ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า - ตอนที่ 335 ชื่อเสียงที่ร่ำลือกันภายนอก
ตอนที่ 335 ชื่อเสียงที่ร่ำลือกันภายนอก
ปู้สวินค้อมกายเล็กน้อย กล่าวไปว่า “ทูลฝ่าบาท เขายังไม่ออกจากเมืองหลวง ยังอยู่ในเมืองหลวงพ่ะย่ะค่ะ”
“ยังไม่ไปหรือ?” เฮ่าอวิ๋นถูฉงน สงสัยว่าเหตุใดหนิวโหย่วเต้ายังไม่ไปอีก อีกฝ่ายมาที่แคว้นฉีเพราะเรื่องม้าศึก แต่ปัญหาทางแคว้นฉีเขาก็ช่วยจัดการให้หนิวโหย่วเต้าไปแล้ว เหตุใดถึงยังรั้งอยู่ไม่ยอมจากไปอีก? ที่สงสัยยิ่งกว่าคือแค่อีกฝ่ายยังไม่ไป เหตุใดถึงทำให้ปู้สวินอึกอักลังเลได้ “เพราะอะไรถึงยังไม่ไป? ปู้สวิน เจ้ามีเรื่องใดปิดบังข้าอยู่?”
ปู้สวินยิ้มเจื่อนอยู่ในใจ เขาไม่อยากเอ่ยเรื่องนี้กับฝ่าบาท ดังนั้นจึงปิดเงียบมาโดยตลอด ตอนนี้กลับถูกถามเข้าแล้ว จึงจำเป็นต้องพูดออกไป มิเช่นนั้นจะมีโทษฐานปิดบังเบื้องสูง เขาค้อมกายพลางเอ่ยออกไปอีกครั้งว่า “ทูลฝ่าบาท หนิวโหย่วเต้าติดพันด้วยเรื่องความรัก ได้ยินว่าจะแต่งกับหงเหนียง…”
ความรู้สึกสงสัยอยากสืบสวนเค้นเอาความจริงที่เพิ่งปรากฏขึ้นบนร่างเฮ่าอวิ๋นถูพลันหยุดนิ่งลงทันที สีหน้าเพ่งพินิจอย่างเย็นชาก็สลายหายไปในทันใด เขาเอ่ยถามว่า “หนิวโหย่วเต้าจะแต่งกับหงเหนียง? เจ้าแน่ใจหรือ? มิใช่ไปเป็นบ่าวรับใช้หรือ? เหตุใดกลายเป็นแต่งกับนางไปได้?”
ปู้สวินตอบว่า “ข่าวแพร่ออกไปแล้ว แล้วก็ได้รับการยืนยันแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ในที่สุดเฮ่าอวิ๋นถูก็เข้าใจแล้วว่าเหตุใดปู้สวินจึงไม่เอ่ยถึงเรื่องนี้ เพราะครั้งก่อนเขาเคยกล่าวไว้ เขาทนฟังเรื่องของหงเหนียงไม่ได้แล้ว แต่พอไม่อยากนึกถึงก็ดันถูกขุดคุ้ยขึ้นมาอีก ยิ่งคิดไม่ถึงเลยว่าผลลัพธ์จะเป็นเช่นนี้ไป
เขาหันหลังมองไปยังเมืองหลวงที่เต็มไปด้วยแสงไฟสว่างไสวอีกครั้ง ไม่พูดไม่จาอยู่นานพักใหญ่ ไม่ทราบเช่นกันว่าเขาคิดอะไรอยู่ แต่อารมณ์ที่ฉายอยู่ในแววตาซับซ้อนยิ่ง
ผ่านไปสักพักใหญ่ เขาถามว่า “รั้งอยู่ในเมืองหลวงเพื่อจัดงานวิวาห์หรือ?”
