ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า - ตอนที่ 346 นัดพบอย่างลับๆ
ตอนที่ 346 นัดพบอย่างลับๆ
แต่ท่านบรรพจารย์ผู้ก่อตั้งเก็บตัวในช่วงบั้นปลายของชีวิตหลังจากส่งต่อตำแหน่งเจ้าสำนักไปแล้ว
ซึ่งในความเป็นจริงบรรพจารย์ผู้ก่อตั้งก็เก็บตัวไม่ถึงสิบปีด้วยซ้ำ เนื่องจากรู้สึกว่ายากจะบรรลุสภาวะได้ แล้วก็รับรู้ว่าอายุขัยมาถึงขีดจำกัดแล้ว อยู่ได้เก้าปีก็ออกจากการเก็บตัว หลังจากฝากฝังสั่งเสียแล้วก็สิ้นลมลาโลกไป
คุนหลินซู่อายุเพียงเท่านี้กลับต้องการนำเวลาสิบปีในช่วงวัยรุ่งโรจน์มาเก็บตัว กักขังตัวเองไว้ที่มืดมิดเดียวดาย สำหรับคนธรรมดาแล้วนับเป็นเรื่องที่ยากจะจินตนาการได้
พอเห็นหนังสือถอนหมั้นฉบับนี้ น้ำตาของหั่วเฟิ่งหวงก็ไหลรินออกมา
นางรู้สึกเสียใจ ครั้งนี้เรียกได้ว่าค่อนข้างปวดใจจริงๆ ทั้งสองหมั้นหมายกัน อีกทั้งใกล้ถึงกำหนดวิวาห์แล้ว ทว่าศิษย์พี่กลับทิ้งหนังสือถอนหมั้นฉบับหนึ่งไว้ให้ จะให้นางทนรับไหวได้อย่างไร แล้วต่อไปนางจะเผชิญหน้ากับคนอื่นได้อย่างไร?
เรื่องที่ทำให้นางเสียใจที่สุดคือนางไม่รู้ว่าสุดท้ายแล้วพี่ใหญ่เห็นตนเป็นอะไรกันแน่ เป็นเพียงสิ่งของที่จะมีหรือไม่มีก็ได้อย่างนั้นหรือ?
“อาจารย์ เหตุใดท่านยอมปล่อยให้ศิษย์พี่เข้าไปเก็บตัวในถ้ำสิ้นแสงถึงสิบปีเจ้าคะ?” หั่วเฟิ่งหวงร่ำไห้ อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามอาจารย์ของตนทั้งน้ำตา
การเข้าไปเก็บตัวในถ้ำสิ้นแสงไม่ใช่ว่าผู้ใดนึกอยากจะซ่อนตัวจากเรื่องทางโลกก็สามารถเข้าไปได้เลย หากว่าทุกคนล้วนทำแบบนี้กันหมด ผู้ใดจะทำงานในสำนัก ใครจะปฏิบัติภารกิจของสำนักเพลิงนภาเล่า? สำนักเพลิงนภาจะยังอยู่รอดได้หรือ?
ผู้ที่จะเข้าไปเก็บตัวก็ต้องได้รับความเห็นชอบจากอาจารย์ของตนก่อนถึงจะเข้าไปได้ ไม่ใช่ว่าพอถึงเวลาที่ทางสำนักเกิดปัญหาหรือมีภารกิจให้เจ้าไปจัดการ เจ้าก็จะหลบเลี่ยงเข้าไปเก็บตัวได้!
“อวิ๋นฉาง ครั้งนี้เป็นอาจารย์ที่สะเพร่าเอง ไอ้เดรัจฉานตัวนั้นมาหาข้า บอกว่าจะเข้าไปเก็บตัวในถ้ำสิ้นแสง ข้าเห็นท่าทางของเขาแล้วก็กลัวว่าหากเป็นเช่นนี้ต่อไปเขาจะหมดสภาพเอา จึงไม่คิดให้ถ้วนถี่นัก คิดว่าให้เขาไปเก็บตัวสักสองสามปีก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไร เลยมอบตราประจำตัวของข้าให้เขาไป แต่ข้าก็ได้กำชับล่วงหน้าแล้วว่าเขาต้องได้รับความเห็นชอบจากเจ้าก่อนถึงจะทำได้ ผู้ใดจะทราบว่าไอ้เดรัจฉานตัวนั้นกลับเขียนจดหมายเช่นนี้ทิ้งไว้ให้ตาเฒ่าเลอะเลือนคนนี้!”
