ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า - ตอนที่ 345 เก็บตัวสิบปี
ตอนที่ 345 เก็บตัวสิบปี
ณ จวนอิงอ๋อง ภายในห้องหนังสือที่ตกแต่งอย่างเรียบง่าย
อิงอ๋องเฮ่าเจินนั่งเงียบอยู่บนเก้าอี้ด้านหลังโต๊ะหนังสือ สองมือประสานกันสอดอยู่ใต้แขนเสื้อ ท่าทางดูหัวอ่อนว่าง่าย
เขาไม่ได้มีบุคลิกเยี่ยงราชาผู้ปกครองใต้หล้าเหมือนเฮ่าอวิ๋นถูบิดาของเขา ไม่ได้ดูเย่อหยิ่งถือตัวเหมือนพี่ใหญ่อย่างเฮ่าฉี่ อีกทั้งไม่ได้งามสง่าองอาจเหมือนพี่รองเฮ่าหง ดูเป็นเด็กหนุ่มอายุน้อยทว่ามีความสุขุมเยือกเย็นเหมือนชายชรา ท่าทางเหมือนเศรษฐีหนุ่มภูมิฐาน มองไม่เห็นความองอาจใดๆ จากตัวเขาเลย
มีกระดาษแผ่นหนึ่งวางอยู่บนโต๊ะ เป็นจดหมายที่หนิวโหย่วเต้าเขียนขึ้นมาฉบับนั้น ข้อความสั้นๆ ไม่กี่ประโยค แต่กลับทำให้เฮ่าเจินนั่งพินิจอยู่เป็นเวลานาน
อีกฝั่งของโต๊ะมีคนยืนเรียงกันอยู่สามคน ได้แก่เชอปู้ฉือแห่งสำนักมหาบรรพต เซี่ยหลงเฟยแห่งสำนักศาสตราลึกล้ำและเกาเจี้ยนโฮ่วแห่งสำนักเพลิงนภา ถือเป็นคนจากสามสำนักที่รับหน้าที่ดูแลความปลอดภัยของเฮ่าเจิน
ที่อยู่ข้างโต๊ะคือมู่จิ่วขันทีผู้ดูแลจวนอ๋อง ใบหน้ามักจะฉาบรอยยิ้มบางๆ ไว้เสมอ หลังค้อมต่ำเล็กน้อย
“แผ่นดินเลิศวิไลกว้างไพศาล ยวนเย้าชายชาญหมายช่วงชิง ต้องมีปณิธานถึงขนาดไหนถึงเขียนกลอนเช่นนี้ออกมาได้!” เฮ่าเจินอดไม่ได้ที่จะเอ่ยรำพัน จากนั้นเงยหน้ามองคนทั้งสาม “พวกเจ้าคิดเห็นอย่างไรกับจดหมายฉบับนี้?”
เชอปู้ฉือกล่าวว่า “คำพูดด้านหลังเปลี่ยนไป ให้ความรู้สึกที่ต่างออกไปพ่ะย่ะค่ะ”
เซี่ยหลงเฟยเอ่ยว่า “เหมือนกำลังข่มขู่อยู่พ่ะย่ะค่ะ”
เกาเจี้ยนโฮ่วเอ่ยขึ้นมา “ชนะเป็นเจ้าแพ้เป็นโจร ก็สุดแท้แต่ความคิดของท่านอ๋อง เหมือนกำลังยื่นทางเลือกสุดท้ายให้ท่านอ๋องอยู่”
เฮ่าเจินกล่าวว่า “พวกเจ้าคิดว่าข้าควรพบเขาหรือไม่?”
