ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า - ตอนที่ 333 ประเจิดประเจ้อ
บทที่ 333 ประเจิดประเจ้อ
“คนงานแบบใด?”
“ก็คนที่รับงานต่อสู้ฆ่าฟันนั่นแหละ เพียงแต่มีข้อเรียกร้องเล็กน้อย ต้องเป็นคนงานที่เก็บความลับได้”
“ทำตัวมีลับลมคมใน คิดจะทำอะไรกัน?”
“ไม่ต้องถามว่าจะทำอะไร เจ้าแค่ช่วยจัดหาคนมาให้ข้าก็พอ”
“นี่เจ้าพูดเหลวไหลอะไรอยู่? ถ้าไม่รู้ว่าเจ้าจะทำอะไรแล้วผู้ใดจะกล้ารับปาก แล้วข้าจะหาคนได้อย่างไร จะให้คิดค่าจ้างอย่างไร?”
“ข้าก็บอกไปหมดแล้ว ขอคนที่ต่อสู้ฆ่าฟันเป็นก็ใช้ได้ เจ้าทำงานเป็นนายหน้า น่าจะรู้ดีว่าลูกค้าบางประเภทไม่อยากเปิดเผยความลับ หรือว่าหากคนเขาไม่บอกความลับ เจ้าก็จะไม่รับงาน?”
ก่วนฟางอี๋แค่นหัวเราะเหอะๆ “แล้วเจ้าใช่ลูกค้าหรือ? เจ้ากำลังหาประโยชน์จากข้าอยู่ชัดๆ หากข้าต้องตายก็ควรได้รู้สาเหตุการตายหรือเปล่า? หากไม่บอกมาให้ชัดเจนว่าเรื่องราวเป็นมาเช่นไร ข้าก็ไม่ทำ!”
หนิวโหย่วเต้าเงียบไปพักหนึ่ง สุดท้ายก็เอ่ยเนิบๆขึ้นมา “ข้าต้องการปล้นขบวนสินค้าทางทะเล!”
ก่วนฟางอี๋กะพริบตาปริบๆ ถามไปว่า “เจ้าต้องการคนมากแค่ไหน?”
หนิวโหย่วเต้าถามกลับ “เจ้าหามาได้มากแค่ไหน?”
ก่วนฟางอี๋ยิ้มนิดๆ เอ่ยออกมาสามคำ “ปล้นม้าหรือ?”
หนิวโหย่วเต้าที่กำลังหวีผมอย่างเก้ๆ กังๆ เงยหน้าขึ้นมา มองสตรีที่อยู่ในคันฉ่อง “รู้ได้อย่างไร?”
ก่วนฟางอี๋ตอบว่า “เจ้ามาเพื่อการใดยังต้องให้พูดอีกหรือ สำนักหยกสวรรค์ สำนักคีรีพิลาส สำนักเซียนสถิต สำนักเมฆาล่อง ศิษย์ของทั้งสี่สำนักล้วนมุ่งหน้ามาที่แคว้นฉี ไม่ใช่ว่าเจ้าหาคนทำงานให้ไม่ได้ หากแต่มีคนงานไม่เพียงพอต่างหาก แล้วขบวนสินค้าทางทะเลประเภทใดเล่าที่จำเป็นต้องใช้คนมากมายขนาดนี้?”
หนิวโหย่วเต้าหลุบตามองสตรีที่นั่งอยู่เบื้องหน้า ลองถามหยั่งเชิงอย่างใจเย็นว่า “แล้วปล้นม้าต้องใช้คนมากแค่ไหน?”
ก่วนฟางอี๋กล่าวว่า “กระทั่งคนของสี่สำนักที่อยู่ทางนี้ยังไม่เพียงพอให้เจ้าใช้ เห็นได้ชัดว่าจำนวนม้าศึกที่เจ้าต้องการปล้นมิใช่น้อยๆ แล้วก็จำเป็นต้องลงมือกับเรือทั้งหมดพร้อมกัน หากปล่อยให้ลำใดลำหนึ่งในกลุ่มส่งข่าวออกไปได้ ถึงเจ้าปล้นมาได้ก็ไม่มีประโยชน์ คนที่กล้าขนส่งม้าศึกจำนวนมากขนาดนั้นผ่านเส้นทางทะเลได้ แสดงให้เห็นว่ามีความสามารถในการระดมกำลังที่ไม่ธรรมดา จะต้องเป็นผู้มีอำนาจแน่นอน ขอเพียงมีข่าวหลุดรอดออกไป เกรงว่าเจ้ายังไม่ทันส่งของที่ปล้นกลับไปก็คงถูกดักเอาคืนระหว่างทางแล้ว งานนี้ยากจะจัดการได้!”