ตอนพูดว่าตาเฒ่าเลอะเลือน ผางจั๋วชี้ไปที่เถียนเหรินอัน “ตาเฒ่าเลอะเลือนคนนี้ก็ไม่คิดเสียบ้างเลย มีใครในสำนักเพลิงนภาเขาเก็บตัวเป็นสิบปีกัน? ไม่คิดให้ถ้วนถี่ก็ปล่อยให้เขาสลักอักษรยืนยันไว้บน ‘ผนังทบทวน’ แล้วก็ปล่อยให้เขาเข้าไปในถ้ำแบบนั้นได้!”
ผู้ที่จะเข้าไปเก็บตัวล้วนต้องจารึกอักษรยืนยันไว้บนผนังหินข้างทางเข้าถ้ำ เพื่อแสดงถึงปณิธานอันแน่วแน่ เหตุผลที่เรียกกันว่า ‘ผนังทบทวน’ เพราะต้องการให้คิดทบทวนดั่งชื่อของผนังทบทวน ไม่อาจจารึกอักษรลงไปส่งเดชได้ หากจารึกปณิธานลงไปแล้ว จะต้องทำตามที่พูด ไม่อาจเปลี่ยนใจได้!
บนผนังทบทวนจารึกคำปณิธานมุ่งมั่นบำเพ็ญเพียรของเหล่าศิษย์สำนักเพลิงนภาสืบต่อกันมารุ่นต่อรุ่น เมื่อผ่านลมฝนเคี่ยวกรำ รอยจารึกจึงคล้ำด่างดำ ศิษย์รุ่นหลังต่างมองด้วยความเลื่อมใส พึงเห็นเป็นแบบอย่าง!
เถียนอันเหรินได้ยินก็ส่งเสียงขึ้นมาทันที “เจ้าโทษข้าหรือ? ข้าคอยดูแลที่นี่ตามกฎสำนัก จะรู้ได้อย่างไรว่าเรื่องเป็นมาอย่างไร? อีกอย่างเขาก็นำตราประจำตัวของเจ้ามาด้วย ใครจะไปรู้ว่าอาจารย์อย่างเจ้าจะมอบตราประจำตัวให้เขาโดยไม่สอบถามเรื่องนี้ให้ชัดเจน เจ้าลองพูดมาสิว่าผู้ใดกันแน่ที่เลอะเลือน?”
พอคุนหลินซู่มาถึงที่นี่ก็ยื่นตราให้ บอกว่าต้องการเก็บตัวบำเพ็ญเพียรสิบปี ทางเขาก็ตกใจเช่นกัน แต่เถียนอันเหรินคิดว่าคุนหลินซู่แค่หงุดหงิดใจจากความพ่ายแพ้ จึงอยากแข็งแกร่งขึ้น เขาพอจะเข้าใจความรู้สึกของคุนหลินซู่ จึงไม่ได้คิดมากความนัก เพียงแค่รู้สึกค่อนข้างสะท้อนใจเท่านั้น
ก่อนคุนหลินซู่จะเข้าไปเก็บตัวก็ได้ฝากจดหมายฉบับนี้ไว้กับทางนี้ ฝากส่งต่อให้หั่วเฟิ่งหวง
เก็บตัวถึงสิบปีเช่นนี้ เถียนอันเหรินก็อยากสอบถามผางจั๋วเช่นกันว่าคิดอะไรอยู่กันแน่ เขาจึงถือจดหมายไปหาผางจั๋ว
หลังจากผางจั๋วทราบเรื่องก็ตกใจเป็นอย่างมาก ด้วยเหตุนี้จึงเกิดเหตุกาณ์เช่นนี้ขึ้น!
“แล้วการที่เจ้าปล่อยคนเข้าถ้ำไปโดยไม่ตรวจสอบอะไรให้ดีก่อนมันเหมาะสมแล้วหรือ?”
“ในถ้ำก็ไม่ได้ซุกซ่อนสมบัติอันใดที่ต้องกลัวว่าคนจะเข้าไปขโมยไว้ ในเมื่อเต็มใจจะเข้าไปเผชิญความลำบากเอง ขอเพียงปฏิบัติตามขั้นตอนครบถ้วนก็เข้าไปได้ เจ้าพูดมาสิว่ามีกฎสำนักข้อไหนบอกไว้ว่าต้องตรวจสอบข้อมูลให้แน่นอนก่อน? ศิษย์ของเจ้าเองแท้ๆ เจ้ายังไม่รู้เรื่องเลยด้วยซ้ำ แล้วยังคิดจะผลักความรับผิดชอบมาให้ข้าอีกหรือ?”