เชอปู้ฉือเอ่ยว่า “ดูจองหองเล็กน้อย กระหม่อมพอจะรู้จักคนผู้นี้อยู่บ้าง ตอนอยู่ที่หอหิมะเหมันต์ถูกฉู่อันโหลวผู้ดูแลโรงเตี๊ยมเลื่อมรุ้งตบหน้าด้วย คาดว่าคงคิดจะแอบอ้างชื่อหอหิมะเหมันต์จึงถูกสั่งสอนเข้า ดูเหมือนคนผู้นี้จะติดนิสัยเสแสร้งวางท่า ท่านอ๋องสมควรหนักแน่นในกลยุทธ์ของตนเข้าไว้ ไม่จำเป็นต้องให้ความสนใจ ถึงอย่างไรเขาก็ไม่อาจทำอันใดท่านอ๋องได้ หากเขากล้าล้ำเส้นจริงๆ พวกเราสามคนจะจัดการเขาเอง เขายังไม่มีสิทธิ์จะมาวางอำนาจที่นี่ได้”
เฮ่าเจินกล่าวว่า “สังหารราชทูตแคว้นเยี่ยน สังหารจั๋วเชา เอาชนะคุนหลินซู่ ก่อเรื่องน่าตะลึงที่ลานนำตกเหินหาว จัดประมูลที่ทะเลสาบส่องนภา แล้วเรื่องพวกนี้ล่ะจะว่าอย่างไร? ในมุมมองของข้า คนผู้นี้พอจะมีฝีมืออยู่จริงๆ”
เชอปู้ฉือถามหยั่งเชิง “ท่านอ๋องอยากพบเขาหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
“ข้าก็ลังเลใจอยู่” เฮ่าเจินถอนหายใจ หันมองไปด้านข้างพลางเอ่ยถาม “มู่จิ่ว เจ้าคิดเห็นอย่างไร?”
มู่จิ่วค้อมกายเอ่ยตอบ “ท่านอ๋องทรงตัดสินพระทัยด้วยตัวพระองค์เองเถิดพ่ะย่ะค่ะ!”
เฮ่าเจินกล่าวว่า “ทุกคนที่นี่ล้วนเป็นคนกันเองทั้งสิ้น คิดอะไรก็พูดออกมาได้ เอ่ยให้ทุกคนได้รับฟัง จะได้ช่วยกันคิด”
“พ่ะย่ะค่ะ!” มู่จิ่วค้อมกายลงอีกครา เอ่ยออกมาเพียงประโยคหนึ่ง “ท่านขันทีผู้ดูแลปู้สวินเคยไปหาเขาถึงที่พักมาก่อนพ่ะย่ะค่ะ”
เฮ่าเจินเอ่ยไปว่า “ซึ่งนี่ก็คือจุดที่ทำให้ข้าลำบากใจ ไม่รู้ว่าสรุปแล้วเขาเกี่ยวข้องกับทางเสด็จพ่ออย่างไร อีกทั้งไม่รู้ว่าเขาต้องการพบข้าด้วยจุดประสงค์ใดกันแน่ มิเช่นนั้นข้าจะสนใจเขาไปไยเล่า”
มู่จิ่วเอ่ยขึ้นมาอีกครั้ง “ระยะนี้บ่าวตรวจสอบอดีตความเป็นมาของหนิวโหย่วเต้าคนนี้อย่างละเอียดแล้ว สืบได้ความว่ายามเยาว์วัยเคยถูกสำนักสวรรค์พิสุทธิ์กักบริเวณถึงห้าปี หลังออกจากสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ไปแล้วก็ยังถูกสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ส่งศิษย์ไปดักสังหาร