ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า - ตอนที่ 357 คืนนี้ยากจะข่มตานอน
ตอนที่ 357 คืนนี้ยากจะข่มตานอน
ซูจ้าวใช้พลังตรวจสอบภายในกระเพาะของหยวนกัง ไม่พบการมีอยู่ของโอสถเทพระทม ดูเหมือนจะถูกละลายไปแล้วจริงๆ นางระเบิดโทสะออกมาทันที พุ่งเข้ามาคว้าลำคอของฉินเหมียน ดันตัวฉินเหมียนตรึงไว้กันผนัง มีเจตนาสังหารอย่างเห็นได้ชัด
นางรู้ดีว่าโอสถเทพระทมมีฤทธิ์เดชเช่นไร เมื่อพิษของยาออกฤทธิ์ ความทุกข์ทรมานนั้นไม่มีผู้ใดจะต้านทานได้
ถึงมีจะมียาถอนพิษ แต่สิ่งที่เรียกว่ายาถอนพิษก็ทำได้เพียงบรรเทาฤทธิ์ยาเอาไว้เพียงครั้งละสามเดือนเท่านั้น ไม่มียาถอนพิษที่สามารถกำจัดฤทธิ์ยาได้ถาวร ทันทีที่ได้รับพิษเข้าไปก็เท่ากับว่าชั่วชีวิตนี้ไม่อาจหลุดพ้นจากการควบคุมของโอสถเทพระทมได้อีก
นางไม่คาดคิดเลยว่าบุรุษที่เพิ่งเคล้าคลอสุขสมกับนาง ไม่คิดเลยว่าบุรุษที่ทำให้นางหวั่นไหวสารภาพความรู้สึกที่แท้จริงออกไปก่อนหน้านี้ จะถูกฉินเหมียนจัดการอย่างโหดเหี้ยมในทันใด!
นางคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าฉินเหมียนจะใช้สิ่งร้ายกาจเช่นนี้กับหยวนกัง!
ในอดีตยามที่นางยัดเยียดให้คนอื่นกินสิ่งนี้เข้าไป นางไม่ได้มีความรู้สึกอันใดมากนัก แต่ครั้งนี้นางกังวลมากจริงๆ นางรู้ว่าต่อไปหยวนกังจะต้องทนรับความทุกข์ทรมานเช่นไร เมื่อถึงเวลานั้นนางจะอธิบายต่อหยวนกังอย่างไรเล่า?
“บอกข้ามาว่ามิใช่ความจริง!” ซูจ้าวเค้นถามเสียงกร้าว ยังคงโอบอุ้มเสี้ยวความหวังไว้
ฉินเหมียนที่ถูกบีบคอจนหน้าแดงไปหมดชี้ไปยังมือของนางที่บีบคออยู่ สื่อว่าบีบคอไว้เช่นนี้นางไม่สามารถให้คำตอบได้
ซูจ้าวคลายมือปล่อยนางลง สีหน้าเปี่ยมเจตนาสังหาร!
“แค่กๆ!” ฉินเหมียนไอเล็กน้อย ก่อนหน้านี้นางก็โอบอุ้มเสี้ยวความหวังไว้เช่นกัน หวังว่าซูจ้าวจะยอมละทิ้งได้ ผลคือซูจ้าวลงมือกับนางเพื่อหยวนกัง นางจึงเข้าใจขึ้นมาแล้วว่านายหญิงคนนี้ชอบพอบุรุษผู้นี้เข้าแล้วจริงๆ นางเอ่ยอย่างผิดหวังนิดๆ “นายหญิง ท่านลองถามใจตัวเองดูเถิด หลายปีมานี้ข้าปฏิบัติต่อท่านเช่นใด? ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเงื่อนไขหรือว่าประสบการณ์แล้ว ตำแหน่งหัวหน้าหน่วยล้วนสมควรเป็นของข้า เบื้องบนก็ยอมรับในตัวข้าเช่นกัน แต่ท่านไป๋ต้องการให้ข้ายกให้ท่าน ข้าก็ยอมยกให้โดยไม่พูดอะไรสักคำ อีกทั้งทุ่มเทกายใจคอยดูแลท่านตามที่ท่านไป๋สั่งการมาตลอด พวกเราทำงานร่วมกันมานานหลายปีเช่นนี้ แต่ท่านกลับลงมือกับข้าเพื่อคนนอกคนหนึ่งอย่างนั้นหรือเจ้าคะ?”
