ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า - ตอนที่ 336 เกาะสตรีกิน
ตอนที่ 336 เกาะสตรีกิน
ที่เขาถามถึงเรื่องนี้มิใช่เพราะว่ามีเหตุผลอื่น หากแต่เป็นเพราะระยะนี้เขาไม่ได้ข่าวของหนิวโหย่วเต้าเลยจริงๆ
สำนักเขามหายานไม่ใส่ใจบุญคุณความแค้นส่วนตัวของเขา ความปลอดภัยของตัวเจ้าพวกเราย่อมปกป้องคุ้มครอง แล้วเจ้ายังจะเอาอย่างไรอีก?
ความคิดของสำนักเขามหายานไม่มีอะไรซับซ้อน ครั้งก่อนเขาก่อเรื่องวางยาพิษคนในครอบครัวตน เกือบทำให้สำนักเขามหายานพลอยเดือดร้อนไปด้วย แค่นั้นยังวุ่นวายไม่พออีกหรือ? ทางสำนักไม่ต้องการให้เขาต่อความยาวสาวความยืดกับหนิวโหย่วเต้าไม่จบไม่สิ้น ไม่อยากให้เกิดปัญหาอันใดขึ้นมาอีก
ดังนั้น สำนักเขามหายานจึงแทบจะไม่เปิดเผยข้อมูลใดๆ ของหนิวโหย่วเต้าต่อเขาอีก ซ้ำยังจะปกปิดเอาไว้เพื่อความปลอดภัย ด้วยกลัวว่าเขาจะเกิดความคิดเหลวไหลขึ้นมาอีก ต้องการให้เขาทุ่มเทความคิดไปกับการบริหารมณฑลเป่ยโจวเท่านั้น อยากให้เขาดูแลมณฑลเป่ยโจวให้ดี
ส่วนทางด้านซูจ้าว เนื่องจากไม่ได้ฟังคำเตือนของเขา เท่ากับลงมือกับหนิวโหย่วเต้าโดยปิดบังเขาไว้ ดังนั้นจึงไม่ได้รายงานข่าวใดๆ ของหนิวโหย่วเต้าต่อเขา
สำหรับเซ่าผิงปอถึงแม้เขาจะยุ่งมาก ทว่ายังคงพะวงถึงหนิวโหย่วเต้าอยู่ นับตั้งแต่หนิวโหย่วเต้าไปถึงแคว้นฉี เขาก็ไม่ได้รับรายงานข่าวใดๆ เกี่ยวกับหนิวโหย่วเต้าอีกเลย
เขาส่งจดหมายไปสอบถามเรื่องม้าศึกจากซูจ้าวอยู่หลายครั้ง ถือโอกาสสอบถามสถานการณ์ของหนิวโหย่วเต้าไปด้วย ทว่าคำตอบของทางซูจ้าวล้วนบอกว่ากำลังจับตามองอยู่
หากว่ากันในอีกมุมหนึ่ง ซูจ้าวยังไม่คงไม่ยอมถอดใจ ยังคงหาโอกาสที่จะลงมืออยู่
เมื่อไม่ได้รับข้อมูลที่แน่ชัดอันใดของหนิวโหย่วเต้า เซ่าผิงปอมักจะรู้สึกกระสับกระส่ายอยู่ในใจเล็กน้อย สังหรณ์อยู่เสมอว่าจะเกิดเรื่องบางอย่างขึ้น ยิ่งเป็นเช่นนี้เขาก็ยิ่งหวาดระแวง ยอมรามืออีกครั้ง กำชับซูจ้าวว่าห้ามไปตอแยหนิวโหย่วเต้าอีกจนกว่าเรื่องขนส่งม้าศึกจะเสร็จสิ้น
เขาถึงขั้นที่บอกไปอย่างชัดเจนว่าคนผู้นั้นจัดการได้ยาก นางสู้เขาไม่ได้แน่นอน!
