ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า - ตอนที่ 363 เผชิญภัย
ตอนที่ 363 เผชิญภัย
หนิวโหย่วเต้าที่กำลังจะเดินเข้าไปในห้องโดยสารชะงักเท้าทันที หันกลับไปมองทางแผ่นดิน “ขึ้นฝั่งไปแล้ว?”
กงซุนปู้ถอนหายใจ “เฮยหมู่ตานกังวลว่าท่านจะมีอันตรายจึงพาต้วนหู่ขึ้นฝั่งไป บอกว่าจะช่วยล่ออันตรายไปจากท่านขอรับ”
“ช่วยล่ออันตรายไปจากข้า?” หนิวโหย่วเต้าถอนสายตากลับมามองใบหน้าเขา ค่อยๆ หันหลังกลับมาเผชิญหน้ากับเขา ตวาดถามว่า “หมายความว่ายังไง?”
เสียงตวาดนี้ดึงดูดลู่หลีจวินที่อยู่ด้านในให้ออกมาดู เขายืนอยู่หน้าประตูห้องโดยสารพลางมองมาทางนี้
“ก่อนหน้านี้ทางเราได้รับข้อความบอกให้พวกเราออกเดินทางยามรุ่งสาง เฮยหมู่ตานวิเคราะห์ว่าเต้าเหยี่ยอาจจะเผชิญอันตรายเข้าแล้ว…” กงซุนปู้บอกเล่าเรื่องราวโดยละเอียด
ก่วนฟางอี๋กะพริบตาปริบๆ ลอบรู้สึกทอดถอนใจ ไม่ว่าสิ่งที่เฮยหมู่ตานทำจะผิดหรือถูกก็จำเป็นต้องยอมรับเลยว่าเป็นลูกน้องที่มีใจภักดีคนหนึ่ง บนโลกนี้คนประเภทนี้หาได้ยากนัก!
“เหลวไหล!” หนิวโหย่วเต้าตำหนิด้วยความโกรธ กระบี่ในมือกระแทกพื้นดาดฟ้าแรงๆ หลายที “ไม่ให้เรือเข้าใกล้ชายฝั่งให้พวกเจ้ารออยู่บนทะเล แล้วยังจะขึ้นฝั่งไปทำไม? ใครเป็นคนบอกให้พวกเจ้าขึ้นฝั่งไป?”
จะให้กงซุนปู้ตอบคำถามนี้อย่างไร? แต่กงซุนปู้ก็มองออกเช่นกันว่าการที่หนิวโหย่วเต้าโมโหเป็นฟืนเป็นไฟขนาดนี้ เห็นทีจะมีอันตรายจริงๆ ในใจจึงอดนึกเป็นห่วงเฮยหมู่ตานกับต้วนหู่ขึ้นมาไม่ได้
สีหน้าของหนิวโหย่วเต้าดูแย่ เขาเดินวนกลับไปกลับมาบนดาดฟ้าเรือ มองไปทางชายฝั่งทะเลเป็นระยะๆ แววตาเจือความร้อนใจ
ก่อนหน้านี้เขาก็รู้สึกว่าค่อนข้างผิดปกติเช่นกัน หลังจากหนีออกจากพื้นที่เลี้ยงสัตว์มาแล้ว การเดินทางก็ราบรื่นอย่างน่าเหลือเชื่อ ไม่รู้สึกว่าถูกค้นพบร่องรอยเลยสักนิด
เขายังคิดอยู่เลยว่าตนอาจจะกังวลมากเกินไป ไม่มีสถานการณ์ที่ตนกังวลปรากฏขึ้น ไม่พบอุปสรรคใดๆ แม้แต่น้อย
ตอนนี้พอคิดดูแล้ว อาจจะเป็นตนที่กังวลมากเกินไปจริงๆ หรือไม่ก็เป็นเพราะความเคลื่อนไหวของเฮยหมู่ตานที่ช่วยล่อกองกำลังค้นหาไปจากตนได้จริงๆ
เหตุผลมันก็เข้าใจได้ไม่ยาก หากว่ามีอันตรายเช่นนั้นอยู่จริงๆ เมื่อคำนวณจากความคลาดเคลื่อนของช่วงเวลาและสถานการณ์ระหว่างตนกับศัตรูแล้ว มันก็พอจะทำการวิเคราะห์ออกมาได้
ขอให้เป็นตัวเองที่คิดมากไป ขออย่าให้มีอันตรายอย่างที่ตัวเองกังวลปรากฏขึ้นมา
“พวกเขาได้นำปีกทองติดตัวไปด้วยหรือไม่?” หนิวโหย่วเต้าที่ยืนอยู่ข้างกราบเรือหันกลับเอ่ยถามประโยคหนึ่ง
กงซุนปู้ตอบว่า “ไม่ขอรับ!”