ทั้งสองเริ่มทะเลาะถกเถียงกันตรงนั้นอีกครั้ง
“อาจารย์!” หั่วเฟิ่งหวงในสภาพน้ำตานองหน้าพลันคุกเข่าลง ทั้งสองหยุดทะเลาะกันทันที ผางจั๋วเอ่ยด้วยความตกใจ “อวิ๋นฉาง นี่เจ้าจะทำอะไร?”
หั่วเฟิ่งหวงเอ่ยเสียงสะอื้น “ขออาจารย์โปรดอนุญาตให้ศิษย์เข้าไปเก็บตัวด้วยเถอะเจ้าค่ะ!”
“ไม่ได้!” ผางจั๋วปฏิเสธทันที แบบนี้ใช่เข้าไปเก็บตัวเสียที่ไหน เห็นๆ อยู่ว่าต้องการเข้าไปคุยให้รู้เรื่อง เขตหวงห้ามใช่สถานที่เล่นสนุกหรือ?
ในเวลานี้เอง แสงเพลิงพลันส่องวาบทั่วนภา วิหคไฟฝูงหนึ่งกระพือปีกใหญ่โตบินเข้ามาอย่างรวดเร็ว
วิหคเพลิงร่อนลงพื้น แสงเพลิงดับลง เผยให้เห็นคนกลุ่มหนึ่งที่ถูกห่อหุ้มอยู่ท่ามกลางเปลวเพลิง ผู้ที่เดินนำเข้ามาสวมอาภรณ์สีแดงหลวมโคร่ง รูปลักษณ์สง่าภูมิฐาน บุคลิกสูงส่งดั่งนั่งบนยอดเมฆา นั่นคืออวี่เหวินเยียนเจ้าสำนักเพลิงนภา คณะที่ติดตามมาคือผู้อาวุโสระดับสูงของสำนัก
เก็บตัวในถ้ำสิ้นแสงสิบปี นอกจากบรรพจารย์ผู้ก่อตั้งสำนักแล้ว ไม่มีผู้ใดทำเช่นนี้ได้อีก พอคุนหลินซู่ทำเช่นนี้ย่อมสร้างความตื่นตะลึงให้เหล่าผู้อาวุโสระดับสูงของสำนักเพลิงนภาด้วย
ทุกคนตกใจ หั่วเฟิงหวงถูกผางจั๋วดึงให้ลุกขึ้นมา ทำความเคารพพร้อมกัน “คารวะท่านเจ้าสำนัก!”
อวี่เหวินเยียนยกมือปรามไม่ให้มากพิธี เอ่ยถามเสียงเรียบเฉย “ได้ยินว่าคุนหลินซู่มีปณิธานแน่วแน่จะเข้าถ้ำไปเก็บตัวสิบปีอย่างนั้นหรือ?”
ผางจั๋วและเถียนอันเหรินอันตอบพร้อมกัน “เป็นเช่นนี้จริงๆ ขอรับ!”
อวี่เหวินเยียนทอดสายตามองไปทางปากถ้ำ พยักหน้าเล็กน้อย “ชีวิตคนเราไม่มีทางราบรื่นไปได้ตลอด ใครบ้างที่ไม่เคยประสบช่วงเวลาอดสูน่าอับอาย? รู้จักเรียนรู้จากความผิดพลาด มีความแน่วแน่และเด็ดขาดถึงเพียงนี้ ยังต้องกลัวว่าลบล้างความอัปยศไม่ได้อีกเหรอ สำนักเพลิงนภาของข้ามีผู้สืบทอด นี่นับเป็นเรื่องที่ดี!”
หั่วเฟิ่งหวงทรุดตัวคุกเข่าลงอีกครั้ง อ้อนวอนอาจารย์ไม่สำเร็จจึงขอร้องเจ้าสำนักต่อ
หลังจากอวี่เหวินเยียนทราบความเป็นมาของเรื่องราว เขาหลุบตามองคนที่คุกเข่าอยู่ เอ่ยอย่างเย็นชาว่า “ที่นี่คือเขตหวงห้าม มิใช่เรือนหอของพวกเจ้า! เขาตัดขาดกิเลสทางโลกเก็บตัวบำเพ็ญเพียร หากเจ้าเข้าไป กิเลสทางโลกย่อมตามติดเป็นเงาตามตัว เขาจะสงบใจบำเพ็ญเพียรได้อย่างไร? ข้าพอจะเข้าใจความรู้สึกของเจ้า แต่เขาตั้งปณิธานเอาไว้สิบปีเป็นเรื่องที่หาได้ยาก ชีวิตคนเราสั้นนัก มีเวลาให้ใช้สักกี่สิบปีกัน? เจ้าอย่าได้ถ่วงเขาเลย!”
