ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า - ตอนที่ 366 พานางกลับบ้าน
ตอนที่ 366 พานางกลับบ้าน
ภายในวังหลวงแคว้นฉี บนลานกว้างนอกตำหนัก ของขวัญที่ถูกบรรทุกอยู่บนหลังม้าและรถลากเรียงเป็นขบวนยาวเหยียด ล้วนเป็นสินสอดที่ทางตระกูลฮูเหยียนส่งมา
องค์ฮ่องเต้และฮองเฮามากันพร้อมหน้า เดินวนรอบขบวนสินค้าที่ทอดยาวเหยียดหนึ่งรอบ เฮ่าอวิ๋นถูยิ้มกว้าง เห็นแล้วดีใจและพึงพอใจเป็นอย่างมาก
หลังจากฮองเฮารับเทียบรายการสินสอดมาตรวจดูก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย เอ่ยไปว่า “ฝ่าบาท มีถ้อยคำบางอย่างที่หม่อมฉันไม่ทราบว่าควรกล่าวดีหรือไม่เพคะ”
“อยากพูดก็พูดมา หากไม่อยากพูดก็ไม่จำเป็นต้องฝืนใจ” เฮ่าอวิ๋นถูยื่นมือไปลูบหีบไม้บนเกวียนคันหนึ่ง
แต่ฮองเฮาก็ยังคงเอ่ยออกมา “ตระกูลฮูเหยียนค่อนข้างไร้มารยาทเพคะ”
ปู้สวินที่คอยติดตามอยู่ข้างๆ อดไม่ได้ที่จะเงยหน้ามองนางเล็กน้อย
เฮ่าอวิ๋นถูชะงักไปนิดหน่อย หันไปถามว่า “เพราะเหตุใด?”
ฮองเฮาชูรายการสินสอดพลางเอ่ยว่า “มิใช่ว่าหม่อมฉันรังเกียจว่าสินสอดเหล่านี้น้อยเกินไปนะเพคะ เพียงแต่ธิดาของพวกเราดีร้ายอย่างไรก็เป็นถึงองค์หญิงใหญ่ อีกทั้งลดตัวไปแต่งเข้าตระกูลฮูเหยียนของพวกเขา แต่หม่อมฉันตรวจดูรายการสินสอดนี้อย่างละเอียดแล้วเพคะ ข้าวของดูเหมือนจะมีไม่น้อยก็จริง แต่ความจริงแล้วมิใช่ของมีมูลค่าอันใดเลย เกรงว่าจะสู้สินสอดของเหล่าคบหดีร่ำรวยบางส่วนไม่ได้เสียด้วยซ้ำ หม่อมฉันมิใช่คนละโมบ เพียงแต่แม้กระทั่งเกียรติในส่วนนี้ตระกูลฮูเหยียนก็ยังไม่ยอมมอบให้กันเลยหรือ? รู้สึกว่าเป็นความอยุติธรรมต่อตระกูลของพวกเขาหรือไร?”
“เจ้าคิดมากไปแล้ว พื้นฐานของตระกูลฮูเหยียนเป็นอย่างไรเรารู้ดีกว่าเจ้ามากนัก มั่งคั่งไม่เท่าคหบดีร่ำรวยทั่วไปจริงๆ นั่นแหละ” ปากเฮ่าอวิ๋นถูเอ่ยไปเช่นนี้ แต่ก็ยังคงยื่นมือไปหยิบรายการสินสอดมาอ่านดู เนื่องจากทราบถึงพื้นฐานของตระกูลฮูเหยียนดี ดังนั้นจึงอยากดูความจริงใจของตระกูลฮูเหยียนดูสักหน่อย
เขากวาดสายตาไล่ไปตามรายการสินสอดบนเทียบ จากนั้นก็หยุดสายตาอยู่ที่รายการนสุดท้ายครู่หนึ่ง ผงกหัวนิดๆ จากนั้นชี้แล้วเอ่ยถาม “ฮองเฮา เจ้าทราบความเป็นมาของดาบเล่มนี้หรือไม่?”