หนิวโหย่วเต้าถามต่อ “พวกเขาได้บอกไว้หรือไม่ว่าจะมุ่งหน้าไปทางไหน?”
กงซุนปู้ส่ายหน้า “ไม่เช่นกันขอรับ บอกเพียงว่าหากพวกเขามาไม่ทัน พวกเขาจะมุ่งหน้าไปยังสถานที่เดียวกันกับที่พวกเสิ่นชิวไป จะไปพบพวกเราที่นั่นขอรับ”
ตุบ! หนิวโหย่วเต้ายกดาบกระแทกพื้นเรือเต็มแรงอีกครั้ง ความโกรธในใจไร้หนทางที่จะระบายออกมา
ไม่มีปีกทองก็ไม่สามารถติดต่อกับพวกเฮยหมู่ตานได้ ไม่ทราบว่าพวกเขามุ่งหน้าไปในทิศทางไหนก็ตามหาพวกเขาไม่ได้ แผ่นดินกว้างใหญ่ปานนี้ ด้วยกำลังคนเท่านี้ ขืนออกไปค้นหาส่งเดชก็ไม่ได้ต่างอะไรกับงมเข็มในมหาสมุทรเลย!
“เต้าเหยี่ย ตอนนี้จะทำอย่างไรดีขอรับ?” กงซุนปู้ลองสอบถามดู ความหมายในวาจาคือยังต้องการออกเรือหรือไม่
หนิวโหย่วเต้าเอ่ยด้วยความโมโห “ยังจะทำอย่างไรได้เล่า? รอ!”
เดิมทีก่วนฟางอี๋ยังคิดจะแสดงความแง่งอนของตนออกมาตามความเคยชินเล็กน้อย พอเห็นจุดนัดพบนี้ นางก็ไม่ค่อยพอใจเท่าไรนัก รู้สึกว่าหนิวโหย่วเต้าเจ้าเล่ห์เหลือเกิน ตอนที่ส่งพวกลุงเฉินทั้งสามออกไปแล้วก็ยังไม่ยอมเปิดเผยสถานที่นัดพบกับนาง เห็นได้ชัดว่าต้องการป้องกันไว้ก่อน
แต่พอเห็นหนิวโหย่วเต้าเป็นเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่ากำลังมีโทสะ นางจึงเก็บความเจ้าอารมณ์กลับไป
….
ณ เทือกเขาที่เชื่อมต่อกันเป็นแถว เขาสูงสายน้ำไหลเชี่ยว นามของสถานที่แห่งนี้คือลุ่มน้ำจิ่วเต้า
ณ ตีนเขา มีม้าสองตัวควบทะยาน
“ลูกพี่ แย่แล้ว!”
ต้วนหู่ที่คอยสอดส่ายสายตามองรอบข้างอย่างระแวดระวังเป็นระยะอยู่บนหลังม้าพลันอุทานขึ้นมา
เฮยหมู่ตานหันขวับกลับมา มองไปในทิศทางเดียวกับเขาทันที เห็นว่าบนท้องนภาที่มีจันทราส่องสกาวมีเงาดำหลายร่างโฉบผ่านอย่างต่อเนื่อง เป็นวิหคยักษ์
สีหน้าเฮยหมู่ตานแปรเปลี่ยนไปทันที เรื่องราวค่อนข้างเหนือไปจากที่นางคาดการณ์ไว้ เดิมนางคิดว่าหลังจากสร้างความเคลื่อนไหวแล้ว นางจะหลบหนีไปยังสถานที่ที่มีชัยภูมิซับซ้อนอันตรายทันที คิดจะอาศัยประโยชน์ของภูมิประเทศหนีเอาตัวรอด แต่นึกไม่ถึงเลยว่าอีกฝ่ายจะใช้วิหคยักษ์ออกไล่ล่าตามหา ยิ่งไปกว่านั้นยังใช้วิหคยักษ์มากมายถึงเพียงนี้อีก
ตามความเข้าใจของนาง แค่วิหคยักษ์ตัวเดียวก็มีราคาสูงลิ่วแล้ว ไม่เคยคิดถึงเลยว่าจะมีคนใช้วิหคยักษ์มากมายขนาดนี้เพื่อออกไล่ล่า
ก่อนหน้านี้นางคิดว่าโอกาสที่จะหลบหนีรอดมีสูงมาก แต่อีกฝ่ายกลับใช้วิหคยักษ์ออกตามไล่ล่า ตอบสนองได้รวดเร็วเหนือไปจากที่นางคาดการณ์ไว้ คิดไม่ถึงว่าจะถูกไล่ตามมาทันได้เร็วถึงเพียงนี้ ทำให้โอกาสที่จะหนีรอดลดน้อยลงไป!