ปู้สวินตอบว่า “ตอนนี้ยังไม่มีวี่แววของเรื่องนี้พ่ะย่ะค่ะ ตอนนี้ทั้งสองพักอาศัยอยู่ในเมืองหลวง เที่ยวเล่นไปทั่วดูเหมือนจะยังเที่ยวไม่หนำใจพอพ่ะย่ะค่ะ!”
เฮ่าอวิ๋นถูเม้มปากเล็กน้อย เดิมทีเขาคิดจะบอกว่าหากจัดงานวิวาห์จริง เขาจะให้ปู้สวินส่งของขวัญไปในนามของใครสักคนเพื่อแสดงถึงความใจกว้างของตน แสดงให้เห็นว่าตนปล่อยวางแล้ว คิดไม่ถึงว่าคนเขายังอยู่ในช่วงพลอดรัก ภาพของโฉมงามในชุดเจ้าสาวกำลังเสี่ยงช่อแพรอยู่ผุดขึ้นมาในหัวอีกครั้ง ปากเอ่ยเนิบๆ ไปว่า “ข้าคือฮ่องเต้แคว้นฉี ไม่มีทางยึดติดกับเรื่องรักใคร่ชายหญิง! ใบอนุญาตสิบแผ่นนั้นเป็นอย่างไรบ้าง?”
ปู้สวินกล่าวว่า “อยู่ในช่วงปล้นชิงกันอย่างดุเดือดแล้วพ่ะย่ะค่ะ มีคนตายไปไม่น้อย ทิศทางของใบอนุญาตเองอยู่ในการควบคุมของพวกเราตลอด มีสามสำนักใหญ่คอยประสานงานอย่างลับๆ ไม่ว่าแผ่นไหนก็ไม่มีหลุดรอดออกไปจากแคว้นฉีได้ง่ายๆ พ่ะย่ะค่ะ…”
ฟ้ามืดมิด บรรพตสูง ท้องฟ้าเต็มไปด้วยหมู่ดาวราวกับอยู่เพียงเอื้อม แต่พอไปถึงสุดปลายยอดเขากลับพบว่ายังคงอยู่ไกลเกินไขว่คว้า
เฮยหมู่ตานเงยหน้ามองดวงดาว ลมพัดกระโปรงไหว
นางและกงซุนปู้นำกำลังคนมาดักซุ่มอยู่ที่นี่ รอคอยแผนการขั้นต่อไปของหนิวโหย่วเต้า ผู้ใดจะทราบว่าแผนการขั้นต่อไปยังไม่ทันส่งมาก็ได้ข่าวว่าหนิวโหย่วเต้าจะแต่งงานกับก่วนฟางอี๋แล้ว
ข่าวที่ถูกส่งกลับมาจากเสิ่นชิวได้ยืนยันแล้วว่าเรื่องราวเกิดขึ้นกะทันหันเป็นอย่างยิ่ง วันนั้นหนิวโหย่วเต้าไปพบก่วนฟางอี๋ ตกคืนนั้นก็ไปค้างคืนร่วมกับนาง วันต่อมาก็คล้ายจะตัดสินใจแต่งกับก่วนฟางอี๋เลย
เฮยหมู่ตานไม่รู้ว่าหนิวโหย่วเต้ากำลังเล่นเล่ห์อันใดอยู่ แต่ถึงขนาดมีข่าวแต่งงานออกมาแบบนี้ มันออกจะเกินไปหน่อยหรือเปล่า
นางรู้แก่ใจดี ระหว่างตนกับหนิวโหย่วเต้าไม่ได้มีความสัมพันธ์เชิงชู้สาวอันใดเลย ไม่มีเรื่องอารมณ์รักใคร่ชายหญิงอันใดด้วย แต่กลับรู้สึกหงุดหงิดใจอย่างบอกไม่ถูก อยากอยู่คนเดียวเพื่อสงบสติอารมณ์ ทำความเข้าใจเรื่องนี้ให้ดีๆ
…..
