ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า - ตอนที่ 360 คนของหน่วยข่าวกรอง
ตอนที่ 360 คนของหน่วยข่าวกรอง
เมื่อเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น คืนนี้ผู้ใดก็อย่าฝันว่าจะได้อยู่อย่างสบายใจ
วันต่อมา เสมียนเกามาหาหยวนกังที่เรือนด้านหลัง เขาไม่ได้นอนมาทั้งคืน ยิ้มเจื่อนพลางเอ่ยด้วยสีหน้าอ่อนล้าว่า “เถ้าแก่ พบตัวคุณชายสามแล้ว ทุกคนสบายใจได้แล้ว”
วันนี้เขาไม่ได้มาเปิดร้านเต้าหู้ตามเวลา เพราะรอข่าวจากทางตระกูลฮูเหยียนอยู่ตลอด ถึงอย่างไรค่าใช้จ่ายในการหลบหนีของฮูเหยียนเวยก็เป็นหยวนกังที่ให้ไป
หยวนกังถาม “พบตัวที่ไหน?”
เสมียนเกาตอบว่า “เฮ้อ หนีไปได้ไม่ไกลนักขอรับ จับได้ในพื้นที่ที่อยู่ห่างออกไปสองร้อยลี้ ได้ยินว่าพอถูกไล่ล่าก็เข้าไปซ่อนตัวในกองหญ้าของพื้นที่เลี้ยงสัตว์แห่งหนึ่ง ถูกหาตัวออกมา รุ่งเช้าวันนี้ถูกคุมตัวกลับมาขอรับ สภาพเรียกได้ว่าจนตรอกน่าเวทนา มีเศษหญ้าติดเต็มตัว เฮ้อ ไยต้องหาเรื่องลำบากด้วยนะ!”
หยวนกังพูดไม่ออก ไม่รู้ควรจะว่าอะไรฮูเหยียนเวยดี มันจะไม่ได้เรื่องเกินไปหน่อยแล้ว ถูกจับตัวกลับมาแบบนี้ หากไม่มีความสามารถในการหลบหนีแล้วจะหนีไปทำไม?
แต่เขาไม่รู้อะไร แรกเริ่มตระกูลฮูเหยียนก็ไม่รู้จริงๆ ว่าฮูเหยียนเวยหนีไปไหน ทว่าเรื่องนี้กลับทราบไปถึงองค์ฮ่องเต้แล้ว เฮ่าอวิ๋นถูจะปล่อยให้ฮูเหยียนเวยหนีไปได้อย่างไร จึงออกคำสั่งให้หน่วยข่าวกรองตามหาคนให้พบทันที จากนั้นไม่นาน ฮูเหยียนเวยที่เปลี่ยนพาหนะระหว่างเดินทางก็ถูกพบตัวเข้า
หน่วยข่าวกรองไม่ได้เข้าไปจับตัวในทันที เฮ่าอวิ๋นถูก็ต้องรักษาหน้าบ้างเช่นกัน ไหนเลยจะบังคับจับตัวคนที่ไม่ยินดีแต่งกับธิดาตนให้กลับมาแต่งงานได้
ดังนั้นจึงส่งคนไปแจ้งข่าวแก่ทางตระกูลฮูเหยียนอย่างเงียบๆ ให้คนของตระกูลฮูเหยียนไปจัดการเอาเอง
ตระกูลฮูเหยียนจึงสั่งการทหารทันที เรียกระดมกำลังทหารที่อยู่ในละแวกพื้นที่หลบหนีของฮูเหยียนเวยให้เข้าปิดล้อมเขา
กองทหารม้าหลายพันนายมุ่งหน้าไปเพื่อจับกุมฮูเหยียนเวยเพียงคนเดียว ทราบพิกัดตำแหน่งอย่างชัดเจน ซ้ำยังมีผู้บำเพ็ญเพียรออกปฏิบัติการควบคู่ด้วย ฮูเหยียนเวยที่หัวเดียวกระเทียมลีบจะหนีไปไหนได้เล่า? ด้วยเหตุนี้ฮูเหยียนเวยจึงถูกจัวตัวกลับมา!