หนิวโหย่วเต้าเอ่ยไปว่า “ในเมื่อเข้าใจเรื่องราวดี เช่นนั้นข้าต้องการคนงานประเภทไหน ในใจเจ้าน่าจะรู้ดี”
ก่วนฟางอี๋ถามด้วยความสงสัย “ผู้ใดกันที่เคราะห์ร้ายขนาดนี้ เจ้าคิดจะปล้นม้าของผู้ใด?”
หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “ตอนนี้ยังไม่สะดวกจะบอกเจ้า”
ในเวลานี้เอง มีเสียงสาวใช้แว่วมาจากด้านนอก “นายหญิง เสิ่นชิวต้องการเข้าพบนายท่านเจ้าค่ะ”
หนิวโหย่วเต้ากำลังช่วยทำผมให้ก่วนฟางอี๋อยู่ ละมือไม่ได้ จึงตะโกนไปว่า “ให้เขาเข้ามาเลย”
ประตูเปิดออก เสิ่นชิวเดินเข้ามา
เขารู้ว่าหนิวโหย่วเต้าค้างคืนที่เรือนของก่วนฟางอี๋ ซ้ำยังมาเห็นตอนช่วยทำผมให้ก่วนฟางอี๋อีก สายตาที่เสิ่นชิวมองหนิวโหย่วเต้าค่อนข้างแปลกพิกล
“เจ้าสำนักส่งข่าวมาขอรับ” เสิ่นชิวหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งออกมา
หนิวโหย่วเต้าถาม “ด่วนหรือไม่?”
เสิ่นชิวตอบว่า “ไม่ด่วนขอรับ!”
หนิวโหย่วเต้าไม่สะดวกจะวางมือ “วางไว้ตรงนั้นแล้วกัน”
เสิ่นชิววางกระดาษไว้บนโต๊ะด้านข้าง หันหลังเดินออกไป ขณะที่กำลังจะก้าวพ้นจากประตูไปก็อดไม่ได้ที่จะหันกลับมามองอีกครั้ง มุมปากกระตุกเล็กน้อยอย่างควบคุมไม่ได้
สาวใช้เฝ้าประตูที่เดินเข้ามาเพื่อดึงบานประตูกลับไปก็มีสีหน้าแปลกใจหลังจากที่เห็นเหตุการณ์ภายในห้อง
ประตูปิดลงแล้ว ก่วนฟางอี๋อดขบขันไม่ได้ “ถูกคนอื่นพบเห็นตอนหวีผมให้สตรี ยิ่งเป็นสตรีอย่างข้าด้วยแล้ว เจ้าไม่กลัวจะถูกคนอื่นหัวเราะเยาะเอาหรือ?”
