ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า - ตอนที่ 344 ไม่ลงทุนอะไรเลย
ตอนที่ 344 ไม่ลงทุนอะไรเลย
“เชิญ!” พวกสวี่เหล่าลิ่วเข้ามาเชิญลิ่งหูชิวออกไปด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว
ลิ่งหูชิวไม่ยอม พวกสวี่เหล่าลิ่วกรูกันเข้ามาทันที คิดจะบังคับผลักดันให้เขาออกไป ทั้งสองฝ่ายล้วนไม่กล้าลงไม้ลงมือในเมืองหลวงแห่งนี้
เอาจริงหรือ? ลิ่งหูชิวค่อนข้างร้อนใจขึ้นมาแล้ว
เขาอยากเชือดหนิวโหย่วเต้าทิ้งใจแทบขาด ทว่ายังมีภารกิจอยู่ จำต้องอดทนไว้ก่อน จึงตะโกนขึ้นมาว่า “น้องสาม ข้าสู้ลำบากลำบนช่วยทำงานให้เจ้า เจ้ากลับทำกับข้าเช่นนี้ เจ้ายังมีมโนธรรมอยู่หรือเปล่า!”
เขารู้ดีว่าหนิวโหย่วเต้าให้ความสำคัญกับเรื่องกำจัดเว่ยฉู ตั้งใจเอ่ยถึงเรื่องนี้ขึ้นมา
เป็นอย่างที่คาดไว้ หนิวโหย่วเต้าที่มีสีหน้ากระอักกระอ่วนพลันชูแขนปรามแล้วตะโกนว่า “ช้าก่อน”
พวกสวี่เหล่าลิ่วหันมามอง หนิวโหย่วเต้ารีบเดินเข้าไปหา เอ่ยถามว่า “พี่รอง จัดการเรื่องเรียบร้อยแล้วจริงๆ หรือ?”
ลิ่งหูชิวชี้พวกสวี่เหล่าลิ่วที่กำลังคุมตัวเขาอยู่พลางเอ่ยเสียงกร้าว “เจ้าจะให้ข้าคุยในสภาพนี้หรือ?”
หนิวโหย่วเต้ายิ้มแห้งๆ เอ่ยไปว่า “ที่ทำเช่นนี้ก็เพราะกลัวพี่ใหญ่หุนหันพลันแล่นมิใช่หรือ?”
ลิ่งหูชิวกล่าวว่า “ก็แค่สาวใช้สองคนเท่านั้น เจ้าคิดว่าข้าจะเห็นแก่สตรีมากกว่าพี่น้องหรือ?”
หนิวโหย่วเต้าพลันตื่นตัวขึ้นมา ปรบมือพร้อมเอ่ยชื่นชม “พี่รองกล่าวได้ดี สตรีเหมือนอาภรณ์ พี่น้องดั่งแขนขา อาภรณ์ผลัดเปลี่ยนได้แต่แขนขาขาดไม่ได้ ข้าว่าแล้วว่าพี่รองไม่มีทางเข้าใจผิดแน่!”
ลิ่งหูชิวผงะไปเล็กน้อย คำพูดนี้มันอะไรกัน?
“หวา! พูดจากลับกลอกเสียจริง สตรีเหมือนอาภรณ์ ที่แท้ก็พูดได้คล่องปากถึงเพียงนี้!” ก่วนฟางอี๋ที่เดินตามมาหัวเราะหยัน เสียงหัวเราะเย็นชาข่มขวัญคน
ทันทีที่หนิวโหย่วเต้าได้ยินก็เหงื่อตกทันที รีบหันกลับไปอธิบาย “หมายถึงสาวใช้ แค่สาวใช้เท่านั้น”
ก่วนฟางอี๋ถามกลับ “ข้าก็เหมือนลงนามขายตัวให้เจ้าด้วยมิใช่หรือ?”