แต่กลับถูกเขาสังหารแทน! หรือว่าระหว่างที่กักบริเวณเขาไว้สำนักสวรรค์พิสุทธิ์ลงมือกับเขาไม่ได้? เหตุใดถึงต้องรอให้เขาออกจากสำนักสวรรค์พิสุทธิ์แล้วค่อยลงมือ? แปลว่าคนผู้นี้มีความอดทนสูงยิ่ง ตอนอยู่ในสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ไม่เคยปล่อยให้สำนักสวรรค์พิสุทธิ์สบช่องลงมือกับเขาได้พ่ะย่ะค่ะ”
“งานประมูลที่ทะเลสาบส่องนภา เขาถูกคุนหลินซู่กดดันซ้ำไปซ้ำมา ทำให้ได้รับความอับอายต่อหน้าคนมากมาย แต่ก็ยังกล้ำกลืนความโกรธ อดทนวางตนต่ำต้อย อีกทั้งเป็นฝ่ายประกาศยอมรับความพ่ายแพ้ด้วยตัวเอง ซ้ำยังแสร้งแพ้ด้วย ทว่าถูกคุนหลินซู่บีบคั้นจนไม่รู้จะถอยอย่างไรแล้ว เขาจึงหาทางหนีทีไล่เตรียมไว้ทันที จากนั้นก็ลงมือดุดันหมายปลิดชีพให้ได้ หากมิใช่เพราะถูกคนอื่นขวางไว้ คุนหลินซู่ไหนเลยจะรอดชีวิตมาได้? เรื่องนี้เหมือนกับเรื่องราวของสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ทุกอย่าง แรกเริ่มล้วนอดทนข่มกลั้นไว้ แต่เมื่อบีบคั้นเขาจนไร้ทางถอย เขาก็จะลงมืออย่างไร้ความปรานี! เมื่อพิจารณาจากจุดนี้จะเห็นได้ว่าคนผู้นี้ไม่เพียงแต่มีความอดทนสูงเท่านั้น แต่ยังเป็นคนใจเด็ดด้วยพ่ะย่ะค่ะ!”
“สำนักสวรรค์พิสุทธิ์เป็นปรปักษ์กับเขา ตอนนี้มีชีวิตความเป็นอยู่ดีหรือไม่? คุนหลินซู่หาเรื่องเขา ยามนี้มีจุดจบเช่นใด? ซ่งหลงราชทูตแคว้นเยี่ยนไปหาเรื่องเขาในแคว้นจ้าว ถูกเขาสังหารตายอยู่ในมณฑลจินโจว แคว้นเยี่ยนส่งสายลับจำนวนมหาศาลไปดักซุ่มตามแคว้นต่างๆ ก็ยังสังหารเขาไม่ได้ กลับได้รับความเสียหายอย่างรุนแรงจากแคว้นต่างๆ หลังจากนั้นซ่งจิ่วหมิงเสนาบดียุติธรรมแห่งแคว้นเยี่ยนก็ถูกปลดอย่างลับๆ”
“แล้วตอนนี้ตระกูลซ่งเป็นอย่างไร? โดนสังหารล้างตระกูลไปแล้ว! แคว้นเยี่ยนแตกตื่นโกรธเกรี้ยว แต่เคยทำอันใดเขาได้หรือ? เกิดมรสุมวุ่นวายครั้งใหญ่ขึ้นที่หอหิมะเหมันต์ แต่ทำอันตรายเขาได้หรือไม่? สำนักเซียนสถิต สำนักเมฆาล่องและสำนักคีรีพิลาสที่เดิมทีพึ่งพิงตระกูลซ่ง ยามนี้กลับแปรพักตร์ไปอยู่ฝั่งเขาหมดแล้ว น่าประหลาดใจนัก!”
