ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า - ตอนที่ 327 บุปผาในใจโรยราไปแล้ว!
ตอนที่ 327 บุปผาในใจโรยราไปแล้ว!
จากนั้นก็หยิบผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่งยื่นให้
เฮ่าอวิ๋นถูเช็ดปากและมือเล็กน้อย จากนั้นยื่นผ้าเช็ดหน้าคืนให้ปู้สวิน เมื่อเห็นปู้สวินเช็ดคราบน้ำชาที่ถูกพ่นลงบนโต๊ะก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้
ปู้สวินหันไปมองด้วยความแปลกใจ
เฮ่าอวิ๋นถูค่อยๆ ขยับเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ ค่อยๆ พรูลมหายออกมา เอ่ยอย่างหดหู่เล็กน้อย “พริบตาเดียวก็ผ่านไปหลายปีแล้ว ยังพอจำได้ว่าในช่วงที่บุปผาบานสะพรั่งไปทั่วเมือง เวลานั้นก็เป็นเจ้าที่ไปเป็นเพื่อนข้ากระมัง ข้ากับเจ้าอยู่ท่ามกลางคนกลุ่มนั้น มองโฉมดรุณบนหอแดง นางกำลังจะโยนช่อแพรกระมัง?”
ปู้สวินยิ้มบางๆ “อันที่จริงตอนนั้นนางอายุไม่น้อยแล้วพ่ะย่ะค่ะ ทว่าเป็นช่วงวัยสาวสะพรั่งเต็มที่ นางชอบพอกับบุรุษคนหนึ่ง รักปักใจแทบเป็นแทบตาย บุรุษคนนั้นรับปากว่าจะแต่งนางเป็นภรรยา นางตัดชุดเจ้าสาวรอคอยงานมงคล ผู้ใดจะทราบว่าพอถึงเวลาบุรุษคนนั้นกลับเปลี่ยนใจภายหลัง ด้วยความโกรธนางจึงสวมชุดเจ้าสาวออกมาโยนช่อแพร ป่าวประกาศว่าจะออกเรือนกับคนที่รับช่อแพรได้ รวมถึงยกทรัพย์สินทั้งหมดที่มีให้ ต้องการจะทำให้คนทรยศผู้นั้นนึกเสียใจไปชั่วชีวิต ด้านล่างหอแดงยามนั้นเรียกได้ว่ามีคนแห่แหนมากันแน่นขนัด กระหม่อมจำได้ว่าช่อแพรที่ถูกโยนลงมาร่วงห่างจากตัวฝ่าบาทไปเพียงสองจั้งเท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ”
เฮ่าอวิ๋นถูหัวเราะฮ่าๆ “ความจำเจ้าดีเหลือเกินนะ! ตอนได้พบหน้าครั้งแรก ข้าตกตะลึงนึกว่านางสวรรค์ ช่างงามจริงๆ! คิดไม่ถึงว่านางแข็งกร้าวถึงเพียงนั้น ช่างเป็นสตรีที่ไม่เหมือนใครจริงๆ ผู้ใดกันที่หักใจทอดทิ้งสตรีที่เลิศล้ำปานนี้ได้ ตอนนั้นข้าหวั่นไหวจริงๆ!”
ปู้สวินเอ่ยว่า “พ่ะย่ะค่ะ ตอนนั้นฝ่าบาทยกย่องให้นางเป็นโฉมงามอันดับหนึ่งแห่งเมืองหลวง เพียงแต่สุดท้ายนางก็เปลี่ยนใจภายหลัง สุดท้ายก็เลือกจะที่ไม่ฝืนใจตัวเอง ถึงแม้จะโยนช่อแพรออกไปแล้ว แต่ท้ายที่สุดนางก็ไม่ยอมออกเรือนกับคนที่รับช่อแพรนั้นได้ มอบเงินก้อนหนึ่งให้อีกฝ่ายเพื่อจบเรื่อง หากนางออกเรือนไปจริงๆ คงได้กลายเป็นตำนานเล่าขานอย่างแท้จริงพ่ะย่ะค่ะ!”
เฮ่าอวิ๋นถูเอ่ยรำพันอย่างสะท้อนใจเหลือคณา “ด้านหนึ่งคือโฉมงามที่ต้องตาแต่แรกพบ อีกด้านคือบ้านเมืองที่กำลังเผชิญกับการถูกรุกราน ศึกที่เขาเหล็กทมิฬ กองทัพที่แข็งแกร่งที่สุดของแคว้นฉีถูกกวาดล้างทั้งกองทัพ แคว้นฉีระดมกำลังจากทั่วแคว้นเพื่อสกัดกั้นการรุกรานจากศัตรู โฉมงามกับบ้านเมือง ข้าเลือกได้เพียงอย่างใดอย่างหนึ่ง น่าเสียดายเหลือเกิน!”
