ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า - ตอนที่ 332 ชายหญิงอยู่ตามลำพัง
บทที่ 332 ชายหญิงอยู่ตามลำพัง
หงฝูเข้าใจความรู้สึกของเขา หากเป็นเช่นนั้นก็แปลว่าแทบจะสูญเสียอิสรภาพไปแล้ว ไม่เป็นผลดีต่อพวกเขาสามคนเลย แต่เรื่องนี้ก็ไม่ได้ขึ้นอยู่กับพวกนางเช่นกัน
“เบื้องบนย่อมชั่งน้ำหนักผลดีผลเสียมาแล้วถึงได้ตัดสินใจเช่นนี้ อีกอย่างเรื่องราวก็ยังไม่แน่นอน หากว่าเค้นความจริงออกมาแล้วเรื่องทั้งหมดไม่เกี่ยวข้องกับจ้าวสยงเกอเลย อีกทั้งหนิวโหย่วเต้าก็ไม่ได้มีสายสัมพันธ์แน่นแฟ้นอันใดกับปู้สวิน พวกเราย่อมไม่ต้องปกปิดชื่อแซ่หลบซ่อนตัวอีก ทางสำนักหยกสวรรค์ก็คงไม่มาตามเอาเรื่องพวกเราเพื่อคนตายที่ไม่ได้เป็นคนของสำนักตนเองหรอกเจ้าค่ะ” หงฝูเอ่ยโน้มน้าว
ลิ่งหูชิวหย่อนสองขาลงจากเตียง ถอนหายใจเอ่ยไปว่า “อันที่จริงมีเรื่องบางอย่างที่ข้าคิดไม่ตกจริงๆ ไม่เข้าใจว่าเพราะเหตุใดเบื้องบนถึงต้องการหาของชิ้นนั้นให้ได้ เพราะเหตุใดหลายปีมานี้ถึงตามสืบเสาะไม่ยอมเลิกรา ได้มาครองเพียงชิ้นเดียวแล้วจะมีประโยชน์อันใด?”
หงฝูกล่าวว่า “นายท่าน เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่พวกเราจะตัดสินใจได้นะเจ้าคะ”
“ในเมื่อเบื้องบนตัดสินใจแล้ว เช่นนั้นพวกเราก็ทำได้เพียงปฏิบัติตาม” ลิ่งหูชิวไพล่มือไว้ด้านหลัง เดินกลับไปกลับมาอยู่ในห้อง “ส่วนจะลงมืออย่างไรนั้น ต้องใคร่ครวญให้ถ้วนถี่ หากก่อเรื่องอึกทึกครึกโครมจนดึงดูดฝ่าซือพิทักษ์เมืองหลวงมาจริงๆ เช่นนั้นจะวุ่นวายใหญ่โตเอาได้”
หงฝูกล่าวว่า “อันที่จริงตอนนี้เป็นโอกาสเหมาะสำหรับลงมือเจ้าค่ะ ไม่มีผู้ใดอยู่ข้างกายเขา ปกติแล้วยามกินดื่มร่วมกับนายท่านเขาก็ไม่ได้ระแวดระวังอันใด วางยาให้เขาไร้เรี่ยวแรงก่อน จากนั้นค่อยจับกรอกโอสถเทพระทม ไม่มีทางเกิดเสียงอึกทึกครึกโครมขึ้นแน่นอนเจ้าค่ะ”
เมื่อพูดถึงว่าหนิวโหย่วเต้ากินดื่มร่วมกับตนอย่างไร้ความระแวง ในแง่หนึ่งก็แปลว่าอีกฝ่ายไว้วางใจในตัวเขา แต่เขากลับจะลงมือจัดการหนิวโหย่วเต้า ใจเขาใจเรา พอนึกๆ ดูแล้วลิ่งหูชิวก็รู้สึกทอดถอนใจอยู่พอสมควร จึงส่ายหน้าพลางถอนหายใจเบาๆ กล่าวไปว่า “เฮ้อ กับน้องชายเจ้าปัญหาคนนี้ ข้าทำได้เพียงขออภัยต่อเขาแล้ว”
ในเวลานี้เอง หงซิ่วหิ้วน้ำที่ไปตักเข้ามา เอ่ยว่า “นายท่าน ล้างหน้าก่อนเถอะเจ้าค่ะ” ว่าพลางเทน้ำลงในอ่าง
ลิ่งหูชิวเอ่ยถาม “เขายังไม่ออกมาหรือ?”