กล่าวจบก็หันหลังไป แสงเพลิงพลันลุกโชน เปลวไฟขยายตัวขึ้นสู่อากาศ กลายเป็นวิหคเพลิงอีกครั้ง ห่อหุ้มตัวคนไว้จากนั้นสยายปีกบินจากไป
เหล่าผู้อาวุโสระดับสูงของสำนักเพลิงนภามองหั่วเฟิ่งหวงที่คุกเข่าอยู่บนพื้น บางคนมีสีหน้าเรียบเฉย บางคนมีสีหน้าสงสารเห็นใจ ต่างพากันดีดตัวขึ้นสู่อากาศ แต่ละคนมีเปลวเพลิงลุกโชนแล้วโผบินจากไป
หั่วเฟิ่งหวงคุกเข่าอยู่บนพื้นอย่างไร้เรี่ยวแรง งงงันเลื่อนลอย นางรู้ดีว่าเมื่อเจ้าสำนักกล่าวมาเช่นนี้ เกรงว่าคงไม่มีผู้กล้าปล่อยให้นางเข้าไปแล้ว
….
ณ อุโมงค์ใต้ดินคับแคบ กว้างพอให้เดินผ่านไปได้ทีละคน ผีเสื้อจันทราสองตัวบินตามกันหนึ่งหน้าหนึ่งหลัง คอยส่องแสงให้ ก่วนฟางอี๋เดินนำหน้า หนิวโหย่วเต้าตามอยู่ด้านหลัง
“อุโมงค์ใต้ดินเส้นนี้เจ้าเตรียมไว้สำหรับหลบหนีในยามฉุกเฉินหรือ?” หนิวโหย่วเต้าถาม
ก่วนฟางอี๋ถอนหายใจแล้วเอ่ยว่า “เมื่อก่อนวางแผนไว้เช่นนี้ แต่ตอนนี้มาคิดๆ ดูแล้ว มีความเป็นไปได้สูงว่าหน่วยข่าวกรองจะทราบเรื่องอุโมงค์เส้นนี้อยู่แล้ว”
หนิวโหย่วเต้าแปลกใจ “หน่วยข่าวกรองรู้ถึงเส้นทางหลบหนีของเจ้าหรือ?”
“ตรงจุดที่เราลงมา เส้นทางที่แยกไปทางซ้ายจะทะลุไปตามใต้ห้องรับรองส่วนตัวของแขก เชื่อมต่อกันไปตลอดแนว หน่วยข่าวกรองทราบเรื่องห้องรับรองเหล่านี้ แล้วจะไม่ทราบเรื่องเส้นทางนี้ได้อย่างไร? แต่แน่นอนว่าอาจจะยังไม่รู้ว่าปากทางเข้าออกอยู่ตรงไหน แค่สืบทราบว่าห้องรับรองเหล่านั้นมีปัญหาเท่านั้น”
“แม้แต่ความลับเกี่ยวกับห้องรับรองของเจ้า หน่วยข่าวกรองก็รู้อย่างนั้นหรือ?”
“หยาๆๆ อย่ามาแกล้งเลอะเลือนใส่ข้านะ เจ้ากล้าพูดหรือว่าเจ้าไม่รู้เรื่องนี้?”
“ข้าแกล้งเลอะเลือนอันใด? ข้าจะไปรู้เรื่องของหน่วยข่าวกรองได้อย่างไรเล่า?”
ก่วนฟางอี๋ที่เดินนำอยู่ด้านหน้าชะงักไปทันที หันขวับกลับมาเอ่ยถาม “อย่างนั้นเจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้ารู้เรื่องบทสนทนาระหว่างเว่ยฉูกับลิ่งหูชิว? ปู้สวินไม่ได้บอกเจ้าหรอกหรือ?”