สำหรับเรื่องนี้ปู้สวินย่อมทราบดี เวลานั้นฝ่าบาทหมายตาราชบัลลังก์ กำลังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ ชื่อเสียงของก่วนฟางอี๋ย่ำแย่เกินไป ได้ชื่อว่าเป็นสตรีส่ำส่อน หากกล้ารับก่วนฟางอี๋เข้ามาจริงๆ เกรงว่าคงไร้วาสนาต่อราชบัลลังก์นี้แล้ว เลือกได้เพียงอย่างใดอย่างหนึ่งจริงๆ
หลังจากขึ้นครองบัลลังก์ ก็ยิ่งไม่สามารถรับตัวก่วนฟางอี๋ที่มีชื่อเสียงเช่นนั้นเข้าวังได้ หากไม่ได้ขึ้นครองราชย์ก็ยังออกไปเดินเตร่เมียงมองนอกวังได้ แต่หลังจากขึ้นครองราชย์ก็ไม่สามารถออกไปแอบดูได้แล้ว จะถูกคนคอยจับตามองทุกความเคลื่อนไหว ไม่อาจเข้าไปพัวพันใดๆ กับสตรีที่มีชื่อเสียงเช่นนั้นได้
ตำแหน่งจักรพรรดิดูเหมือนจะมีอำนาจเหนือแผ่นดิน แต่ความจริงกลับมีหลายสิ่งที่ทำไม่ได้และไม่ได้รับอนุญาตให้ทำ
“เอ๋” เฮ่าอวิ๋นถูเอ่ยถามอย่างคล้ายจะฉงนว่า “ข้าจำได้ว่าเจ้าเคยบอกว่าสตรีนางนั้นอายุมากแล้วมิใช่หรือ?”
ปู้สวินค้อมกายเอ่ยตอบ “บนโลกนี้ไม่มีความงามใดคงอยู่ชั่วนิรันดร์พ่ะย่ะค่ะ!”
เฮ่าอวิ๋นถูเอ่ยถาม “หนิวโหย่วเต้าอายุเท่าไร”
ปู้สวินเอ่ยตอบ “คล้ายจะเพิ่งยี่สิบต้นๆ พ่ะย่ะค่ะ”
มุมปากเฮ่าอวิ๋นถูกระตุกเล็กน้อย “ดอกไม้โรยราก็ยังเด็ดไป รสนิยมของหนิวโหย่วเต้าแปลกพิกลนัก!”
ปู้สวินกล่าวว่า “ฝ่าบาทเข้าใจผิดแล้วพ่ะย่ะค่ะ หงเหนียงอำลาวงการมิใช่เพราะถูกหนิวโหย่วเต้าเอาไปอยู่ด้วย หากแต่ลดตัวลงไปเป็นทาส เป็นบริวารรับใช้ของหนิวโหย่วเต้าพ่ะย่ะค่ะ”
เฮ่าอวิ๋นถูเอ่ยว่า “ก็กลายเป็นเนื้อใกล้ปากเขาไปแล้วอยู่ดี ต่างกันตรงไหน?”