เสมียนเกาหยิบตั๋วแลกทองมูลค่าพันเหรียญทองออกมาสามใบ “เถ้าแก่ เงินที่คุณชายสามหยิบยืมท่านไป ท่านแม่ทัพสั่งให้นำมาคืนท่านขอรับ ชดใช้หนี้ของคุณชายสามที่ติดค้างไว้”
หยวนกังรับมา สัญญากู้ยืมก็ยังอยู่กับตัวเขา เขาจึงหยิบออกมายื่นส่งให้เสมียนเกา ก่อนจะถามขึ้นมาอีกครั้งว่า “จับคนกลับมาแล้วจะทำอย่างไรต่อ?”
เสมียนเกาถอนหายใจดังเฮ้อพลางเอ่ยว่า “สภาพเขาเรียกได้ว่าน่าอนาถขอรับ ทันทีที่จับตัวกลับมาได้ ท่านแม่ทัพก็ออกคำสั่งให้ลงโทษด้วยกฎตระกูล โบยคุณชายสามจนร้องไห้โหยหวนบอกว่าต่อไปไม่กล้าทำอีกแล้ว คาดว่าภายในช่วงนี้ คุณชายสามอย่าหวังจะลุกจากเตียงได้อีก ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงเรื่องหลบหนีอันใดเลยขอรับ เฮ้อ เถ้าแก่ หากไม่มีเรื่องใดแล้วข้าขอตัวไปทำงานก่อนนะขอรับ”
หยวนกังพยักหน้าเงียบๆ
…..
ผ่านไปไม่นานนัก ก็มีข่าวหนึ่งแพร่กระจายออกไป ทำให้ทั่วเมืองหลวงแคว้นฉีตกตะลึง
ในช่วงว่าราชการยามเช้า จู่ๆ แม่ทัพฮูเหยียนอู๋เฮิ่นก็เป็นฝ่ายขอพระราชทานสมรสจากองค์ฮ่องเต้ต่อหน้าเหล่าขุนนางนับร้อย ต้องการสู่ขอองค์หญิงใหญ่เฮ่าชิงชิงให้แก่ฮูเหยียนเวยผู้เป็นบุตรชาย องค์ฮ่องเต้ก็ทรงตอบตกลงต่อหน้าเหล่าขุนนางเช่นกัน
วาจามีค่าดั่งทองคำ กษัตริย์ตรัสแล้วไม่อาจคืนคำได้ เจรจาสำเร็จลุล่วง
ส่วนบุคคลในเรื่องราว ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายชายหรือฝ่ายหญิง ก็ล้วนไม่มีสิทธิ์ที่จะปฏิเสธได้!
แต่เรื่องที่คนบางส่วนให้ความสนใจกลับมิใช่เรื่องนี้
ณ เรือนเมฆาขาว ซูจ้าวและฉินเหมียนยืนอยู่หน้าแผนที่แผ่นหนึ่ง ฉินเหมียนชี้ลากเส้นทางที่มุ่งสู่ทิศตะวันออกพลางเอ่ยว่า “มองจากเส้นทางแล้ว เห็นได้ชัดว่าต้องการออกจากแคว้นฉีเพื่อกลับไปยังแคว้นเยี่ยน!”
ทางนี้ได้รับข่าวมาว่าระหว่างทางมีคนบังเอิญพบหนิวโหย่วเต้าและศิษย์สำนักหยกสวรรค์ในสภาพแปลงโฉมปลอมตัวเข้า หลังจากทางนี้ได้รับข่าวก็ให้คนที่อยู่ในแถบนั้นไปสืบดู ปรากฏว่าเป็นศิษย์สำนักหยกสวรรค์ที่แปลงโฉมปลอมตัวกันมาจริงๆ
“ข้ารู้อยู่แล้วว่าไอ้สารเลวคนนั้นมันเจ้าเล่ห์!” ซูจ้าวกัดฟันกรอด ไม่ได้บอกออกไปว่าตนสงสัยมาแต่แรกแล้ว ผลลัพธ์ที่ปรากฏในตอนนี้ได้พิสูจน์ข้อสันนิษฐานของนางแล้ว นางเอ่ยอย่างเฉียบขาดว่า “รีบติดต่อหาเบื้องบนทันที ขอความร่วมมือจากคนของหน่วยอื่นๆ ต้องขวางเอาไว้ให้ได้ ไม่ว่าจะต้องแลกด้วยอะไรก็ตาม! หากปล่อยให้เขาหนีกลับไปถึงจังหวัดชิงซานได้ การจะไปลงมือกับเขาในถิ่นของพวกเขา ทางองค์กรต้องเสียกำลังมหาศาลแน่นอน จะปล่อยให้เขาหนีกลับไปไม่ได้เด็ดขาด!”