หนิวโหย่วเต้าตอบว่า “ผู้ใดอยากหัวเราะก็หัวเราะไป หากใส่ใจเรื่องแค่นี้ ข้าคงไม่ต้องใช้ชีวิตแล้ว”
ไม่ง่ายเลยกว่าทางนี้จะหวีผมให้นางเสร็จ หนิวโหย่วเต้าหันกลับไปหยิบจดหมายมาอ่านดู ส่วนก่วนฟางอี๋ก็นั่งเสียบปิ่นปักมวยผมอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้งต่อ
เสียงบ่นของก่วนฟางอี๋ที่ติเตียนว่าเขาไม่ช่วยทำผมให้นางจนเสร็จดังแว่วมา ทว่าหนิวโหย่วเต้าที่อ่านจดหมายอยู่ขมวดคิ้วพึมพำออกมาคำหนึ่ง “ผู้บำเพ็ญผี…”
เป็นจดหมายที่ทางกงซุนปู้ส่งมา คนที่จับตามองทางเกาะแห่งนั้นสังเกตเห็นว่ามีเรือมาชุมนุมกันราวห้าร้อยลำแล้ว ขณะเดียวกันก็มีผู้บำเพ็ญผีจำนวนมากปรากฏตัวขึ้นบนเกาะ เห็นได้ชัดว่าผู้บำเพ็ญเพียรที่จะมารับหน้าที่คุ้มกันเรือได้เดินทางมาถึงแล้ว
หนิวโหย่วเต้าใคร่ครวญดูเล็กน้อย ลอบรู้สึกตกตะลึง คนที่ช่วยขนส่งม้าศึกให้เซ่าผิงปอในครั้งนี้เตรียมตัวมาดีมากจริงๆ ลูกเรือเหล่านั้นมองไม่เห็นผู้บำเพ็ญผี แต่กลับรู้ว่ามีผู้บำเพ็ญผีอยู่ข้างกาย ไม่รู้เลยว่าถูกจับตามองอยู่หรือเปล่า แบบนี้พวกเขาย่อมไม่กล้าสร้างปัญหาแน่นอน
เมื่อเป็นเช่นนี้ก็จะช่วยประหยัดกำลังคนไปได้มาก มิเช่นนั้นต้องใช้คนมากเท่าไรถึงจะเพียงพอสำหรับจับตามองลูกเรือบนเรือทั้งห้าร้อยลำได้?
อีกฝ่ายวางแผนเตรียมการมารอบคอบสมบูรณ์ ทำให้เขาค่อนข้างประหลาดใจทีเดียว
ก่วนฟางอี๋ที่กำลังถือคันฉ่องบานเล็กหันซ้ายหันขวาพินิจดูทรงผมอย่างละเอียดเอ่ยถามขึ้นมา “ผู้บำเพ็ญผีอันใด?”
หนิวโหย่วเต้าขยำทำลายจดหมายทิ้ง ตอบไปว่า “เป้าหมายที่ข้าต้องการลงมือเสาะหาผู้บำเพ็ญผีจำนวนมากมาคุ้มกันเรือ ไม่รู้เหมือนกันว่าไปหามาจากไหน”
ก่วนฟางอี๋วางคันฉ่องบานเล็กลง จากนั้นประทินโฉมต่อ “ดูเหมือนเจ้าจะทราบสถานการณ์ของอีกฝ่ายชัดเจนดีทีเดียวนะ! อีกฝ่ายช่างเคราะห์ร้ายเหลือเกิน ส่วนเรื่องที่ว่าผู้บำเพ็ญผีมาจากไหน ในแคว้นฉีมีสถานที่แห่งหนึ่ง…” พอพูดมาถึงตรงนี้ นางก็ตัวแข็งทื่อไป ค่อยๆ หันกลับมามองหนิวโหย่วเต้า เอ่ยถามว่า “ม้าศึกที่เจ้าต้องการปล้นเกี่ยวข้องกับเถ้าแก่เนี้ยซูจ้าวแห่งเรือนเมฆาขาวอย่างนั้นหรือ?”
หนิวโหย่วเต้าผงะไป ค่อยๆ หันหลังเดินกลับมาอยู่ข้างกายนาง ถามไปว่า “เหตุใดถึงคิดว่าเกี่ยวข้องกับซูจ้าว?”
เขาก็ไม่ได้ตอบว่าไม่ใช่! เพราะอันที่จริงแล้ว ซูจ้าวมีส่วนเกี่ยวข้องกับม้าศึกด้วยหรือไม่ แม้แต่ตัวเขาเองก็ยังไม่ทราบแน่ชัด ไม่รู้เลยว่าเหตุใดสตรีนางนี้ถึงเชื่อมโยงเรื่องม้าศึกไปหาซูจ้าวได้
ก่วนฟางอี๋ตอบว่า “ก่อนหน้านี้เจ้าวาดภาพเหมือนของซูจ้าว”
หนิวโหย่วเต้าถามด้วยสีหน้าฉงน “วาดภาพเหมือนของนางแล้วเกี่ยวอันใดกับม้าศึก?”