หงซิ่วตอบว่า “ยังไม่ออกมาเจ้าค่ะ เขาไปค้างคืนกับก่วนฟางอี๋ในเรือนของก่วนฟางอี๋จริงๆ เจ้าค่ะ”
สีหน้าของลิ่งหูชิวดูประหลาดใจขึ้นมาทันที มุมปากกระตุกเล็กน้อย เอ่ยพึมพำว่า “คนผู้นี้มีอารมณ์สุนทรีย์เสียจริง อะไรก็กินได้หมด!”
หงซิ่วและหงฝูสบตากันเล็กน้อย ย่อมทราบว่าเขาจะสื่อถึงเรื่องใด ก่วนฟางอี๋และหนิวโหย่วเต้าล้วนมิใช่เด็กน้อยสามขวบ ชายหญิงค้างคืนในเรือนด้วยกันตามลำพัง ยังจะทำเรื่องใดอีก ก็มีแต่เรื่องอย่างว่าแล้ว
เดิมทีเรื่องทำนองชายชอบพอหญิงพึงใจนั้นไม่ได้มีปัญหาอะไร ประเด็นสำคัญคือความแตกต่างด้านอายุระหว่างหนิวโหย่วเต้าและก่วนฟางอี๋ ไม่ว่าใครก็รู้สึกว่าแปลกกันทั้งนั้น
ดังนั้นในมุมมองของพวกเขา พวกเขาไม่กล้าชื่นชมรสนิยมของหนิวโหย่วเต้าจริงๆ พอนึกถึงเรื่องที่หนิวโหย่วเต้ามักจะพูดถึงพวกนางทั้งสองอยู่บ่อยๆ สองพี่น้องก็รู้สึกอึดอัดไปทั้งตัว
…..
ภายในลานเรือนด้านนอกมีเสียงปัดกวาดแว่วขึ้นมา ก่วนฟางอี๋ที่นั่งสมาธิอยู่ค่อยๆ ลืมตาขึ้น
ผ้าห่มผืนหนึ่งถูกปูไว้บนพื้น นางนั่งขัดสมาธิอยู่บนผ้าห่ม ส่วนหนิวโหย่วเต้านั่งขัดสมาธิเข้าสมาธิอยู่บนเตียง
เรื่องราวเป็นไปตามที่ตกลงกันไว้ก่อนหน้านี้ นางนอนบนพื้น เขานอนบนเตียง ไม่รบกวนกันและกันตลอดทั้งคืน
ก่วนฟางอี๋ลุกขึ้นมาจากพื้น ผ้าห่มที่อยู่บนพื้นถูกดึงม้วนแล้วหอบไว้ นางเหลือบมองหนิวโหย่วเต้าเล็กน้อย จากนั้นก็โยนม้วนผ้าห่มที่หอบไว้ใส่หนิวโหย่วเต้าที่อยู่บนเตียงทันที
หนิวโหย่วเต้าที่หลับตาอยู่พลันลืมตาขึ้นมาข้างหนึ่ง โบกแขนข้างหนึ่งปัดผ้าห่มที่กำลังจะคลุมลงบนหัวไปตกลงบนเตียงอีกด้านหนึ่ง
“เป็นบ้าอะไรแต่เช้า?” หนิวโหย่วเต้าถามอย่างเฉื่อยชา หย่อนเท้าลงจากเตียงเช่นกัน
ก่วนฟางอี๋ยิ้มเยาะ “ให้สตรีนอนบนพื้น เจ้ายังเป็นบุรุษอยู่หรือเปล่า?”
