ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า - ตอนที่ 370 ใช้ตั้งแทนรูปปั้นในวัดได้เลย
ตอนที่ 370 ใช้ตั้งแทนรูปปั้นในวัดได้เลย
ณ เมืองหลวงแคว้นฉี บรรยากาศเข้าสู่ช่วงรื่นเริงแล้ว ทั่วท้องถนนตั้งแต่ปากตรอกยันท้ายตรอกต่างประดับประดาด้วยโคมและช่อแพร
ร้านเต้าหู้เองก็ไม่ต่างกัน ตกค่ำแล้วก็ยังยุ่งง่วนอยู่ เตรียมเต้าหู้ไว้สำหรับแจกฉลองงานสมรสวันพรุ่งนี้ จะเริ่มแจกเต้าหู้โดยไม่คิดเงินเป็นเวลาสามวันนับตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป จำนวนที่จะแจกย่อมมากมายนัก ปกติแล้วเป็นของที่ประชาชนซื้อกินไม่ไหว คาดว่าคงมีคนแห่แหนกันมาแน่นอน
“อันที่จริงพรุ่งนี้มีการตั้งโรงทานแจกอาหารมากมายหลายแห่งเลยทีเดียว เท่าที่ข้าทราบมาในวังก็กำลังเตรียมขนมเปี๊ยะจำนวนมากอยู่เช่นกันขอรับ จะนำออกไปแจกที่จุดตั้งโรงทานในวันพรุ่งนี้ อีกอย่างทางจวนอวี้อ๋องก็จะตั้งกระโจมแจกทานในวันพรุ่งนี้เช่นกันขอรับ ตระกูลใหญ่หลายตระกูลก็น่าจะปฏิบัติตามเช่นกัน ขอเพียงยอมออกหน้ากันมา ช่วงสามวันนี้ประชาชนทั่วเมืองหลวงล้วนจะได้กินดื่มโดยไม่เสียเงินกันถ้วนหน้าขอรับ”
เสมียนเกาช่วยรินสุราให้หยวนกังพลางเอ่ยไปด้วย
วันนี้เขาก็ไม่ได้กลับบ้านเช่นกัน หลายวันมานี้พักอยู่ที่นี่เพื่อช่วยเตรียมการ ช่วงหลายวันมานี้ยุ่งมากจริงๆ ทั้งสองต้องหารือกันว่าจะทำเต้าหู้สำหรับแจกเท่าไร ทั้งยังต้องคอยดูคนงานที่ทำงานอยู่ในเรือนส่วนหลังด้วย
หยวนกังเอ่ยว่า “เพิ่มจำนวนให้มากอีกหน่อยเถอะ”
เสมียนเกาถอนหายใจดังเฮ้อ เอ่ยไปว่า “เถ้าแก่ขอรับ ข้ารู้ว่าท่านมีจิตเมตตา แต่ข้ากลัวว่าความใจดีจะทำให้เกิดเรื่องเลวร้ายขึ้น! ท่านคิดดูสิขอรับ คนที่แห่แหนมารับของแจกล้วนเป็นคนยากไร้ บางคนกินไม่หมดแต่ก็อยากประหยัด ย่อมอดไม่ได้ที่จะรับไปตุนไว้มากหน่อย จะได้เอาไว้ค่อยๆ กินทีหลัง พรุ่งนี้คนของทางการก็คงยุ่งมากเช่นกัน ไม่มีทางส่งคนมาดูแลแผงเต้าฮวยของพวกเราแน่ พวกเราก็คงแยกแยะได้ยากว่าใครได้รับไปแล้วหรือใครยังไม่ได้รับไป ในเมืองหลวงมีคนมากมายปานนี้ ใครจะจำได้ครบเล่าขอรับ?”
