ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า - ตอนที่ 369 คู่ปรับเก่า
ตอนที่ 369 คู่ปรับเก่า
ความรู้สึกทรงพลังและพละกำลังที่เต็มเปี่ยมอยู่ทั่วร่างทำให้หยวนกังประหลาดใจ โดยเฉพาะการระเบิดของพลังปราณที่ปะทุจากภายในสู่ภายนอก
มีหลายเรื่องราวที่เขาไม่เข้าใจเลย อีกทั้งไม่เคยมีผู้ใดถ่ายทอดประสบการณ์ให้เขามาก่อน เป็นเขาที่งมคลำทางเองมาโดยตลอด ดังนั้นจึงไม่เข้าใจเลยว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่
ลูกน้องที่รับหน้าที่เฝ้าระวังประจำวันนี้ก็ได้รับความตกใจจากเสียงดัง ‘ปัง’ เมื่อครู่นั้น มีหลายคนวิ่งเข้ามาตรวจสอบทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น
มองเห็นเพียงว่าลูกพี่ใหญ่ยืนเปลือยกายอยู่บนขั้นบันได ไม่ทราบเลยว่าเรื่องราวเป็นมาอย่างไร
แต่พวกเขาก็ไม่ได้รู้สึกเขินอายอันใดกับสภาพของหยวนกัง พวกเขาใช้ชีวิตอยู่เป็นกลุ่มเช่นนี้ เปลือยกายอาบน้ำในโรงอาบน้ำด้วยกันเป็นหมู่คณะก็นับว่าเป็นเรื่องปกติมาก
แต่สิ่งที่ทำให้ทุกคนแปลกใจคือเหตุใดผิวกายของลูกพี่ถึงกลายเป็นสีแดงเถือกเล่า?
หยวนกังในสภาพเปลือยเปล่าเดินลงบันไดมา เดินเข้าไปที่บ่อน้ำภายในลานเรือน นั่งลงบนม้านั่งเล็กตัวหนึ่ง “ช่วยตักน้ำมาล้างตัวให้ข้าที!”
ทั้งกลุ่มวิ่งเข้าไปทันที ช่วยกันตักน้ำขึ้นมาจากบ่ออย่างต่อเนื่อง น้ำถังแล้วถังเล่าสาดลงบนร่างเขาเสียงดังซ่าๆ
หยวนกังก้มหน้าใคร่ครวญดูว่าก่อนหน้านี้เกิดอะไรขึ้นกันแน่ ปล่อยให้น้ำที่ตักมาจากบ่อสาดกระทบร่าง
หลังจากสาดน้ำล้างตัวเสร็จ หยวนกังก็สังเกตเห็นความผิดปกติ ก่อนหน้านี้นึกว่าผิวกายจะแดงอยู่เพียงชั่วคราวเท่านั้น ตอนนี้หลังจากราดน้ำจากบ่ออย่างต่อเนื่องแล้วมันก็ยังไม่เกิดความเปลี่ยนแปลงใดๆ แม้แต่น้อยเลย ผิวกายยังคงแดงเถือกราวกับถูกน้ำร้อนลวกอยู่
….