หนิวโหย่วเต้าหัวเราะฮ่าๆ เอ่ยไปว่า “ข้าอายุน้อยกว่ามิใช่หรือ เจ้าเป็นฝ่ายเสียสละให้ก็นับเป็นเรื่องปกติ”
นี่กำลังจะบอกว่าข้าแก่อย่างนั้นหรือ? ก่วนฟางอี๋ถลึงตาใส่ “ต่อไปเจ้านอนบนพื้น ข้าจะนอนบนเตียง”
หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “เกิดเป็นคนต้องรักษาคำพูด พูดแล้วจะคืนคำได้อย่างไร?”
ก่วนฟางอี๋เถียง “ก็ข้าไม่อยากรักษาคำพูดแล้ว เจ้าจะทำไมเล่า?”
“พอข้าวาดภาพให้เสร็จเจ้าก็กลับคำทันที นี่มันถีบหัวส่งชัดๆ!” หนิวโหย่วเต้าส่ายหน้าพลางจุ๊ปาก เหลียวมองเตียงเล็กน้อย “ข้าเห็นว่าเตียงหลังนี้ก็กว้างมากพอให้นอนสองคนได้ไม่มีปัญหา ถึงอย่างไรข้าก็ไม่ได้รังเกียจอยู่แล้ว ถ้าไงพวกเรามานอนเบียดกันดีไหม?”
“ฝันไปเถอะ บุรุษล้วนไม่มีดีสักคน!” ก่วนฟางอี๋เอ่ยดูแคลน แต่พอเอ่ยถึงภาพที่วาดเมื่อคืนขึ้นมา แววตานางก็อ่อนโยนลงไม่น้อย ใจก็อ่อนลงจริงๆ เพียงแค่ไม่แสดงออกมาเท่านั้น
นางหันหลังเดินไปนั่งลงหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง ส่องกระจกแล้วหวีผมประโคมโฉม
หนิวโหย่วเต้าเดินเอื่อยๆ ไปหยุดด้านหลังนาง ค้ำกระบี่ไว้เบื้องหน้า มองนางผ่านกระจก
“มองอะไร? ไม่เคยเห็นสตรีหรือไร?” ก่วนฟางอี๋ที่กำลังหวีผมอยู่จ้องมองหนิวโหย่วเต้าผ่านกระจกพลางเอ่ยหยอกประโยคหนึ่ง
หนิวโหย่วเต้าโน้มตัวลงมา สูดดมบริเวณไหล่ของนาง เอ่ยขึ้นริมหูนาง “ไม่เคยเห็นสตรีที่งามขนาดนี้มาก่อน”
เขายินดีเป็นฝ่ายใกล้ชิดนางก่อน บางเรื่องก็ต้องว่ากันไปตามจริง ตอนนี้เขาต้องการความช่วยเหลือจากนาง เลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องเอาอกเอาใจไว้บ้าง สตรีล้วนชอบฟังถ้อยคำรื่นหู
ก่วนฟางอี๋ถูกเขาหยอกก็หัวเราะคิกๆ “ปากหวานปานทาน้ำผึ้งไว้ มีเจตนาไม่ซื่อแน่นอน บอกมาตามตรงเถอะ เมื่อคืนเจ้าได้คิดเกินเลยกับข้าบ้างหรือไม่?”