หนิวโหย่วเต้าขยิบตาเตือนนางทีหนึ่ง “เจ้าต่างจากพวกนาง”
ก่วนฟางอี๋กลับแสร้งไขสือ “เจ้าเตรียมจะแต่งกับข้าเมื่อใดเล่า ไม่มีการระบุเวลาที่แน่ชัดไว้เช่นกัน เพื่อเป็นการพิสูจน์ว่าข้าไม่เหมือนพวกนาง มิสู้พวกเรามากำหนดเรื่องวิวาห์กันก่อนเป็นอย่างไร?”
เวลานี้สตรีนางนี้ยังจะมาก่อปัญหาอันใดอีก! หนิวโหย่วเต้าบ่นในใจ ไม่ยอมตอบ หากแต่หันไปผลักตัวพวกสวี่เหล่าลิ่วออกไป “หลีกๆ หลีกไปให้หมด” ช่วยลิ่งหูชิวออกมา
หลังจากพวกสวี่เหล่าลิ่วถอยออกไปแล้ว หนิวโหย่วเต้าเอ่ยถาม “พี่รอง หาคนได้แล้วจริงๆ หรือ?”
ลิ่งหูชิวสะบัดเสื้อผ้าที่ถูกดึงจนยับยุ่งพลางเอ่ยอย่างอารมณ์เสีย “ก็ต้องจริงน่ะสิ ข้าเคยหลอกเจ้าเสียที่ไหน?”
หนิวโหย่วเต้ากล่าวไปว่า “พี่รอง เรื่องนี้เกรงว่าคงทำให้ท่านต้องเหนื่อยเปล่าเสียแล้ว เรื่องเว่ยฉูพอเท่านี้เถิด ไปยกเลิกงานกับผู้ลงมือเสีย ถือเสียว่าไม่เคยเกิดเรื่องนี้ขึ้น”
ลิ่งหูชิวตะลึงงัน เอ่ยด้วยความฉงน “เพราะเหตุใด? เจ้าก็รู้มิใช่หรือว่าหากเว่ยฉูไม่ตาย เจ้าก็ยากจะไปจากเมืองหลวงแห่งนี้ได้?”
หนิวโหย่วเต้าตอบว่า “หลายวันมานี้ได้หงเหนียงคอยเกลี้ยกล่อม ข้าเก็บมาคิดๆ ดูแล้ว เรื่องทางจังหวัดชิงซานข้าไม่อยากยุ่งแล้ว นับจากนี้ไปข้าอาศัยอยู่ในเมืองหลวงแคว้นฉีคงดีกว่า”
ลิ่งหูชิวมองก่วนฟางอี๋ด้วยความตกตะลึง ไม่รู้เลยว่าสตรีนางนี้ไปพูดหว่านล้อมเช่นไร
ก่วนฟางอี๋โบกพัดกลมกล่าวไปว่า “ข้าบอกเขาไปชัดเจนแล้วว่าขอเพียงเขาแต่งกับข้า คนของข้าก็จะเป็นคนของเขา ทรัพย์สินทั้งหมดของข้าก็จะเป็นทรัพย์สินของเขาด้วยเช่นกัน สิ่งที่ซางเฉาจงมอบให้เขาอาจจะสู้ข้าไม่ได้ด้วยซ้ำ หากกลับไปทำธุรกิจแบบเดิมอีกครั้ง วันหน้าย่อมไม่ขาดแคลนทรัพยากรบำเพ็ญเพียร อีกอย่างจังหวัดชิงซานก็เป็นเขตชนบทแร้นแค้นมีอะไรน่าไปอยู่กัน ข้าเคยชินกับความเจริญในเมืองหลวงแคว้นฉีแล้ว สถานที่กันดารเช่นนั้นข้าอยู่ไม่ได้แน่ ดังนั้นไม่ไปเสียก็จบ”
ที่แท้ก็เป็นฝีมือของสตรีนางนี้! ลิ่งหูชิวโมโหเล็กน้อย เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว เขาไหนเลยจะยอมปล่อยให้หนิวโหย่วเต้ารามือได้ เอ่ยออกไปด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “น้องสาม เจ้าหลอกข้าเล่นกระมัง ข้าหาคนได้แล้ว เงินข้าก็จ่ายไปแล้ว ตอนนี้เจ้ากลับไม่เอาแล้วอย่างนั้นหรือ?”