“จั๋วเชาไปดักสังหารเขาที่หอไร้ขอบเขต ยามนี้แม้แต่ศพก็ไม่เหลือ! พอมาถึงเมืองหลวงแคว้นฉี ถูกพวกมดปลวกมาท้าทาย คนทั้งสามถูกปลิดชีพที่ลานน้ำตกเหินหาวในคราวเดียว สร้างความตกตะลึงเป็นอย่างยิ่ง! ฝ่าบาททรงลงมือสร้างปัญหาให้ แต่ก็ทำอันตรายเขาไม่ได้เช่นกัน ต่อมาผู้ดูแลหลวงปู้สวินกลับเป็นฝ่ายไปหาเขาถึงที่ หนำซ้ำพระชายาอวี้ก็ไปพบในยามวิกาลอีก หงเหนียงที่ใช้ชีวิตอยู่ในเมืองหลวงแคว้นฉีมาเนิ่นนาน ไม่เหลียวแลคนธรรมดา แต่สุดท้ายกลับเกิดรักแรกพบกับเขาจนประกาศล้างมือจากวงการ”
“เมื่อดูจากเรื่องเหล่านี้ บ่าวคิดว่าคนผู้นี้ค่อนข้างมีฝีมือ เป็นคนที่มีความสามารถอย่างมาก เมื่อเผชิญอุปสรรคก็สามารถหาทางรับมือจนผ่านพ้นไปได้ เป็นคนที่จะทำทุกวิถีทางอย่างไม่ยอมเลิกราเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย ตอนนี้เขาหมายตาท่านอ๋องเข้าแล้ว ท่านอ๋องปฏิเสธที่จะพบหน้าหลายต่อหลายครั้ง แต่เขากลับไม่ยอมเลิกรา พระองค์คิดว่าหากไม่ได้พบพระองค์ เขาจะยอมรามือหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
วาจาเหล่านี้ทำให้ทุกคนในห้องหนังสือต่างตกอยู่ในภวังค์ความคิด
ระหว่างใคร่ครวญอยู่เงียบๆ เฮ่าเจินก็ผ่อนคลายลง เอ่ยถามว่า “พวกเจ้าคิดเห็นอย่างไร?”
เซี่ยหลงเฟยกล่าวว่า “จากการวิเคราะห์ของท่านขันทีผู้ดูแล หากท่านอ๋องสานไมตรีกับคนผู้นี้ มันก็ไม่แน่ว่าจะเป็นเรื่องเลวร้ายพ่ะย่ะค่ะ”
เชอปู้ฉือเอ่ยว่า“จะคบค้าก็ต้องดูด้วยว่ามีประโยชน์หรือไม่ ลองไปพบดูก่อนว่าเขาคิดจะทำอะไรกันแน่ หากว่าไม่เข้าท่า ท่านอ๋องก็ไม่จำเป็นต้องปะทะกับเขาตรงๆ อยู่ในที่สว่างยากจะหลบอันตรายจากมุมมืดพ้น กราบทูลต่อฝ่าบาทไปเสียก็พอ ไม่จำเป็นต้องปิดบัง ทูลความจริงทั้งหมดต่อฝ่าบาทไป หากเกิดเหตุใดขึ้นก็ยังมีคนตำแหน่งสูงกว่าคอยออกหน้า”
มู่จิ่วเอ่ยชื่นชม “อาจารย์เชอกล่าวมีเหตุผล”
เฮ่าเจินกวาดสายตามองเกาเจี้ยนโฮ่วที่ยังเงียบอยู่ ยิ้มน้อยๆ พลางเอ่ยไปว่า “คุนหลินซู่ของทางสำนักเจ้าตอนนี้อาการเป็นอย่างไรบ้าง?”
“เขามีนิสัยยโสโอหัง ครั้งนี้โดนหนิวโหย่วเต้าเล่นงานเข้าเต็มๆ นับว่าถูกทำลายความเย่อหยิ่งอย่างสิ้นเชิง ตอนที่กระหม่อมกลับสำนักเคยแวะไปดูมาหนหนึ่ง ร่างกายไม่มีปัญหาอะไร แต่หลังกลับจากงานประมูลครั้งนั้นก็ไม่ยอมพูดจาเลยสักประโยค ไม่ปริปากแม้แต่คำเดียว เรียกได้ว่าเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ คนที่มีนิสัยสุดโต่งเช่นนี้ไม่รู้เลยว่าวันหน้าเขาจะก่อเรื่องใดขึ้นมาอีก” เกาเจี้ยนโฮ่วถอนหายใจ ทราบเจตนาในการถามของเฮ่าเจินดี แท้จริงแล้วเขาไม่ได้นึกห่วงในคุนหลินซู่ หากแต่สนใจท่าทีของเขามากกว่า ดังนั้นจึงแสดงความเห็นว่า “ท่านอ๋องไม่จำเป็นต้องกังวลกับความคิดของกระหม่อมเลย เรื่องของสำนักก็ส่วนสำนัก เรื่องของท่านอ๋องก็ส่วนท่านอ๋อง ท่านอ๋องประสงค์จัดการอย่างไร ก็จัดการได้เต็มที่ การที่กระหม่อมมายืนอยู่ในห้องหนังสือแห่งนี้ได้ ท่านอ๋องก็น่าจะทราบจุดยืนของกระหม่อมแล้ว!”