ณ จวนผู้ว่าการมณฑลเป่ยโจว เซ่าผิงปอเดินเข้าสู่ห้องหนังสือ มองเห็นเซ่าซานเสิ่งยืนอยู่หน้าแผนที่
เซ่าซานเสิ่งยืนอยู่บนม้านั่งตัวหนึ่ง ดึงเข็มเงินออกมาจากแผนที่บนผนัง เล็งไปยังจุดที่ขยับไปด้านหน้าอีกเล็กน้อยแล้วปักลงบนแผนที่อีกครั้ง ตำแหน่งที่เข็มเงินปักอยู่คือตำแหน่งคร่าวๆ ของขบวนเรือบนท้องทะเล จะมีการปรับตำแหน่งทุกๆ ครึ่งวัน หากการปรับตำแหน่งเคลื่อนที่ไปไม่มากก็แปลว่าขบวนเรือเดินทางไม่ราบรื่นเท่าไรนัก
ถึงมีคนนอกเข้ามาในห้องหนังสือแห่งนี้ หากเป็นคนที่ไม่ทราบเรื่องราวก็ยากจะจับสังเกตได้ว่าเข็มเงินเล่มเล็กๆ บนแผนที่นั้นมีความหมายอย่างไร
เซ่าซานเสิ่งกระโดดลงมาจากม้านั่ง ประสานมือคำนับ “คุณชายใหญ่”
เซ่าผิงปอจ้องมองแผนที่ เอ่ยด้วยน้ำเสียงคร่ำเคร่งว่า “ใกล้จะมาถึงปากทางเข้าสู่เส้นทางน้ำฝั่งแคว้นหานแล้ว ภารกิจของพี่จ้าวนับว่าลุล่วงแล้ว หลังจากนี้ก็ขึ้นอยู่กับทางเราแล้ว”
เซ่าซานเสิ่งกล่าวว่า “คุณชายใหญ่โปรดวางใจ เส้นทางน้ำสายนั้นของพวกเราดำเนินการมาหลายปีแล้ว น่าจะไม่มีทางเกิดปัญหาขึ้นขอรับ”
เซ่าผิงปอหันหลังเดินกลับไปนั่งหลังโต๊ะทำงาน เซ่าซานเสิ่งถือโอกาสช่วงที่เขายังไม่ได้เริ่มจัดการงานราชการ ล้วงจดหมายลับฉบับหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อยื่นส่งให้เขา “มีข้อมูลลับถูกส่งมาจากผู้บำเพ็ญเพียรในเมืองหลวงแคว้นฉีขอรับ”
เพื่อหลบเลี่ยงหูตาของสำนักเขามหายาน ทางนี้ต้องระดมความคิดไม่น้อยเพื่อวางแผนอย่างระมัดระวัง จำเป็นต้องระวังไว้เพราะสำนักเขามหายานควบคุมการกระทำของเขาอย่างเข้มงวด หากว่าเขาเขาแอบกระทำการลับหลังสำนักเขามหายานแล้วเกิดถูกพบเห็นเข้าคงเป็นปัญหาใหญ่แน่
“โอ้!” เซ่าผิงปอตื่นเต้นขึ้นมาทันที รับจดหมายลับไปเปิดอ่าน อ่านไปอ่านมาก็มุ่นคิ้วขึ้นมา
เขาพับจดหมายลับ ก่อนจะเงียบไปครู่ใหญ่ จากนั้นถึงจะเอ่ยเนิบๆ ขึ้นมาว่า “หนิวโหย่วเต้าก่อเรื่องขึ้นเมืองหลวงแคว้นฉีมากมายปานนี้ คิดไม่ถึงว่าพี่จ้าวจะไม่แจ้งให้ข้าทราบเลย พี่จ้าวมีเรื่องปิดบังข้าอยู่!”