ฮองเฮายื่นหน้าเข้ามาดู “ดาบพิชิตตะวัน? มิใช่ดาบประจำตำแหน่งที่ได้รับพร้อมบรรดาศักดิ์แม่ทัพบัญชาการหรือเพคะ? ยังจะมีประวัติอื่นใดอีกหรือเพคะ?”
“ความคิดสตรีนี่หนอ! ในสายตาเจ้า ดาบเล่มนี้คงเทียบกับสินสอดจากตระกูลคหบดีมั่งคั่งไม่ได้เลยกระมัง?” เฮ่าอวิ๋นถูโบกมือชี้ไปทางพระราชวัง “ดาบเล่มนี้มีค่าเทียบเท่าวังหลวงของข้า!”
“…..” ฮองเฮาสับสนระคนประหลาดใจ
เฮ่าอวิ๋นถูเอ่ยขึ้นว่า “ปู้สวิน ไปเอาดาบมา!”
“พ่ะย่ะค่ะ!” ปู้สวินหันหลังเดินออกไป
ไม่นานนัก มีขันทีสองคนหาบดาบยาวเล่มหนึ่งเข้ามา บนใบดาบมีรอยบิ่นขีดข่วนมากมาย เป็นดาบยาวที่ดูไม่มีอะไรสะดุดตาเอาเสียเลย ช่อแพรแดงที่ผูกเอาไว้บนดาบบ่งบอกว่าเป็นสินสอดจริงๆ!
เฮ่าอวิ๋นถูยื่นมือข้างหนึ่งไปหยิบดาบขึ้นมา ปลายดาบปักลงบนพื้นเสียงดัง ตึง! จากนั้นยื่นมือไปลูบคลำร่องรอยบนใบดาบ เอ่ยเนิบๆ ว่า “ในอดีตปีนั้น ฮูเหยียนอู๋เฮิ่นเป็นเพียงแม่ทัพเขตชายแดนตำแหน่งเล็กๆ คนหนึ่งที่นำทัพทหารเพียงสามพันนาย บังเอิญว่าในขณะนั้นแคว้นจิ้นยกทัพเนืองแน่นบุกเข้ามาโจมตีอย่างกะทันหัน ทัพชายแดนรายงานมาอย่างเร่งด่วน กำลังเสริมจากแคว้นไม่สามารถไปถึงได้ในทันที ฮูเหยียนอู๋เฮิ่นใช้กลยุทธ์หลอกล่อผู้บำเพ็ญเพียรคุ้มกันส่วนใหญ่ของผู้บัญชาการทัพฝ่ายศัตรูออกไป จากนั้นก็ขุดลอกสร้างทางจากแม่น้ำให้เข้าท่วมกองทัพศัตรูจนเกิดความเสียหายแล้วฉวยโอกาสช่วงที่ศัตรูล่าถอย นำทหารหนึ่งพันนายเข้ารุกไล่โจมตีไปหลายสิบลี้ ก่อนจะบุกทะลวงเข้าสู่ทัพศัตรูหลายหมื่นคนที่อยู่ในสภาพอ่อนล้าโดยมีการสนับสนุนจากเหล่าผู้บำเพ็ญเพียร ปลิดชีพเถียนจื่อซิ่นแม่ทัพแห่งแคว้นจิ้นซึ่งเป็นผู้บัญชาทัพฝ่ายศัตรูด้วยตัวเอง! ศึกนี้อาศัยกำลังส่วนน้อยเอาชนะคนหมู่มาก นำเกียรติยศมาให้แคว้นของเรา ขบวนทัพใหญ่สามแสนนายของแคว้นจิ้นพินาศยับเยิน ทำให้แคว้นจิ้นได้รับความเสียหายอย่างหนักเช่นกัน นับจากนั้นก็ไร้กำลังจะรุกรานแคว้นฉีของเราไปอีกนานหลายปี!”