นางอยากกำจัดหนิวโหย่วเต้าทิ้งมานานแล้ว ครั้งนี้ได้รับอนุญาตจากเบื้องบนแล้ว นางย่อมต้องทุ่มเทอย่างสุดกำลัง
“เจ้าค่ะ!” ฉินเหมียนตอบรับ รีบออกไปโดยเร็ว
ทว่าออกไปได้ไม่นาน ฉินเหมียนก็เดินกระวีกระวาดกลับมาอีกครั้งแล้วเอ่ยขึ้นว่า “สารเลวแซ่หนิวจอมเจ้าเล่ห์ คิดจะหลอกให้พวกเรามุ่งหน้าไปทางตะวันออก แต่ตัวเขามุ่งหน้าไปทางตะวันตก” นางแสดงจดหมายที่อยู่ในมือ “เบื้องบนบอกว่าสารเลวแซ่หนิวออกจากเขตพื้นที่ของพวกเราไปแล้ว บอกว่าถึงคนของทางเราจะไล่ตามไปก็ไม่ทันแล้ว จึงสั่งไม่ให้พวกเราบุ่มบ่ามผลีผลามอีก เลี่ยงไม่ให้ถูกจับได้เจ้าค่ะ!”
“มุ่งหน้าไปทางตะวันตก?” ซูจ้าวแปลกใจ “แน่ใจหรือ?”
ฉินเหมียนกล่าวว่า “เบื้องบนออกคำสั่งมาหาพวกเราเอง ต้องเป็นข่าวที่ไว้วางใจได้แน่นอนเจ้าค่ะ มิเช่นนั้นคงไม่สั่งให้พวกเราหยุดปฏิบัติการแบบนี้!”
ซูจ้าวมองไปยังแผนที่อีกครั้ง “มุ่งหน้าไปทางตะวันออกหรือ ไปถึงบริเวณใดแล้ว?”
“เบื้องบนไม่ได้แจ้งรายละเอียดเอาไว้เจ้าค่ะ บอกเพียงเหตุผลที่สั่งให้พวกเราล้มเลิกปฏิบัติการ แต่ในเมื่อบอกว่าออกจากเขตพื้นที่ของพวกเราแล้ว ทั้งยังบอกว่าคนของเราไล่ตามไปไม่ทันแล้ว คาดว่าไอ้สารเลวแซ่หนิวน่าจะใกล้ถึงแถบชายฝั่งแล้วเจ้าค่ะ หากปล่อยให้เขาหนีออกทะเลไปได้ เขาก็จะสามารถเสาะหาสถานที่หลบซ่อนตัวได้ตลอดเวลา คิดจะหาตัวเขาให้พบอีกครั้งคงไม่มีหวังแล้ว” ฉินเหมียนยื่นมือชี้ไปทางพื้นที่ทะเลของแคว้นฉี
พอได้ยินว่าหนิวโหย่วเต้าไปถึงแถบชายฝั่งแล้ว ซูจ้าวพลันตกใจขึ้นมา กังวลว่าหนิวโหย่วเต้าจะลงมือกับม้าศึกขบวนนั้น
แต่พอลองคิดดูอีกที ตนคงจะคิดมากไป ม้าศึกที่ขนส่งไปให้ทางเป่ยโจวออกทะเลไปนานแล้ว หนิวโหย่วเต้าไปตอนนี้แล้วจะมีประโยชน์อะไร ยิ่งไปกว่านั้นคือยังมีการติดต่อกับทางขบวนเรืออยู่ตลอด ขบวนเรืออ้อมไปทางทิศเหนือแล้ว พิกัดปัจจุบันของขบวนเรือออกจากน่านน้ำแคว้นฉีไปไกลแล้ว
อีกอย่างหนิวโหย่วเต้าไม่น่าจะทราบเรื่องม้าศึกขบวนนั้น
ความเป็นไปได้ที่ดูเข้าเค้ามากกว่าคือหนิวโหย่วเต้าทราบแล้วว่าหอจันทร์กระจ่างต้องการกำจัดเขา ทราบถึงอำนาจอันยิ่งใหญ่ของหอจันทร์กระจ่าง รู้ว่าถ้าใช้เส้นทางบก ไม่ว่าจะหนีไปไหนก็ไม่ปลอดภัยทั้งนั้น เขาจึงคิดจะหนีออกทางทะเล
พอคิดได้เช่นนี้ซูจ้าวก็โล่งใจขี้นมา แต่ก็รู้สึกแค้นใจขึ้นมาอีกครั้ง “หลอกขายลิ่งหูชิว ส่วนตัวเองแอบหลบหนีไป ทำให้พวกเราไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ จากนั้นปล่อยข่าวว่าเขาและลิ่งหูชิวล้วนตกอยู่ในกำมือของราชสำนักเพื่อดึงความสนใจของพวกเรา ช่วยให้เขาหนีรอดไปได้ต่อ ตอนนี้ก็แสร้งหลอกว่าไปทางตะวันออกแต่ความจริงกลับไปทางตะวันตก ไอ้สารเลวผู้นี้ช่างเจ้าเล่ห์เหลือเกิน!”