มุมปากซูจ้าวเม้มเข้าหากัน จำต้องยอมรับว่าการดูแลที่ฉินเหมียนปฏิบัติต่อนางในหลายปีมานี้ ทำให้นางเถียงไม่ออกจริงๆ แต่เรื่องบางอย่างก็ไม่อาจนำมาเปรียบเทียบกันเช่นนี้ได้ นางถามกลับไป “ข้าบอกเจ้าไปแล้วมิใช่หรือว่าอย่าได้สอดมือเข้ามายุ่งเรื่องที่ไม่ควรยุ่ง ไม่ว่าตำแหน่งหัวหน้าหน่วยนี้เดิมทีจะควรตกอยู่กับผู้ใด แต่เจ้าไม่เห็นระดับตำแหน่งสูงต่ำในองค์กรอยู่ในสายตาบ้างหรือ? เรื่องที่ข้าสั่งห้ามอย่างเคร่งครัด เจ้ากลับกล้าฝ่าฝืนอย่างนั้นหรือ?”
ฉินเหมียนโต้แย้ง “ข้าทำไปก็เพราะหวังดีต่อท่าน หากเกิดเหตุขึ้นกับท่าน ข้าก็ไม่อาจมอบคำอธิบายให้ท่านไป๋ได้แล้ว!
ซูจ้าวกล่าวว่า “หากเจ้าไม่พอใจอันใดในตัวข้าก็สามารถแจ้งต่อเบื้องบนได้เลย ผู้ใดใช้ให้เจ้านำโอสถเทพระทมออกมาใช้โดยพลการ? เจ้าไม่รู้หรือว่าสิ่งนี้ไม่อาจใช้ส่งเดชได้? เจ้าไม่รู้หรือว่าผู้ใดที่นำยานี้ไปใช้ จะต้องแจ้งต่อทางเบื้องบนเพื่อขอความเห็นชอบก่อน? ข้าเห็นชอบแล้วอย่างนั้นหรือ? ผู้ใดใช้ให้เจ้าทำโดยพลการ?”
“แจ้งต่อเบื้องบนอย่างนั้นหรือ? หัวหน้า ท่านรู้หรือไม่ว่าท่านทำอะไรอยู่? เขาทราบถึงความสัมพันธ์ระหว่างท่านกับซีย่วนต้าอ๋องแล้ว ท่านรู้ดีแต่ก็จงใจฝ่าฝืน ทำให้งานของเบื้องบนเสียเรื่อง ท่านคิดว่าเบื้องบนจะยอมปล่อยเขาหรือจะยอมปล่อยท่านไปอย่างนั้นหรือ?” ฉินเหมียนชี้สลับไปมาระหว่างชายหญิงทั้งคู่พลางเอ่ยถาม
สีหน้าซูจ้าวดูแย่ นิ่งเงียบไปพักหนึ่ง ยังคงกัดฟันถามออกไป “สรุปแล้วเจ้าใช้ยากับเขาหรือไม่?”
ฉินเหมียนกล่าวด้วยความโมโหคับข้อง “หัวหน้า ข้าทำเช่นนี้ก็เพื่อช่วยท่านนะเจ้าคะ! เรื่องนี้หากแก้ไขไม่ทันท่วงที ไม่ว่าผู้ใดก็ปกป้องท่านไม่ได้! ท่านลองคิดดูให้ดีนะเจ้าคะ เบื้องหลังเขาคือตระกูลฮูเหยียน ได้ยินว่าแม่ทัพฮูเหยียนอู๋เฮิ่นพอใจในตัวเขามาก อยากดึงตัวเขาเข้าร่วมกองทัพมาโดยตลอด หากใช้ยากับเขา เราก็สามารถมอบคำอธิบายต่อเบื้องบนได้ว่าเพื่อวางสายสืบไว้ข้างกายฮูเหยียนอู๋เฮิ่น หากใช้เหตุผลเช่นนี้ อีกทั้งมีท่านไป๋คอยออกหน้าแทนท่าน ไม่มีทางเป็นเรื่องขึ้นมาแน่นอนเจ้าค่ะ!”