หลังจากเซ่าซานเสิ่งได้อ่านเนื้อความในจดหมายลับก็ตระหนักได้ถึงเรื่องนี้เช่นกัน จึงลองเอ่ยไปว่า “คุณหนูซูน่าจะทนไม่ไหว คงลงมือกับไอ้สารเลวแซ่หนิวไปแล้ว เรื่องท้าสู้ที่ลานน้ำตกเหินหาว ตามความเห็นของบ่าว มีความเป็นไปได้สูงที่จะเป็นฝีมือคุณหนูขอรับ”
เซ่าผิงปอพยักหน้าเล็กน้อย “ตั้งแต่หนิวโหย่วเต้าเดินทางออกจากจังหวัดชิงซาน พี่จ้าวทราบร่องรอยการเดินทางมาโดยตลอด ซ้ำยังเดินทางตัดผ่านทะเลทรายกว้างใหญ่ด้วย คนปกติทั่วไปไม่มีทางเสียเวลาจับตามองทุกฝีก้าวขนาดนั้น ผลที่ตามคือพอหนิวโหย่วเต้าเดินทางมาถึงเมืองหลวงแคว้นฉี ก็มีคนปล่อยข่าวสร้างปัญหาให้เขาทันที เมื่อพิจารณาจากแรงจูงใจและพฤติกรรมลับๆ ล่อๆ แล้ว นอกจากพี่จ้าวก็คงเป็นคนอื่นไปไม่ได้อีก”
เซ่าซานเสิ่งเอ่ยว่า “แต่คุณหนูซูก็ทำไม่สำเร็จเช่นกัน ถูกหนิวโหย่วเต้าแก้สถานการณ์ไปได้อย่างง่ายดาย”
“เรื่องที่ไม่เหนือจากที่คาดการณ์ไว้เลย เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ไหนเลยจะสร้างปัญหาให้เขาได้ หากว่าทำสำเร็จได้ง่ายๆ หนิวโหย่วเต้าคงอยู่รอดมาถึงทุกวันนี้ไม่ได้หรอก พี่จ้าวไม่ยอมฟังคำชี้แนะจากข้าเลย!” เซ่าผิงปอถอนหายใจ จากนั้นกางจดหมายออกแล้วกวาดตามองอีกหลายครั้ง “สังหารจั๋วเชาที่หอไร้ขอบเขต…สร้างเรื่องชวนตะลึงฉากเล็กๆ ที่ลานน้ำตกเหินหาว เอาชนะคุนหลินซู่ที่ทะเลสาบส่องนภา พิชิตยอดบุปผาแห่งสวนไม้เลื้อย ทุกเรื่องผ่านพ้นไปอย่างปลอดภัยไร้อุปสรรค ไม่มีผู้ใดขัดขวางได้ ไม่มีอะไรที่ทำไม่ได้ สมแล้วเป็นศัตรูตัวฉกาจของข้า!”
เซ่าซานเสิ่งเอ่ยว่า “มิใช่ว่าตกอยู่ในกำมือของราชสำนักแคว้นฉีแล้วหรือขอรับ? ลิ่งหูชิวก็ถูกจับตัวไปพร้อมกับเขาด้วย”
เซ่าผิงปอกล่าวว่า “แต่ข้ามักจะรู้สึกว่ามันแปลกๆ เป้าหมายของเขาชัดเจนมาก หลังออกจากจังหวัดชิงซานก็ขจัดอุปสรรคขวากหนามไปตลอดทางโดยพุ่งเป้าไปที่ม้าศึก แล้วจะไปเที่ยวเล่นลอยชายกับหงเหนียงอะไรนั่นในแคว้นฉีได้อย่างไร? พวกเราต่อกรกับเขามานานขนาดนี้ เขาเป็นคนเช่นไรจะ มีหรือที่พวกเขาจะไม่รู้ ไหนเลยจะใช่คนที่ลุ่มหลงสตรีจนเสียการเสียงานได้ การกระทำนี้ของเขาน่าจะเป็นการตบตาคนอื่น หรือไม่ก็รอคอยโอกาสบางอย่างอยู่! หากไม่มีความมั่นใจอย่างเต็มที่ เขาจะเที่ยวเล่นลอยชายในเมืองหลวงแคว้นฉีได้หรือ จู่ๆ จะถูกราชสำนักแคว้นฉีจับตัวไปได้อย่างไรเล่า?”
เซ่าซานเสิ่งเอ่ยว่า “เช่นนั้นท่านคิดว่าเรื่องนี้มันหมายความว่าอย่างไรขอรับ?”
