดียวไม่พอหรือ? จำเป็นต้องให้ปู้สวินกับชายาอวี้ผลัดกันไปหาเขาด้วยหรือ? เรื่องเหลวไหลเช่นนี้เจ้าก็เชื่ออย่างนั้นหรือ?”
เว่ยฉูกล่าวว่า “กระหม่อมก็สงสัยเช่นนี้พ่ะย่ะค่ะ แต่เขายืนกรานปากแข็งเช่นนี้ กระหม่อมก็ไม่กล้าบุ่มบ่ามลงมือกับเขา”
เฮ่าฉี่หยุดเดิน ถามต่อว่า “คำพูดที่ข้าบอกไป เจ้าไม่ได้พูดกับเขาหรือ?”
เว่ยฉูตอบว่า “พูดแล้วพ่ะย่ะค่ะ เขาตอบว่าไม่กล้าเป็นปฏิปักษ์กับท่านอ๋องเด็ดขาด แต่ก็ไม่ยอมเปลี่ยนคำพูดพ่ะย่ะค่ะ”
“เรื่องนี้ต้องมีอะไรอย่างแน่นอน เขากำลังปิดบังอะไรจากข้าอยู่แน่!” เฮ่าฉี่เอ่ยด้วยน้ำเสียงชิงชัง
ในเวลานี้เอง ขันทีคนหนึ่งวิ่งเข้ามาด้วยฝีเท้าเร็วรี่ รายงานว่า “ท่านอ๋อง มีคนจากในวังมาถ่ายทอดพระราชโองการพ่ะย่ะค่ะ”
สีหน้าเฮ่าฉี่พลันเคร่งขรึมขึ้นมา ไม่กล้าชักช้า ออกไปต้อนรับอย่างรวดเร็ว
ในลานเรือน เขามองเห็นขันทีถ่ายทอดพระราชโองการสามคน เฮ่าฉี่พลันสั่งให้ตั้งขบวนรับราชโองการ
ขันทีผู้เป็นหัวหน้ากลุ่มรีบยกมือปรามพลางเอ่ยว่า “ท่านอ๋อง เป็นเพียงพระบรมราโชวาทพ่ะย่ะค่ะ”
เฮ่าฉี่ประสานมือพลางกล่าวขึ้นว่า “ลูกน้อมรับฟัง!”
ขันทีถ่ายทอดราชโองการเอ่ยว่า “ท่านอ๋อง ฝ่าบาททรงมีเรื่องหนึ่งอยากสอบถามพระองค์ก่อน”
เฮ่าฉี่กล่าวว่า “ลูกจะตอบทุกอย่างตามที่ทราบ”
ขันทีถ่ายทอดราชโองการเอ่ยถามอย่างขึงขังจริงจัง “ฝ่าบาททรงอยากถามว่า ท่านอ๋องได้ส่งคนไปสืบเรื่องที่เมื่อวานนี้ผู้ดูแลหลวงปู้สวินและพระชายาอวี้ออกไปพบคนผู้หนึ่งมาใช่หรือไม่?”
สีหน้าของเว่ยฉูและเฮ่าฉี่แปรเปลี่ยนอย่างรุนแรง เฮ่าฉี่กลืนน้ำลาย สุดท้ายก็ประสานมือตอบไปอย่างยากลำบากว่า “ใช่พ่ะย่ะค่ะ!”
ขันทีถ่ายทอดราชโองการกล่าวว่า “เอาล่ะ! ตอนนี้จะเป็นพระบรมราโชวาทจากฝ่าบาท ท่านอ๋องโปรดฟังให้ดีพ่ะย่ะค่ะ”
เฮ่าฉี่ตอบอย่างนอบน้อม “รับด้วยเกล้า!”
ขันทีถ่ายทอดราชโองการเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “จิตใจผ่องแผ่วดั่งทินกรถึงจะสามารถลิดรอนอันธการ! หากจิตใจหม่นมัวดังแสงจันทร์จะบังเกิดเพียงผีร้ายในความมืด! อินทรีสมควรสยายปีกเหนือนภา ไหนเลยจะลงมาหมอบคลานบนพื้นดินได้?”
………………………………………………………………………