เดิมทีหากว่ากันตามหลักเหตุผลแล้ว การเอ่ยถึงเรื่องหนิวโหย่วเต้าต่อหน้าถังอี๋นั้นไม่ค่อยเหมาะสมเท่าไรนัก แต่สุดท้ายแล้วภายในใจเขายังคงมีความกังวลแฝงอยู่ รู้สึกอยู่เสมอว่าหนิวโหย่วเต้านิ่งเงียบเกินไป ถ่อไปจัดการเรื่องม้าศึกถึงแคว้นฉี แต่กลับนิ่งเงียบเช่นนี้ ทำให้เขารู้สึกว่าค่อนข้างผิดปกติ สุดท้ายก็อดใจไม่ไหวเอ่ยถามออกไป
ถังอี๋เงียบไปครู่หนึ่ง ส่ายหน้าเล็กน้อยพลางตอบว่า “ไม่ค่อยสนใจเรื่องของเขาสักเท่าไร ตอนนี้ยังไม่ได้ยินข่าวใด!”
ในความเป็นจริงแล้ว ทางนางได้รับคำเตือนจากสำนักเขามหายาน สั่งให้สำนักสวรรค์พิสุทธิ์ปิดปากไว้ให้สนิท!
แม้แต่นางก็ไม่รู้อย่างนั้นหรือ? ในใจเซ่าผิงปอเต็มไปด้วยความสงสัยเหลือคณา หนิวโหย่วเต้าคนนั้นทำอะไรอยู่กันแน่?
ครั้งก่อนหลังจากไปล่วงเกินหอหิมะเหมันต์เข้า เขาก็ถูกสำนักเขามหายานควบคุมความประพฤติอย่างเข้มงวด ไม่สะดวกจะติดต่อกับกลุ่มอิทธิพลอื่นของโลกบำเพ็ญเพียร เนื่องจากสำนักเขามหายานก็กลัวว่าเขาจะส่งสำนักอื่นไปก่อเรื่องเช่นกัน สำนักขนาดเล็กส่วนหนึ่งที่อยู่ในเขตพื้นที่มณฑลเป่ยโจวล้วนได้รับคำเตือนทั้งสิ้น
เขาอยากส่งซ่งซูและเฉินกุยซั่วไปสืบข่าวสักหน่อย แต่จนใจที่ตอนนี้ต้องให้ทั้งสองคนคอยจับตาดูเส้นทางน้ำสายนั้น นั่นคือเรื่องสำคัญสำหรับตอนนี้!
คิดไปคิดมาเขาก็ตัดสินใจจะฝ่าฝืนคำสั่งของสำนักเขามหายาน เตรียมจะให้เซ่าซานเสิ่งลอบไปหาวิธีมา
หลังจากตัดสินใจได้เช่นนี้ เขาหันไปมองถังอี๋ สตรีนางนี้รูปโฉมงดงามดั่งถูกบรรจงวาดขึ้นมา เลอโฉมเฉิดฉัน ทำให้จิตใจเขาสั่นไหวเล็กน้อย เอ่ยเรียกออกไป “ถังอี๋!”
ถังอี๋หันไปมอง ทั้งสองคนสบตากัน
เซ่าผิงปอยื่นมือออกไปหมายจะกุมมือนาง จนใจที่นิ้วยังไม่ทันได้แตะ ถังอี๋ก็หลบเลี่ยงอย่างรวดเร็ว เอ่ยเสียงขรึมว่า “คุณชายใหญ่โปรดสำรวมด้วย!” สีหน้าปรากฏความขุ่นเคือง
นางมิใช่ก่วนฟางอี๋ นางได้รับการอบรมสั่งสอนมาตั้งแต่เล็ก อีกทั้งมิเคยมีประสบการณ์เรื่องชู้สาว มีความยับยั้งชั่งใจในเรื่องกำหนัดอารมณ์ที่เข้มงวดอย่างมาก ไม่มีทางยอมรับเรื่องเหลวไหลเชิงนี้ได้ และไม่มีวันยอมปล่อยตัวเด็ดขาด
ท่าทีคลุมเครือที่เซ่าผิงปอแสดงออกมาในเวลาปกตินางไม่ได้ถือสาอะไร แต่กล้ามาทำรุ่มร่ามเช่นนี้ เห็นนางเป็นคนเช่นไรกัน? เรื่องนี้เป็นความอัปยศสำหรับนาง ทำให้นางโมโหขึ้นมาแล้วจริงๆ
เซ่าผิงปอรู้สึกกระอักกระอ่วน แต่กลับยิ้มแล้วตอบว่า “ขออภัย ยากจะห้ามใจได้ชั่วขณะ!”