เฮ่าเจินพยักหน้าเล็กน้อย ยื่นมือออกมาจากแขนเสื้อ หยิบกระดาษที่อยู่บนโต๊ะแผ่นนั้นขึ้นมา “แผ่นดินเลิศวิไลกว้างไพศาล ยวนเย้าชายชาญหมายช่วงชิง! ข้าก็อยากรู้เช่นกันว่าเขามาหาข้าด้วยเรื่องใดกันแน่ มู่จิ่ว เรื่องนี้ยกให้เจ้าไปจัดการแล้วกัน!”
ด้วยความเห็นนี้ จวนอิงอ๋องจึงติดต่อไปหาสวนไม้เลื้อยอย่างรวดเร็ว เดิมทีจวนอิงอ๋องต้องการให้มาพบกันอย่างเปิดเผยตรงไปตรงมา ทว่าหนิวโหย่วเต้าไม่ยินยอมไม่อยากพบกันอย่างเปิดเผย ต้องการจะนัดพบกับเฮ่าเจินอย่างลับๆ เป็นการส่วนตัว ด้วยเหตุนี้จวนอิงอ๋องจึงกังขาเป็นอย่างมาก ทั้งสองฝ่ายจึงเสียเวลาเจรจาต่อรองกันไปมากนัก…
….
ณ เขาสูงป่าไม้เขียวขจีร่มรื่น หั่วเฟิ่งหวงหิ้วกล่องอาหารขึ้นเขากลับมายังกระท่อมน้อยกลางป่า ทว่าภายในห้องไม่มีคนอยู่แล้ว
หั่วเฟิงหวงตกใจ ตลอดเวลาที่ผ่านมาศิษย์พี่พักรักษาตัวอยู่ที่นี่มาเป็นเวลานาน แม้ว่าจะหายจากอาการบาดเจ็บแล้ว แต่ก็ไม่เคยย่างเท้าออกไปข้างนอกเลยสักก้าว แล้วเขาไปไหนกัน?
นางวางของลง มองหาไปทั่วห้องก็ยังไม่พบ จึงออกไปตามหาด้านนอกต่อ
ขณะที่เพิ่งออกมาก็เห็นชายคนหนึ่งทะยานเข้ามา พอเห็นนางก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงร้อนใจ “ศิษย์พี่หญิง เกิดเรื่องกับศิษย์พี่แล้วขอรับ!”
สีหน้าของหั่วเฟิ่งฮวงซีดลงทันที เอ่ยถามเสียงสั่น “ศิษย์พี่เป็นอะไรไป?”
ชายคนนั้นตอบว่า “ศิษย์ไปยังเขตหวงห้ามสำหรับเก็บตัวขอรับ!”
“…..” หั่วเฟิ่งหวงตะลึงงัน จากนั้นก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก ที่แท้ก็ไปเขตหวงห้าม นึกว่าศิษย์พี่คิดไม่ตกแล้วคิดฆ่าตัวตายเสียอีก
นางไม่พูดพร่ำทำเพลง เหินทะยานออกไปอย่างรวดเร็ว มุ่งหน้าไปยังเขตหวงห้ามด้านหลังหุบเขา
ทั้งสองคนมุ่งหน้าตามกันมาจนถึงเขตหวงห้าม มองเห็นว่าผางจั๋วผู้เป็นอาจารย์กำลังทะเลาะถกเถียงกับอาจารย์ลุงเถียนเหรินอันผู้ดูแลเขตหวงห้ามอยู่ ทะเลาะถกเถียงกันจนหน้าดำหน้าแดง ต่างฝ่ายต่างตำหนิว่าอีกฝ่ายไร้ความรับผิดชอบ!