ดาบถูกยกขึ้นมา ปลายดาบจ่อชี้ไปตรงหน้าของฮองเฮา ทำให้ฮองเฮาตกใจรีบถอยหลบไปหลายก้าว
“อาวุธที่ตัดหัวของเถียนจื่อซิ่นออกมาก็คือดาบเล่มนี้! ฮูเหยียนฮูเฮิ่นสร้างชื่อเสียงเลื่องลือในศึกเดียว อดีตฮ่องเต้องค์ก่อนเรียกเขาเข้าพบเป็นการส่วนพระองค์ รับดาบเล่มนี้มาจากมือเขาแล้วทรงรำดาบต่อหน้ากองทัพใหญ่หลายแสนนายด้วยพระองค์เองเพื่อเสริมสร้างขวัญกำลังใจ ซ้ำยังยกย่องว่าดาบเล่มนี้คือดาบพิทักษ์แคว้น! ทรงประกาศราชโองการประทานรางวัลให้ ณ ที่นั้น มอบหมายให้ฮูเหยียนอู๋เฮิ่นก่อตั้งกองทหารม้าขึ้นมา กองทหารม้าอันเกรียงไกรในปัจจุบันนี้มีความเป็นมาเช่นนี้! ฮองเฮาเอ๋ย ดาบล้ำค่าที่ต่อสู้สกัดข้าศึก ตัดศีรษะศัตรูเพื่อแคว้นฉีของเรา ใช่สิ่งที่สินสอดของเหล่าคหบดีมั่งคั่งจะมาเทียบชั้นได้หรือ? หากไม่มีดาบเล่มนี้ จะมีครอบครัวคหบดีต้องพินาศสิ้นชีพไปกี่ครัวเรือนกันเล่า? สินสอดของตระกูลคหบดีนับหมื่นก็เทียบชั้นไม่ได้! นี่คือมรดกตกทอดประจำตระกูลฮูเหยียน มอบมรดกล้ำค่าของตระกูลให้เป็นสินสอด เช่นนี้นับว่าแสดงให้เห็นความจริงใจแล้ว เจ้ายังรังเกียจว่าน้อยไปอีกหรือ?”
ฮองเฮาไม่เคยทราบรายละเอียดนี้มาก่อนจริงๆ พลันเอ่ยด้วยความละอายว่า “ฝ่าบาทตรัสถูกแล้วเพคะ เป็นหม่อมฉันที่สายตาไร้แววเอง!”
เฮ่าอวิ๋นถูชูดาบไว้ด้านหน้า มองดาบใหญ่ที่อยู่เบื้องหน้า เอ่ยถามออกไป “ปู้สวิน แม่ทัพจะขาดดาบคู่กายได้หรือ?”
ปู้สวินมึนงงไปเล็กน้อย ไม่เข้าใจความหมายและไม่ทราบว่าควรตอบอย่างไร จึงเฝ้ารอให้เขาพูดต่อ
เฮ่าอวิ๋นถูเหลือบมองเขาพลางกล่าวว่า “แม่ทัพบัญชาการมอบดาบพิทักษ์แคว้นให้เป็นสินสอด ข้าย่อมต้องมอบของขวัญชดเชยให้! เรียกระดมพลช่างตีดาบฝีมือดีมา ข้าต้องการตีดาบล้ำค่าที่เป็นหนึ่งในใต้หล้าให้แก่แม่ทัพบัญชาการ! ราชันและแม่ทัพจะเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันตลอดกาล!”