ถังอี๋กล่าวว่า “ข้าได้ชื่อว่าเป็นสตรีที่ออกเรือนแล้ว หวังว่าวันหน้าคุณชายใหญ่จะไม่พูดจาแบบนี้อีก เพราะนี่เท่ากับเป็นการดูหมิ่นข้า!”
พอกล่าวประโยคนี้จบ นางก็อดคิดอยู่ในใจไม่ได้ ต่อไปหากหนิวโหย่วเต้าแต่งงานใหม่อีกครั้ง เมื่อถึงเวลานั้นนางจะยังกล่าวเช่นนี้ได้หรือไม่?
เซ่าผิงปอกริ่งเกรงจ้าวสยงเกออยู่ หากก่อเรื่องขึ้นจริงๆ กระทั่งสำนักเขามหายานก็คงจะยอมคุกเข่าต่อหน้าจ้าวสยงเกอเป็นแน่ เขาจึงไม่กล้าบีบคั้นให้ถังอี๋จนตรอก หันหลับไปมองด้านหน้าอีกครั้ง หรี่ตาลงเล็กน้อย ดวงตาฉายแววอึมครึม
….
ภายในศาลารับลมบนภูเขาจำลอง ลิ่งหูชิวและหงซิ่วทอดสายตามองไกลออกไป เห็นหนิวโหย่วเต้าและก่วนฟางอี๋เดินเคียงกันกลับมาจากด้านนอก มุ่งหน้ากลับไปยังเรือนของก่วนฟางอี๋
พริบตาเดียวก็ผ่านไปหนึ่งเดือนแล้ว ก่วนฟางอี๋เกาะติดหนิวโหย่วเต้าอย่างใกล้ชิดจริงๆ ทางนี้ไม่สามารถหาโอกาสลงมือได้เลย
คิดจะยั่วยวนก็ต้องหาจังหวะที่ก่วนฟางอี๋ไม่อยู่ถึงจะทำได้ หากมีก่วนฟางอี๋อยู่ ต่อให้หนิวโหย่วเต้ามีใจก็เกรงว่าคงไม่กล้าอยู่ดี
“นายท่าน หากยังเสียเวลาต่อไปเช่นนี้ล่ะก็ ทางเบื้องบนนั้นเรายังพออธิบายได้อยู่ แต่ทางหนิวโหย่วเต้า เกรงว่าเราคงไม่อาจถ่วงเวลาเรื่องเว่ยฉูต่อไปได้นะเจ้าคะ!” หงซิ่วกระซิบบอก
ลิ่งหูชิวขมวดคิ้วแน่น แรกเริ่มยังคงกังวลกับแผนยั่วยวนของสตรีทั้งสองอยู่ แต่พอเวลาค่อยๆ ผ่านพ้นไป ความรู้สึกในส่วนนั้นก็เจือจางลง กลับกลายเป็นกังวลเรื่องที่สตรีทั้งสองไม่สบโอกาสลงมือสักที “เอาอย่างนี้ เจ้ารายงานทางเบื้องบนอีกครั้ง ให้เบื้องบนช่วยจัดฉาก เลือกวันที่เหมาะสมแล้วล่อก่วนฟางอี๋ออกไปที!”
เดิมทีทางนี้คิดจะจัดฉากล่อก่วนฟางอี๋ออกไปด้วยตัวเอง ทว่าก่วนฟางอี๋อำลาวงการแล้ว ไม่รับงานอีกต่อไป จึงแทบจะไม่ได้เจอลูกค้าอีก จึงเป็นไปได้ยากที่จะล่ออีกฝ่ายออก ปัญหาอีกอย่างคือ หากล่อออกไปก็ต้องถ่วงเวลาให้สตรีทั้งสองมากพอด้วย มิเช่นนั้นหากก่วนฟางอี๋กลับมาต้องถูกจับได้แน่นอน เรื่องนี้ไม่ใช่แค่ล่อออกไปจากสวนไม้เลื้อยก็จบ
“เจ้าค่ะ!” หงซิ่วพยักหน้าตอบรับ
ภายในสวน ใต้ร่มเงาไม้ บนเก้าอี้เอนหลังตัวหนึ่ง หนิวโหย่วเต้านอนเอนหลังอยู่ตรงนั้น ในหัวกำลังใคร่ครวญถึงข่าวที่ทางกงซุนปู้ส่งมา ทางฝั่งเกาะทะเลคาดว่าเรือเหล่านั้นคงใกล้จะปรับปรุงเสร็จแล้ว
ขณะที่กำลังคิดวนไปวนมา จู่ๆ ก็มีเสียงความเคลื่อนไหวดังขึ้น เขาจึงลืมตาแล้วเหลียวหน้าไปทันที มองเห็นถุงเล็กๆ ใบหนึ่งลอยเข้ามา ร่วงกระทบหน้าท้องของเขา
ก่วนฟางอี๋ถือพัดกลมเดินบิดเอวอ้อนแอ้นเข้ามา เป็นนางที่โยนถุงเข้ามา
หนิวโหย่วเต้าหยิบถุงขึ้นมาเปิดดู เห็นเพียงว่าในถุงเต็มไปด้วยโอสถรวมวิญญาณที่ห่อหุ้มไว้ด้วยขี้ผึ้ง มีจำนวนไม่น้อยเลย
ก่วนฟางอี๋ใช้เท้าเขี่ยม้านั่งกลมเข้ามา นั่งลงด้านข้างเก้าอี้เอนหลัง โบกพัดกลมในมือพลางเอ่ยว่า “หนึ่งร้อยเม็ด!”