เมื่อคืนนางสงบใจพักผ่อนไม่ลงเลย คอยลืมตามองหนิวโหย่วเต้าอยู่เป็นระยะๆ
บุรุษที่เคยค้างคืนร่วมห้องกับนางมีมากมาย มากจนตัวนางเองก็นับไม่กระจ่างแล้ว คนที่ยินดีมาร่วมห้องกับนาง เรื่องสงบใจอันใดไม่จำเป็นต้องพูดถึงแล้ว นางเคยชินไปตั้งนาน แต่สถานการณ์แบบเมื่อคืนนี้นางเพิ่งเคยประสบเป็นครั้งแรก หนิวโหย่วเต้าไม่ได้แตะต้องนางแม้แต่ปลายผม กระทั่งความคิดที่จะแตะต้องนางก็ไม่มี นี่กลับทำให้นางไม่คุ้นชิน จึงตั้งคำถามเช่นนี้ขึ้นมา
หนิวโหย่วเต้าตอบว่า “ไม่มี เจ้าวางใจหายห่วงได้”
ก่วนฟางอี๋หันกลับมาทันที จับสังเกตท่าทีของเขา
หนิวโหย่วเต้ายักไหล่ ท่าทางสื่อว่าไม่ได้พูดปดแน่นอน
ก่วนฟางอี๋หันกลับไปอีกครั้ง มองเงาสะท้อนของตนในกระจก ถอนหายใจเอ่ยไปว่า “แม้แต่เด็กหนุ่มวัยเลือดลมพลุ่งพล่านก็ยังไม่ต้องตาข้าเลยสักนิด จะไม่ยอมรับว่าแก่ก็คงไม่ได้แล้ว”
หนิวโหย่วเต้าผงะไปเล็กน้อย พลันนึกขึ้นมาได้ทันที ยิ้มเจื่อนพลางกล่าวว่า “สตรีอย่างพวกเจ้านี่นะ”
“สตรีมันเป็นอย่างไร?”
“ที่ข้าจะสื่อคือก่อนหน้านี้ใครบางคนยังด่าว่าบุรุษล้วนไม่มีดีอยู่เลย แต่พอบุรุษไม่มีความคิดเช่นนั้นกับนางจริงๆ นางก็ไม่พอใจขึ้นมาอีก เจ้าว่าสรุปแล้วเป็นบุรุษแย่หรือสตรีแย่กันเล่า”
“ย่อมต้องเป็นบุรุษที่แย่”
“ข้านึกถึงนิทานเรื่องหนึ่งขึ้นมา”
“นิทานอะไร เล่ามาสิ”
“ค่ำคืนหนึ่งมีฝนพรำ ชายหญิงคู่หนึ่งเข้าไปหลบฝนในเรือนหลังหนึ่งตามลำพัง ภายในเรือนมีเตียงหลังเดียวที่สามารถนอนได้ ส่วนที่เหลือล้วนเปียกชื้น ทั้งคู่จำเป็นต้องนอนร่วมเตียงกันอย่างไม่มีทางเลือก ฝ่ายหญิงระมัดระวังตัวขีดเส้นคั่นกลางบนเตียง บอกว่าผู้ใดข้ามเส้นผู้นั้นเป็นเดรัจฉาน รุ่งเช้าวันต่อมาพอตื่นขึ้นมา ฝ่ายหญิงพบว่าฝ่ายชายไม่ได้ข้ามเส้นเลยจริงๆ ไม่แตะต้องแม้แต่ปลายผม จึงตบฝ่ายชายไปฉาดหนึ่ง!”
ก่วนฟางอี๋ประหลาดใจ “ก็ไม่ได้ถูกล่วงเกินเลยมิใช่หรือ เหตุใดถึงตบเขาเล่า?”
หนิวโหย่วเต้าตอบว่า “ฝ่ายหญิงด่าว่าเทียบเดรัจฉานไม่ได้ด้วยซ้ำ!”
ก่วนฟางอี๋ตะลึงงัน หลังจากได้สติกลับมาก็หัวเราะดังฮ่าๆ หัวเราะปานบุปผาไหวกิ่ง ด่าไปว่า “พูดจาเพ้อเจ้อ!”
หนิวโหย่วเต้าเอ่ยถาม “พิณหมากตำราภาพ แบ่งระดับสูงกลางต่ำ ไม่ทราบว่าภาพที่ข้าวาดให้เจ้าเมื่อคืนนี้อยู่ระดับใด?”
ก่วนฟางอี๋หยุดหัวเราะ จ้องมองหนิวโหย่วเต้าผ่านกระจกอย่างมีนัยลุ่มลึกพลางเอ่ยว่า “อยากเอาชนะอย่างนั้นหรือ?”