ก่วนฟางอี๋กล่าวว่า “ในแคว้นฉีมีสถานที่แห่งหนึ่งนามว่าเขาลับแล เป็นแหล่งรวมตัวของผู้บำเพ็ญผีที่หาได้ยากในโลกนี้ ผู้นำของเขาลับแลคือกุ่ยหมู่ สมัยก่อนมีลูกน้องคนหนึ่งของซีย่วนต้าอ๋องเฮ่าอวิ๋นเซิ่งมาติดพันข้า เพื่อจะแสดงให้เห็นว่าตนเป็นคนสนิทของเฮ่าอวิ๋นเซิ่ง เขาจึงเผยความลับเรื่องหนึ่งให้ข้าฟัง แต่คนผู้นี้กลับโชคร้าย พอแยกจากข้าไปก็ถูกราชสำนักจับกุมตัว ไม่ทราบเช่นกันว่าไปทำอะไรไว้ คนที่ถูกจับตัวไปพร้อมกับเขาในครานั้นมีลูกน้องของเฮ่าอวิ๋นเซิ่งอยู่หลายคน เขาเป็นเพียงหนึ่งในบรรดาคนที่ถูกจับไปครั้งนั้น แต่ยังไม่ทันได้ถูกสอบสวนก็ล้มป่วยสิ้นชีพไปเสียก่อน ตายอย่างค่อนข้างมีเงื่อนงำ ด้วยเหตุนี้ข้าจึงจดจำเรื่องที่เขาเคยบอกได้อย่างชัดเจน”
หนิวโหย่วเต้าถาม “เขาบอกความลับใดต่อเจ้า? เกี่ยวข้องกับกุ่ยหมู่หรือ?”
ก่วนฟางอี๋กล่าวว่า “ครอบครัวของกุ่ยหมู่ยังมีชีวิตอยู่ นางมีเหลนชายคนหนึ่ง นามว่าจางสิงรุ่ย เป็นเจ้าหน้าที่ในสังกัดของซีย่วนต้าอ๋องเฮ่าอวิ๋นเซิ่ง ตามที่คนผู้นั้นเล่ามา คนที่ทราบความลับนี้มีอยู่น้อยจนนับนิ้วได้ พอเขาเอามาเล่าเช่นนั้น ข้าก็เลยเป็นหนึ่งในจำนวนคนที่ล่วงรู้ความลับนั้นด้วยพอดี”
“ซีย่วนต้าอ๋องเฮ่าอวิ๋นเซิ่ง…” หนิวโหย่วเต้าขมวดคิ้วพึมพำ
ก่วนฟางอี๋เอ่ยต่อไปว่า “ซูจ้าวเป็นนางห้ามของเฮ่าอวิ๋นเซิ่ง น่าจะรู้จักกับจางสิงรุ่ย ตอนนี้มีผู้บำเพ็ญผีกลุ่มหนึ่งโผล่มา อีกทั้งก่อนหน้านี้เจ้าก็ตั้งใจวาดภาพเหมือนของซูจ้าวอีก สองเรื่องนี้จะไม่เกี่ยวข้องกันได้หรือ?”
หนิวโหย่วเต้าเดินวนกลับไปกลับมาภายในห้อง ข้อมูลนี้อยู่เหนือความคาดหมายของเขาเป็นอย่างมาก จะบังเอิญขนาดนั้นจริงๆ น่ะหรือ เถ้าแก่เนี้ยซูจ้าวแห่งเรือนเมฆาขาวที่ไปมาหาสู่กับหยวนกังก็คือพี่จ้าวคนนั้นหรือ?