“เป็นตัวเจ้าที่กินปูนร้อนท้องเผยพิรุธเอง ข้าหยั่งเชิงดูนิดหน่อยก็รู้แล้ว…” หนิวโหย่วเต้าเล่าเรื่องลองหยั่งเชิงนางในคืนนั้นให้นางฟัง
ดวงตาของก่วนฟางอี๋ค่อยๆ เบิกกว้าง จ้องมองเขาราวกับเห็นผี “อ๊าก!” เสียงกรีดร้องแสบแก้วหูดังขึ้นมาในทันใด นางยกสองมือกุมศีรษะ ทรุดตัวนั่งยอง ท่าทางนึกเสียใจเป็นอย่างมาก
ตอนแรกมีหน่วยข่าวกรองมาหาถึงที่ ข่มขู่สอบถามถึงบทสนทนาระหว่างเว่ยฉูและลิ่งหูชิว ต่อมาหนิวโหย่วเต้าที่ไม่รู้จักมักคุ้นกันมาก่อนก็มาหาถึงที่ นางจึงนึกว่าหนิวโหย่วเต้าทราบเรื่องจากทางปู้สวิน จึงมาหานาง หลังจากถูกข่มขู่ไปทีเดียว ตัวนางที่หลบหน้าอยู่ด้านนอกก็รีบกลับมาทันที
ตอนนี้พอได้รู้ความจริงขึ้นมา นางรู้สึกว่าตนช่างสะเพร่านัก แพ้ภัยความฉลาดของตัวเอง!
คิดไม่ถึงว่าตนจะลงนามขายตัวไปอย่างเลอะเลือนไม่รอบคอบ ยอมติดตามคนผู้นี้ด้วยความขาดสติ ตอนนี้รู้ความจริงแล้ว เข้าใจแล้วว่าอีกฝ่ายหลอกนางมาตั้งแต่แรก ตนติดกับแผนร้ายของเขาเข้าแล้ว นางอยากโขกหัวให้ตายใจแทบขาด!คิดไม่ถึงว่าตนจะลงนามขายตัวไปอย่างเลอะเลือนไม่รอบคอบ ยอมติดตามคนผู้นี้ด้วยความขาดสติ ตอนนี้รู้ความจริงแล้ว เข้าใจแล้วว่าอีกฝ่ายหลอกนางมาตั้งแต่แรก ตนติดกับแผนร้ายของเขาเข้าแล้ว นางอยากโขกหัวตัวเองให้ตายใจแทบขาด!
หนิวโหย่วเต้าหัวเราะฮ่าๆ “เรื่องผ่านไปหมดแล้ว ไยต้องคิดมากอีกเล่า ตอนนี้ก็ดีมากแล้วมิใช่หรือ!”
“เจ้าไม่ต้องพูด!” ก่วนฟางอี๋ที่นั่งยองๆ อยู่บนพื้นยกมือปรามทันที หากไม่รู้ความจริงยังพอว่า แต่พอรู้ความจริงแล้วกลับรับความสะเทือนใจนี้ไม่ค่อยไหว
นางนึกเสียใจขึ้นมา ความจริงช่างโหดร้ายและทารุณนัก นางไม่น่าถามออกไปเลย มิสู้เลอะเลือนต่อไปยังดีกว่า เช่นนั้นจิตใจยังพอรู้สึกดีอยู่บ้าง ตอนนี้เกรงว่าเรื่องราวนี้คงตามหลอกหลอนอยู่ในใจนางไปชั่วชีวิต คิดไม่ถึงว่าตนจะเลอะเลือนและขาดสติจนขายตัวเองออกไปเช่นนี้
ก่วนฟางอี๋ขุ่นเคืองอยู่สักพัก จู่ๆ ก็ลุกพรวดขึ้นมา หันหลังเดินอาดๆ ออกไป นางรู้สึกอยากร้องไห้น้ำตานองหน้า ตอนนี้ลงเรือโจรแล้ว มานึกเสียใจเอาตอนนี้ก็สายไปเสียแล้ว!
ระหว่างที่เดิน หนิวโหย่วเต้าซักถามนางว่าหน่วยข่าวกรองทราบความลับของห้องรับรองได้อย่างไร
พอรู้ว่าหน่วยข่าวกรองก็มาหาก่วนฟางอี๋ในวันนั้นเช่นกัน หนิวโหย่วเต้าถึงกระจ่างแจ้งขึ้นมาทันที เข้าใจแล้วว่าทำไมก่วนฟางอี๋ถึงขุ่นเคือง
และจากความขุ่นเคืองของก่วนฟางอี๋ก็ทำให้ทราบเรื่องหนึ่งว่า ตอนนั้นก่วนฟางอี๋เข้าใจผิดว่าการมาของเขาเกี่ยวข้องกับปู้สวิน ถึงได้หวาดกลัวจนยอมจำนน มิเช่นนั้นเกรงว่าสตรีนางนี้คงไม่ยอมสยบง่ายๆ เช่นนั้น เกรงว่าคงต้องลำบากมากกว่าเดิม!