“หัวหน้า ท่านลองคิดดูดีๆ สิเจ้าคะ หากเขาชอบท่านจริงๆ ก็ไม่จำเป็นต้องใส่ใจเรื่องนี้เลย ท่านจะปล่อยให้เขาได้รับความทุกข์ทรมานในระยะยาวได้หรือ? ทางเราไหนเลยจะขาดแคลนยาถอนพิษสำหรับเขา? ขอเพียงเขาจริงใจต่อท่านจะใช้ยานี้หรือไม่ก็ไม่ได้แตกต่างกันเลย สามารถใช้ชีวิตตามปกติเหมือนคนธรรมดาได้! หัวหน้า ข้าทำเช่นนี้นับว่าช่วยส่งเสริมพวกท่านนะเจ้าคะ หากท่านชอบพอเขาจริงๆ ขอเพียงมีคำอธิบายให้เบื้องบน วันหน้าก็ไม่จำเป็นต้องผวากังวลอีก และท่านก็จะได้ครองคู่กับเขาอย่างแท้จริงนะเจ้าคะ”
พอได้ยินคำว่าสามารถครองคู่กันอย่างแท้จริงได้ ซูจ้าวก็ขบริมฝีปาก
“หัวหน้า ข้ารู้ว่าท่านกังวลเรื่องใดอยู่ ท่านกังวลหลังจากเขาฟื้นขึ้นมาจะยอมรับความจริงเรื่องนี้ไม่ได้ จนขุ่นเคืองในตัวท่าน ท่านวางใจเถอะเจ้าค่ะ ก่อนหน้านี้พอเขาออกมาจากห้องของท่านข้าก็ลงมือทันที เห็นได้ชัดว่าเรื่องนี้มิใช่ความคิดของท่าน ท่านทำเป็นไม่รู้เรื่องนี้เสียก็พอ ขอเพียงไม่ปล่อยให้คนนอกทราบถึงความสัมพันธ์ระหว่างพวกท่าน ท่านก็สามารถติดต่อไปมาหาสู่กับเขาแบบส่วนตัวได้ ส่วนเรื่องอื่นยกให้เป็นหน้าที่ของข้าเอง ยกบทคนเลวมาให้ข้าเถอะเจ้าค่ะ ข้าจะช่วยจัดการทุกอย่างเพื่อท่านแน่นอน จะช่วยให้ท่านได้สมปรารถนา ไม่มีทางเป็นเรื่องขึ้นมาได้ ข้ารับปากท่านไป๋เอาไว้แล้วว่าจะคอยดูแลท่านให้ดี ไม่มีทางปล่อยให้เกิดปัญหาขึ้นเด็ดขาด มิเช่นนั้นท่านไป๋ก็คงไม่ละเว้นข้าเช่นกัน…”
….
ม่านรัตติกาลเข้าครอบคลุมเมืองหลวงแคว้นฉีแล้ว แต่ขบวนม้าห้าตัวบนทุ่งหญ้ายังคงวิ่งห้อไล่ตามดวงตะวันที่กำลังจะลับขอบฟ้าไปตลอดทาง ขอบฟ้าแดงฉาน กว้างใหญ่ไพศาล ช่างงดงามนัก!
ฮี่! เสียงม้าร้องแว่วดังขึ้นมา ฝุ่นดินฟุ้งตลบ ม้าสะดุดเสียหลักล้มถลากลิ้งออกไป หนิวโหย่วเต้าที่อยู่บนหลังม้าตัวที่ล้มดีดตัวออก
อีกสี่คนที่เหลือพากันรั้งบังเหียนหยุดม้า
หนิวโหย่วเต้าร่อนลงสู่พื้น ค้ำกระบี่ไว้เบื้องหน้า หันมองกลับไปทางเมืองหลวง เพ่งมองอยู่นานพักใหญ่
ฝุ่นดินที่ฟุ้งขึ้นมาเพราะม้ากลิ้งล้มล่องลอยไปกับสายลม อาภรณ์หนิวโหย่วเต้าปลิวสะบัด ขายืนตัวตรงอยู่ท่ามกลางสายลม แสงอาทิตย์ที่ส่องกระทบทำให้ปรากฏเงาทอดตัวยืดยาว เขามองไปทางเมืองหลวงด้วยแววตาที่ค่อนข้างตึงเครียด
สัตว์พาหนะเสียหลักล้มมิใช่ลางดีอันใดเลย ทำให้เขารู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีขึ้นมาอย่างน่าประหลาด ทอดมองไปทางเมืองหลวงแคว้นฉีตามสัญชาตญาณ
ม้าทั้งสี่ตัวที่ควบผ่านไปแล้ววกกลับมาอีกครั้ง ก่วนฟางอี๋ในสภาพมอมแมมอ่อนล้ากระโดดลงมาจากม้าพลางเอ่ยว่า “ไม่ไหวแล้ว ขี่ต่อไม่ไหวแล้ว ต้องหยุดพักหน่อย!”