“เถ้าแก่ เต้าหู้ของพวกเราแตกต่างกับอาหารจำพวกขนมเปี๊ยะนะขอรับ เก็บไว้นานไม่ได้ เน่าเสียเร็วมาก ดังนั้นจึงไม่สามารถแจกจ่ายเกินอัตราได้ ต้องควบคุมปริมาณไว้ มิเช่นนั้นถ้ามีคนกินแล้วท้องเสียเป็นจำนวนมากขึ้นมา เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นในวันมงคลจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ได้นะขอรับ! คนอื่นไม่เห็นค่าในน้ำใจของเราน่ะไม่เท่าไร แต่ร้านเต้าหู้ของพวกเราจะเสียชื่อไปด้วยนะขอรับ”
“เถ้าแก่ หากพูดให้ฟังดูแย่หน่อยคือตอนนี้สถานการณ์เปลี่ยนไปแล้ว เมื่อก่อนท่านแม่ทัพวางตัวเป็นกลาง ทุกคนอยากดึงท่านแม่ทัพไปเป็นพวก ส่วนใหญ่จึงไม่มีใครอยากล่วงเกินท่านแม่ทัพ ด้วยเห็นแก่หน้าของจวนแม่ทัพ จึงไม่มีผู้ใดกล้าหาเรื่องพวกเรา แต่ต่อไปก็ไม่แน่แล้ว คนบางจำพวกพอไม่ได้ผลประโยชน์ไปก็หาเรื่องจับผิดสร้างปัญหา สามารถทำเรื่องเล็กให้กลายเป็นเรื่องใหญ่ได้ ท่านว่าพอถึงเวลานั้นเบื้องบนจะดำเนินการไปตามกฎหมายหรือใช้ช่องกฎหมายเล่นงานล่ะขอรับ? เกรงว่าต่อไปนี้แม้แต่คุณชายสามก็คงต้องอยู่ในเมืองหลวงอย่างสำรวมเช่นกัน ทางจวนแม่ทัพก็กำชับให้พวกเราระมัดระวังไว้เช่นกัน”
หยวนกังคิดๆ ดูก็พยักหน้าให้เล็กน้อย “เสมียนเกาพูดมีเหตุผล จัดการตามที่เจ้าว่าเถอะ! ใช่แล้ว เรื่องที่ให้เหมาเหลาสุราไว้รับรองทุกคนในวันพรุ่งนี้จัดการเรียบร้อยหรือยัง?”
เสมียนเกาเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เรียบร้อยแล้วขอรับ จัดการไว้อย่างดีแล้ว เถ้าแก่ไม่จำเป็นต้องกังวล ไปร่วมดื่มสุรามงคลที่จวนแม่ทัพได้เต็มที่เลยขอรับ ทางนี้ข้าจะคอยดูแลเอง”
หยวนกังเอ่ยเสียงเรียบ “งานฉลองสมรสที่จวนแม่ทัพข้าคงไม่ไปร่วมด้วย ดื่มกับทุกคนอยู่ทางนี้ก็เหมือนกัน”
เสมียนเการ้องไอ๊หยา เอ่ยไปว่า “ไม่ใช่ทุกคนที่จะมีสิทธิ์ได้ไปร่วมดื่มสุรามงคลที่นั่นนะขอรับ ผู้ใดได้เข้าร่วมก็นับเป็นเครื่องมือแสดงศักดิ์ฐานะและตำแหน่งได้ มีขุนนางน้อยใหญ่มากมายในเมืองหลวงแห่งนี้ที่อยากไปเข้าร่วมแต่ก็ทำได้เพียงมองตาปริบๆ เท่านั้น เมื่อถึงเวลานั้น บุคคลที่ไปรวมตัวกันอยู่ในงานนั้นหากมิใช่คนร่ำรวยก็ต้องเป็นผู้สูงศักดิ์ ไม่ใช่ทุกคนที่จะได้รับโอกาสนี้นะขอรับ คุณชายทั้งหลายในจวนแม่ทัพล้วนมีไมตรีต่อเถ้าแก่ ล้วนเรียกเถ้าแก่เป็นพี่เป็นน้องกันทั้งสิ้น เมื่อถึงเวลานั้นหากทุกคนได้เห็นภาพนั้น วันหน้าเถ้าแก่ก็จะมีหน้ามีตาในเมืองหลวงแห่งนี้เช่นกัน พ่อบ้านฉามาถ่ายทอดคำสั่งด้วยตัวเองว่าให้ข้าเชิญท่านไปร่วมดื่มสุรามงคลด้วย เกียรติและน้ำใจในครั้งนี้ ท่านไม่รับไว้ไม่ได้นะขอรับ”
หยวนกังกล่าวว่า “ก็เพราะคนที่ไปมีแต่เศรษฐีและผู้มีอำนาจ ที่นั่นถึงไม่ใช้สถานที่ที่ข้าควรจะไป ข้าอยู่ทางนี้ช่วยดูแลเหล่าคนงานแทนคุณชายสามก็ไม่ต่างกันหรอก”
เพราะเหตุใดทางนี้ถึงเหมาเหลาสุราเอาไว้น่ะหรือ ก็เพราะไม่อยากไปร่วมดื่มสุรามงคลอันใด ด้วยกังวลว่าจะถูกคนของทางเฮ่าชิงชิงจดจำได้
เสมียนเกาเอ่ยถามเพียงประโยคเดียวว่า “คุณชายสามสนิทสนมกับท่าน งานแต่งของเขาทั้งที ท่านไม่ไปร่วมจะเหมาะสมหรือขอรับ ไม่ว่าจะมองในแง่ไมตรีหรือหลักเหตุผลก็ดูไม่เข้าท่าเลย!”