หนิวโหย่วเต้าฉงน “หมายความว่าอย่างไร?”
ก่วนฟางอี๋กล่าวว่า “ข้าเห็นเจ้าบำเพ็ญเพียรโดยไม่ใช้โอสถรวมวิญญาณ เอาแต่อาศัยวิชาฝืนดูดซับไอวิญญาณมาตลอด นึกเวทนาเจ้า ก็เลยนำมาให้เจ้า”
พอกล่าวถึงเรื่องนี้ หนิวโหย่วเต้าก็กำลังครุ่นคิดถึงเรื่องนี้อยู่เช่นกัน ยันต์ถ่ายทอดธรรมคุ้มกายในร่างเขาถูกย่อยสลายไปอีกจุดแล้ว ตอนนี้เหลืออยู่เพียงห้าจุดเท่านั้น!
เขาคาดว่าอีกไม่นาน ตนเองก็คงจำเป็นต้องใช้โอสถรวมวิญญาณมาบำเพ็ญเพียรเช่นกัน เพียงแต่ความเร็วในการบำเพ็ญเพียรคงจะเชื่องช้าลงไปอย่างมาก
คิดๆ ไปก็ค่อนข้างเสียดาย หากว่าสภาวะทั้งหมดของตงกัวเฮ่าหรานแปลงสภาพเป็นยันต์ถ่ายทอดธรรมคุ้มกายให้ตนได้มากกว่านี้ก็คงดี ตนจะได้เร่งบำเพ็ญเพียรให้ถึงระดับโอสถทองโดยเร็ว แต่นั่นก็เป็นเพียงฝันหวานเท่านั้น ไม่มีทางเป็นจริงได้ หากว่าตงกัวเฮ่าหรานอยู่ในสภาวะสมบูรณ์พร้อมล่ะก็ เกรงว่าเขาก็คงจะยังอยู่ดี ไม่จำเป็นต้องถ่ายทอดพลังให้เขาเลย
เขายื่นถุงเล็กๆ ในมือออกไป “ข้าไม่มีเงินให้เจ้า!”
ก่วนฟางอี๋ร้องชิ ใช้พัดกลมตบหน้าอกเขาพลางเอ่ยว่า “เจ้าลองถามใจของเจ้าซิ ออกไปเที่ยวทุกวันนี้มีครั้งไหนบ้างที่ข้าไม่ใช่คนจ่ายเงิน เจ้าเคยควักสักเหรียญทองแดงอย่างนั้นหรือ? อีกทั้งไม่เคยเห็นเจ้าเอ่ยถึงเรื่องเงินกับข้าเลย ตอนนี้ดันมาเอ่ยเรื่องเงินกับข้าอย่างนั้นหรือ?”