หนิวโหย่วเต้าหันกลับไปมองม้าที่พยายามตะเกียกตะกายลุกขึ้นมา เห็นได้ชัดว่าขาค่อนข้างอ่อนแรง จากนั้นมองไปทางม้าอีกสี่ตัวที่หอบหายใจฟืดฟาดอยู่ วิ่งมาเป็นระยะเวลานานเกินไป อีกทั้งระหว่างทางไม่พบคนเลี้ยงม้าเลย จึงไม่ได้ผลัดเปลี่ยนพาหนะ เกินกำลังของม้าไปแล้วจริงๆ หากฝืนเดินทางต่อไปเกรงว่าคงได้ตายกันทั้งหมด!
“พักหน่อยเถอะ!” หนิวโหย่วเต้าชี้ไปทางเนินเขาที่อยู่ใต้ลม…
….
หยวนกังฟื้นขึ้นมาด้วยความเจ็บปวดอย่างรุนแรง
ตอนที่ฟื้นขึ้นมาเขาพบว่าตนล้มฟุบอยู่บนพื้นเย็นเฉียบ ยังไม่ทันได้สังเกตถึงสิ่งอื่น หลังได้สติขึ้นมาเพียงครู่เดียว เขาก็ถูกความเจ็บปวดทรมานที่รวดร้าวเข้าไปถึงในกระดูกเข้าครอบงำทันที
นั่นคือความเจ็บปวดที่ไม่สามารถบรรยายออกมาได้ ราวกับถูกมีดเฉือนเป็นหมื่นชิ้น ราวกับถูกต้มอยู่ในหม้อน้ำมัน เสมือนในร่างมีมดนับไม่ถ้วนรุมกัดแทะอยู่ ประหนึ่งดวงวิญญาณถูกแผดเผาอยู่กลางเปลวไฟ
หยวนกังที่หน้าเปลี่ยนสีเกลือกกลิ้งไปบนพื้น สองมือกำเป็นหมัดทุบลงบนพื้นอย่างหนักหน่วงเป็นระยะ บางครั้งก็ตีอกชกหัวตัวเอง ส่งเสียงครางด้วยความเจ็บปวดทรมาน
จากนั้นไม่นานอาภรณ์บนร่างก็ถูกตัวเขาดึงทึ้งฉีกกระชาก เขามองเห็นคนผู้หนึ่งอยู่ตรงหน้า เป็นฉินเหมียนนั่นเอง ฉินเหมียนก้มมองลงมา
ด้วยความเจ็บปวดทำให้สายตาเขามองเห็นร่างของฉินเหมียนแยกออกเป็นห้าหกร่างพร้อมกันในเวลาเดียว
เขายื่นมือออกไปพยายามคว้าเล็กน้อย ดิ้นรนลุกขึ้น เหวี่ยงหมัดชกออกไป
แต่ตัวเขาในตอนนี้มือเท้าอ่อนแรงไปหมดแล้ว ไหนเลยจะต่อยโดนคนได้ ฉินเหมียนหลบพ้นอย่างง่ายดาย เฝ้ามองหยวนกังพุ่งชนผนังจนเซล้มกลิ้งไปกับพื้น
พอเห็นว่าเขาไม่ได้เปล่งเสียงร้องโหยหวนออกมาเลย ซ้ำยังสามารถต่อต้านได้ ฉินเหมียนก็อดชื่นชมไม่ได้ “เป็นชายชาตรีที่ดีคนหนึ่ง เหมือนตีขึ้นมาจากเหล็กกล้าจริงๆ ดี ข้าก็อยากเห็นนักว่าเจ้าจะทนไปได้อีกนานแค่ไหนถึงจะร้องขอความเมตตาออกมาได้!”