ทางแคว้นฉียังคงอยู่ในช่วงเวลาค่ำคืน ทว่าจังหวัดชิงซานที่อยู่ทางแคว้นเยี่ยนพระอาทิตย์กำลังจะขึ้นแล้ว
เสียงฝีเท้าม้าแว่วดังขณะที่ควบทะยานออกจากหุบเขา ซางซูชิงรวมถึงเฟ่ยฉางหลิว เจิ้งจิ่วเซียวและเซี่ยฮวาสามเจ้าสำนักออกมาส่งพวกซางเฉาจงจากไปพลางมองตามหลังไป
ซางเฉาจงเองก็ตกใจเพราะข่าวแต่งงานของหนิวโหย่วเต้าเช่นกัน
ฝ่ายที่ได้รับความตกใจก่อนคือสำนักหยกสวรรค์
พอเอ่ยถึงเรื่องนี้ สำนักหยกสวรรค์ก็โมโหอยู่เล็กน้อย
เดิมทีส่งเฟิงเอินไท่ไปถามหนิวโหย่วเต้าเลยก็จบแล้ว แต่เฟิงเอินไท่กลับไม่อยู่ข้างกายหนิวโหย่วเต้า คิดไม่ถึงเลยว่าไอ้โง่คนนั้นจะคว้าของที่พยายามสลัดทิ้งไปอย่างยากลำบากกลับมาอีก จากนั้นก็ต้องหาทางโยนภาระทิ้งไปอีกครั้ง มีคนมารับช่วงต่อไปแล้วก็จริง ทว่าคนที่รับช่วงต่อรู้สึกว่าพฤติกรรมของสำนักหยกสวรรค์ผิดปกติ จึงตามไล่ล่าสังหารศิษย์ของสำนักหยกสวรรค์อยู่พักใหญ่เพราะต้องการฆ่าปิดปาก! สุดท้ายก็มีกลุ่มอิทธิพลอื่นเข้ามาแทรกแซงปล้นไป ถึงทำให้เหล่าศิษย์สำนักหยกสวรรค์ที่อยู่ทางแคว้นฉีพ้นภัยมาได้
แต่ถึงจะเป็นเช่นนี้ก็ทำให้สำนักหยกสวรรค์สูญเสียศิษย์ชั้นเลิศไปไม่น้อย ทำให้เผิงโย่วไจ้โมโจนแทบกระอักเลือด
แต่แน่นอน สำนักหยกสวรรค์ยังมีแผนสำรองอยู่ แล้วก็มีศิษย์ที่แฝงตัวอยู่ในแคว้นฉีที่ยังไม่เปิดเผยตัวออกมา ดังนั้นถึงได้รับแจ้งข่าวเรื่องหนิวโหย่วเต้าจะแต่งก่วนฟางอี๋ สำนักหยกสวรรค์รีบมาหาทางซางเฉาจงเพื่อสอบถามยืนยันสถานการณ์ทันที
การแต่งงานเป็นเรื่องปกติของมนุษย์ ไม่มีผู้ใดว่าอะไรได้ แต่ฐานะของก่วนฟางอี๋ชวนให้คนพูดไม่ออกจริงๆ
หลังจากได้ทราบถึงฐานะตัวตนของก่วนฟางอี๋ ซางเฉาจงเองก็ตกตะลึงมากเช่นกัน ไม่อยากเชื่อเลยว่าหนิวโหย่วเต้าจะแต่งกับสตรีประเภทนี้ ด้วยเหตุนี้จึงมาขอคำยืนยันจากทางนี้
ทว่าทางฝั่งสามสำนักรวมถึงคนของสำนักเบญจคีรีก็ไม่ทราบถึงเจตนาของหนิวโหย่วเต้าเช่นกัน ทราบเพียงว่ามีเรื่องนี้จริง
หลังจากเฝ้ามองพวกพี่ชายจากไปแล้ว ซางซูชิงหันกลับมา เอ่ยถามเจ้าสำนักทั้งสาม “หงเหนียงคนนั้นงดงามมากหรือ?”