นางไม่คาดหวังว่าวิหคยักษ์เหล่านี้จะเพียงแค่บังเอิญผ่านทางมาโดยไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับพวกนาง นางทราบดีว่าตอนนี้เผชิญปัญหาเข้าจริงๆ แล้ว เจออันตรายอย่างแท้จริงแล้ว!
“ไป!” เฮ้ยหมู่ตานตะโกนบอก เหินออกจากหลังม้าทะยานขึ้นสู่ภูเขา
ต้วนหู่ก็เหินตามออกไป ในขณะที่ทั้งสองเหินออกจากพาหนะก็ได้โยนหมวกม่านแพรทิ้ง เผยใบหน้าที่แท้จริงออกมา หลบหนีเอาชีวิตรอดด้วยความแตกตื่น!
บนท้องนภา วิหคยักษ์ห้าตัวกระจายตัวออกไป ค้นหาไปทั่วบริเวณ เดี๋ยวบินสูง เดี๋ยวโฉบต่ำ
วิหคยักษ์ตัวหนึ่งแทบจะบินขนานเรี่ยไปกับพื้น เมื่อโฉบผ่านเหนือร่างอาชาทั้งสองไปก็เชิดหัวบินขึ้นสู่อากาศ ไล่ตามทั้งสองคนที่เหินทะยานขึ้นเขาไป
“แกว่ก!” วิหคยักษ์เปล่งเสียงร้องแหลมแจ้งเตือน
วิหคอีกสี่ตัวที่บินอยู่รอบๆ เปลี่ยนทิศทางทันที ปีกสยายกระพือเร็วขึ้นกว่าเดิม เร่งความเร็วไล่ตามมาทางด้านนี้
ไม่นานนักเฮยหมู่ตานและต้วนหู่ก็ถูกต้อนขึ้นไปถึงยอดเขา อีกด้านของภูเขาคือผาขาดแห่งหนึ่ง ภายในหุบเหวเบื้องล่างมีสายน้ำเชี่ยวกรากกำลังส่งเสียงคำราม
วิหคยักษ์ตัวหนึ่งบินวนอยู่เหนือศีรษะพวกเขา อีกสองตัวบินวนล้อมรอบตัวพวกเขา มีอีกตัวร่อนลงบนฝั่งตรงข้ามของหุบเหว ส่วนตัวสุดท้ายบินร่อนกลับไปกลับมาเหนือแม่น้ำที่ไหลเชี่ยวอยู่ในร่องเหว
วิหคทั้งห้าตัวต่างมีผู้โดยสารอยู่ตัวละสามคน แต่ละคนสวมผ้าคลุมสีดำ หมวกคลุมบดบังใบหน้าไว้ครึ่งหนึ่ง มองเห็นใบหน้าไม่ชัดเจน
เพียงแต่มองจากหนวดเคราและรอยเหี่ยวย่นบนหน้าของคนบางส่วน ดูแล้วน่าจะอายุไม่น้อยกันแล้ว
เส้นทางหลบหนีถูกปิดกั้นไว้หมดแล้ว ทั้งยังถูกปิดล้อมรอบทิศ ในใจของเฮยหมู่ตานและต้วนหู่เต็มไปด้วยความกระวนกระวายและหวาดวิตก หากบอกว่าไม่กลัวเลยสักนิดก็โกหกแล้ว
คนผู้หนึ่งกระโดดลงมาจากวิหคตัวหนึ่ง ร่อนลงตรงหน้าพวกเขา มองพินิจใบหน้าของทั้งสองคน
สำหรับผู้ที่มีประสบการณ์ช่ำชอง มองเพียงแวบเดียวก็รู้แล้วว่าทั้งสองไม่ได้ผ่านการแปลงโฉมมา
เห็นได้ชัดเจนนัก ไม่ว่าจะเป็นสีผิวหรือรูปพรรณสัณฐานของเฮยหมู่ตานก็ไม่สอดคล้องกับก่วนฟางอี๋เลย ส่วนช่วงวัยของต้วนหู่ก็เห็นได้ชัดว่าไม่สอดคล้องกับหนิวโหย่วเต้า อายุมากกว่าหนิวโหย่วเต้าอย่างเห็นได้ชัด ไม่มีทางจะเป็นหนิวโหย่วเต้าไปได้
เฮยหมู่ตานถามเสียงขรึม “พวกเจ้าเป็นผู้ใด ไยต้องตามไล่ล่าพวกเราไม่เลิกรา?”