เขากังวลก็แต่ความปลอดภัยของหยวนกัง เพื่อป้องกันเอาไว้ก่อน เขาถึงได้วาดภาพเหมือนของซูจ้าวแล้วส่งไปให้เฉินกุยซั่วยืนยัน ตอนนี้ดูเหมือนจะเป็นคนเดียวกันจริงๆ ตอนนี้เหลือเพียงรอคำตอบจากเฉินกุยซั่วเพื่อยืนยันในขั้นสุดท้ายเท่านั้น
ซูจ้าวเข้าใกล้หยวนกังด้วยจุดประสงค์ใด? ตอนนี้เขาเป็นห่วงความปลอดภัยของหยวนกังที่สุด
แต่คิดไปคิดมาก็รู้สึกว่าผิดปกติ หากทราบถึงตัวตนที่แท้จริงของหยวนกังที่มาแฝงตัวในสถานที่แห่งนี้ นางก็ย่อมต้องทราบดีว่าหยวนกังมีความเกี่ยวข้องกับเขา สตรีคนนั้นคงไม่โง่ขนาดนั้นกระมัง รู้อยู่ชัดเจนว่าอาจจะทำให้เขาฉุกสงสัยได้ ไยถึงเข้ามาตีสนิทกับหยวนกังอย่างเปิดเผยอีก? ส่วนเซ่าผิงปอก็ยิ่งไม่มีทางโง่ถึงขนาดนั้น!
เขาไม่ค่อยเข้าใจเท่าไร เรื่องนี้ทำให้เขาสับสนขึ้นมาเล็กน้อย!
ก่วนฟางอี๋เห็นว่าท่าทางของเขาดูไม่คล้ายว่ากำลังตกใจที่ถูกตนจับทางได้เลย จึงอดถามไปด้วยความฉงนไม่ได้ว่า “หรือข้าจะเดาผิดไป?”
หนิวโหย่วเต้าที่เดินกลับไปกลับมาก้าวมาหยุดตรงหน้านาง เอ่ยว่า “ดูเหมือนการได้ตัวเจ้ามาจะมีประโยชน์กว่าที่ข้าคิดไว้เสียอีก!”
ก่วนฟางอี๋กลอกตาใส่ทีหนึ่ง
หนิวโหย่วเต้าโน้มตัวไปด้านหน้าเล็กน้อย เอ่ยไปว่า “เรื่องจางสิงรุ่ยคนนั้น ข้าอย่างรู้ประวัติส่วนตัวของเขา ยิ่งละเอียดมากเท่าไรก็ยิ่งดี…”
ด้านนอกเรือน ลิ่งหูชิวเดินนำหงซิ่วเข้ามา เพียงแต่ถูกยามที่เฝ้าอยู่หน้าประตูเรือนขวางไว้
ลิ่งหูชิวเอ่ยถามยามคนนั้น “หมายความว่าอย่างไร? เป็นหงเหนียงไม่ต้องการพบข้าหรือว่าเป็นหนิวโหย่วเต้าที่ไม่ต้องการพบข้า?”
ยามเฝ้าประตูตอบว่า “นายหญิงและนายท่านยังอยู่ในห้อง ยังไม่ลุกจากเตียง จึงไม่สะดวกจะเข้าไปรบกวน ท่านลิ่งหูน่าจะเข้าใจดี
“……” ลิ่งหูชิวเหลียวมองดวงตะวันที่ลอยสูงโด่งแล้ว หมดคำพูดเป็นอย่างยิ่ง จากนั้นมองเข้าไปในเรือนอีกครั้ง เขาอยากถามเหลือเกินว่าเมื่อคืนชายหญิงคู่นั้นระเริงรักกันไปมากขนาดไหน จนป่านนี้แล้วยังไม่ลุกจากเตียงกันอีกหรือ?
“เหลวไหล!” ลิ่งหูชิวหันหลังพลางเอ่ยพึมพำประโยคหนึ่ง ยกมือไพล่หลังยืนอยู่ตรงนั้น เฝ้ารออยู่หน้าประตู
ประเด็นสำคัญคือไม่รู้เลยว่าตอนนี้ชายหญิงคู่นั้นกำลังทำอะไรกันอยู่ ไม่สะดวกจะรบกวนจริงๆ
หลังจากรออยู่พักใหญ่ เสียงของหนิวโหย่วเต้าก็แว่วมาจากด้านหลัง “พี่รอง มัวยืนทำอะไรอยู่หน้าประตู?”
ลิ่งหูชิวและหงซิ่วหันกลับไปมอง เห็นหนิวโหย่วเต้าและก่วนฟางอี๋เดินจูงมือกันออกมา ฝ่ายก่วนฟางอี๋ยังคล้องแขนของหนิวโหย่วเต้าอย่างสนิทแนบชิดเป็นอย่างมาก หัวเราะต่อกระซิกกันออกมา
คนมีปัญญาเพียงมองดูก็เข้าใจแล้ว หลังจากผ่านค่ำคืนเมื่อวานมา เห็นได้ชัดว่าความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองไม่ธรรมดาแล้ว แทบจะโอบกอดกันต่อหน้าคนอื่นแล้ว ประเจิดประเจ้อนัก!