เจ้าสำนักทั้งสามสบตากัน มาพูดเรื่องงดงามไม่งดงามอันใดต่อหน้าท่านหญิงผู้นี้ดูเหมือนจะไม่ค่อยเหมาะสมสักเท่าไร
ทว่ายังคงต้องเผชิญหน้ากับความจริงอยู่ดี เฟ่ยฉางหลิวกล่าวว่า “สมัยก่อนตอนกระหม่อมยังไม่ได้รับสืบทอดตำแหน่งเจ้าสำนักเซียนสถิต กระหม่อมเคยไปท่องเที่ยวที่แคว้นฉี ถึงแม้จะไม่เคยพูดคุยทำความรู้จักกับหงเหนียงคนนั้น แต่หลังจากได้ยินชื่อเสียงก็เคยไปพบมาแล้ว ต้องยอมรับเลยว่าเป็นสตรีเลอโฉมคนหนึ่งที่หาได้ยากในโลกใบนี้พ่ะย่ะค่ะ”
เจิ้งจิ่วเซียวพยักหน้าพลางเอ่ยว่า “สมัยก่อนกระหม่อมก็เดินทางไปยลโฉมเพราะได้ยินชื่อเสียงของนางเช่นกัน งดงามมากจริงๆ จะบอกว่าเป็นโฉมงามแห่งยุคก็คงไม่เกินไป มีคนมาชอบพอมากมาย! แต่นั่นก็เป็นเรื่องในอดีตเมื่อนานมาแล้ว ส่วนตอนนี้รูปโฉมจะเป็นอย่างไรก็ไม่ทราบแน่ชัดพ่ะย่ะค่ะ”
“ชิ!” เซี่ยฮวาส่งเสียงหยามหยันทันที มองคนทั้งสองด้วยหางตา เอ่ยด้วยสีหน้าดูแคลน “สตรีนางนั้นคือนังแพศยาไร้ยางอาย คิดไม่ถึงว่าพวกท่านจะถ่อไปไกลเพื่อยลโฉมนาง บุรุษอย่างพวกท่านมันก็เหมือนๆ กันหมด คิดไม่ถึงว่าคนอย่างพวกท่านจะกลายเป็นเจ้าสำนักผู้มีเกียรติได้!”
คำพูดนี้ทำให้ทั้งสองค่อนข้างกระอักกระอ่วน
เฟ่ยฉางหลิวแก้ตัวว่า “ตอนนั้นออกท่องเที่ยวหาประสบการณ์ เลยถือโอกาสแวะไปดูเท่านั้น ไม่ได้เลวร้ายอย่างที่ท่านว่าเลย”
เจิ้งจิ่วเซียวกล่าวว่า “เมื่อออกท่องเที่ยวหาประสบการณ์ หากไม่ไปยลของเลื่องชื่อ ยังจะนับเป็นการท่องเที่ยวหาประสบการณ์อยู่หรือ?”
ซางซูชิงเงยหน้ามองคฤหาสน์พำนักของหนิวโหย่วเต้าที่อยู่บนยอดเขาไกลออกไป สีหน้าหม่นหมองเล็กน้อย คาดว่าหากไปช่วยหวีผมเกล้าผมให้หนิวโหย่วเต้าอีกคงไม่เหมาะสมแล้ว จะทำให้ผู้มาใหม่เข้าใจผิดได้ง่ายๆ ดูเหมือนตนไม่เหมาะจะพักอยู่ที่นั่นอีกต่อไปแล้ว
“เฮอะ สมัยก่อนข้าก็เคยไปเยือนเมืองหลวงแคว้นฉีเช่นกัน เหตุใดข้าถึงไม่ไปชมของเลื่องชื่อเล่า? ท่านหญิง อย่าสนใจบุรุษเน่าเหม็นพวกนี้เลยเพคะ!” เซี่ยฮวายื่นมือออกไปคว้าแขนซางซูชิงเดินจากไป
ทิ้งให้เฟ่ยฉางหลิวและเจิ้งจิ่วเซียวมองหน้ากันอยู่ตรงนั้น
เฟ่ยฉางหลิวเอ่ยถาม “เจ้าคิดเห็นอย่างไรกับเรื่องนี้?”