“ฮ่าๆ!” หนิวโหย่วเต้าหัวเราะแห้งๆ เอ่ยขออภัย “นี่เป็นความผิดพลาด ตัวข้าไม่มีนิสัยพกเงินติดตัวน่ะ”
หากนางไม่เอ่ยถึง เขาก็คงไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้จริงๆ ถึงอย่างไรตอนที่เที่ยวเตร่ในเมืองหลวง หลังจากกินดื่มสำราญเสร็จเขาก็เดินตัวปลิวจากไป ไม่ได้คิดถึงเรื่องจ่ายเงินเลยแม้แต่น้อย เวลาที่มีคนติดตามอยู่ข้างกาย เขาเคยชินกับการที่ไม่ต้องควักเงินจ่ายจริงๆ
เรื่องนี้เป็นความผิดพลาดจริงๆ ตอนที่พวกเฮยหมู่ตานจากไปล้วนไม่ได้คิดเลยว่าต้องทิ้งเงินเอาไว้ให้เขาด้วย ต่างฝ่ายต่างบ่มเพาะนิสัยจนกลายเป็นความเคยชิน เขาอยู่ในเมืองหลวงตัวเปล่ากระเป๋าแบน เพราะถึงอย่างไรก่อนหน้านี้ก็มีพวกลิ่งหูชิวคอยดูแลการอยู่การกินของเขา
ตอนนี้พอมาคิดๆ ดูแล้ว ช่วงนี้ดูเหมือนจะอยู่กินด้วยเงินคนอื่นมาโดยตลอดจริงๆ
ก่วนฟางอี๋กล่าวว่า “วางใจเถอะ ข้าไม่ถือสาเรื่องนี้อยู่แล้ว ข้าเองก็เคยชินไปแล้วเช่นกัน หลายปีมานี้ก็เคยจับจ่ายเงินเพื่อหนุ่มน้อยหน้าขาวเหล่านั้นไปไม่น้อย มีเจ้าเพิ่มขึ้นมาอีกสักคนจะเป็นอะไร”
หนิวโหย่วเต้าพลันมีสีหน้ายิ้มไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก “ที่แท้ข้ากลายเป็นคนเกาะสตรีกินไปแล้วสินะ? ข้าไม่เคยชินกับการเกาะสตรีกิน!” เขาต้องการยื่นถุงใบเล็กคืนให้นาง
ก่วนฟางอี๋ใช้พัดกลมดันกลับไป “มิใช่การเกาะกิน หากแต่เป็นการติดไว้ก่อน วันหน้าจะต้องจ่ายคืนให้ข้าพร้อมดอกเบี้ย ทางข้าขาดช่องทางหารายได้ไปแล้ว จำไว้วันหน้าเจ้าจะต้องเลี้ยงดูข้า อย่าได้อกตัญญูไม่รู้จักคุณคน!”
ที่ยอมมอบให้เช่นนี้ก็เพราะอยู่กันไปนานเข้าก็ได้รู้จักกันมากขึ้น
นางก็ดูคนเป็นเช่นกัน ตลอดเวลาที่อยู่ร่วมกันมากว่าหนึ่งเดือน นางค่อยๆ เข้าใจนิสัยของหนิวโหย่วเต้าคนนี้แล้ว!
ถึงแม้ฮูเหยียนเวยจะเป็นคนโผงผางคนหนึ่ง แต่เขาไม่ใช่คนโง่ ก็เหมือนกับที่เขาเคยบอกหยวนกังไว้ หนิวโหย่วเต้ามีเสน่ห์เป็นเอกลักษณ์ คนผู้นี้คบหาได้
ก่วนฟางอี๋ก็สังเกตเห็นเช่นกัน จากที่นางใช้เวลาอยู่กับบุรุษคนนี้ทั้งวันทั้งคืน พบว่าเขาแตกต่างไปจากบุรุษทั้งหมดที่นางเคยพบเจอมา
อย่างน้อยๆ เมื่อเทียบกับบุรุษทั้งหมดที่เคยเข้ามาในเรือนของนาง เขาแตกต่างออกไปจริงๆ ไม่ได้มีเจตนาเสแสร้ง ไม่ได้เล่นลูกไม้ใดๆ กับนาง มีบุคลิกและอุปนิสัยบางอย่างที่มาจากเนื้อแท้ภายใน เป็นคนที่มีเสน่ห์ดึงดูดเฉพาะตัว!
โดยเฉพาะเมื่อนางซอกแซกสืบถามจนทราบว่าหนิวโหย่วเต้าเป็นฝ่ายบอกให้ผู้ติดตามข้างกายทั้งหมดของตนหนีออกไป ไม่ให้ทุกคนต้องมาเสี่ยงอันตรายไปด้วย แต่อยู่เผชิญอันตรายเพียงลำพัง นี่ทำให้นางแปลกใจจริงๆ!