“พวกเจ้ามิใช่หนิวโหย่วเต้าและก่วนฟางอี๋ แต่ปลอมเป็นพวกเขาเพื่อล่อพวกเราออกมา บอกมา หนิวโหย่วเต้าไปไหน?” คนผู้นั้นซักถามด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ
เฮยหมู่ตานตอบว่า “พวกเจ้าพูดอะไร ข้าฟังไม่รู้เรื่อง!”
“ยังกล้าปากแข็งอีก!” คนผู้นั้นพลันยกมือขึ้นซัดฝ่ามือออกมา เงาฝ่ามือสีเขียวที่ใหญ่เท่าหน้าโต๊ะพุ่งโจมตีออกมา!
ทั้งสองตกใจ จะหลบก็หลบไม่พ้น ทันทีที่อีกฝ่ายลงมือ ทั้งสองก็ทราบแล้วว่าพวกเขาไม่สามารถต้านทานพลังของอีกฝ่ายได้
แต่ทั้งสองออกท่องโลกบำเพ็ญเพียรด้วยการมานานหลายปี นับว่ารู้ใจกันดีโดยไม่ต้องเอ่ยวาจา
เฮยหมู่ตานรวบรวมสภาวะทั้งหมดทันที ดังสองฝ่ามือออกไปเพื่อต้านรับ
ต้วนหู่ทาบสองมือลงบนแผ่นหลังของเฮยหมู่ตานทันที รวบรวมพลังทั้งหมดในร่าง ถ่ายเทพลังเพื่อช่วยสนับสนุนเฮยหมู่ตานสกัดต้านการโจมตีของอีกฝ่าย
ตูม! ปราณฝ่ามือสีเขียวทำลายการป้องกันที่ทั้งสองร่วมมือกันสร้างขึ้นมา
แขนทั้งสองข้างของเฮยหมู่ตานสะบัดปลิว ได้ยินเสียงกระดูกหักแว่วดังขึ้นมา ศีรษะแหงนกระอักโลหิตออกมาดัง “พรูด”
ผัวะ! เฮยหมู่ตานที่ถูกกระแทกจนกระเด็นออกไปชนเข้ากับต้วนหู่ ต้วนหู่กระอักเลือดเสียงดัง “พรูด” เช่นกัน เพียงแต่เฮยหมู่ตานรับแรงโจมตีส่วนใหญ่เอาไว้ สภาพของต้วนหู่จึงดีกว่าอย่างเห็นได้ชัด
เงาร่างสองสายถูกซัดลอยละลิ่วออกไป ร่วงหล่นลงสู่หุบเหว ทั้งสองคนตกลงสู่สายน้ำเชี่ยวกรากไปตามๆ กันจนเกิดเสียงตูมๆ
วิหคยักษ์ที่ร่อนกลับไปกลับมาอยู่ในร่องเหวโฉบเข้ามา มีคนผู้หนึ่งกระโดดลงมา พลิกมือหยิบไข่มุกราตรีลูกหนึ่งออกมา มุดลงไปใต้น้ำแล้วออกตามล่าทั้งสองคน!