เซ่าผิงปอส่ายหน้า ข้อมูลที่รู้มีจำกัด เขาจึงไม่สามารถวิเคราะห์ออกมาได้เช่นกัน “สรุปคือเรื่องนี้มีความผิดปกติ ด้วยความสามารถของหนิวโหย่วเต้าแล้ว ไม่มีทางที่เขาจะปล่อยให้ตัวเองถูกจับกุมตัวได้ง่ายๆ ยังมีเรื่องหนึ่ง ลิ่งหูชิวคือคนของหอจันทร์กระจ่าง หนิวโหย่วเต้าก็น่าจะทราบตัวตนของเขาแล้วเช่นกัน ทั้งสองคลุกคลีอยู่ร่วมกันในเมืองหลวงแคว้นฉีมานานถึงเพียงนี้ คาดว่าคงมีแผนการร้ายอยู่ในใจทั้งคู่ ต่างฝ่ายต่างไม่ได้ประสงค์ดีอันใดต่ออีกฝ่าย ลิ่งหูชิวถูกจับกุมแปลว่าน่าจะมีปัญหาแล้ว”
เซ่าซานเสิ่งเอ่ยถาม “หนิวโหย่วเต้าทราบว่าเป็นคนของหอจันทร์กระจ่างแล้วยังกล้าลงมืออีกหรือขอรับ?”
“หอจันทร์กระจ่างจะนับเป็นอันใดได้! แม้แต่หอหิมะเหมันต์ เจ้านั่นมันยังกล้าลงมือเลย เจ้าคิดว่ายังมีเรื่องอะไรที่เขาไม่กล้าทำอยู่อีกหรือ? ขอเพียงสบโอกาสเหมาะ ถึงเป็นหอเลือนสลัวเขาก็คงกล้าลงมือเช่นกัน!” เซ่าผิงปอเอ่ยดูแคลน โบกจดหมายลับในมือพลางเอ่ยว่า “ติดต่อไปหาพี่จ้าวเดี๋ยวนี้ แจ้งข่าวที่ทางเราได้รับมาต่อนาง สอบถามนางดูว่าสรุปแล้วมีเรื่องปิดบังพวกเราอยู่มากน้อยเพียงใดกัน…ไม่สิ ไม่ต้องถามอะไรทั้งนั้น ติดต่อไปหานาง บอกให้นางรีบเดินทางมาที่นี่ ข้าต้องการสอบถามนางต่อหน้าว่าเรื่องราวเป็นมาอย่างไรกันแน่…”
….
มรสุมคลื่นลมถาโถม เมื่อคลื่นพายุน่าหวาดหวั่นผ่านพ้นไป สายลมแผ่วเบาลง ระลอกคลื่นก็เล็กลงเช่นกัน เมฆทะมึนบนท้องฟ้าก็ค่อยๆ สลายตัวไป
ก่วนฟางอี๋เดินตามหนิวโหย่วเต้าออกมานอกห้องโดยสาร เดินออกมายังดาดฟ้าเรือที่เปียกชุ่ม
เมื่อเห็นภาพท้องทะเลที่เพิ่งผ่านพ้นมรสุมไป ก่วนฟางอี๋ก็ทอดถอนใจเอ่ยไปว่า “สภาพอากาศในทะเลช่างแปรปรวนไม่แน่ไม่นอนโดยแท้”
ในเวลานี้เอง กงซุนปู้ก็มุดออกมาจากห้องโดยสารเช่นกัน เอ่ยด้วยสีหน้าตึงเครียด “เต้าเหยี่ย ขบวนเรือด้านหน้าส่งข่าวมาขอรับ มีเรือพลิกคว่ำไปหกลำ ในบรรดานั้นเป็นเรือบรรทุกม้าไปสี่ลำ ช่วยคนบางส่วนขึ้นมาได้ ส่วนม้าติดอยู่ในคอก ส่วนใหญ่ล้วนจมลงสู่ก้นทะเลพร้อมเรือไปแล้วขอรับ”