หนิวโหย่วเต้าถาม “ท่านจ่ายไปแล้วหรือ? เป็นเงินเท่าไร?”
ลิ่งหูชิวตอบว่า “ต่อรองเรื่องราคามาแล้ว ตกลงกันที่หนึ่งล้านเหรียญทอง!”
หนิวโหย่วเต้าถามด้วยความตกใจ “งานยังไม่ทันสำเร็จท่านก็จ่ายเงินหนึ่งล้านเหรียญทองให้แล้วหรือ?”
ลิ่งหูชิวตอบว่า “มัดจำก่อนครึ่งหนึ่ง หลังเสร็จงานค่อยจ่ายอีกครึ่งที่เหลือ ซึ่งข้าจ่ายเงินมัดจำครึ่งหนึ่งไปแล้ว!”
หนิวโหย่วเต้าเงียบไปครู่หนึ่ง หันกลับไปเอ่ยกับก่วนฟางอี๋ “หงเหนียง จะปล่อยให้พี่รองเสียเงินนี้ไปไม่ได้ เอาเช่นนี้แล้วกัน เจ้าออกเงินห้าแสนเหรียญทองให้พี่รองไปก่อน!”
“ข้าต้องให้เงินเขาหรือ? เขาจะได้เอาเงินไปให้นังแพศยาสองคนนั้นน่ะหรือ? ฝันไปเถอะ!” ก่วนฟางอี๋แค่นเสียงเหอะพลางสะบัดหน้าหนี
หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “ถือว่าข้ายืมเจ้าแล้วกัน! ก่อนหน้านี้ตกลงกันไว้แล้วมิใช่หรือ?”
ก่วนฟางอี๋พูดอย่างไม่ไว้หน้า “ก่อนหน้านี้คือก่อนหน้านี้ ตอนนี้ไม่นับแล้ว!”
นางแสดงออกชัดเจนว่าขุ่นเคืองหงซิ่วหงฝู
“น้องหนิว ขอคุยกับแบบส่วนตัวหน่อย!” ลิ่งหูชิวเชิญหนิวโหย่วเต้าออกมาคุยกันด้านข้าง กระซิบถามว่า “เจ้าคิดจะเกาะสตรีกินอยู่ที่นี่อย่างนั้นหรือ?”
หนิวโหย่วเต้าถามกลับ “ไยจึงพูดจาน่าเกลียดเช่นนี้เล่า คิดว่าวันหน้าข้าจะหาเลี้ยงนางไม่ได้หรือ?”
ลิ่งหูชิวกล่าวว่า “เจ้าอาศัยอยู่ในเมืองหลวง ไม่มีช่องทางรายได้ แล้วจะเอาอะไรมาเลี้ยงดูนาง? สตรีนางนี้ใช้เงินมือเติบจนเคยตัว คนธรรมดาไม่มีทางเลี้ยงไหว เจ้าอย่าได้หุนหันพลันแล่นเลย”
“เฮ้อ!” หนิวโหย่วเต้าถอนหายใจ “พี่รอง ขอบอกท่านตามตรง ทางจังหวัดชิงซานนั่น ข้าพยายามสุดกำลังแล้วจริงๆ เหล่าเฟิงก็กลับมาแล้ว น่าจะประสบความทุกข์ยากมาแน่นอน ท่านรู้หรือไม่ว่าเขาพูดกับข้าว่าอย่างไร? เขาบอกว่าเขาจนปัญหาเรื่องม้าศึกแล้ว วันหน้าคงต้องพึ่งข้า เขาบอกว่าเผิงโย่วไจ้ส่งข้อความมาหาเขา บอกอะไรทำนองว่าเรื่องม้าศึกให้เขาคอยจัดการไปตามคำสั่งข้าเท่านั้น ท่านว่าเรื่องนี้หมายความว่าอย่างไรเล่า?”