“เอ่อ…” ปู้สวินไม่รู้ว่าควรจะตอบเขาอย่างไรดี แต่ก็มองออกว่าฝ่าบาทยังมีความกังวลอยู่เล็กน้อย
“ข้ามอบป้ายคำสั่งให้เขาไปแล้ว ไยเขายังไม่รีบกลับไป มาก่อเรื่องวุ่นวายอันใดอยู่ที่นี่อีก”
เฮ่าอวิ๋นถูฉงนเล็กน้อย หากเป็นเวลาปกติ บางทีเขาอาจจะไม่ใส่ใจ แต่พอทราบว่าโฉมงามที่ตนเคยหมายปองถูกอีกฝ่ายคว้าตัวไปแล้ว สุดท้ายยังคงรู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อยอยู่ดี ต่อให้รู้ดีว่าเป็นบุปผาโรยราสิ้นความงาม แต่ความแตกต่างมันอยู่ที่ว่าคนสุดท้ายที่ได้เด็ดนางไปครองไม่ใช่เขา
ที่เขามอบป้ายคำสั่งให้หนิวโหย่วเต้า เหตุผลหนึ่งเป็นเพราะชื่นชมหนิวโหย่วเต้า จึงอยากจะแสดงไมตรีต่ออีกฝ่าย อีกเหตุผลหนึ่งเป็นเพราะคำนึงถึงความปลอดภัยของหนิวโหย่วเต้าด้วย เพื่อที่หนิวโหย่วเต้าจะได้ไม่ต้องเสี่ยงอันตรายอยู่ที่นี่ เพื่อที่หนิวโหย่วเต้าจะได้กลับไปที่จังหวัดชิงซานโดยเร็ว
ปู้สวินกล่าวว่า “จะให้กลับไปทันทีที่ได้ป้ายคำสั่ง ในทางปฏิบัติน่าจะไม่อาจทำเช่นนั้นได้ น่าจะกำลังเตรียมการให้พร้อมอยู่พ่ะย่ะค่ะ”
เฮ่าอวิ๋นถูสูดหายใจคราหนึ่ง เอ่ยไปว่า “สตรีนางนั้นครองตัวเป็นโสดมานานขนาดนี้ เหตุใดจู่ๆ ถึงยอมสยบต่อหนิวโหย่วเต้าได้ ทั้งสองรู้จักกันมาก่อนหรือ?”
“เรื่องนี้กระหม่อมก็ไม่ทราบชัดเจนนักพ่ะย่ะค่ะ แต่สามารถไปสอบถามจากหนิวโหย่วเต้าได้พ่ะย่ะค่ะ” ปู้สวินเองก็ฉงนในเรื่องนี้เช่นกัน
เฮ่าอวิ๋นถูเงียบไปสักพัก จู่ๆ ก็เอ่ยเสียงแผ่วขึ้นมาช้าๆ “ปู้สวิน…”
“พ่ะย่ะค่ะ?” ปู้สวินเอ่ยตอบ “บ่าวน้อมรับคำสั่งพ่ะย่ะค่ะ”
เฮ่าอวิ๋นถูเอ่ยด้วยสีหน้าที่ค่อนข้างซับซ้อน “ข้าอยากเห็นนางอีกสักครั้ง เจ้าว่าจะเหมาะสมหรือไม่”
พอได้ยินประโยคนี้ ปู้สวินรู้สึกเหมือนได้ยกภูเขาออกจากอก
ผ่านมานานหลายปี สิ่งที่ปู้สวินรอคอยมาตลอดก็คือประโยคนี้
เนื่องจากก่วนฟางอี๋ในสมัยก่อนมีรูปเป็นทรัพย์ มีบุรุษมากมายคอยปกป้องดูแล จึงปลอดภัยไร้กังวล ทว่าหลังจากความงามโรยราก็ยังอยู่รอดในเมืองหลวงมาได้ตลอด เหตุผลไม่ได้เป็นเพราะโชคกับความระวัดระวังของตัวนางเท่านั้น
หากแต่เป็นเพราะตัวเขาทราบดีว่าใครบางคนยังคงมีความรู้สึกเสียดายติดอยู่ในใจเสมอมา บางทีสักวันหนึ่งอาจจะเกิดอารมณ์พลุ่งพล่านขึ้นมากะทันหันก็เป็นได้
เป็นเพราะปู้สวินคอยดูแลอย่างลับๆ มาตลอด ภัยอันตรายส่วนหนึ่งของก่วนฟางอี๋ถูกเขาเก็บกวาดอย่างเงียบเชียบ นี่คือความลับที่มีเพียงตัวเขาเท่านั้นที่รู้
ภายนอกดูคล้ายว่าฝ่าบาทจะลืมเลือนไปแล้ว แต่ปู้สวินทราบดีว่ามังกรล้วนมีเกล็ดย้อน คล้ายจะลืมเลือนหรือไม่สนใจมันก็เรื่องหนึ่ง แต่หากปล่อยให้ก่วนฟางอี๋เผชิญภัยร้ายแรงในเมืองหลวงแคว้นฉีจริงๆ ถ้าเกิดฝ่าบาทยังคิดถึงอดีตอยู่ พระองค์จะพิโรธโกรธเกรี้ยวเพียงใดก็ยังไม่อาจบอกได้
หลายปีที่ผ่านมานี้ ปู้สวินรอคอยวันนี้และรอคอยประโยคนี้มาตลอด ช่วยปกป้องดูแลแทนเขาอย่างลับๆ มาหลายปีเช่นนี้ เชื่อว่าฝ่าบาทก็คงจะสังเกตเห็นเช่นกัน ทว่าฝ่าบาทไม่เคยแสดงท่าทีใดๆ ออกมาเลย นับเป็นคนที่สามารถควบคุมความต้องการของตัวเองได้ดีคนหนึ่ง
อันที่จริงการไม่แสดงออกก็นับเป็นท่าทีอย่างหนึ่ง หากว่ากันในอีกมุมหนึ่งแล้ว หน้าที่ปกป้องดูแลสตรีโรยรานางนั้นไม่ใช่หน้าที่ของปู้สวินเลย
ตอนนี้เรื่องราวบางอย่างก็สมควรจบลงได้แล้ว
ที่วันนี้ปู้สวินเอ่ยถึงเรื่องนี้ก็เพราะอยากดูท่าทีของเขา ดูว่าจะเก็บไว้หรือปล่อยไป!