เจิ้งจิ่วเซียวกล่าวว่า “เรื่องส่วนตัวของเขา ข้าจะมีความเห็นอะไรได้? แต่หากว่ากันในอีกมุมหนึ่ง เต้าเหยี่ยของพวกเราร้ายกาจนัก หากตัดเรื่องชื่อเสียงอะไรนั่นออกไป ดอกฟ้าที่บุรุษมากมายไม่เคยเด็ดมาครอบครองได้ตลอดหลายปีมานี้ แต่พอคนผู้นั้นลงมือก็ทำสำเร็จทันที ทำในสิ่งที่คนอื่นทำไม่ได้ นี่ก็นับเป็นความสามารถเช่นกัน!”
เฟ่ยฉางหลิวส่ายหน้าไปมา สีหน้ายิ้มไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก ทางเมืองหลวงแคว้นฉีเกิดเรื่องขึ้นอย่างต่อเนื่อง เริ่มจากท้าสู้ ตามด้วยใบอนุญาตส่งออกม้าศึก ตามมาด้วยการจัดประมูล จากนั้นก็ทำร้ายศิษย์สำนักเพลิงนภา ทำให้คนทางนี้อกสั่นขวัญแขวนแทนคนผู้นั้นจริงๆ สุดท้ายช่างดีนัก ไม่ทันไรก็ก่อเรื่องเช่นนี้ขึ้นอีก ครั้งนี้มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วหล้าอีกครั้งแล้ว
“ปกติเห็นเป็นคนที่ใช้ชีวิตเงียบๆ คนหนึ่ง แต่เรื่องที่ทำกลับไม่มีเรื่องไหนที่จะเก็บไว้เงียบๆ ได้เลย มักจะก่อเรื่องที่สร้างชื่อสะเทือนใต้หล้าอยู่บ่อยครั้ง คนพิเศษมักจะทำเรื่องเหนือความคาดหมายอยู่เสมอจริงๆ! ท่านมองออกหรือไม่ ท่านหญิงดูเหมือนจะมีใจให้หนิวโหย่วเต้า” เขาหันไปมองแผ่นหลังของซางซูชิงที่เดินจากไปพลางบุ้ยปากเล็กน้อย
ระยะนี้มีข่าวเรื่องหนิวโหย่วเต้าเผชิญปัญหาถูกส่งกลับมาอยู่เนืองๆ ปฏิกิริยาท่าทีของซางซูชิงล้วนอยู่ในสายตาของพวกเขา หากยังมองอันใดไม่ออกอีก เช่นนั้นก็นับว่าหลายปีมานี้พวกเขาใช้ชีวิตอย่างเสียเปล่าแล้ว
เจิ้งจิ่วเซียวเองก็หันไปมองเช่นกัน “คนหนุ่มคนสาวอยู่ร่วมกันนานวันเข้า การจะเกิดความรู้สึกขึ้นมามันก็พอเข้าใจได้ แต่หากว่ากันในอีกมุมหนึ่งแล้ว ถึงแม้นางจะเป็นยอดสตรีเพียบพร้อม บุคลิกอุปนิสัยด้านอื่นก็ไร้ที่ติ แต่ใบหน้านั้นของนางไม่อาจกล่าวเยินยอได้จริงๆ ค่อนข้างน่ากลัว นับว่าถ่วงรั้งชีวิตชาตินี้เสียแล้ว! เฮ้อ อย่าเอ่ยถึงเลย หนิวโหย่วเต้าไม่ได้ต้องตานาง เห็นได้ชัดว่าเป็นรักข้างเดียว เรื่องนี้อย่าพูดออกไปเสียล่ะ มิเช่นนั้นจะกระอักกระอ่วนกันทั้งสองฝ่าย”
“เรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องให้ท่านมาเตือนหรอก!”