“อาจารย์ เกิดอะไรขึ้นเจ้าคะ?” หั่วเฟิ่งหวงรีบเข้าไปสอบถาม
พอเห็นนางมา สองผู้อาวุโสก็เงียบลงทันที
“อวิ๋นฉางเอ๋ย ศิษย์พี่จอมเลอะเลือนคนนั้นของเจ้าเข้าไปในถ้ำสิ้นแสงแล้ว” ผางจั๋วเอ่ยด้วยท่าทางเสียใจ
หั่วเฟิ่งหวงเงยหน้ามองไปทางปากถ้ำมืดมิดมีที่หินงอกขรุขระตรงด้านหน้า
นางย่อมทราบดีว่าการเข้าไปในถ้ำสิ้นแสงหมายถึงสิ่งใด ถ้ำสิ้นแสงเป็นเขตหวงห้ามสำหับเก็บตัวของสำนักเพลิงนภา การเก็บตัวในที่แห่งนี้ไม่เหมือนกับการเก็บตัวบำเพ็ญเพียรแบบทั่วไป การเข้าไปในถ้ำสิ้นแสงมิใช่เรื่องล้อเล่น หากแต่เป็นเรื่องจริงจัง หากเข้าไปแล้วต้องอยู่ในนั้นอย่างน้อยสามปี
ภายในสามปีนั้นห้ามย่างเท้าออกมาแม้แต่ก้าวเดียว ห้ามติดต่อสื่อสารใดๆ กับโลกภายนอก ด้านในก็มืดมิดไม่เห็นเดือนเห็นตะวัน!
ไม่ว่าจะตั้งใจเก็บตัวจริงๆ หรือแสร้งทำเป็นเก็บตัว ไม่ว่าจะสามารถบำเพ็ญเพียรจนบรรลุอันใดสำเร็จหรือไม่ การการเก็บตัวอยู่ในสถานที่มืดมิดไม่เห็นเดือนเห็นตะวันเป็นเวลาสามปีมิใช่เรื่องที่คนธรรมดาจะทนรับไหว ด้านในไม่มีผู้ใดอยู่เป็นเพื่อนเลย ความรู้สึกเช่นนั้นเพียงคิดดูก็รับรู้ได้แล้ว
แต่ในอีกแง่หนึ่งแล้ว ลำพังแค่เจ้ายอมอยู่ในสถานที่มืดมิดไร้แสงเช่นนั้นเป็นเวลานานสามปี เจ้าก็นับว่าเป็นศิษย์ที่มีความมานะอุตสาหะอย่างยิ่งแล้ว เจ้าสามารถบำเพ็ญเพียรอยู่ด้านในอย่างสบายใจได้ ทางสำนักเพลิงนภาจะให้การสนับสนุนอย่างเต็มกำลังแน่นอน!
ในด้านทรัพยากรบำเพ็ญเพียรรวมถึงอาหารการกิน ทางสำนักเพลิงนภาจะจัดหาให้ทั้งหมด ทั้งมีคนคอยเฝ้าอยู่นอกเขตหวงห้ามด้วย ไม่มีทางปล่อยให้คนเข้าไปรบกวนการบำเพ็ญเพียรของเจ้าแน่นอน!