ฉินเหมียนถอนหายใจพลางเอ่ยไปว่า “ใช่เจ้าค่ะ! แผนการที่วกไปวนมาของสารเลวผู้นี้ดูเหมือนจะเรียบง่าย แต่ความจริงกลับยอดเยี่ยมเป็นอย่างมาก แต่ละอุบายล้วนผ่านการไตร่ตรองมาเป็นอย่างดี ปิดบังอำพรางแต่ละด้านอย่างมิดชิด หลอกพวกเรามาได้นานถึงเพียงนี้ คิดไม่ถึงเลยว่าจะจับพิรุธเขาไม่ได้ เลยถูกเขาจูงจมูกเหมือนวัวก็มิปาน ทำให้พวกเราต้องวิ่งไปวิ่งมา สับสนเหมือนอยู่ในหมอกควัน ไม่อาจเรียกระดมกำลังเพื่อตามไล่ล่าเขาได้ ครั้งนี้หากมิใช่เพราะเบื้องบนทราบสถานการณ์ได้ทันท่วงที แล้วเรียกระดมกำลังมุ่งไล่ล่าไปทางทิศตะวันตก เกรงว่ากว่าจะมองแผนของเขาออก เขาคงหนีออกทะเลไปไกลแล้วเจ้าค่ะ”
นางเองก็เงยหน้ามองแผนที่เช่นกัน “น่าจะใกล้ไปถึงชายฝั่งทะเลแล้วเจ้าค่ะ หวังว่าครั้งนี้เบื้องบนจะตามไปทัน มิเช่นนั้นคงได้เดือดร้อนกันใหญ่โตแน่!”
ซูจ้าวเอ่ยเยาะหยัน “คงไม่ถึงกับเดือดร้อนใหญ่โตหรอก อย่างมากก็ทำให้เขาได้ใจไประยะหนึ่ง!”
ฉินเหมียนนิ่งเงียบไม่พูดต่อ เพราะในความเป็นจริง เรื่องนี้มันพัวพันไปถึงเรื่องสำคัญ นางไม่อาจบอกเรื่องการแกล้งตายของเว่ยฉูให้ซูจ้าวรู้ได้
เหตุใดเบื้องบนถึงยอมแลกทุกอย่างเพื่อกำจัดหนิวโหย่วเต้าให้ได้ภายในเขตแคว้นฉีน่ะหรือ?
เหตุผลก็ง่ายมาก แม้แต่ลิ่งหูชิวก็ยังไม่รู้ความจริงเลย ตอนนี้หนิวโหย่วเต้าย่อมไม่รู้เช่นกันว่าเว่ยฉูแค่แกล้งตาย เว่ยฉูเป็นคนของจินอ๋อง ขอเพียงหนิวโหย่วเต้ายังอยู่ในเขตแคว้นฉี หนิวโหย่วเต้าย่อมไม่กล้าพูดเหลวไหลส่งเดช แต่หากปล่อยให้หนิวโหย่วเต้าพ้นจากเขตแคว้นฉีและออกจากเขตอิทธิพลของจินอ๋องไปแล้ว ผู้ใดจะกล้ารับประกันได้ว่าหนิวโหย่วเต้าจะไม่เอ่ยถึงเรื่องนี้กับบุคคลอื่น? เมื่อถึงเวลานั้นเว่ยฉูจะยังกลับมาใช้ชีวิตได้หรือ?