“พ่ะย่ะค่ะ!” ปู้สวินรับบัญชา เข้าไปรับดาบใหญ่ที่อีกฝ่ายยื่นส่งให้ หันไปหาขันทีที่อยู่ด้านหลังให้นำไปเก็บรักษาอย่างดี
ยามที่เดินออกมาจากขบวนสินสอด ฮองเฮาเอ่ยขึ้นมาอีกครั้ง “ฝ่าบาทเพคะ พระองค์ทรงหาเวลาไปพบชิงชิงสักหน่อยเถิด นางก่อเรื่องวุ่นวาย หม่อมฉันก็กล่อมนางไม่ได้เพคะ!”
เฮ่าอวิ๋นถูกล่าวว่า “เช่นนั้นก็กล่อมต่อไป ข้ารับสินสอดจากตระกูลฮูเหยียนมาหมดแล้ว ไม่มีทางเปลี่ยนใจ กับเรื่องบางเรื่องสามารถปล่อยให้นางก่อความวุ่นวายได้ แต่เรื่องบางอย่างก็หาได้ขึ้นอยู่กับนางไม่ ข้าไม่ต้องการให้เกิดเรื่องน่าขบขันอันใดขึ้นในพิธีอภิเษกสมรส! ฮองเฮา เจ้ามีหน้าที่ดูแลวังหลังก็ต้องพยายามอย่างเต็มที่ มีวาสนาได้เป็นฮองเฮาแล้วก็ต้องแบกรับหน้าที่และภาระของผู้เป็นฮองเฮาด้วย หากเจ้าไม่อยากแบกรับหน้าที่นี้ก็สามารถบอกข้ามาได้เลย!”
วาจากระทบกระเทียบนี้กลับทำให้ฮองเฮาใจสั่นขึ้นมา นางฝืนยิ้มเอ่ยไปว่า “หม่อมฉันทราบแล้วเพคะ จะไม่ทำให้ฝ่าบาทต้องผิดหวังแน่นอนเพคะ”
“ดี ข้ายังมีธุระต่อ รายละเอียดเรื่องงานวิวาห์เจ้าไปหารือกับปู้สวินเอาแล้วกัน” เฮาอวิ๋นถูเอ่ยทิ้งท้ายไว้แล้วเดินจากไป
ปู้สวินค้อมคำนับฮองเฮาคราหนึ่งแล้วตามจากไป
ระหว่างทาง พบขันทีร่างกำยำคนหนึ่งรออยู่ที่ปากทางแห่งหนึ่ง เป็นขันทีที่รับผิดชอบจับกุมลิ่งหูชิวก่อนหน้านี้
ปู้สวินหยุดรอ ฟังอีกฝ่ายกระซิบรายงานอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะสั่งการกลับไปสองสามประโยคแล้วถึงแยกตัวออกมา เร่งเดินตามไปจนไล่ทันเฮ่าอวิ๋นถูอีกครั้ง เดินตามอยู่ด้านข้างพลางเอ่ยรายงานว่า “ฝ่าบาท หนิวโหย่วเต้ามิได้กลับมาตามที่รับสั่งพ่ะย่ะค่ะ หากแต่หนีไปแล้ว ตอนนี้น่าจะพ้นจากเขตแคว้นฉีไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
เฮ่าอวิ๋นถูผงะไปเล็กน้อย หยุดเดินแล้วหันไปถาม “เรื่องเป็นมาอย่างไร?”
ปู้สวินยิ้มเจื่อนเล่าไปว่า “คนของหน่วยข่าวกรองสกัดหนิวโหย่วเต้าได้ที่พื้นที่เลี้ยงสัตว์แห่งหนึ่งทางทิศตะวันตกพ่ะย่ะค่ะ ตอนแรกเขาก็ยังปฏิบัติตามแต่โดยดี แต่จู่ๆ เขาก็วางเพลิงเผาพื้นที่เลี้ยงสัตว์ ฉวยโอกาสช่วงที่เกิดความชุลมุนหลบหนีไปในยามวิกาล จึงไม่ทราบทิศทางที่หลบหนีพ่ะย่ะค่ะ”
มุมปากเฮ่าอวิ๋นถูกระตุกเล็กน้อย หนิวโหย่วเต้าหนีไปแล้วเป็นเรื่องเล็ก ทว่าเขารับปากอวี้ชางไว้แล้วแต่ทำไม่สำเร็จ นับว่าค่อนข้างเสียหน้า ถึงแม้อีกฝ่ายจะไม่มาถามซักไซ้อันใดก็ตาม แต่ก็ยังคงเอ่ยถามออกไปอย่างแปลกใจว่า “นำม้าศึกหลบหนีไปด้วยหรือไม่?”