ลิ่งหูชิวขมวดคิ้ว
หนิวโหย่วเต้ากล่าวต่อว่า “ข้าขอพูดตรงๆ กับท่านแล้วกัน พี่รอง สุราที่ท่านเห็นว่าทางข้าเป็นผู้ผลิตนั้น อันที่จริงกำไรทั้งหมดล้วนอยู่ในการควบคุมของสำนักหยกสวรรค์ ส่วนเหตุผลที่ทำให้สำนักเซียนสถิต สำนักเมฆาล่อง สำนักคีรีพิลาสรวมถึงตัวข้ายอมมาเสี่ยงอันตรายที่นี่ เป็นเพราะสำนักหยกสวรรค์รับปากไว้ว่าหลังปฏิบัติภารกิจสำเร็จลุล่วงจะแบ่งกำไรให้พวกเรา ตอนนี้สำนักหยกสวรรค์กลับโยนหน้าที่ตัดสินใจมาให้ข้า ท่านว่าพวกเขาคิดจะทำอะไรกันล่ะ?”
เรื่องกำไรจากการค้าสุรา ลิ่งหูชิวพอจะทราบมาบ้าง เขาก็อยู่ในเหตุการณ์ตอนที่ใบอนุญาตขนส่งม้าศึกทั้งสิบใบมีปัญหาแล้วเกิดการถกเถียงขึ้น เขาขมวดคิ้วพลางเอ่ยเบาๆ ว่า “หากว่าล้มเหลว ความรับผิดชอบทั้งหมดจะตกอยู่ที่เจ้า ส่วนกำไรจากการขายสุรา เกรงว่าพวกเจ้าอย่าฝันจะได้แตะต้องเลย!”
หนิวโหย่วเต้ากล่าวขึ้นมา “ก็ใช่น่ะสิ! ท่านคิดดูสิ เรื่องใหญ่ขนาดนี้ แต่ตอนนี้แม้แต่สำนักหยกสวรรค์ก็ไม่ยอมออกแรงแล้ว แล้วข้าจะมีกำลังไปจัดการอะไรได้? ผู้ใดกล้ารับประกันบ้างเล่าว่าเรื่องม้าศึกจะสำเร็จแน่นอน? แม้แต่ผลประโยชน์ส่วนสุดท้ายของข้า สำนักหยกสวรรค์ก็เตรียมการตัดทิ้งแล้ว หากข้ายังย่อมเสี่ยงอันตรายต่อไป ข้าก็ไม่ต่างอะไรจากคนโง่เลย! ข้าคิดไปคิดมา ในเมื่อหงเหนียงเสนอน้ำใจให้แล้ว เหตุใดข้ายังต้องดึงดันจัดการเรื่องที่ไม่มีความหวังอันใดด้วยเล่า? พี่รองวางใจเถิด เอาไว้หงเหนียงยกทรัพย์สินทั้งหมดให้ข้าแล้ว ห้าแสนเหรียญทองที่ท่านจ่ายไป ข้าไม่เบี้ยวแน่นอน ตอนนี้ถือว่าข้าติดเงินท่านไว้ก่อนแล้วกัน!”
ลิ่งหูชิวพูดไม่ออก โมโหขึ้นมาเล็กน้อย ข้าจัดการเรื่องเว่ยฉูให้เจ้าแล้ว สตรีสองคนนั้นของข้าก็ถูกเจ้าเอาเปรียบแล้ว ตอนนี้เจ้ากลับมายกเลิกอย่างนั้นหรือ?