สีหน้าของหั่วเฟิ่งหวงเปลี่ยนไปเล็กน้อย อีกไม่ถึงครึ่งปีก็จะถึงกำหนดงานวิวาห์ของนางกับศิษย์พี่แล้ว เข้าไปครั้งนี้ตามกฎแล้วต้องใช้เวลาอย่างน้อยสามปี เห็นได้ชัดว่าต้องเลื่อนงานวิวาห์ของทั้งสองออกไปด้วย! แต่นางฝืนฉีกยิ้มเอ่ยออกไปว่า “ไม่เป็นไรเจ้าคะ ศิษย์พี่อยู่ในสภาวะเช่นนี้ ได้เข้าไปสงบจิตใจในถ้ำสิ้นแสงอาจจะเป็นเรื่องดีก็ได้”
“ไอ้เดรัจฉานนั่นบอกว่าระหว่างเก็บตัวจะตัดอาลัยทางโลกทั้งหมดทิ้ง ไม่อยากทำให้เจ้าต้องเสียเวลา…” ผางจั๋วหยิบจดหมายฉบับหนึ่งยื่นให้นาง สีหน้าขุ่นเคือง ที่มากกว่านั้นคือความรู้สึกเห็นได้ใจนาง “เจ้าอ่านสิ่งนี้ก่อนเถอะ!”
หั่วเฟิ่งหวงสับสนไม่เข้าใจ รับจดหมายไปเปิดอ่านอย่างรวดเร็ว หลังอ่านจบสีหน้าพลันแปรเปลี่ยนไปทันที ร้องเสียงหลงว่า “สิบปี!”
เป็นจดหมายที่คุนหลินซู่เขียนถึงนาง บอกว่าต้องการเก็บตัวบำเพ็ญเพียรโดยตัดขาดจากกิเลสอารมณ์ทางโลก พูดทำนองว่าขออภัยต่อนาง ไม่อยากให้นางเสียเวลา จึงต้องการถอนหมั้น!
มีกระดาษอีกใบแนบมาด้วย เป็นหนังสือถอนหมั้นที่คุนหลินซู่เขียนให้นาง
เมื่อถอนหมั้นแล้วก็จะเก็บตัวอยู่ในถ้ำสิ้นแสงที่ไม่เห็นเดือนเห็นตะวันเป็นเวลาสิบปี คุนหลินซู่มุ่งมั่นกับการเก็บตัวครั้งนี้ขนาดไหน เพียงคิดดูก็รู้แล้ว!
แต่ปัญหาคือต่อให้สำนักเพลิงนภาจะแข็งแกร่งเพียงใด ต่อให้มีทรัพยากรมากมายแค่ไหน ทางสำนักก็ไม่มีทางมอบทรัพยากรบำเพ็ญเพียรให้ผู้ใดยาวนานถึงสิบปีโดยไม่คิดค่าตอบแทน ไม่มีทางยอมเลี้ยงดูใครเปล่าๆ ถึงสิบปีแน่นอน!
แน่นอน หากว่าเป็นคนที่สร้างคุณูปการให้สำนักเพลิงนภาอย่างใหญ่หลวงก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง หากเจ้ามีส่วนช่วยสร้างผลงานให้สำนัก สำนักเลี้ยงดูปูเสื่อเจ้าก็ไม่มีใครว่าอะไรได้!
เมื่อเก็บตัวในถ้ำสิ้นแสงสามปี หลังออกมาจะต้องไปทำภารกิจให้ทางสำนัก และถือเป็นการทดสอบความก้าวหน้าจากการเก็บตัวของเจ้าด้วย
หากเก็บตัวห้าปีก็เท่ากับเลี้ยงดูเจ้าเปล่าๆ ห้าปี เช่นนั้นก็จะมอบภารกิจที่สำคัญยิ่งขึ้นให้เพื่อเป็นการทดสอบเจ้า!
หากเก็บตัวสิบปีก็เท่ากับเลี้ยงดูเจ้าเปล่าๆ ตลอดสิบปี ทุ่มเททรัพยากรมหาศาลไปกับตัวเจ้า เมื่ออกมาแล้วภารกิจที่รออยู่จะเป็นอย่างไรเพียงคิดดูก็คงรู้แล้ว!
นับตั้งแต่ก่อตั้งสำนักเพลิงนภาขึ้นมา มีเพียงบรรพจารย์ผู้ก่อตั้งเท่านั้นที่เคยเก็บตัวสิบปี หลังจากนั้นก็ไม่มีผู้ใดทำอีก ตอนนี้คุนหลินซู่นับเป็นคนที่สอง
………………………………………………………………