….
ณ มณฑลเป่ยโจว บนคันกั้นฝาย เซ่าผิงปอมองสายน้ำที่หลั่งไหลผ่านปากฝายเข้าสู่คลองผันน้ำ ก่อนจะแยกตัวไหลลงสู่พื้นที่การเกษตรขนาดใหญ่ด้วยสีหน้าภาคภูมิใจ
ลมพัดโชยมา ผ้าคลุมกันลมที่อยู่ด้านหลังโบกสะบัด ยิ่งขับเน้นเสริมส่งบุคลิกที่การุณเมตตาคิดคำนึงเพื่อแว่นแคว้นมากกว่าเดิม สมเป็นคุณชายใหญ่แห่งมณฑลเป่ยโจวผู้งามสง่าทรงศักดิ์โดยแท้
ถังอี๋ที่ชุดกระโปรงพลิ้วไหวตามลมยืนอยู่ด้านข้าง สีหน้าดูหม่นหมองเล็กน้อย
บุรุษสง่างามองอาจ สตรีรูปโฉมปานเทพธิดา เรียกได้ว่าเหมาะสมดั่งกิ่งทองใบหยก
เมื่อเห็นคลองผันน้ำเปิดใช้งานได้สำเร็จ เซ่าผิงปอก็อารมณ์ดีเป็นอย่างยิ่ง หันไปมองถังอี๋พลางเอ่ยถาม “เจ้ามีเรื่องในใจหรือ?”
ถังอี๋ตอบว่า “รับผิดชอบดูแลทั้งสำนักย่อมมีเรื่องกังวลอยู่บ้าง”
เซ่าผิงปอพยักหน้าเล็กน้อย “ค่อยเป็นค่อยไป ไม่ต้องรีบร้อน!”
ถังอี๋เองก็พยักหน้ารับเล็กน้อย แต่ในความเป็นจริงแล้ว ระยะนี้นางกำลังคิดทบทวนอยู่ตลอดว่าการที่ตอนนั้นนางตัดสินใจพาทั้งสำนักสวรรค์พิสุทธิ์มายังมณฑลเป่ยโจวโดยไม่สนใจคำทัดทานของคนอื่นเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดหรือไม่?
เดิมทีมาพร้อมความมุ่งมั่นที่จะสร้างความเปลี่ยนแปลงให้สำเร็จ ทว่าพอมาอยู่ในกำมือคุณชายใหญ่ท่านนี้กลับเหมือนติดหล่มไม่มีผิด จะไปต่อก็ไม่ได้ จะถอนตัวก็ไม่ได้ หากเจ้าต้องการไปต่อเขาก็จะฉุดรั้งไว้ ถึงเจ้าอยากถอนตัวก็ถอยกลับไม่ได้แล้ว เมื่อต้องเผชิญหน้ากับคุณชายใหญ่ท่านนี้ นางนับว่าไร้กำลังอำนาจอย่างแท้จริง ไม่สามารถทำอะไรได้เลย
นางเป็นกังวลกับอนาคตของสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ หากเป็นเช่นนี้ต่อไป กำลังใจของสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ก็จะถดถอยสูญหายไปอย่างสมบูรณ์ ทั้งสำนักตั้งแต่ระดับบนจนถึงระดับล่างจะถูกบ่มเพาะให้เกิดความเคยชินกับการใช้ชีวิตอยู่รอความตายไปวันๆ หากเป็นแบบนั้นสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ก็ยากจะฟื้นฟูกลับมาได้!
