ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า - ตอนที่ 324 รสนิยมของน้องสามคนนี้ไม่เหมือนใครจริงๆ
ตอนที่ 324 รสนิยมของน้องสามคนนี้ไม่เหมือนใครจริงๆ
ทุกประโยคที่แว่วเข้าหูทำให้เว่ยฉูที่อยู่ด้านข้างตกใจและสับสบเช่นกัน
สีหน้าของเฮ่าฉี่ดูแย่เป็นอย่างมาก ดวงตาเปี่ยมแววหวาดหวั่นเป็นกังวล
เจตนาของเฮ่าอวิ๋นถูและคำสั่งสอนที่ถ่ายทอดมาในครั้งนี้ คือต้องการจะเตือนสติว่าเขาสมควรทำตัวให้สมเป็นองค์ชายใหญ่ แต่พอเข้าหูเฮ่าฉี่ไปแล้วกลับเข้าใจเป็นว่าพระบิดาตำหนิและไม่พอใจเขาอย่างยิ่ง โดยเฉพาะประโยคที่ว่า จันทราบังเกิดเพียงผีร้ายในความมืด อินทรีมาหมอบคลานบนพื้นดินที่ทำให้เขารู้สึกรับไม่ได้…
พอถ่ายทอดพระบรมราโชวาทเสร็จสิ้นแล้ว เมื่อเห็นว่าเขาไม่มีการตอบสนอง ขันทีจึงเอ่ยเตือนเล็กน้อย “ท่านอ๋อง ถ่ายทอดพระบรมราโชวาทเสร็จสิ้นแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“โอ้!” เฮ่าฉี่ถึงได้ดึงสติกลับมา “ลูกน้อมรับพระบรมราโชวาท!”
เขาสั่งให้คนเดินออกไปส่งขันทีถ่ายทอดราชโองการ สีหน้าของเฮ่าฉี่ค่อยๆ หมองคล้ำลง เจือความเศร้าหมองเอาไว้เล็กน้อย จ้องมองเว่ยฉูพลางว่ากล่าวอย่างรุนแรง “ล้วนเป็นผลงานของเจ้าทั้งสิ้น! เจ้าไปพบหนิวโหย่วเต้าอย่างไรกัน เหตุใดเสด็จพ่อถึงได้รู้เรื่องเร็วขนาดนี้ว่าเจ้าไปสืบเรื่องปู้สวินกับพระชายาอวี้มา? เจ้าไม่ได้เอ่ยกำชับหนิวโหย่วเต้าไว้หรือ?”
เว่ยฉูรีบเอ่ยแก้ตัวว่า “ท่านอ๋อง กระหม่อมกำชับหนิวโหย่วเต้าไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ เขาก็รับปากแล้วด้วย บอกว่าไม่กล้าเป็นปฏิปักษ์กับท่านอ๋องแน่นอน”
เฮ่าฉี่กล่าวว่า “เช่นนั้นเป็นไอ้สารเลวคนไหนที่เผยข่าวให้รั่วไหลกัน? ทางสวนไม้เลื้อยล่ะ?”
เว่ยฉูส่ายหน้า “ไม่น่าจะเป็นทางสวนไม้เลื้อยพ่ะย่ะค่ะ ตอนที่กระหม่อมและลิ่งหูชิวคุยเรื่องนี้ พวกเราอยู่ในห้องส่วนตัวกันตามลำพัง อีกทั้งด้านนอกก็มีคนของพวกเราเฝ้าระวังอยู่ คนนอกไม่มีทางได้ยินบทสนทนาของพวกเรา มีเพียงไม่กี่คนที่ทราบเรื่องนี้พ่ะย่ะค่ะ”
“ในวังหลวงมีไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถกราบทูลต่อเสด็จพ่อของข้าได้เร็วขนาดนี้ คนที่เสด็จพ่อไว้วางใจเชื่อคำพูดจะเป็นใครไปได้อีกเล่า? ถ้าทางสวนไม้เลื้อยไม่มีปัญหา คนที่สามารถนำเรื่องนี้ไปกราบทูลเสด็จพอได้เร็วขนาดนี้ ไม่มีใครอื่นแล้วนอกจากปู้สวินที่ไปมาหาสู่กับหนิวโหย่วเต้า” เฮ่าฉี่เอ่ยด้วยน้ำเสียงชิงชัง “ข้ารู้อยู่แล้วว่าไอ้สารเลวหนิวโหย่วเต้าคนนั้นกำลังปกปิดข้าอยู่ ไม่เห็นข้าอยู่ในสายตาเลยชัดๆ จากเรื่องนี้ทำให้มองออกแล้วว่าไอ้ชั้นต่ำคนนี้มันสมคบกับเจ้ารองแน่นอน มันถึงอดใจรอแทบไม่ไหวที่จะสร้างเรื่องให้ข้า! ไอ้สุนัขชั้นต่ำ มันจะรังแกกันเกินไปแล้ว คิดว่าข้าไม่กล้าแตะต้องเจ้าจริงๆ น่ะหรือ?”