แต่คนที่อยู่ด้านนอกกลับทนไม่ไหวแล้ว ตึงๆ! ใครบางคนที่ได้ยินเสียงโครมครามจากในห้องออกแรงเคาะประตูอย่างหนักหน่วงเล็กน้อย
ฉินเหมียนหันไปมอง ทว่าไม่สนใจ
ตึงๆ! ประตูถูกเคาะรุนแรงกว่าเดิมอีกสองสามที
ฉินเหมียนจนปัญญา หากโอ้เอ้ต่อไปเกรงว่าคนที่อยู่ด้านนอกผู้นั้นคงจะวิ่งเข้ามาเผยตัวแน่ นางทำได้เพียงก้าวเข้าไปแล้วพยุงหยวนกังขึ้นมา ยัดยาสีดำเม็ดหนึ่งเข้าไปในปากหยวนกัง
…..
หยวนกังก็ไม่ทราบเช่นกันว่าตนได้สติกลับมาอย่างไร พอรู้สึกตัวขึ้นมาก็พบว่าร่างตนชุ่มไปด้วยเหงื่อ เปียกโชกเหมือนตกน้ำมา ร่างกายก็ยังค่อนข้างอ่อนแรง อาภรณ์ท่อนบนถูกดึงขาดเป็นชิ้นๆ
ชายกระโปรงของสตรีที่อยู่เบื้องหน้าขยับเข้ามาใกล้ เขาช้อนตามองขึ้นไป ยังคงเป็นฉินเหมียนที่กำลังก้มมองดูตัวเอง
หยวนกังออกแรงดันตัวลุกขึ้นนั่ง ความรู้สึกก่อนหน้านั้น ตอนนี้พอมาคิดๆ ดูแล้วยังคงทำให้เขารู้สึกขนลุกอยู่ เขาตระหนักได้ว่าตนน่าจะพลาดท่าโดนอะไรบางอย่างเข้าแล้ว
ฉินเหมียนย่อตัวนั่งยองๆ ตรงหน้าเขา เอ่ยอย่างเย็นชา “เจ้าใจกล้าไม่เบาเลย กล้าล่วงเกินแม้แต่นายหญิงของพวกเรา นายหญิงอาจเลอะเลือนไป แต่ข้าไม่ได้เลอะเลือน! เรือนเมฆาขาวสามารถตั้งตัวในแคว้นฉีได้ เพราะมีไพ่ตายอย่างซีย่วนต้าอ๋อง ไม่ว่านายหญิงจะมีความสัมพันธ์กับซีย่วนต้าอ๋องหรือไม่ แต่หากเรื่องนี้แพร่ออกไปหลังจากนี้ จะให้ซีย่วนต้าอ๋องรู้สึกอย่างไร? ตัวเจ้าสุขสำราญ แต่สำหรับนายหญิงของพวกเราแล้ว นั่นกลับเป็นเรื่องร้ายแรงถึงชีวิต สำหรับพวกเราแล้วถือเป็นหายนะที่ร้ายแรงเป็นอย่างมาก เจ้าทำเรื่องงามหน้านัก เจ้าตอบมาสิว่าเจ้าจะรับผิดชอบอย่างไร?”
หยวนกังเงียบงัน ฉากเคล้าคลอระเริงรักกับซูจ้าวปรากฏขึ้นมาในหัวอีกครั้ง เขารู้สึกผิดกับเรื่องนี้จริงๆ
…..
สุดท้าย ทางนี้ก็ยอมปล่อยหยวนกังจากไป
หลังจากเฝ้ามองจนแผ่นหลังของหยวนกังหายลับผ่านประตูหลังเรือนออกไปแล้ว ซูจ้าวถึงได้เผยตัวก้าวออกมาจากความมืด ดวงตาเต็มไปด้วยความรู้สึกโทษตัวเอง
ฉินเหมียนค่อยๆ เดินมาหยุดข้างกายนาง เอ่ยเนิบๆ ว่า “ก็ไม่ได้คุยยากอันใด นับว่าเป็นบุรุษที่ดีคนหนึ่ง เขาบอกแล้วว่าเขาจะรับผิดชอบท่าน! ไม่คำนึงถึงสถานะตนเสียบ้างเลย พูดออกมาได้ว่าจะพาท่านไป! ข้าไม่เห็นด้วย บอกไปว่ารอให้เขามีความสามารถถึงขั้นนั้นก่อนแล้วค่อยพูดประโยคนี้อีกครั้ง มิเช่นนั้นก็ไม่ได้ต่างอะไรกับผายลม!”