ด้วยเหตุนี้นางจึงเปลี่ยนเป้าหมายไปที่หนิวโหย่วเต้า ส่งคนไปหาอีกฝ่าย บอกว่ายินดีจะลงจากตำแหน่งเจ้าสำนัก ทว่าหนิวโหย่วเต้ากลับปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใย ประกาศชัดเจนว่าไม่อยากเกี่ยวข้องใดๆ กับนางอีก นางเองก็ไม่มีสิทธิ์ไปกล่าวโทษโกรธเคืองอีกฝ่ายเช่นกัน เป็นผู้ใดที่ทำผิดต่อผู้ใดก่อนล่ะ ทุกคนต่างรู้อยู่แก่ใจดี
ระยะนี้ได้รับข่าวมาเนืองๆ ดูเหมือนว่าหนิวโหย่วเต้าจะประสบอันตราย แต่สำหรับคนที่อยู่ว่างไร้ประโยชน์อย่างนางกลับรู้สึกตรงกันข้ามกันอย่างสิ้นเชิง ต่อให้หนิวโหย่วเต้าจะเผชิญอันตรายขนาดไหน แต่เขากลับมีชื่อเสียงโดดเด่นเป็นที่เลื่องลือ ทว่าสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ที่เคยเป็นสำนักอันดับหนึ่งแห่งแคว้นเยี่ยน พอตกอยู่ในมือนางแล้วกลับค่อยๆ ตกต่ำจนอยู่ในสภาพเงียบเหงาไร้ชื่อ
แม้แต่ตัวนางก็ยังรับรู้ได้ เกรงว่าหากไม่ตั้งใจเอ่ยถึงขึ้นมา ก็คงไม่มีผู้ใดในโลกบำเพ็ญเพียรนึกขึ้นได้ว่าบนโลกนี้ยังมีสำนักสวรรค์พิสุทธิ์อยู่!
แต่โลกบำเพ็ญเพียร ณ ปัจจุบันนี้ ใครบ้างจะไม่รู้จักหนิวโหย่วเต้า? เป็นถึงเจ้าสำนักผู้ทรงเกียรติ แต่กลับมีชื่อเสียงเทียบศิษย์ที่ถูกขับไล่ออกจากสำนักไม่ได้ด้วยซ้ำ!
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่สำนักสวรรค์พิสุทธิ์ประสบกับเรื่องทำนองนี้ ในอดีตก็มีจ้าวสยงเกอมาก่อน ตอนนี้ยังมีหนิวโหย่วเต้าโผล่มาอีก!
นางรู้ดีว่าหากไม่มีจ้าวสยงเกอ เกรงว่าตอนนี้สำนักสวรรค์พิสุทธิ์คงไม่มีแม้แต่สถานที่ให้ปักหลักด้วยซ้ำ แค่เพียงเพราะสัตว์พาหนะของจ้าวสยงเกอปรากฎตัวขึ้น ถึงทำให้สำนักสวรรค์พิสุทธิ์มีทางรอด!
นางมักจะย้อนคิดอยู่เสมอว่าเพราะเหตุใดสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ถึงรั้งตัวศิษย์ที่มีความสามารถไว้ไม่ได้? เพราะเหตุใดศิษย์ที่มีความสามารถล้วนถูกขับไล่ออกไปทั้งสิ้น? สรุปแล้วสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ทำพลาดไปตรงไหนกันแน่?
ข่าวที่ว่าหนิวโหย่วเต้าจะแต่งกับหงเหนียงแห่งเมืองหลวงแคว้นฉีที่แพร่อยู่ในระยะนี้นางก็ได้ยินแล้วเช่นกัน สำหรับสตรีที่เคยเข้าพิธีวิวาห์กับหนิวโหย่วเต้ามาก่อนอย่างนาง หากบอกว่าไม่รู้สึกอะไรกับข่าวนี้เลยก็คงจะโกหกแล้ว แต่นางก็ทำได้เพียงมองดูเท่านั้น คนอื่นอาจจะถามได้ว่าเหตุใดหนิวโหย่วเต้าถึงเลือกแต่งกับสตรีประเภทนี้ แต่ตัวนางกลับไม่แม้กระทั่งสิทธิ์ที่จะถาม
“ระยะนี้มีข่าวของหนิวโหย่วเต้าบ้างหรือไม่?” จู่ๆ เซ่าผิงปอก็เอ่ยถามขึ้นมา
……………………………………………………..