…..
อาทิตย์อัสดงบนท้องทุ่งกว้าง ดูช่างยิ่งใหญ่อลังการ
คนเลี้ยงสัตว์นั่งบนหลังม้า สะบัดแส้ยาวไปมา ต้อนฝูงวัวฝูงแกะและอาชากลับเข้าคอก
ขบวนม้าห้าตัววิ่งห้อเข้ามาแต่ไกล มุ่งหน้ามาทางนี้ เป็นพวกหนิวโหย่วเต้าทั้งห้าคน
อาชาค่อยๆ ผ่อนความเร็วลง แทรกรวมเข้ากับฝูงวัวฝูงแกะของทางนี้ สอบถามว่าผู้ใดคือเจ้าของพื้นที่เลี้ยงสัตว์แห่งนี้ จุดประสงค์ย่อมเป็นการเปลี่ยนม้า
เด็กหญิงตัวน้อยคนหนึ่งชี้ไปทางชายวัยกลางคนที่ยืนอยู่บนแท่นไม้ข้างรั้วกั้นคอก นั่นคือเจ้าของพื้นที่เลี้ยงสัตว์
ยามที่ทั้งห้าควบม้าเหยาะๆ เข้าไปหา ชายฉกรรจ์คนหนึ่งที่ถือแส้ยาวควบม้าเข้ามาหา ขวางทางทั้งห้าคนไว้
ทั้งห้ารั้งบังเหียนม้าพลางมองดูเขา ส่วนอีกฝ่ายก็เพ่งพินิจพวกเขาทั้งห้าอย่างละเอียดเช่นกัน
หนิวโหย่วเต้าเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม “สหายท่านนี้ขวางพวกเราไว้ทำไมหรือ?”
ชายฉกรรจ์จ้องมองเขาอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยว่า “หากว่าข้าไม่ได้มองผิดไป เจ้าน่าจะเป็นหนิวโหย่วเต้า”
ทันทีที่เขาเอ่ยวาจานี้ออกมา สีหน้าของทั้งห้าคนราบเรียบไม่แปรเปลี่ยน แต่ภายในใจกลับตื่นตระหนกขึ้นมา
หนิวโหย่วเต้าลูบหนวดเคราบนใบหน้าของตน หรี่ตาลงแล้วกล่าวไปว่า “สหายพูดเรื่องใดกัน พวกเราไม่เข้าใจ”
ชายฉกรรจ์ล้วงเข้าไปในอกเสื้อ หยิบป้ายคำสั่งชิ้นหนึ่งออกมาแสดงต่อหน้าทั้งห้าคน บนป้ายสลักตราเหยี่ยวน่าพรั่นพรึงเอาไว้ตัวหนึ่ง นัยน์ตาเหยี่ยวดุดันน่าเกรงขาม
มุมปากก่วนฟางอี๋กระตุกเล็กน้อย มองปฏิกิริยาของหนิวโหย่วเต้าแวบหนึ่ง พบว่าหนิวโหย่วเต้าคล้ายจะไม่รู้จัก นางจึงควบม้าเข้าไปใกล้ๆ แล้วกระซิบบอก “คนของหน่วยข่าวกรอง”
“ท่านนี้คงจะเป็นหงเหนียงกระมัง!” ชายฉกรรจ์เอ่ยถาม ค่อยๆ เก็บป้ายคำสั่งเข้าไป พลันเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ฝ่าบาททรงมีรับสั่งให้ทั้งห้าท่านหยุดพักก่อน วันพรุ่งให้เดินทางกลับเข้าเมืองหลวง ฝ่าบาททรงมีธุระจะหารือ!”
เรื่องราวมาถึงขั้นนี้ อีกฝ่ายก็พูดออกมาถึงขนาดนี้แล้ว หนิวโหย่วเต้าจึงเข้าใจแล้วว่าเส้นทางที่ตนคิดว่าปกปิดเป็นความลับดีแล้ว อันที่จริงล้วนแต่อยู่ในสายตาของเฮ่าอวิ๋นถูมาโดยตลอด เขาเอ่ยถามเนิบๆ ว่า “ไม่ทราบว่าทรงมีเรื่องใดจะหารือหรือ?”