เขาไม่อาจปล่อยผ่านได้ ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องความโกรธที่ตนต้องกล้ำกลืนไว้ แต่หากทำแบบนี้เขาจะไม่สามารถอธิบายต่อเบื้องบนได้
“น้องสาม เรื่องเงินไม่สำคัญเลย แม้ข้าจะไม่ถึงขั้นมีเงินถุงเงินถัง แต่เงินเท่านี้ข้ายังมีหนทางหาคืนกลับมาได้ เรื่องเงินเจ้าไม่จำเป็นต้องกังวลไป ข้าช่วยคิดหาวิธีให้เจ้าได้”
“พี่รอง จะทำเช่นนี้ได้อย่างไร อีกทั้งไม่มีความจำเป็นต้องสิ้นเปลืองเงินก้อนนั้นเลย”
“น้องสาม เจ้าฟังข้านะ ไม่ว่าตอนที่ทุกคนสาบานเป็นพี่น้องกันก่อนหน้านี้จะมีความคิดเช่นใดอยู่ แต่ถึงอย่างไรเราก็เป็นพี่น้องกันแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นคือคนทั่วหล้าล้วนรู้ว่าพวกเราเป็นพี่น้องร่วมสาบาน หากข้าเห็นเจ้าประสบปัญหาแล้วนิ่งเฉยดูดาย ภายภาคหน้าคนที่ไปมาหาสู่กับข้าจะมองข้าอย่างไรเล่า? พูดกันตามตรง หากข้าต้องเสียความน่าเชื่อถือไปเพราะเงินล้านเหรียญทอง แล้ววันหน้าข้ายังจะทำอาชีพนายหน้าคนกลางได้อย่างไร? ในจุดนี้หงเหนียงรู้ดีที่สุด อาชีพอย่างพวกเราเนี่ย สิ่งที่ต้องมีคือความน่าเชื่อถือ! เจ้าเข้าใจความหมายของข้าหรือไม่?”
“ข้าเข้าใจความหมายของพี่รอง พี่รองไม่มีทางอยากเห็นข้าเกิดเรื่องเด็ดขาด”
“ดังนั้นเจ้าฟังนะ ทุกอย่างที่ข้าพูดไปล้วนหวังดีกับเจ้าทั้งสิ้น เจ้าเคยคิดบ้างหรือไม่? เจ้าล่วงเกินจินอ๋องเข้าแล้ว ใช่ เจ้าหลบซ่อนอยู่ในเมืองหลวงแคว้นฉี เขาอาจจะไม่กล้าลงมือกับเจ้า แต่ในอนาคตเล่า? หากเขาคิดจะหาเรื่องเจ้า สักวันจะต้องเจอจุดอ่อนที่จะเล่นงานเจ้าแน่ เจ้าอยู่ในอาณาเขตของเขา สุดท้ายเขาจะต้องหาโอกาสจัดการเจ้าได้แน่!”
“มีปู้สวินอยู่ทั้งคน เขาคงกริ่งเกรงอยู่บ้างไม่มากก็น้อย”
“ข้าไม่รู้หรอกว่าแท้ที่จริงระหว่างเจ้ากับปู้สวินมีความเกี่ยวข้องกันอย่างไร แต่ปู้สวินจะปกป้องเจ้าไปได้อีกนานแค่ไหน? ปู้สวินอายุมากแล้ว จะมีชีวิตอยู่ได้อีกนานแค่ไหน? เว้นแต่เขาจะบรรลุถึงระดับจิตทารกได้ แล้วเจ้าคิดว่ามันเป็นไปได้หรือไม่เล่า? อีกอย่างจินอ๋องเป็นองค์ชายใหญ่ หากเขาได้สืบทอดราชบัลลังก์ขึ้นมา ปู้สวินก็ปกป้องเจ้าไม่ได้แล้ว! น้องสาม เจ้าเป็นคนฉลาด ไยจึงมองแต่ปัจจุบันไม่มองอนาคตบ้างเล่า?”