เว่ยฉูเงียบงัน เขาเองก็ไม่กล้ายืนยันว่าเรื่องนี้หลุดไปจากทางหนิวโหย่วเต้าหรือไม่
เฮ่าฉี่พลันจ้องมาที่เขาอีกครั้ง “ผู้บำเพ็ญเพียรกระจอกจากแคว้นเยี่ยนคนหนึ่ง บังอาจถ่อมาทำตัวโอหังใส่ข้าที่แคว้นฉี..หาทางกำจัดเขาทิ้งซะ!”
เว่ยฉูตกตะลึง รีบเอ่ยเตือนว่า “ท่านอ๋องใคร่ครวญอีกทีเถิดพ่ะย่ะค่ะ เห็นได้ชัดว่าหนิวโหย่วเต้าเกี่ยวข้องกับปู้สวิน หากหนิวโหย่วเต้าเกิดเหตุขึ้นในเมืองหลวงแห่งนี้ เกรงว่าคงยากจะปิดบังร่องรอยให้พ้นจากหน่วยข่าวกรองได้พ่ะย่ะค่ะ!”
เฮ่าฉี่กล่าวว่า “แบบนั้นก็ไม่ดี แบบนี้ก็ไม่ได้ เจ้าลองบอกมาหน่อยสิว่าข้าเลี้ยงเจ้าไว้ยังจะมีประโยชน์ใดอีก?”
เว่ยฉูรู้นิสัยขององค์ชายท่านนี้ดี จึงรีบเอ่ยไปว่า “ท่านอ๋อง ความหมายของกระหม่อมคือหนิวโหย่วเต้ามาครั้งนี้ไม่มีทางรั้งอยู่ในเมืองหลวงไปได้ตลอด รอจนเขาออกจากเมืองหลวงแล้วค่อยลงมือก็ยังไม่สายพ่ะย่ะค่ะ หนิวโหย่วเต้าล่วงเกินคนไว้มากมายปานนั้น ขอเพียงพวกเราจัดการอย่างลับๆ สักหน่อย ผู้ใดจะทราบเล่าว่าใครเป็นคนสังหารเขา ขอเพียงไม่มีหลักฐานหลงเหลือไว้ก็ไม่มีผู้ใดกล้าบอกว่าเป็นฝีมือของท่านอ๋องแล้วพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมหวังดีต่อท่านอ๋องนะพ่ะย่ะค่ะ จะเปิดโอกาสให้อวี้อ๋องใช้โอกาสนี้มาก่อปัญหาเพิ่มให้พระองค์ไม่ได้นะพ่ะย่ะค่ะ”
เฮ่าฉี่เอ่ยด้วยสีหน้าบึ้งตึง “อย่าหาเรื่องเดือดร้อนมาให้ข้าอีก!”