ครั้งนี้ปู้สวินไม่ได้เกลี้ยกล่อมให้เขาลองตรองดูใหม่ หากแต่ค้อมกายตอบไปว่า “กระหม่อมจะไปจัดการเดี๋ยวนี้พ่ะย่ะค่ะ!”
….
ณ เรือนเมฆาขาว ท่ามกลางศาลาอาคารเรียงราย เสียงพิณหยุดลงกะทันหัน ซูจ้าวที่กำลังบรรเลงพิณอยู่พลันตะลึงงันไปเช่นกันเมื่อได้ยินข่าวนี้
“หงเหนียงอำลาวงการไปเป็นข้ารับใช้หนิวโหย่วเต้าหรือ? เป็นข่าวลือหรือไม่?” ซูจ้าวแปลกใจ
ฉินเหมียนกล่าวว่า “ถึงจะน่าเหลือเชื่อไปบ้าง แต่ได้รับการยืนยันแล้วค่ะ หงเหนียงยอมรับด้วยตัวเอง หนิวโหย่วเต้าเองก็ย้ายเข้าไปอยู่ที่สวนไม้เลื้อยแล้วเช่นกัน”
ซูจ้าวยังคงรู้สึกเหมือนไม่อยากจะเชื่อ เอ่ยว่า “หนิวโหย่วเต้ามีความสามารถอันใดถึงสยบหงเหนียงแห่งสวนไม้เลื้อยได้?”
นางทราบว่าก่วนฟางอี๋คำนึงถึงเรื่องความปลอดภัย จึงแทบจะไม่ออกไปจากเมืองหลวงเลย ด้วยเหตุนี้คนในเมืองหลวงก็ยากจะบังคับข่มขู่ให้นางทำงานอันใดได้เช่นกัน ที่สำคัญคือหนิวโหย่วเค้าเป็นคนต่างแดนที่เพิ่งมาถึงที่นี่ ยังไม่มีอำนาจใดๆ ในที่แห่งนี้เลย เหตุใดถึงสยบงูเจ้าถิ่นอย่างหงเหนียงได้เล่า?
เรื่องนี้คงมีเหตุผลอื่นใดอยู่ด้วยกระมัง เป็นข้ารับใช้ของหนิวโหย่วเต้าเชียวนะ! ไฉนก่วนฟางอี๋ถึงยอมตกลงได้?
แล้วเพราะอะไรหนิวโหย่วเต้าถึงเลือกสยบก่วนฟางอี๋เล่า?
เรื่องนี้สร้างความตกตะลึงให้นางได้อีกครั้ง ทำให้นางตระหนักได้ถึงความไม่ธรรมดาของหนิวโหย่วเต้าอีกครั้ง
….