ส่วนต้วนหู่ที่ร่วงตกลงไปน้ำก็โอบเฮยหมู่ตานที่แทบจะหมดแรงขยับเขยื้อนไว้ในทันที พยายามดำลงไปใต้น้ำอย่างสุดกำลัง อาศัยความเชี่ยวของกระแสน้ำเคลื่อนที่ไปด้านหน้า เขารู้ดีว่าแม่น้ำสายนี้อาจจะเป็นความหวังที่จะหลบหนีไปเพียงหนึ่งเดียวของพวกเขาทั้งคู่
คล้ายจะมีแสงสว่างวูบวาบไล่ตามมาจากด้านหลัง ต้วนหู่ตระหนกลนลานน
ภายใต้ความตระหนกลนลาน โอกาสใดๆ ก็ตามที่สังเกตเห็นล้วนไม่มีทางปล่อยผ่าน ซึ่งนี่ก็คือสัญชาตญาณการเอาชีวิตรอด มือคลำพบโพรงแห่งหนึ่งที่ไม่รู้ว่าเป็นปากถ้ำหรือร่องหลืบในผาหิน เป็นโพรงเล็กๆ ที่พอให้คนคนหนึ่งมุดเข้าไปได้ ต้วนหู่เองก็ไม่ได้สนใจอะไรมากขนาดนั้นแล้ว จับเฮยหมู่ตานไว้ด้วยแขนเดียวแล้วดันตัวเฮยหมู่ตานเข้าไป
พอเห็นว่าสามารถดันตัวเฮยหมู่ตานเข้าไปได้ง่ายๆ ก็แปลว่าด้านในยังมีพื้นที่ว่าง เขาจึงมุดตามเข้าไปด้วย
หลังจากที่มุดเข้าไปแล้ว ถึงพบว่าเป็นถ้ำใต้น้ำแห่งหนึ่ง ไม่รู้ว่าพื้นที่ว่างด้านในมีขนาดใหญ่แค่ไหน เขาจึงโอบตัวเฮยหมู่ตานไว้แล้วซุกตัวอยู่ด้านใน ไม่กล้าขยับเขยื้อน มือหนึ่งอุดปากของเฮยหมู่ตานไว้ ไม่ปล่อยให้กลิ่นคาวเลือดในปากและจมูกของนางเล็ดรอดไปสู่ภายนอก
หลังจากเห็นแสงสว่างวับแวมเคลื่อนผ่านนอกถ้ำไป ต้วนหู่แหย่ขาข้างหนึ่งลองหยั่งพื้นที่ด้านหลังดู ก่อนจะเจอโพรงเล็กๆ อีกแห่งหนึ่งเข้า
แรกเริ่มเขาไม่ได้สนใจโพรงเล็กๆ นี้เลย หากแต่โอบเฮยหมู่ตานไว้แล้วว่ายเข้าสู่พื้นที่ด้านในที่กว้างกว่า ไม่นานนักทั้งสองก็โผล่ขึ้นสู่ผิวน้ำ ไม่รู้เหมือนกันว่าพื้นที่ด้านในกว้างมากแค่ไหน
เดิมทีเขาคิดจะอุ้มเฮยหมู่ตานขึ้นฝั่งไป แต่พอคิดไปคิดมาก็มุดกลับลงน้ำไปอีกครั้ง ไปที่โพรงเล็กๆ ข้างปากถ้ำก่อนหน้านี้ สำรวจดูเล็กน้อย พบว่าพื้นที่ด้านในเพียงพอจะบรรจุคนได้สามถึงสี่คนเท่านั้น เขาดันเฮยหมู่ตานเข้าไป จากนั้นเข้าไปในถ้ำใต้น้ำเพียงลำพังแล้วอุ้มหินใหญ่ก้อนหนึ่งมา ยัดตัวเข้าไปในโพรงเช่นกัน ก่อนจะลากก้อนหินมาปิดปากโพรงไว้
แสงจากไข่มุกราตรีส่องสว่างอยู่บนผิวน้ำที่ไหลเชี่ยว คนผู้หนึ่งโผล่พ้นน้ำขึ้นมาพลางโบกไข่มุกราตรีเล็กน้อย จากนั้นก็มุดลงน้ำไปอีกครั้ง
มีคนสิบคนร่อนลงมาจากกลางอากาศทันที แต่ละคนล้วงไข่มุกราตรีออกมาแล้วมุดลงสู่ใต้น้ำ มองเห็นแสงว่างปรากฏขึ้นใต้แม่น้ำเชี่ยวกรากจากนั้นแยกย้ายกันค้นหาทั้งต้นน้ำปลายน้ำ