ทางนี้ออกคำสั่งเรียกพบหนิวโหย่วเต้า แต่ก็ทราบดีว่าการเรียกตัวผู้บำเพ็ญเพียรต่างแคว้นให้เทียวไปเทียวมาค่อนข้างไม่เหมาะสม จะให้เขากลับมาก็ต้องมีเหตุผลรองรับเช่นกัน หนิวโหย่วเต้ามาที่นี่เพราะเรื่องม้าศึก ขอเพียงควบคุมม้าศึกของหนิวโหย่วเต้าไว้ หนิวโหย่วเต้าย่อมต้องกลับมาแต่โดยดี
ปู้สวินก็เอ่ยอย่างค่อนข้างแปลกใจว่า “ดูเหมือนเขาจะไม่ได้สนใจเรื่องม้าศึกเลยพ่ะย่ะค่ะ ม้าศึกในพื้นที่เลี้ยงสัตว์ละแวกใกล้เคียงก็ไม่มีการโยกย้ายออกไปในปริมาณมากเช่นกัน”
เฮ่าอวิ๋นถูถามอีก “เขามาเพราะเรื่องม้าศึกมิใช่หรือ?”
ปู้สวินกล่าวว่า “ว่ากันตามหลักแล้วน่าจะมาเพื่อม้าศึก จากสถานการณ์ในตอนนี้มีความเป็นไปได้เพียงสองกรณีพ่ะย่ะค่ะ หนึ่งคือเขาอาจจะลอบตระเตรียมม้าชุดหนึ่งเอาไว้แต่แรกอยู่แล้ว แต่การเลี้ยงดูม้าศึกจำนวนมากขนาดนี้ในช่วงเตรียมการก็เป็นไปได้ยากที่จะปกปิดหน่วยข่าวกรองได้ ม้าศึกหลักพันหลักหมื่นตัวมิใช่สิ่งที่ทุ่งหญ้าขนาดเล็กๆ จะเพาะเลี้ยงได้ จำเป็นต้องมีพื้นที่เลี้ยงสัตว์ขนาดใหญ่ ต้องมีหญ้ากักตุนไว้ในปริมาณมากพ่ะย่ะค่ะ เว้นแต่เขาจะเตรียมการล่วงหน้ามานานมากแล้ว มิเช่นนั้นก็ยากจะทำการกักตุนในระยะเวลาสั้นๆ โดยไม่มีใครสังเกตเห็นได้ แต่ก็ยังมีความเป็นไปได้อีกกรณีคือเขาเพียงหลบไปซ่อนตัวเท่านั้น ไม่ได้จากไปจริงๆ ยังคงเตรียมการสำหรับม้าศึกอยู่พ่ะย่ะค่ะ”
เฮ่าอวิ๋นถูถามว่า “เขาหนีอะไร?”