ซูจ้าวยิ้มออกมาแต่ก็ร้องไห้ด้วย น้ำตาเม็ดใหญ่ไหลอาบแก้มแล้วหยดร่วงลงไป
….
ค่ำคืนนี้ซูจ้าวถูกลิขิตให้ยากจะข่มตานอนได้
นางนั่งคู้เข่า เท้าเปลือยเปล่า พิงอยู่ข้างเตียง ปลายนิ้วหยอกเย้าผีเสื้อจันทรา กำลังใจลอย
พอใกล้ถึงยามรุ่งสาง มีเสียงเคาะประตูแว่วมาจากด้านนอก ฉินเหมียนเร่งฝีเท้าเดินเข้ามา กระซิบรายงานอย่างร้อนรน “นายหญิง ท่านไป๋มาเจ้าค่ะ! เขาโมโหมากเจ้าค่ะ!”
ซูจ้าวตกใจรีบผุดลุกขึ้นมา เอ่ยอย่างค่อนข้างตระหนกว่า “เจ้าเพิ่งส่งข่าวไปเมื่อไม่กี่ชั่วยามก่อนมิใช่หรือ? เหตุใดถึงมาเร็วขนาดนี้เล่า?”
ฉินเหมียนก็กระวนกระวายอย่างมากเช่นกัน “ข้าก็ไม่ทราบเจ้าค่ะ”
ทางนี้รีบสวมเสื้อผ้าให้เรียบร้อย จากนั้นทั้งสองก็รีบเดินออกไป มาปรากฏตัวในห้องมืดที่ใช้คุมขังหยวนกังไว้ก่อนหน้านี้อีกครั้ง
ใต้แสงตะเกียงหรี่สลัว คนในผ้าคลุมสีดำมีหมวกปรกหน้าคนหนึ่งยืนหันหลังอยู่
เมื่อทั้งสองเข้ามาในห้อง ซูจ้าวก็รีบเข้าไปทำความเคารพ “ท่านลุงใหญ่!”
คนที่หันหลังอยู่เอ่ยเนิบๆ ว่า “เหตุใดถึงไม่รู้จักจำเสียที บอกไปกี่ครั้งแล้วว่าต่อไปห้ามเรียกลุงใหญ่อีก!”
ซูจ้าวรีบเปลี่ยนคำเรียกขานทันที “อาจารย์!”
คนที่หันหลังอยู่หันกลับมาในทันใด ตวัดมือฟาดใส่หน้านางฉาดหนึ่ง
เพียะ! ซูจ้าวหวีดร้องล้มลงบนพื้น มือกุมแก้มไว้ โลหิตไหลซึมออกมาจากมุมปาก
ฉินเหมียนรีบก้าวเข้าไปประคอง ผลคือถูกคนในผ้าคลุมยกมือชี้มา นางจึงตัวแข็งทื่อไปทันที ค่อยๆ ถอยหลังไปด้วยร่างกายที่สั่นเทา
คนผู้นั้นชี้หน้าซูจ้าวที่ทรุดนั่งอยู่บนพื้น ตำหนิอย่างโกรธเกรี้ยว “เจ้ายังเห็นข้าเป็นอาจารย์อยู่หรือ? นังเด็กไร้ยางอาย คิดไม่ถึงว่าจะหลับนอนกับบุรุษในหอคณิกา เจ้าช่างทำออกมาได้ หรือเจ้าคิดว่าตัวเจ้ากลายเป็นหญิงคณิกาที่ต้องรับแขกไปแล้วจริงๆ? บรรพชนตระกูลไป๋ของข้าต้องอัปยศเสื่อมเสียเพราะเจ้าแล้ว ไร้ยางอาย ชั้นต่ำ…”
……………………………………………………