เว่ยฉูรีบรับประกันว่า “ท่านอ๋องวางพระทัยเถิด กระหม่อมจะกำจัดไอ้คนชั้นต่ำระบายอารมณ์แทนท่านอ๋องแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”
……
เมืองหลวงคึกคักรุ่งเรือง สำหรับหนิวโหย่วเต้าแล้วเปรียบเสมือนได้เดินท่องอยู่ในภาพวาดโบราณก็มิปาน
มาอยู่เมืองหลวงแคว้นฉีนานขนาดนี้ หนิวโหย่วเต้าเพิ่งมีโอกาสออกมาเดินเล่นเช่นนี้เป็นครั้งแรก พอไม่ถูกผู้บำเพ็ญเพียรเหล่านั้นตามพัวพันแล้วช่างผ่อนคลายสบายใจนัก
ส่วนเรื่องม้าศึก เขาละทิ้งภารกิจไม่คิดจะดำเนินการต่อแล้ว นับว่าเขาได้เรียนรู้ถึงอันตรายที่แฝงมากับโอกาสอันหาได้ยากแล้ว เรื่องที่มีคนจับตามองอยู่มากมายปานนั้น หากเข้าไปยุ่งอีก มีโอกาสสูงมากที่เขาจะต้องตาย อันตรายเกินไป
ยิ่งไปกว่านั้นคือในมือเขากุมไพ่ตายไว้ถึงสองใบแล้ว อย่างแรกคือป้ายคำสั่งที่ปู้สวินมอบให้ ทั้งยังมีเกาะแห่งนั้นด้วย
ที่สำคัญคือเขารู้ตัวแล้วว่าถูกคนของหอจันทร์กระจ่างจับตามองอยู่ อสรพิษที่เร้นกายอยู่เบื้องหลังตัวนี้ไม่รู้ว่าจะเข้ามาฉกเขาตอนไหน
เขารู้ดีว่าด้วยกำลังของตนไม่สามารถงัดคานกับกลุ่มอิทธิพลหลายฝ่ายในเมืองหลวงแห่งนี้พร้อมกันได้
ตอนที่ผ่านทางไปยังทะเลสาบพราวแสง พอผ่านหน้าร้านเต้าหู้แห่งนั้น หนิวโหย่วเต้าเพียงเหลือบมองเล็กน้อยเท่านั้น
สุดท้ายทั้งคณะก็เที่ยวเล่นมาจนถึงสวนไม้เลื้อย
ภายในสวน ในเรือนงามสง่าประณีตหลังหนึ่ง ก่วนฟางอี๋นั่งอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้งส่องคันฉ่องประทินโฉมพลางถอนหายใจเป็นระยะๆ นิ้วลูบไล้รอยย่นลึกตรงหางตา ดูหม่นหมองเศร้าสลด
ชายชราที่เฝ้าประตูสวนเคาะประตูแล้วเข้ามารายงาน
หลังจากก่วนฟางอี๋ได้ฟังก็ตกใจ หันกลับมาทั้งที่นั่งอยู่ ถามด้วยความตกใจ “ลิ่งหูชิวกลับมาอีกแล้ว ซ้ำหนิวโหย่วเต้าคนนั้นก็มาด้วยอย่างนั้นหรือ?”
ชายชราเอ่ยว่า “คนผู้นั้นแจ้งว่าเป็นหนิวโหย่วเต้า แต่ข้าไม่รู้จักขอรับ”
หลังจากใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง ก่วนฟางอี๋รีบสั่งการว่า “บอกว่าข้าไม่อยู่ ออกไปข้างนอกแล้ว”
“ขอรับ!” ชายชราจากไปอย่างรวดเร็ว
นางเองก็วางหวีลงแล้วลุกขึ้นมา เดินวนไปวนมาอยู่ในห้อง การมาของหนิวโหย่วเต้าทำให้นางค่อนข้างกระวนกระวาย
ไม่ใช่ว่านางกลัวหนิวโหย่วเต้ากับลิ่งหูชิว แต่นางกลัวปู้สวินที่เกี่ยวข้องกับหนิวโหย่วเต้า ว่ากันตามตรงคือนางกลัวอำนาจเบื้องหลังปู้สวินที่สามารถเรียกใช้กลุ่มอิทธิพลในโลกบำเพ็ญเพียรได้
เรื่องที่นางแอบฟังบทสนทนาระหว่างลิ่งหูชิวและเว่ยฉูถูกหน่วยข่าวกรองจับได้แล้ว ผู้ที่รับผิดชอบดูแลอยู่เบื้องหลังหน่วยข่าวกรองก็คือปู้สวิน
เว่ยฉูไปหาหนิวโหย่วเต้ามิใช่หรือ? แล้วเว่ยฉูจะรู้ด้วยหรือไม่ จะรู้หรือไม่ว่าถูกนางขายเสียแล้ว?