ปู้สวินกล่าวว่า “พักหลังการกระทำของเขาค่อนข้างมีพิรุธพ่ะย่ะค่ะ เมื่อลองเชื่อมโยงกับฐานะคนจากหอจันทร์กระจ่างของลิ่งหูชิวแล้ว ไม่ทราบเช่นกันว่าจะเกี่ยวข้องกับทางหอจันทร์กระจ่างหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ ลิ่งหูชิวที่เป็นคนของหอจันทร์กระจ่างมาตามติดอยู่ข้างกายหนิวโหย่วเต้ามีแผนการอะไรอยู่? ลิ่งหูชิวน่าจะรู้อะไรบางอย่างพ่ะย่ะค่ะ แต่ลิ่งหูชิวยืนกรานว่าจะไม่ยอมพูดหากไม่ได้พบหนิวโหย่วเต้า บ่าวกำลังพิจารณาอยู่ว่าจะใช้โอสถเทพระทมของเขากับตัวเขาเองดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
พอเอ่ยถึงหอจันทร์กระจ่าง เฮ่าอวิ๋นถูเอ่ยถาม “เรื่องศิษย์สามสำนักใหญ่ที่ถูกสังหารเหล่านั้นมีเบาะแสบ้างหรือยัง?”
ปู้สวินตอบว่า “ยังเป็นเช่นเดิมพ่ะย่ะค่ะ พบเพียงซากศพและของติดตัวผู้ตาย ถูกสังหารปิดปากทั้งกลุ่ม แม้แต่ปีกทองก็ไม่ปล่อยให้รอดไปได้พ่ะย่ะค่ะ สาเหตุเกิดจากอะไรก็ยังไม่มีผู้ใดทราบ เสียศิษย์สิบห้าคนไปยังพอว่า ทว่าแม้แต่วิหคยักษ์ทั้งสามก็สิ้นชีพไปด้วย สามสำนักใหญ่เสียหายไปไม่น้อยเลยพ่ะย่ะค่ะ!”
….
บนท้องทะเลที่ดวงดาวพร่างพราย นาวาลำหนึ่งกำลังล่องลอยอยู่ท่ามกลางเกลียวคลื่น
ก่วนฟางอี๋เคาะประตูห้องพักหนิวโหย่วเต้าแล้วเปิดเข้าไป มองเข้าไปในห้องเล็กน้อย หนิวโหย่วเต้ายกมือไพล่หลังยืนมองท้องสมุทรอยู่ริมหน้าต่าง บนเตียงด้านข้างมีร่างของเฮยหมู่ตานนอนนิ่งอยู่ตรงนั้น
มีถ้อยคำบางอย่างที่ก่วนฟางอี๋ไม่ทราบว่าควรกล่าวออกไปหรือไม่ ทว่าผ่านมาหลายวันแล้ว นางจึงตัดสินใจจะกล่าวเตือนสักหน่อย
“เต้าเหยี่ย!” ก่วนฟางอี๋ลองเรียกอย่างทีเล่นทีจริงเท่านั้น ปกติแล้วน้อยครั้งนักที่นางจะเรียกเขาว่าเต้าเหยี่ยอย่างเป็นทางการ
หนิวโหย่วเต้าเอ่ยถามโดยไม่ทันไปมอง “มีเรื่องใดก็ว่ามา!”
ก่วนฟางอี๋ไปยืนมองอยู่ตรงหน้าศพครู่หนึ่ง ถอนหายใจเอ่ยไปว่า “เต้าเหยี่ย ข้าอยากกล่าวถึงเรื่องของแม่นางหมู่ตาย ข้ารู้ว่าเจ้าเสียใจมาก…”
หนิวโย่วเต้าเอ่ยขัดว่า “ข้าเสียใจอะไร?”