“เบื้องบนไม่ได้บอกมา และไม่ใช่เรื่องที่ข้าสมควรถาม ที่พักสำหรับทั้งห้าท่านถูกจัดเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว เชิญ!” ชายฉกรรจ์ผายมือเชิญ บังคับม้าวกกลับไปนำทางอยู่ด้านหน้า
อีกสี่คนที่เหลือมองไปที่หนิวโหย่วเต้า
หนิวโหย่วเต้าขยับเท้ากระทุ้งสีข้างม้า ควบตามอีกฝ่ายไปพร้อมกับมองสำรวจสภาพแวดล้อมรอบข้างไปด้วย
ทั้งสี่คนสบตากันเล็กน้อย ทำได้เพียงติดตามไป
เมื่อเข้ามาภายในพื้นที่ มีกระโจมจัดเตรียมไว้ให้พวกเขาพักผ่อนจริงๆ ภายในกระโจมตระเตรียมสำรับอาหารไว้ให้พร้อมหมดแล้ว เห็นได้ชัดว่ามิใช่แค่ทราบทิศทางความเคลื่อนไหวของพวกเขา แต่ถึงขั้นที่คำนวณไว้แล้วว่าพวกเขาจะมาถึงตอนไหน
หลังจากตรวจสอบสำรับอาหารจนแน่ใจแล้วว่าไม่มีปัญหา หนิวโหย่วเต้าก็กินดื่มเข้าไปอย่างเงียบๆ
เขาไม่คิดเลยว่าในช่วงสุดท้ายของการเดินทางที่ใช้เวลาอีกอย่างมากเพียงครึ่งวันก็จะไปถึงที่หมายแล้ว ในขณะที่คิดว่ากำลังจะหนีรอดได้อย่างราบรื่นแล้ว ใครจะรู้ว่าจู่ๆ คนของหน่วยข่าวกรองจะโผล่ออกมาขวางพวกเขาไว้ เรื่องนี้ทำให้เขาเกิดความคิดมากมายขึ้นมาในหัว
ก่วนฟางอี๋กำลังบ่นอุบอิบพึมพำว่า ‘ต้องกลับไปอีกแล้ว ความลำบากลำบนที่ดั้นด้นเดินทางมาหลายวันนี้เสียเปล่าไปเสียแล้ว’
กระทั่งกินดื่มเรียบร้อยแล้ว หนิวโหย่วเต้าส่งสายตาให้ก่วนฟางอี๋เล็กน้อย อีกฝ่ายตามเขาออกไปนอกกระโจม เดินเล่นในเขตทุ่งปศุสัตว์ที่อาบไล้ด้วยแสงอาทิตย์ยามอัสดง
มีคนหาบถุงหนังบรรจุน้ำสำหรับใช้ในการเลี้ยงสัตว์เข้ามา ก่วนฟางอี๋เห็นแล้วตาลุกวาวทันที “สกปรกจะตายอยู่แล้ว ข้าจะไปบอกพวกเขาว่าอยากได้น้ำอาบสักหน่อย”
หนิวโหย่วเต้าเอ่ยปรามไว้ “ให้สวี่เหล่าลิ่วกับลุงเฉินไปตรวจสอบสถานการณ์ของคนที่นี่ดูที หากว่าไม่มีผู้บำเพ็ญเพียร ไม่มีกำลังเสริมที่จะสกัดขวางพวกเราไว้ หลังฟ้ามืดแล้วให้ออกเดินทางทันที!”
ก่วนฟางอี๋ที่เพิ่งเดินออกไปได้สองก้าวชะงักฝีเท้าแล้วหันกลับมา เอ่ยถามด้วยความตะลึงว่า “เจ้าจะฝ่าฝืนรับสั่งหรือ?”
หนิวโหย่วเต้าถามกลับ “ฝ่าฝืนรับสั่งหรือ? เจ้าอยู่ในเมืองหลวงแคว้นฉีนานจนโง่งมไปแล้วกระมัง?”
……………………………………………..