ในทางกลับกันแล้ว เรื่องนี้ก็ทำให้หนิวโหย่วเต้าตื่นตัวขึ้นมา ไม่คิดเลยว่าเครือข่ายของหน่วยข่าวกรองจะกว้างขวางขนาดนี้ แม้แต่ความลับที่ซ่อนอยู่ในห้องรับรองของก่วนฟางอี๋ก็ยังสืบจนพบ ดูเหมือนว่าต่อไปจะต้องระวังเอาไว้จริงๆ
ทางออกของอุโมงค์ใต้ดินอยู่ห่างออกไปสองร้อยจั้ง ตอนที่ทั้งสองมุดออกมา พวกเขาก็มาโผล่อยู่ในเรือนเล็กๆ หลังหนึ่งของชาวบ้าน
เจ้าของบ้านคือคู่สามีภรรยาที่เป็นชาวบ้านธรรมดา หาเลี้ยงชีพด้วยการขับรถม้า เป็นก่วนฟางอี๋ที่แอบจัดสรรให้มาอยู่ที่นี่
ในบ้านมีรถม้าอยู่พอดี เมื่อจัดเตรียมรถม้าเสร็จเรียบร้อย ทั้งสองก็มุดเข้าไป ประตูเรือนถูกเปิดออก ชายเจ้าของบ้านบังคับรถม้าพาทั้งสองออกไป
อ้อมวนไปครึ่งเมือง สุดท้ายรถม้าก็หยุดลงที่สวนด้านหลังของเรือนที่เงียบสงบหลังหนึ่ง หนิวโหย่วเต้าและก่วนฟางอี๋ลงจากรถม้า โผร่างผ่านกำแพงเข้าไปในด้านในอย่างรวดเร็ว
เกาเจี้ยนโฮ่วแห่งสำนักเพลิงนภาก็อยู่ในสวน มองเห็นทั้งสองคนโผข้ามกำลังมาโผล่ตรงหน้าเขา
“เกาเจี้ยนโฮ่วแห่งสำนักเพลิงนภา เป็นคนสนิทของอิงอ๋อง” ก่วนฟางอี๋กระซิบแนะนำข้างหูหนิวโหย่วเต้า ถึงแม้นางจะไม่เคยติดต่อกับอิงอ๋องมาก่อน แต่ก็เคยเห็นอิงอ๋องและคณะติดตามอยู่ไกลๆ บนท้องถนน
เกาเจี้ยนโฮ่วก็เคยเห็นก่วนฟางอี๋เช่นกัน สตรีที่มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วเช่นนี้ อาศัยอยู่ในเมืองหลวงมาเนิ่นนาน จะไม่เคยพบเห็นได้อย่างไร สายตาเขาเลื่อนไปที่ร่างหนิวโหย่วเต้าพลางเอ่ยถาม “เจ้าคือหนิวโหย่วเต้า?”
“ถูกต้อง!” หนิวโหย่วเต้าประสานมือคำนับ
“ตามข้ามา” เกาเจี้ยนโฮ่วหันหลังเดินออกไป
ในสวนมีศาลากลางน้ำ เกาเจี้ยนโฮ่วเดินนำทั้งสองเข้ามา เคาะประตูแล้วเปิดออก แจ้งต่อด้านในว่า “ท่านอ๋อง คนมาถึงแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ภายในห้องคือเฮ่าเจินและมู่จิ่ว ทั้งสองมองหนิวโหย่วเต้าและก่วนฟางอี๋ที่เดินเข้ามา
หนิวโหย่วเต้าเองก็มองพินิจคนทั้งสองเช่นกัน คนที่ดูสูงวัยผู้นั้นย่อมไม่ใช่อิงอ๋อง ส่วนอีกคนสองมือสอดประสานกันอยู่ในแขนเสื้อ หน้าตาดูหัวอ่อนว่าง่าย ดูแล้วไม่คล้ายว่าจะเป็นท่านอ๋องเลย เขาอดไม่ได้ที่จะเหลือบมองก่วนฟางอี๋
ก่วนฟางอี๋ผงกหัวเล็กน้อย หนิวโหย่วเต้าถึงได้แน่ใจว่าคนตรงหน้าที่ดูไม่เหมือนจะเป็นท่านอ๋องผู้นี้คืออิงอ๋องจริงๆ
………………………………………………….