หนิวโหย่วเต้าพยักหน้าเล็กน้อย สื่อว่ารับทราบแล้ว เหตุการณ์เช่นนี้มิได้เพิ่งเกิดขึ้นเป็นครั้งแรก
เหล่าลูกเรือบนเรือล้วนมีงานยุ่งอลหม่านขึ้นมา หลังพายุผ่านพ้นไป ใบเรือที่ถูกลดลงก็กางขึ้นใหม่อีกครั้ง อาศัยแรงลมช่วยทำให้เรือเคลื่อนที่ไป
หลังจากเดินวนด้านนอกรอบหนึ่งแล้ว หนิวโหย่วเต้าก็กลับเข้าไปในส่วนห้องโดยสาร ไปยังห้องของศิษย์สำนักเบญจคีรีที่ทำหน้าที่ติดต่อสื่อสาร
แผนที่แผ่นหนึ่งถูกกางไว้บนผนัง แผนที่แผ่นนี้ก็มีตัวระบุทิศทางการเดินเรือตามเส้นทางเดิมของขบวนเรือเช่นกัน โดยมีการแต้มหมึกแดงเอาไว้จนเรียงเป็นเส้นประแถวหนึ่ง
หนิวโหย่วเต้าชี้ไปยังจุดแดงใหม่ล่าสุดที่เป็นบริเวณปากอ่าวเข้าสู่เส้นทางน้ำสายหนึ่งของแคว้นหาน เอ่ยถามขึ้นว่า “หากคำนวณเวลาตามเส้นทางนี้ ต้องใช้เวลานานแค่ไหนกว่าจะไปถึงปากอ่าวนี้?”
กงซุนปู้กล่าวว่า “ราวครึ่งเดือนขอรับ”
หนิวโหย่วเต้าเลื่อนมือลงไปยังส่วนล่าง ชี้ชายฝั่งทะเลของจังหวัดชิงซาน “ต้องใช้เวลานานแค่ไหนกว่าพวกเราจะถึงจังหวัดชิงซาน?”
กงซุนปู้ตอบว่า “ตามที่ต้นหนเรือบอกมา อย่างน้อยก็ราวหนึ่งเดือนขอรับ”
หนิวโหย่วเต้าส่ายหน้าเอ่ยไปว่า “แบบนี้ไม่ได้ ต้องถ่วงเวลาตามเส้นทางเดิมให้ล่าช้าออกไปสักหน่อย เรือของพวกเราต้องไปถึงจังหวัดชิงซานก่อนที่เรือบนเส้นทางปลอมจะไปถึงปากอ่าวนั้น เซ่าผิงปอคนนั้นมิใช่คนที่จะหลอกได้ง่ายๆ เขาต้องจัดกำลังคนมารอรับที่ท่าเรือของปากอ่าวทางนั้นแน่นอน เมื่อถึงเวลานั้นหากส่งข่าวไปแล้วแต่กลับไม่เห็นเรือโผล่ไป จะต้องถูกจับได้แน่นอน มีระยะห่างด้านเวลาถึงครึ่งเดือน อันตรายสำหรับพวกเราเกินไป หอจันทร์กระจ่างอาจระดมกำลังคนมาดักสกัดพวกเราในทะเลได้ตลอดเวลา”
กงซุนปู้ตอบรับ “เข้าใจแล้วขอรับ จะใช้ข้ออ้างที่ว่าเผชิญพายุในทะเลจนทำให้การเดินทางล่าช้าไป”
หนิวโหย่วเต้าตอบอืมคำหนึ่ง แปลว่าใช้ได้
ก่วนฟางอี๋ถามด้วยความอยากรู้ “เหตุใดถึงคิดว่าพอเซ่าผิงปอคนนั้นเห็นว่าม้าศึกหายไปก็จะรู้ได้ทันทีว่าเป็นฝีมือเจ้า แล้วก็จะมาดักสกัดเจ้าล่ะ?”