“เกี่ยวอะไรกับอยากเอาชนะ?”
“เจ้าไม่อยากรู้หรือว่ามีบุรุษที่ได้ระดับสูงแล้วเคยเคล้าคลอกับข้าอยู่กี่คน? ข้าสามารถบอกเจ้าได้ แต่ข้าก็จำรายละเอียดได้ไม่ชัดเจนแล้วเช่นกัน ความสง่างามและความสามารถของคนบางคนสยบข้าได้จริงๆ เป็นข้าที่ยินดีทอดกายให้ บางครั้งก็เป็นความต้องการของข้าเอง อยากเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ของตนในขณะนั้นจึงต้องยอมฝืนใจ บางครั้งเป็นเพราะอีกฝ่ายมีฐานะภูมิหลังแข็งแกร่งเกินไป ถึงข้าอยากปฏิเสธก็ทำไม่ได้ นับว่าถูกบังคับขืนใจ ข้าไม่ได้อยากจะแปดเปื้อนเกินไปนัก แต่ก็ไม่ได้ใสสะอาดอย่างที่เจ้าคิด”
หนิวโหย่วเต้าเงียบไป สบตากับนางผ่านกระจก
ก่วนฟางอี๋พลันยื่นหวีในมือส่งไปด้านหลัง “ช่วยหวีผมให้ข้าที”
หนิวโหย่วเต้ายิ้มเจื่อน “ข้าทำไม่เป็น”
ก่วนฟางอี๋ถาม “รังเกียจข้าหรือ?”
หนิวโหย่วเต้าถอนหายใจเอ่ยไปว่า “มิใช่รังเกียจ แต่ไม่เคยหวีผมให้สตรีเลยจริงๆ โดยเฉพาะสตรีที่ทำทรงผมซับซ้อนแบบพวกเจ้า…”
ก่วนฟางอี๋เอ่ยตัดบท “เช่นนั้นก็เริ่มหัดเสียตอนนี้! เมื่อคืนข้าหงุดหงิดจนหุนหันพลันแล่นไป พอข้ามคืนไปถึงได้สติกลับมาบ้าง หากอยากให้ข้ารับใช้เจ้า มันก็ต้องมีเหตุผลให้ข้าได้เริ่มรับใช้เจ้าหรือเปล่า? อย่างน้อยก็ต้องไม่ทำข้ารู้สึกว่าตัวเองเสียเปรียบเกินไป มิใช่นั้นข้าคงไม่ยินดี”
“เหตุผลนี้ของเจ้าช่างยอดเยี่ยมเสียจริง!” หนิวโหย่วเต้าส่ายหน้า โยนกระบี่ออกไปแล้วรับหวีมา เริ่มหวีผมให้นาง มือไม้งุ่มง่ามเล็กน้อย
พอเขาลงมือทำ ก่วนฟางอี๋ก็อดหัวเราะไม่ได้ มองออกว่าคนผู้นี้ทำไม่เป็นจริงๆ
ผ่านไปครู่หนึ่ง ก่วนฟางอี๋เอ่ยขึ้นมาอีกครั้ง “เรื่องราวในอดีตของเจ้าข้าก็เคยได้ยินมาบ้าง ถังอี๋เจ้าสำนักสวรรค์พิสุทธิ์คือภรรยาคู่สมรสของเจ้าหรือ?”