“พี่รอง หากจัดการเรื่องม้าศึกไม่ได้ ถึงข้ากลับจังหวัดชิงซานไปก็ไม่มีประโยชน์”
“น้องสาม เจ้าวางใจเถิด ข้าบอกแล้วไง ข้าไม่มีทางนิ่งดูดายปล่อยเจ้าเผชิญปัญหาแน่ หากสำนักหยกสวรรค์ไม่ยอมลงแรงก็ยังมีข้าอยู่ ขนาดเผิงโย่วไจ้ยังเคยมาขอร้องข้าเลย ข้าจะใช้เส้นสายทั้งหมด หาทางช่วยจัดการเรื่องนี้ให้เจ้าแน่นอน!”
“พี่รอง ท่านมีความมั่นใจแค่ไหน?”
“จัดการภัยอย่างเว่ยฉูก่อนแล้วค่อยว่ากัน หลังออกจากแคว้นฉีได้ ให้เจ้ารีบกลับไปที่จังหวัดชิงซานก่อนเพื่อความปลอดภัย งานส่วนที่เหลือให้เป็นหน้าที่ข้าเอง!”
“จริงหรือเปล่า? เช่นนั้นเหตุใดตอนอยู่ที่จังหวัดชิงซานท่านถึงปฏิเสธที่จะช่วยเหลือข้าเล่า?”
“ตอนนี้ต่างไปจากตอนนั้นแล้ว เวลานั้นคนทั่วหล้ายังไม่รู้ว่าพวกเราเป็นพี่น้องร่วมสาบานกันมิใช่หรือ?”
“พี่รอง ท่านนี่ร้ายจริงๆ”
“อย่าพูดเหลวไหล หากว่ายังเห็นข้าเป็นพี่รองอยู่ ครั้งนี้ก็เชื่อฟังการจัดการของข้าซะ!”
“พี่รองพูดมาถึงขนาดนี้แล้ว ข้ายังจะพูดอะไรได้อีก ก็ได้!”
“ดี นี่สิถึงจะเป็นน้องชายคนดีของข้า เรื่องนี้ตกลงกันตามนี้แล้วกัน” ลิ่งหูชิวตบไหล่เขาอย่างพึงพอใจ จากนั้นก็เกี่ยวแขนคล้องคอเขาต่อ “น้องสาม เจ้าบอกความจริงมาเถอะ เจ้าหลับนอนกับหงซิ่วหงฝูแล้วหรือยัง?”
อันที่จริงในใจเขาถือสาเรื่องนี้ยิ่งนัก จึงใช้คำพูดหยั่งเชิง
หนิวโหย่วเต้ารีบโบกมือปฏิเสธ “เปล่าเลย ไม่เคยจริงๆ!”
ลิ่งหูชิวกล่าวว่า “เจ้าวางใจเถอะ ข้าไม่มีเจตนาอื่น หากเจ้าได้ร่วมเรียงแล้วจริงๆ ข้าจะช่วยส่งเสริมอย่างถึงที่สุด ข้าจะยกพวกนางทั้งสองให้เจ้าไป!”