“ไอ๊หยา ก็รอพวกเจ้าอยู่น่ะสิ” ลิ่งหูชิวหัวเราะเฮอะๆ จากนั้นก็ถามหยอกเย้า “ค่ำคืนของทั้งสองผ่านไปด้วยดีหรือไม่?”
หนิวโหย่วเต้าเพียงยิ้มแต่ไม่ตอบ
“ชิ่วๆ!” ก่วนฟางอี๋เอ่ยเหยียดลิ่งหูชิวเล็กน้อย จากนั้นก็หันกลับไปมองหนิวโหย่วเต้าด้วยสีหน้ารักใคร่หลงใหล
เหตุการณ์นี้ทำให้สองนายบ่าวที่เฝ้ารออยู่หน้าประตูรู้สึกขนลุกขึ้นมา
ก่วนฟางอี๋หันไปเอ่ยสั่งชายฉกรรจ์ที่เดินเข้ามาจากด้านข้าง “เหล่าลิ่ว นับตั้งแต่วันนี้ไปให้เพิ่มคนคอยติดตามคุ้มกันน้องหนิวอย่างใกล้ชิด อาหารการกินทุกอย่างของนายท่านต้องได้รับการตรวจสอบอย่างละเอียดทุกอย่าง อย่าปล่อยให้ใครหน้าไหนฉวยโอกาสลงมือได้”
ลิ่งหูชิวและหงซิ่วสบตากันทันที
“ขอรับ!” ชายฉกรรจ์คนนั้นตอบรับ
ลิ่งหูชิวลองถามหยั่งเชิงดู “หงเหนียง สั่งการอย่างจริงจังขนาดนี้หมายความว่าอย่างไรกัน?”
หนิวโหย่วเต้าลูบจมูกพลางเอ่ยว่า “หงเหนียง นี่เจ้าคิดจะจับตามองข้าหรือ?”
“จับตามองอะไรกัน ไม่ว่าพวกเจ้าจะเชื่อหรือไม่ก็ตาม แต่ข้ายังคงยืนยันเช่นเดิมว่าจินอ๋องคนนั้นเป็นคนถ่อยเจ้าคิดเจ้าแค้น เขาไม่มีทางยอมปล่อยเจ้าไปง่ายๆ แน่” สายตาของก่วนฟางอี๋เคลื่อนไปหยุดที่ใบหน้าหนิวโหย่วเต้า แสดงท่าทางรักใคร่หลงใหลอีกครั้ง “ข้าไม่อยากให้เกิดเหตุร้ายขึ้นกับเจ้า เพราะเจ้ารับปากแล้วว่าจะแต่งกับข้า!”
ลิ่งหูชิวและหงซิ่วตกตะลึง
หนิวโหย่วเต้าก็ตะลึงไปเล็กน้อย จ้องมองสตรีนางนี้ อยากถามนางเหลือเกินว่าข้าไปรับปากแต่งกับเจ้าตอนไหนกัน? ตอนตกลงกันไว้ไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องนี้เลย!
แต่จะปฏิเสธต่อหน้าคนอื่นก็ไม่ได้เช่นกัน!
“ข้ากำลังจะพาเขาไปเดินเล่นทั่วสวนไม้เลื้อย เพื่อทำความคุ้นเคยกับบ้านของตนไว้ พวกเจ้าจะไปด้วยกันหรือไม่?” ก่วนฟางอี๋ยิ้มอย่างมีความสุขพลางเอ่ยถามลิ่งหูชิว
ลิ่งหูชิวยิ้มแห้งๆ เอ่ยไปว่า “พวกเจ้าไปเดินเล่นเถอะ พวกเราไม่รบกวนความสุขของพวกเจ้าแล้ว”
หนิวโหย่วเต้าพลันถูกลากให้ออกเดินจนตัวเซถลา!
…………………………………………………………………………..