ณ ป่าทึบบนเขาสูง ภายในเรือนหลังหนึ่ง คุนหลินซู่ที่ร่างกายส่วนใหญ่รวมถึงใบหน้าครึ่งหนึ่งล้วนถูกพันผ้าเอาไว้นอนนิ่งอยู่บนเตียง ดวงตาที่ลืมได้เพียงข้างเดียวจ้องมองหลังคาอย่างเหม่อลอย
หั่วเฟิ่งหวงที่อยู่ข้างๆ มองท่าทางของเขา สีหน้าเศร้าหมอง
นางมิได้เศร้าหมองเพราะคุนหลินซู่เสียโฉมไปแล้ว สำนักเพลิงนภาชำนาญการใช้ไฟ ชำนาญการรักษาแผลไฟคลอกเป็นอย่างมาก ใส่ยาทำแผลเรียบร้อยแล้ว เชื่อว่าผลกระทบจากอาการบาดเจ็บคงจะไม่รุนแรงอะไรนัก แต่แน่นอน หากจะให้กลับไปเป็นเหมือนเดิมอย่างสมบูรณ์คงไม่มีทางเป็นไปได้แล้ว
เรื่องที่ทำให้นางเศร้าสร้อยอย่างแท้จริงคืออาการบาดเจ็บทางกายรักษาให้หายได้ แต่บาดแผลในใจเกรงว่าจะคงอยู่ชั่วชีวิต
นางรู้ดีว่าศิษย์พี่เป็นคนเย่อหยิ่งคนหนึ่ง ทว่าครั้งนี้กลับถูกหนิวโหย่วเต้าบดขยี้อย่างสิ้นเชิง ความเย่อหยิ่งนั้นถูกหนิวโหย่วเต้าทำลายลงอย่างสมบูรณ์แล้ว พ่ายแพ้อย่างน่าสังเวชนัก น่าสังเวชจนเกินไป พ่ายแพ้ในกระบวนท่าเดียว ถูกโจมตีโดยไม่สามารถตอบโต้กลับได้เลย
นางรู้ว่าศิษย์พี่มีสติรับรู้ได้อยู่ แต่เขากลับไม่ยอมพูดอะไรเลยสักประโยค ไม่ว่าผู้ใดจะถามอะไรก็ไม่ตอบทั้งสิ้น
ตอนที่เพิ่งบาดเจ็บกลับมา ตอนเผชิญถ้อยคำตำหนิติเตียนของอาจารย์ ศิษย์พี่ก็ไม่พูดอะไรเลยสักคำ ทำราวกับไม่ได้ยิน
ตอนนั้นแม้แต่เจ้าสำนักก็ตกใจเช่นกัน รุดมาดูอาการด้วยตัวเอง
เจ้าสำนักเพลิงนภามิใช่คนธรรมดาทั่วไป หากแต่เป็นคนที่มีตำแหน่งในหอเลือนสลัว ปกติแล้วศิษย์ธรรมดาทั่วไปจะพบหน้าสักครั้งล้วนแต่ยากเย็นนัก สำหรับคนส่วนใหญ่แล้ว เขาไม่ได้ต่างอะไรกับเทพเซียนเลย
เจ้าสำนักรู้สึกว่าเรื่องนี้ค่อนข้างแปลก จึงสอบถามศิษย์พี่อย่างละเอียดว่าเหตุใดถึงตามราวีหนิวโหย่วเต้าไม่เลิก ทว่าศิษย์พี่ไม่สนใจเจ้าสำนักเลย ไม่ยอมพูดอะไรทั้งนั้น เอาแต่นิ่งเงียบมองหลังคาเหมือนอย่างตอนนี้ ทำเอาท่านอาจารย์โมโหแทบตาย
แต่ข่าวคราวเกี่ยวกับหนิวโหย่วเต้าที่เอาชนะศิษย์พี่ได้คนนั้นก็ยังไม่เลือนหายไป นางเพิ่งจะได้ยินข่าวลือจากด้านนอกมา หนิวโหย่วเต้าได้สร้างเรื่องสะเทือนวงการผู้บำเพ็ญเพียรทั่วเมืองหลวงแคว้นฉีอีกครั้ง คิดไม่ถึงว่าหงเหนียงสตรีส่ำส่อนนางนั้นจะยอมอำลาวงการไปเป็นทาสรับใช้ของหนิวโหย่วเต้า ทำให้คนรู้สึกเหลือจะเชื่อจริงๆ
นางอยู่ข้างเตียงเล่าเรื่องนี้ให้ศิษย์พี่ฟัง ศิษย์พี่ที่ไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองต่อเรื่องใดๆ กลับมีการตอบสนองต่อเรื่องของหนิวโหย่วเต้า ทว่าก็เพียงปรายตามองนางเล็กน้อยเท่านั้น
….
รถม้าคันหนึ่งหยุดลงหน้าประตูสวนไม้เลื้อย
ก่วนฟางอี๋เดินกระวีกระวาดออกมาหา พอเห็นคนที่ลงมาจากรถม้าก็เข้าไปคารวะทันที หัวเราะร่าเอ่ยทักทาย “ลมอะไรหอบใต้เท้าหวังมาได้เจ้าคะ?”