หนิวโหย่วเต้าหัวเราะฮ่าๆ ตอบไปว่า “หากสลับให้ข้าไปอยู่ในจุดเดียวกับเขา พอม้าศึกของข้าหายไป คนแรกที่ข้าจะสงสัยก็คือเขาเช่นกัน ข้าจะเรียกระดมกำลังไปสกัดกั้นเส้นทางทะเลของจังหวัดชิงซานเอาไว้ทันที ไม่จำเป็นต้องมีเหตุผลใดเลย”
ก่วนฟางอี๋ไม่ค่อยเข้าใจ
กงซุนปู้ยิ้มนิดๆ มีเพียงคนที่ติดตามหนิวโหย่วเต้ามาแต่แรกถึงจะทราบว่าทั้งสองเป็นอริเก่ากัน
หนิวโหย่วเต้าเอ่ยเตือน “หงเหนียง เซ่าผิงปอคนนี้ไม่ธรรมดา อันตรายมาก วันหน้าหากเจ้าพบเขาต้องระวังเอาไว้ให้มาก”
ก่วนฟางอี๋ร้องอ่อคำหนึ่ง เอ่ยอย่างไม่ใคร่ยี่หระว่า “ไม่ธรรมดาขนาดไหนกัน?”
หนิวโหย่วเต้าตอบว่า “สามารถทำให้มณฑลเป่ยโจวแยกตัวออกมาจากแคว้นเยี่ยนได้ แล้วยังสามารถคานอำนาจระหว่างแคว้นเยี่ยนกับแคว้นหานได้ ถูกประกบไว้ตรงกลางระหว่างสองแคว้นแต่ก็ยังทำให้ทั้งสองแคว้นไม่อาจทำอันใดเขาได้ อีกทั้งทำให้เศรษฐกิจของมณฑลเป่ยโจวรุ่งเรืองขึ้นมาได้ ซ้ำยังทำให้คนของหอจันทร์กระจ่างช่วยจัดหาม้าศึกจำนวนมากขนาดนี้ให้เขาได้ คนเช่นนี้เจ้าคิดว่ายังเป็นคนธรรมดาอยู่อีกหรือ?”
ก่วนฟางอี๋ถาม “ผู้ที่ก่อตั้งกองกำลังส่วนตัวขึ้นมาในมณฑลเป่ยโจวมิใช่เซ่าเติงอวิ๋นหรอกหรือ?”
หนิเวโหย่วเต้าส่ายหน้า “เซ่าเติงอวิ๋นคนนั้นเป็นลูกน้องเก่าของหนิงอ๋องซางเจี้ยนปั๋ว ด้วยมีฐานะเป็นลูกน้องเก่าของหนิงอ๋อง ทำให้ยงผิงจวิ้นอ๋องรู้จักเขาเป็นอย่างดี เซ่าเติงอวิ๋นคนนั้นเป็นแม่ทัพฝีมือดี ด้านการศึกอาจจะนับว่ายอดเยี่ยม แต่ไม่มีความสามารถด้านการดูแลปกครองดินแดนแน่นอน ทุกอย่างล้วนเป็นผลงานของบุตรชายคนนั้นของเขา รูปการณ์ของมณฑลเป่ยโจวในปัจจุบันนี้ล้วนมาจากแรงผลักดันและกลยุทธ์อันยอดเยี่ยมของเซ่าผิงปอ เซ่าเติงอวิ๋นเพียงถูกผลักให้ออกไปรับหน้าเท่านั้น ในบรรดากองกำลังของแคว้นต่างๆ คนที่พอจะต่อกรมีชัยเหนือคนผู้นี้ได้เกรงว่าคงมีอยู่ไม่กี่คนเท่านั้น”
ก่วนฟางอี๋ตกตะลึงไปในทันใด