หนิวโหย่วเต้าไหนเลยจะอยากได้สองคนนั้นมาอยู่ข้างกายจริงๆ นั่นไม่ได้ต่างจากการรนหาที่ตายเลย เขาย่อมต้องรีบปฏิเสธ “พี่รอง พอท่านพูดมาเช่นนี้ อันที่จริงข้าก็อยากจะตามน้ำ ยอมรับว่าข้าทำเพื่อรับพวกนายไว้จริงๆ ทว่าพี่รองมีความจริงใจให้ข้าถึงขนาดนี้ หากข้ายังพูดจาเหลวไหลส่งเดชมันก็ออกจะเกินไปหน่อย ข้าไม่ได้ทำเรื่องพรรค์นั้นกับพวกนางจริงๆ เพียงแค่ลูบคลำเอาเปรียบเล็กน้อยเท่านั้น แน่นอนว่าตัวข้าก็มิใช่สุภาพบุรุษที่ซื่อตรงอะไรขนาดนั้น หากว่าหงเหนียงมาช้าไปกว่านี้อีกสักนิด ก็อาจจะเกินเลยไปแล้วจริงๆ ก็ได้ แต่ข้าขอบอกไว้ก่อนว่าเรื่องนี้ข้าไม่ได้เป็นฝ่ายเริ่ม เป็นพวกนางที่เริ่มก่อน พวกนางมาขอให้ข้าช่วย บอกว่าท่านรับปากจะคืนอิสระให้พวกนาง ทว่าท่านหน่วงเหนี่ยวไม่ยอมทำตามที่พูดไว้…”
เขาบอกเล่าเรื่องราวทั้งหมดออกมา
“นังแพศยาสองคนนั้น กำเริบเสิบสานนัก เกือบทำให้พวกเราพี่น้องผิดใจกัน เรื่องนี้เอาไว้ข้าหาโอกาสเหมาะๆ แล้วจะจัดการ…” ลิ่งหูชิวด่าทอออกมา
กระทั่งทั้งสองกลับมาหาก่วนฟางอี๋อีกครั้ง หนิวโหย่วเต้าก็ช่วยพูดให้ลิ่งหูชิว ทว่าก่วนฟางอี๋ยังคงไม่ยินยอม “นังแพศยาหน้าไม่อายสองคนนั้นเป็นฝ่ายก่อเรื่อง ยังกล้ามาด่าข้าอีก บ้านข้าไหนเลยจะรองรับคนเช่นนี้ได้ ไม่เอา!”
สุดท้ายเป็นตายอย่างไรก็ไม่ยอมให้หงซิ่วหงฝูกลับมาที่สวนไม้เลื้อย
หลังจากลิ่งหูชิวกลับไป ก่วนฟางอี๋โบกพัดกลมพลางถามหนิวโหย่วเต้าว่า “ไม่ต้องจ่ายมัดจำแล้วกระมัง?”
หนิวโหย่วเต้าพยักหน้ารับ “อืม! เขาบอกว่าจะออกเงินหนึ่งล้านเหรียญทองนั้นให้ รวมถึงจะช่วยจัดการเรื่องม้าศึกด้วย”
ก่วนฟางอี๋แค่นเสียงเหอะ “เหลวไหล! พวกเขาต้องจ่ายเงินจ้างคนเสียที่ไหน หากข้าเดาไม่ผิดล่ะก็ จำนวนเงินที่เขาเตรียมจะพูดในตอนแรกอาจจะมากกว่าล้านเหรียญทองด้วยซ้ำ แต่พอถูกเจ้าตอกกลับไป ก็เลยรีบลดราคาให้เพื่อรั้งเจ้าไว้! แต่เจ้าก็มิใช่คนดีอันใดเช่นกัน ใช้คนเขาทำงานเปล่าๆ โดยไม่ลงทุนอะไรเลย!”
ลิ่งหูชิวไม่ได้ออกจากสวนไม้เลื้อยไปทันที เขาทราบว่าเฟิงเอินไท่กลับมาแล้ว จึงไปสอบถามสารทุกข์สุกดิบเฟิงเอินไท่ก่อน ถือโอกาสเลียบเคียงตรวจสอบคำพูดหนิวโหย่วเต้าสักหน่อยด้วย พอทราบว่าเป็นอย่างที่หนิวโหย่วเต้าพูดไว้ สำนักหยกสวรรค์โยนภาระทั้งหมดให้หนิวโหย่วเต้าจริงๆ เขาก็จากไปด้วยสีหน้าบึ้งตึง…
………………………………………………………………