วิหคสองตัวที่ต่างบรรทุกคนเอาไว้หนึ่งคนบินลาดตระเวนกลับไปกลับมาอยู่เหนือกระแสน้ำ
กลางอากาศยังมีวิหคยักษ์อีกสองตัวที่บรรทุกคนเอาไว้ตัวละคนบินลาดตระเวนไปตามภูเขา
คนชุดดำที่เป็นผู้ลงมือยืนอยู่บนเชิงผา มีวิหคยักษ์ตัวหนึ่งยืนอยู่ด้านข้าง
มีคนสังเกตเห็นปากถ้ำที่ต้วนหู่เข้าไปซ่อนตัว จึงมุดเข้าไปโดยที่ถือไข่มุกราตรีไว้
ต้วนหู่ที่ซ่อนตัวอยู่ในโพรงเล็กข้างปากถ้ำเกิดความตึงเครียดเป็นอย่างมากทันที เขามองเห็นแสงไฟที่ส่องลอดร่องเล็กๆ ระหว่างก้อนหินที่ปิดปากโพรงไว้
ทว่าการตัดสินใจด้วยไหวพริบในช่วงเวลาคับขันของเขาเป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้ว คนชุดดำไม่สนใจบริเวณปากถ้ำ มุดเข้าไปภายในถ้ำต่อ เคลื่อนตัวผ่านหินก้อนใหญ่ที่อยู่ตรงมุมด้านข้างไป มุดเข้าไปแล้วใช้พลังตรวจสอบด้านในไปทั่ว ไม่ได้คิดถึงเลยว่าจะมีคนซ่อนตัวอยู่บริเวณปากทางเข้าถ้ำ
ในแง่หนึ่งแล้ว ที่ตอนแรกเฮยหมู่ตานเลือกลุ่มน้ำจิ่วเต้าเป็นเส้นทางหลบหนีก็เพราะคิดมาดีแล้ว
คนชุดดำมุดเข้าไปด้านในแล้วโผล่ขึ้นมาบนผิวน้ำ จากนั้นขึ้นฝั่ง ถือไข่มุกราตรีตรวจสอบพื้นที่ที่อยู่ลึกลงไปใต้ดินหลายสิบจั้งจนทั่ว โพรงถ้ำน้อยใหญ่ที่เชื่อมอยู่ภายในถ้ำมากล้วนไม่ปล่อยผ่านไป
หลังจากสำรวจอย่างละเอียดไปรอบหนึ่งแล้วก็ไม่พบเห็นผู้ใด คนชุดดำจึงกลับลงสู่ใต้น้ำแล้วมุดออกจากถ้ำไปอีกครั้ง จากนั้นก็มุดโผล่ออกไปยังแม่น้ำเชี่ยวกรากด้านนอกเพื่อไปค้นหาที่อื่นต่อ
ต้วนหู่ที่ซ่อนตัวอยู่ในโพรงเล็กมองเห็นแสงสว่างวาบผ่านด้านนอกไป
เขาทราบดีว่าอีกฝ่ายน่าจะออกไปแล้ว แต่เขาก็ยังไม่กล้าขยับเขยื้อน ยังคงซ่อนตัวต่อไป
จนกระทั่งเห็นว่าเฮยหมู่ตานที่สลบอยู่ในวงแขนใกล้จะขาดอากาศแล้ว เขาถึงจำเป็นต้องยอมเสี่ยง ผลักก้อนหินที่ปิดปากทางออกไปอย่างระมัดระวัง ดึงเฮยหมู่ตานมุดออกไปแล้วเข้าไปในถ้ำ อุ้มเฮยหมู่ตานขึ้นฝั่ง
เขาใช้พลังควบคุมหยดน้ำที่อยู่บนร่างของทั้งสอง มุ่งหน้าเข้าไปด้านใน แล้วก็เสาะหาที่ว่างแห่งหนึ่งที่อยู่ด้านในแล้วเข้าไปซ่อนด้วยกัน จากนั้นถึงจะลงมือปฐมพยาบาลเฮยหมู่ตานอย่างเร่งด่วน…
……………………………………………………………………