“ในเมื่อได้ฟังมาหมดแล้วยังจะมีอะไรให้ถามอีก? ล้วนเป็นอดีตไปหมดแล้ว ไม่เกี่ยวข้องกันอีกต่อไป”
“ถังอี๋คนนั้นโง่งมนัก ทำเหมือนการแต่งงานเป็นเรื่องล้อเล่น โง่เหลือเกิน”
“เรื่องที่เจ้าสนใจนี่มีเยอะจริงๆ เลยนะ”
“เพียงรู้สึกทอดถอนใจเล็กน้อยเท่านั้น ต้องติดตามเจ้าง่ายๆ เช่นนี้ ข้ารู้สึกไม่สบอารมณ์เลยจริงๆ ข้าเฝ้ารอมาตลอด เพราะข้าไม่เชื่อว่าจะไม่มีบุรุษที่ดีต่อข้าอยู่เลยสักคน ผู้ใดจะคิดว่าสุดท้ายกลับกลายเป็นเช่นนี้”
“ด้วยความงามของตัวเจ้าแล้ว จะไม่มีบุรุษที่ดีต่อเจ้าได้อย่างไร บางทีเจ้าอาจจะไม่สังเกตเห็นหรือมองพลาดไปเท่านั้น”
“หากไม่สังเกตเห็นหรือมองพลาดไปได้ง่ายๆ จะนับว่าคนผู้นั้นดีต่อข้าได้อย่างไร?”
“แต่ละคนก็มีข้อดีต่างกันไป จุกจิกเกินไปก็ไม่ดี เจ้าเป็นเช่นนี้ก็ดีที่สุดแล้วมิใช่หรือ? เจ้าดูสิ เพราะเป็นเช่นนี้ถึงเฝ้ารอจนได้พบกับข้า! บางทีการรอคอยของเจ้าก่อนหน้านี้อาจจะเป็นเรื่องที่ถูกลิขิตเอาไว้แล้ว นั่นคืออยู่เพื่อรอการมาถึงของข้า!”
“ชิ พูดโน้มน้าวคนเช่นนี้ให้น้อยลงหน่อยเถอะ คำหวานรื่นหูข้าฟังมามากแล้ว เจ้าแต่งข้าได้หรือไม่?”
“ไม่ได้!”
“หากว่าข้ายังสาวกว่านี้สักสามสิบสี่สิบปีเล่า?”
“ชีวิตคนเราไม่มีหากว่า มีแต่ต้องเดินหน้าต่อไปเท่านั้น”
“รังเกียจที่ชื่อเสียงข้าแย่เกินไปจึงไม่แต่งอย่างนั้นหรือ?”
“เจ้าเอาอีกแล้วนะ พวกเรามาพูดเรื่องงานกันเถอะ”
“ไม่ ตอบข้ามา หากว่าข้าอายุน้อยกว่านี้สักสามสิบสี่สิบปี เจ้าจะแต่งกับข้าหรือไม่?”
“หงเหนียง ข้าว่าเจ้ายึดติดกับความคับข้องในใจตนมากเกินไปแล้ว ใครเขาจะสนใจกัน? ข้าพอจะเข้าใจแล้วว่าเพราะเหตุใดเจ้าถึงอยู่ในเมืองหลวงแห่งนี้มายาวนานหลายปี เพราะเจ้ามันหัวรั้นอย่างไรล่ะ! ได้ อย่างนั้นเจ้าตอบคำถามข้ามาก่อน”
“เจ้าว่ามาสิ”
“เจ้าบอกข้ามาสิว่าเหตุใดข้าถึงต้องแต่งกับเจ้า?”
“…..” ก่วนฟางอี๋ถูกตอกหน้าจนอ้ำอึ้งไป พูดไม่ออกไปชั่วขณะ นั่นสิ เพราะเหตุใดอีกฝ่ายถึงต้องแต่งกับนางเล่า? รูปโฉมงดงามจะใช่เหตุผลสำคัญในการแต่งกับคนผู้หนึ่งหรือ?
นางตกอยู่ในความเงียบ เรื่องราวในช่วงหลายปีที่ผ่านมาคล้ายจะหาคำตอบได้จากคำถามนี้แล้ว
หนิวโหย่วเต้าเห็นนางนิ่งเงียบไปนาน จึงคว้าเส้นผมนางแล้วดึงศีรษะนางเล็กน้อย “อย่ามัวแต่ตะลึง มาคุยเรื่องงานเถอะ”
“จะดึงทำไม ว่ามา!”
“ช่วยหาคนทำงานให้ข้าที”
…………………………………………………………………………