หนิวโหย่วเต้าเอ่ยกับกงซุนปู้ต่อว่า “เรื่องในเมืองหลวงแคว้นฉีครานี้ ข้าคาดการณ์ว่าคนผู้นี้น่าจะไม่ได้ลงมือเลย มิเช่นนั้นม้าศึกชุดนี้คงไม่หลุดมาถึงมือข้าได้ง่ายดายปานนี้ แล้วก็ไม่มีทางหลบหนีมาได้ง่ายถึงเพียงนี้ ไม่รู้ว่ามีสาเหตุมาจากการที่ถูกหอจันทร์กระจ่างควบคุมเพราะลิ่งหูชิวหรือเปล่า หรือเป็นเพราะมีสาเหตุอื่นใดอยู่อีก แล้วก็มีความเป็นไปได้สูงเช่นกันว่าสำนักเขามหายานอาจจะได้รับบทเรียนจากเรื่องน่าตื่นตระหนกในครั้งก่อน จึงได้เข้าควบคุมและแทรกแซงเรื่องของเขาอย่างเข้มงวด สรุปคือข้าคิดว่าครั้งนี้เขาคงถูกปิดกั้นข่าวสารเอาไว้ มิเช่นนั้นคงไม่อาจปกปิดเรื่องบางอย่างไปจากเขาได้ ข้าถึงขั้นที่เตรียมแผนการรับมือกับเขาในแคว้นฉีเอาไว้ด้วย แต่ตลอดเวลาที่ผ่านมากลับไม่เห็นเขาแผลงฤทธิ์เลย พลอยทำให้สำนักเขามหายานพ้นภัยไปได้เสียแล้ว น่าเสียดาย!”
กงซุนปู้พอจะเข้าใจเจตนาของเขาได้ นี่แปลว่าเขาคิดจะก่อเรื่องอะไรบางอย่างที่ทำให้สำนักเขามหายานซึ่งอยู่เบื้องหลังเซ่าผิงปอย่อยยับลงได้ แต่สุดท้ายสำนักเขามหายานก็ไม่ได้เปิดช่องให้เขาได้ลงมือ
ก่วนฟางอี๋เอ่ยอย่างใช้ความคิด “พอฟังเจ้ากล่าวมาเช่นนี้ เกรงว่าคงจะเก็บเซ่าผิงปอคนนี้เอาไว้ไม่ได้แล้ว อีกทั้งเจ้ายังไปปล้นม้าศึกของเขามาอีก จะทำให้เกิดปัญหาตามมาได้ง่ายๆ ต้องหาทางกำจัดทิ้งถึงจะจบ”
หนิวโหย่วเต้าเดินออกไปด้วยท่าทางเหมือนไม่มีเรื่องใดเกิดขึ้นทั้งสิ้น
กงซุนปู้อมยิ้ม
พอเห็นทั้งสองมีท่าทีเช่นนี้ ก่วนฟางอี๋ก็ถามด้วยความฉงน “หมายความว่าอย่างไร? ข้าพูดผิดไปอย่างนั้นหรือ?”
กงซุนปู้กระซิบบอกนาง “ไม่ใช่ว่าไม่คิดจะกำจัดทิ้ง แต่ที่ผ่านมาไม่เคยกำจัดทิ้งสำเร็จ เซ่าผิงปอก็อยากกำจัดเต้าเหยี่ยทิ้งเช่นกัน เจ้าคิดว่าเต้าเหยี่ยยอมก่อเรื่องจนเกิดเรื่องราวใหญ่โตในหอหิมะเหมันต์เช่นนั้นไปไยเล่า? เจ้าคิดว่าเซ่าผิงปอยินดีแบกรับชื่อเสียงฉาวโฉ่ในเรื่องสังหารแม่เลี้ยงและน้องชายหรือ?”
ก่วนฟางอี๋ผงะไปเล็กน้อย จากนั้นก็กระจ่างขึ้นมาในทันใด เข้าใจเรื่องราวแล้ว ไม่นึกเลยว่าสองคนนี้จะเป็นคู่ปรับเก่ากัน
…………………….