หากว่ากันในอีกมุมหนึ่ง ขอเพียงปฏิบัติตามกฎระเบียบของเมืองหลวงแห่งนี้ก็ไม่จำเป็นต้องกลัวปู้สวิน เพราะปู้สวินคือคนที่คอยควบคุมดูแลกฎระเบียบเมืองหลวงอยู่เบื้องหลัง
นางใช้ชีวิตอยู่ในเมืองหลวงแคว้นฉีมานานหลายปีขนาดนี้ รู้ดีว่าคนประเภทไหนที่ไม่ควรไปล่วงเกิน ท่านผู้นั้นแห่งจวนจินอ๋องก็นับเป็นหนึ่งในนั้นด้วย เขาเป็นคนเจ้าคิดเจ้าแค้นคนหนึ่ง หากรู้ว่าถูกนางขาย เขาไม่มีทางปล่อยนางไปแน่!
ตอนนี้นางทั้งไม่อยากและไม่กล้าจะเผชิญหน้ากับหนิวโหย่วเต้า ด้วยเกรงว่าจะทำให้ทางจวนจินอ๋องเข้าใจผิด
หลังจากใช้ความคิดไตร่ตรองแล้ว ก่วนฟางอี๋เดินออกไปโดยเร็ว กวักมือเรียกลูกน้องที่อยู่ด้านนอกพลางเอ่ยว่า “ไปเถอะ ไปเดินเล่นในตัวเมืองกัน”
กระทั่งบอกกล่าวเสร็จก่วนฟางอี๋ก็มุดขึ้นรถม้าไป จากนั้นก็โผล่หน้าออกมาจากรถม้าอีกครั้งแล้วสั่งว่า “ออกประตูข้าง!”
ณ ประตูหน้าของสวนไม้เลื้อย ชายชราเฝ้าประตูกลับมาแล้ว ประสานมือแจ้งหนิวโหย่วเต้าว่า “ขออภัยที่ทำให้ท่านต้องรอนานขอรับ นายหญิงออกไปเที่ยวเล่นในเมือง ไม่อยู่ในสวนขอรับ”
หนิวโหย่วเต้ามองเข้าไปในสวนเล็กน้อย เอ่ยด้วยความฉงน “เจ้าเข้าไปรายงาน แต่พอรายงานแล้วกลับได้ผลลัพธ์เช่นนี้น่ะหรือ?”
ชายชราเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “นายท่านอย่าได้เข้าใจผิดไปเลยขอรับ ส่วนใหญ่นายหญิงมักจะเข้าออกผ่านประตูข้าง นางออกไปกะทันหัน การที่ข้าน้อยไม่ทราบก็เป็นเรื่องปกติ หากมีธุระอยากซื้อขายสิ่งใด ติดต่อกับคนงานในสวนก็ได้เหมือนกันขอรับ”
หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “ธุรกิจของข้าต้องคุยกับนางเท่านั้น เจ้าบอกมาหน่อยว่านางจะกลับมาตอนไหน”
ชายชราส่ายหน้าเอ่ยไปว่า “ทุกคนต่างทราบกันดีนายหญิงรักสนุก อันนี้ตอบไม่ได้เลยขอรับ”
“เช่นนั้นก็ได้ ไปคุยกับคนงานก็คงไม่ต่างกัน!” หนิวโหย่วเต้ากล่าวจบก็เดินเข้าไปในสวนทันที
ชายชราตะลึงงัน ทำได้เพียงโบกมือสั่งให้คนมานำทางไป
เมื่อทั้งกลุ่มเข้าไปในสวนก็หันมองรอบข้าง ทิวทัศน์งดงามภายในสวนเห็นแล้วชื่นตาชื่นใจโดยแท้ ทำให้หนิวโหย่วเต้าเอ่ยชมว่า “หงเหนียงคนนี้ช่างรู้จักเสพสุขนัก”
ลิ่งหูชิวยิ้มนิดๆ หากไม่หลงใหลกับความสุขสบาย สตรีคนนั้นจะปักหลักอยู่ในเมืองหลวงแห่งนี้มาโดยตลอดหรือ?