ข้างรถม้า ใต้เท้าหวังที่รูปร่างกำยำคนนั้นเอ่ยถามว่า “หงเนียง ได้ยินว่าเจ้าขายตัวไปแล้วอย่างนั้นหรือ”
ทั้งสองพูดคุยหัวเราะกันอยู่ตรงนั้น
ในรถม้าคันหนึ่งที่อยู่ห่างไปไม่ไกล เฮ่าอวิ๋นถูที่อยู่ภายใต้เสื้อคลุมมีหมวกใช้สองนิ้วแง้มม่านหน้าต่างออก มองสตรีที่หัวเราะร่าปานบุปผาอยู่หน้าประตูสวนไม้เลื้อย
คนยังเป็นคนเดิม ข้อนี้เขายืนยันได้ แต่รูปโฉมเปลี่ยนแปลงไปไม่น้อย
ผิวพรรณที่จำได้ว่าเคยขาวผ่องเนียนเกลี้ยงเกลาดูหย่อนคล้อยแล้ว มีรอยเหี่ยวย่นปรากฏให้เห็น
เรือนร่างที่จำได้ว่าอ้อนแอ้นอรชรคล้ายจะท้วมขึ้นไม่น้อย
บุคลิกที่จำได้ว่าสง่างามสูงส่ง ต่อให้ถูกคนภายนอกลือเสียๆ หายๆ แค่ไหนก็ไม่เคยเปิดเสื้อเผยเนินอกเช่นตอนนี้ บุคลิกดูสูงส่งจนเอื้อมไม่ถึง ไหนเลยจะพูดคุยกับคนอื่นอย่างมีจริตจะก้านเช่นนี้
แม้จะทรงเสน่ห์เย้ายวน แต่ความงามกลับเทียบชั้นนางสนมในตำหนักของเขาไม่ได้เลย
ต่อให้เตรียมใจมาก่อนแล้ว แต่พอนำก่วนฟางอี๋มาเทียบกับสตรีที่อยู่ในความทรงจำของเขา ความเปลี่ยนแปลงนี้ยังคงทำให้เขาตั้งตัวไม่ทัน
ปู้สวินสังเกตปฏิกิริยาของเขาอย่างเงียบๆ
นิ้วมือที่แหวกม่านอยู่ค่อยๆ ปล่อยม่านลง เฮ่าอวิ๋นถูค่อยๆ หลับตาลง ถอนหายใจพลางกล่าวไปว่า “ไม่ควรมาดูเลย พบหน้าไม่สู้คะนึงหา บุปผาในใจโรยราไปแล้ว! ไม่จำเป็นต้องไปสอบถามหนิวโหย่วเต้าอีก ข้าทนฟังไม่ไหวแล้ว ปล่อยนางไปเถอะ!”
คำว่า ‘ปล่อยนางไปเถอะ’ แฝงความสะท้อนใจไร้สิ้นสุด
รถม้าเริ่มขยับ เคลื่อนที่จากไปอย่างไม่รีบร้อน
ก่วนฟางอี๋สังเกตเห็นรถม้าคันนี้แต่แรกแล้ว รู้สึกเช่นกันว่ารถม้าคันนี้ค่อนข้างประหลาด สังเกตเห็นว่าคนในรถม้าคันนี้คล้ายจะมองตนอยู่ นางกำลังแอบรู้สึกสงสัยอยู่เช่นกัน
ยามที่รถม้าเคลื่อนผ่านประตูสวนไม้เลื้อยไป ม่านรถม้าแหวกออกเล็กน้อยอีกครั้ง
ก่วนฟางอี๋สบตากับคนในรถม้าที่มองมาทางตน เป็นการสบตากันครั้งแรกในชีวิตของคนทั้งสอง
คนในรถม้าอยู่ภายใต้เสื้อคลุมมีหมวก ซ้ำยังอยู่หลังม่าน เผยใบหน้าออกมาครึ่งเดียวเท่านั้น มองเห็นใบหน้าของอีกฝ่ายไม่ชัดเจน แต่รู้สึกได้ถึงอารมณ์อันซับซ้อนในแววตาของอีกฝ่าย
คนรู้จักเก่าอย่างนั้นหรือ? ก่วนฟางอี๋สงสัยเล็กน้อย แต่รู้สึกว่าแปลกหน้ายิ่งนัก ไม่มีความทรงจำอยู่เลยแม้แต่นิดเดียว นางรู้สึกสงสัย มองตามรถม้าที่ดูธรรมดาคันนั้นเคลื่อนที่ออกไปไกล
…………………………………………………………………………