แต่ตัวหนิวโหย่วเต้ากลับไม่เคยกล่าวถึงเรื่องนี้เลย
นับตั้งแต่นั้นมานางก็ตระหนักได้ว่าตนได้พบกับคนเลวที่คุ้มค่าพอให้ลงทุนแล้ว!
พอก่วนฟางอี๋พูดถึงเรื่องขาดรายได้ หนิวโหย่วเต้าก็เงียบไปครู่หนึ่ง โอสถรวมวิญญาณราคาร้อยเหรียญทองต่อหนึ่งเม็ด หนึ่งร้อยเม็ดก็เป็นเงินหมื่นเหรียญทองแล้ว สำหรับผู้บำเพ็ญเพียรธรรมดาแล้วมิใช่เงินน้อยๆ เลย!
ปัญหาคือ ก่วนฟางอี๋ไม่มีรายได้แล้ว ยังต้องเลี้ยงลูกน้องในมืออีกหลายสิบชีวิต นอกจากค่าใช้จ่ายรายวันแล้ว ยังมีค่าใช้จ่ายด้านทรัพยากรบำเพ็ญเพียรด้วย ของพวกนี้ล้วนต้องใช้เงินมหาศาลทั้งสิ้น
“หงเหนียง ในมือเจ้ายังเหลือเงินอยู่เท่าไร?” หนิวโหย่วเต้าเอ่ยถาม
อันที่จริงครั้งนี้เขาก็ไม่ได้พกเงินมาสักเท่าไร เงินที่หามาได้ก่อนหน้านี้ก็ใช้จ่ายไปพอสมควรแล้ว ทางสำนักหยกสวรรค์หากไม่เห็นผลงานก็ไม่ยอมมอบประโยชน์ให้ เขายังคงไม่ได้รับเงินปันส่วนจากการค้าสุราเลย
ส่วนเรื่องจัดซื้อม้าศึก ขอเพียงหาม้าศึกมาได้ ทางสำนักหยกสวรรค์ก็รับปากว่าจะออกเงินให้!
ก่วนฟางอี๋พลันเอะอะขึ้นมา “ทำไม? หลอกข้าแล้วยังคิดจะหลอกเอาเงินข้าอีกหรือ?”
หนิวโหย่วเต้าตอบว่า “ดูเจ้าสิ ข้าแค่ถามดู”
ก่วนฟางอี๋กล่าวว่า “เรื่องส่วนตัว ขอปฏิเสธที่จะตอบ!”
หนิวโหย่วเต้าหัวเราะเฮอะๆ “เห็นทีว่าอาชีพนายหน้าที่ทำมาหลายปีจะไม่เสียเปล่าเลย สะสมทรัพย์สินไว้พอสมควรเลยกระมัง”
ก่วนฟางอี๋เอียงตัวเข้ามา เท้าแขนไปบนเก้าอี้เอนหลัง โบกพัดที่อยู่ในมือให้เขา ขณะเดียวกันก็ทำให้เขาได้กลิ่นกายอันหอมฟุ้งของตนด้วย “หากต้องการสมบัติข้าก็ใช่ว่าจะไม่ได้! ข้าเคยกล่าวไว้เมื่อนานมาแล้ว ขอเพียงเป็นคนที่ข้ายินดีออกเรือนด้วย ข้าจะยกทุกอย่างที่มีให้เขาคนนั้น รวมถึงทรัพย์สินของข้าด้วย เช่นนั้นข้าจะยอมเสียเปรียบสักหน่อยแล้วกัน เจ้ามาแต่งกับข้าอย่างจริงๆ จังๆ ดีหรือไม่?”
“ไอ๊หยา! เหนื่อยแล้ว ง่วงนอนแล้วเนี่ย นอนสักหน่อยแล้วกัน!” หนิวโหย่วเต้าเอียงคอพับ หลับตาลง ปฏิเสธด้วยวิธีนี้
ก่วนฟางอี๋กัดฟันด้วยความชิงชัง หยิกท้องแขนของเขาเต็มแรง
คนแซ่หนิวทำตัวเป็นทองไม่รู้ร้อน นิ่งเฉยไม่กระดิกเลยแม้แต่น้อย ถึงตายก็ไม่ยอมลืมตา ไม่ยอมตอบเรื่องนี้…
……………………………………………………………….