ทั้งกลุ่มเข้ามานั่งในโถงรับรองแขกของทางสวน จากนั้นมีคนยกน้ำชามาให้
ผ่านไปสักพักหนึ่ง ชายฉกรรจ์คนหนึ่งข้ามาหา ประสานมือเอ่ยขึ้นว่า “ปล่อยให้แขกทุกท่านต้องคอยเสียนาน ยังคงเป็นกฎเดิม ไม่ถามประวัติที่มา ไม่ถามถึงเรื่องขัดแย้ง ทุกท่านต้องการซื้อหรือว่าต้องการขายสิ่งใดขอรับ?”
หนิวโหย่วเต้าตอบว่า “ข้าต้องการซื้อตัวหงเหนียงมาสนทนากัน!”
ลิ่งหูชิวและหงซิ่วที่ติดตามมาด้วยมองหน้ากันเหลอหลา
ชายฉกรรจ์ผงะไป จากนั้นตอบว่า “นายหญิงไม่อยู่ ออกไปเที่ยวเล่นขอรับ”
หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “ไม่เป็นไร ข้ารออยู่ที่นี่จนนางกลับมาก็ได้”
ชายฉกรรจ์ขมวดคิ้ว “สหาย ท่านทำเช่นนี้คงไม่ดีกระมัง?”
หนิวโหย่วเต้าตอบว่า “ข้าก็แค่จะรออยู่ที่นี่ รอจนกว่านางจะกลับมา” ท่าทางดึงดันเป็นอย่างยิ่ง ไม่เหลือช่องให้เจรจราต่อรองเลย
ชายฉกรรจ์อึกอักลังเลคล้ายจะพูดอะไร แต่ก็ทราบดีว่าเป็นเพราะก่วนฟางอี๋ต้องการหลบหน้าคนผู้นี้ถึงได้ออกไปข้างนอก จึงไม่กล้าพูดจาส่งเดช สุดท้ายก็เดินออกไปด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
หลังจากนั้นก็ไม่มีคนยกชามาให้อีก แล้วก็ไม่มีการเข้ามาถามไถ่อีก ปล่อยให้พวกเขารออยู่ในนี้ มีคนจากด้านนอกมาคอยสังเกตการณ์ที่นี่เป็นระยะ
ฟ้าค่อยๆ มืดลง ยังไม่เห็นก่วนฟางอี๋กลับมา แล้วก็ไม่มีใครยกอาหารมารับรอง
ลิ่งหูชิวและหงซิ่วที่รอจนหมดความอดทนพากันออกไปเดินเล่นในสวนด้านนอก
“นายท่าน คนผู้นี้จะรอหงเหนียงอยู่ที่นี่ให้ได้ เขาคิดจะทำอะไรกันแน่เจ้าคะ?” หงซิ่วกระซิบถาม
ลิ่งหูชิวที่ยกมือไพล่หลังชื่นชมท้องนภายามราตรีอยู่หัวเราะเฮอะๆ เอ่ยไปว่า “เขาบอกว่าเขาสนใจก่วนฟางอี๋เข้าแล้ว”
“ห๊า!” หงซิ่วตะลึงงัน เดิมทีคิดจะเอ่ยถึงอายุของหงเหนียง แต่พอนึกถึงว่าตลอดการเดินทางหนิวโหย่วเต้าร่วมห้องกับเฮยหมู่ตานเสมอ ซ้ำยังเอ่ยถึงพวกนางสองพี่น้องอยู่บ่อยๆ ก็อดเอ่ยแขวะไม่ได้ “วิปริต!”
“รสนิยมของน้องสามคนนี้ไม่เหมือนใครจริงๆ” ลิ่งหูชิวส่ายหน้าพลางหัวเราะฮ่าๆ
กระทั่งล่วงเลยไปครึ่งค่อนคืน หนิวโหย่วเต้าถึงจะเดินออกมาจากห้องโถง มาหาสองนายบ่าวที่อยู่นั่งอยู่ในศาลา ในศาลามีผีเสื้อจันทราคอยให้ความสว่างอยู่
หงซิ่วลุกขึ้นยืน ลิ่งหูชิวหันมามอง เท้าศีรษะไว้ด้วยแขนข้างหนึ่ง เอ่ยไปว่า “น้องสาม ค่อยมาวันหลังเถอะ ไยต้องดึงดันเช่นนี้ด้วย”
หนิวโหย่วเต้าเอ่ยถาม “ดึกป่านนี้แล้ว สตรีคนนี้ดึกดื่นค่อนคืนแล้วก็ยังไม่กลับเช่นนี้ตลอดหรือ?”