ก่วนฟางอี๋กล่าวว่า “เจ้าไม่เสียใจหรือ? มนุษย์เรามีหกอารมณ์เจ็ดปรารถนา ล้วนมีสุขเศร้าหมองปรีดา ถึงบอกว่าเสียใจก็ไม่มีผู้ใดหัวเราะเยาะเจ้าหรอก”
หนิวโหย่วเต้าส่ายหน้า “ควบม้าท่องทั่วหล้า ลมก็ดีฝนก็ช่าง ไม่อาจหยุดยั้งข้าได้ เรื่องเป็นตายพรากจากข้าพบเห็นมามากนัก เคยชินไปนานแล้ว ข้าไม่เสียใจ เพราะถึงเสียใจไปก็ไม่ประโยชน์ แต่ก็ไม่ได้แปลว่าจะไม่เสียใจเลย บางทีข้าอาจจะเสียใจเช่นกัน”
“ได้ พวกเราไม่เถียงกันเรื่องเสียใจหรือไม่เสียใจแล้วกัน เพียงแต่หนทางกลับสู่จังหวัดชิงซานยาวไกลเป็นอย่างมาก ไม่รู้ว่าต้องลอยคออยู่ในทะเลอีกนานแค่ไหน การปล่อยแม่นางเฮยหมู่ไว้เช่นนี้ก็มิใช่เรื่องดีเช่นกัน”
“เจ้าคิดจะพูดอะไรกันแน่?”
“ก่อนสิ้นใจแม่นางเฮยหมู่ก็ได้พูดไว้แล้ว การล่องอยู่ในท้องทะเลเป็นเรื่องดีที่สุด นางเองก็ชอบมากเช่นกัน เจ้าก็พิจารณาดูเถิดว่าควรเติมเต็มความปรารถนาของนางหรือไม่ การยกให้ท้องทะเลเป็นบ้านหลังสุดท้ายของนางก็ไม่นับว่าเป็นเรื่องเลวร้ายอันใด”
วาจาของนางกล่าวได้ค่อนข้างดูดี แต่ความจริงก็แค่ต้องการให้หนิวโหย่วเต้าทิ้งร่างของเฮยหมู่ตานลงสู่ทะเล บางครั้งก็ต้องยอมรับความเป็นจริงให้ได้ ระยะทางยาวไกลถึงเพียงนี้ ซากศพจะคงอยู่ได้อย่างไร พอถึงเวลาแล้วจะน่าขยะแขยงปานใดเล่า หากให้พูดตรงๆ ก็คงไม่ค่อยน่าฟังสักเท่าไร
หนิวโหย่วเต้าหันกลับมา เดินไปที่ริมเตียง “จ้องมองใบหน้านิ่งเฉยของเฮยหมู่ตาน เอ่ยเสียงเรียบว่า” เจ้าผิดแล้ว นางไม่ได้ชอบลอยคออยู่ในทะเล ชีวิตนี้นางล่องลอยระหกระเหินมาแทบจะตลอดชีวิต หลังจากติดตามข้า ไม่ง่ายเลยกว่าจะมีบ้านที่เป็นแหล่งพักพิง จังหวัดชิงซานคือบ้านของนาง! ตอนมีชีวิตอยู่ต้องระหกระเหินล่องลอย หลังจากสิ้นชีพไปแล้วยังจะปล่อยให้นางล่องลอยอีกได้อย่างไร ข้าจะพานางกลับบ้าน ผู้ใดก็อย่าหมายจะมาขวางข้า แล้วก็ไม่มีผู้ใดสามารถขวางข้าได้ ข้าจะพานางกลับบ้าน ส่งนางกลับบ้าน!”
ก่วนฟางอี๋จ้องมองเขา ขบริมฝีปากเล็กน้อย อีกฝ่ายพูดมาถึงขนาดนี้แล้ว นางก็ไร้กำลังจะเอ่ยอันใดต่อได้ พูดไม่ออกแม้แต่คำเดียว
สุดท้ายก็เอ่ยงึมงำแล้วก้มหน้าจากไป
ส่วนหนิวโหย่วเต้าก็นั่งลงข้างเตียง ยื่นฝ่ามือข้างหนึ่งทาบลงบนหน้าอกของเฮยหมู่ตาน โคจรเคล็ดวิชามหาจักรวาล มีเกล็ดน้ำแข็งปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเฮยหมู่ตาน ทว่ายังคงมีสีหน้าสงบนิ่ง เป็นสีหน้าสงบนิ่งเช่นเดียวกับยามที่นางจากไป…
………………………………………………………………