ลิ่งหูชิวตอบว่า “สตรีธรรมดาย่อมไม่ทำแน่นอน แต่สำหรับนางแล้วนับเป็นเรื่องปกติมาก”
หนิวโหย่วเต้าถามต่อ “ท่านกับนางเป็นคนรู้จักกันมิใช่หรือ ไม่ไว้หน้าข้าก็ว่าไปอย่าง แต่ปล่อยให้ท่านรอมาจนป่านนี้ก็ยังไม่ยอมกลับ ท่านคิดว่าปกติหรือ?”
ลิ่งหูชิวผงะไป ลดแขนลงแล้วค่อยๆ ลุกขึ้นยืน จากนั้นก็ขมวดคิ้ว คล้ายจะรับรู้ได้แล้วว่ามันค่อนข้างผิดปกติ
หนิวโหย่วเต้าถามอีกครั้ง “เรื่องที่ท่านคุยกับเว่ยฉูเมื่อวานนี้ แน่ใจหรือว่านางไม่รู้?”
ลิ่งหูชิวถามด้วยความฉงน “เจ้าคิดจะพูดอะไร?”
หนิวโหย่วเต้าไม่ตอบ แต่จ้องมองเขา รอคอยคำตอบจากเขา
ลิ่งหูชิวจึงได้แต่ใคร่ครวญดูให้ดีแล้วตอบเขาว่า “น่าจะไม่รู้กระมัง ตอนที่คุยกันก็อยู่ในห้องส่วนตัว ด้านนอกมีคนของเว่ยฉูคอยเฝ้าอยู่ สอบถามเรื่องนั้นเป็นการส่วนตัว เว่ยฉูอยากปิดเป็นความลับอย่างยิ่ง น่าจะไม่บอกนางแน่”
หนิวโหย่วเต้าค่อยๆ หันหลังไป หันหน้าออกไปด้านนอก จู่ๆ ก็ตะโกนขึ้นว่า “มีใครอยู่บ้าง”
ชายคนหนึ่งเดินออกมาจากในความมืดอย่างรวดเร็ว ก้าวเข้ามาประสานมือพลางเอ่ยว่า “แขกทั้งสามจะไปแล้วหรือขอรับ? เดี๋ยวข้าจะไปส่งทั้งสามท่านนะขอรับ!”
หนิวโหย่วเต้ายิ้มหยันเอ่ยด้วยสายตาเย็นชา “ไปเปยอะไร! ไปบอกก่วนฟางอี๋ซะ ข้าไม่สนว่านางจะไปหาความสำราญอยู่ที่ไหน ถึงขลุกอยู่ในกองบุรุษก็ต้องคลานกลับมาหาข้า ข้าจะรอนางอีกหนึ่งชั่วยาม หากว่าไม่โผล่มาอีก ข้ารับประกันเลยว่าสวนไม้เลื้อยจะหายสาบสูญไปจากเมืองหลวงก่อนฟ้าสางแน่นอน!”
ลิ่งหูชิวและหงซิ่วสบตากัน ไม่ทราบว่าเขากำลังจะทำอะไร สังเกตเห็นว่ายังคงพูดจาวางโต เจ้ามีปัญญาทำให้สวนไม้เลื้อยหายไปจากเมืองหลวงได้หรือ เจ้ากล้าลงมือในเมืองหลวงแห่งนี้หรือ?
ชายคนนั้นเม้มปากแน่น ตอบรับด้วยความจนปัญญา ไม่ต้องการปะทะกับหนิวโหย่วเต้าอีก เขาอยากจะรอก็ให้เขารอไปแล้วกัน รอจนหมดความอดทนเดี๋ยวเขาก็คงไปเอง
ชายคนนั้นหันหลังเดินหายลับไปในความมืด
………………………………………………………………………………