หยวนกังเงียบไป จากนั้นเอ่ยถามไปอีกประโยค “ทางนั้นบอกให้ข้าพาหยวนต้าหูและกู่โหย่วเหนียนไปร่วมดื่มสุรามงคลด้วยมีเจตนาใดกันแน่?”
เสมียนเกายิ้มเจื่อนพลางเอ่ยตอบว่า “เถ้าแก่ ท่านถามมากี่ครั้งแล้วขอรับ ข้าไม่รู้จริงๆ ข้าเองก็ฉงนในเรื่องนี้อยู่เช่นกัน แต่พ่อบ้านฉาเป็นคนสั่งการมาด้วยตัวเองขอรับ…”
….
ณ เรือนเมฆาขาว ประตูหน้าที่ตามปกติแล้วมีคนเดินสัญจรเข้าออกอยู่ตลอดเช้าค่ำถูกดึงปิดดัง ‘กึง’
งานวิวาห์ขององค์หญิงใหญ่จะจัดขึ้นในวันพรุ่งนี้ แหล่งอโคจรทั้งหมดในเมืองหลวงต้องปิดทการเป็นเวลาสามวัน
ซูจ้าวและฉินเหมียนที่ยืนอยู่ชั้นบนมองแสงโคมฉูดฉาดภายในโถงรับรองถูกดับไปทีละดวงๆ มองเหล่าแม่นางทั้งหลายที่แยกย้ายกันไปด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม เหลืออยู่เพียงคนงานปัดกวาดส่วนหนึ่ง
ทั้งสองหันหลังเดินหายเข้าไปในส่วนลึกของทางเดินเช่นกัน พอไปถึงเรือนด้านหลัง ซูจ้าวเงยหน้ามองดวงดาว จู่ๆ ก็ถามขึ้นว่า “เจ้าว่าหากส่งคนสะกดรอยตามปีกทองของทางจังหวัดชิงซานไป จะสืบพบที่อยู่ของหนิวโหย่วเต้าหรือไม่?”
ฉินเหมียนยิ้มเจื่อนพลางเอ่ยว่า “ปีกทองที่บินส่งข่าวเกี่ยวกับการราชการและงานทางด้านกองทัพกับจังหวัดชิงซานไม่รู้ว่ามีมากน้อยเท่าไร ผู้ใดจะทราบได้ล่ะเจ้าคะว่าเป็นตัวไหนที่ติดต่อกับทางหนิวโหย่วเต้า หากจะสะกดรอยตาม ต้องใช้วิหคยักษ์มากขนาดไหนถึงจะได้เรื่อง? การกระทำที่เอิกเกริกโจ่งแจ้งเช่นนั้นจะไม่ถูกสังเกตเห็นเลยก็คงยาก จะมีประโยชน์ได้อย่างไรเจ้าคะ อีกอย่างก็ยังไม่แน่ว่าหนิวโหย่วเต้าจะกลับไปที่จังหวัดชิงซานด้วย”
ซูจ้าวก็แค่พูดไปเท่านั้น การปล่อยให้หนิวโหย่วเต้าหนีรอดไปได้ทั้งๆ ที่อยู่ใต้จมูกเช่นนี้ นางกล้ำกลืนความโกรธไว้ไม่ไหวจริงๆ
“นายหญิง ถึงอย่างไรช่วงสองสามวันนี้ก็ต้องอยู่เงียบๆ ต้องการให้ส่งคนไปเชิญอันไท่ผิงมาอยู่เป็นเพื่อนท่านหรือไม่เจ้าคะ” ฉินเหมียนพลันเอ่ยถามหยอกเย้า
ซูจ้าวหน้าแดงเล็กน้อย กลอกตาใส่นางทีหนึ่ง…
….
วันต่อมา ภายในจวนแม่ทัพบัญชาการฮูเหยียนครึกครื้นเป็นอย่างยิ่ง องค์หญิงใหญ่จะแต่งเข้าตระกูลฮูเหยียนทั้งที ไม่ครึกครื้นสิถึงจะแปลก ไม่ต้องพูดถึงเลยว่าจะยิ่งใหญ่อลังการขนาดไหน
หยวนกังที่พาชายชราแขนขาด้วนทั้งสองคนไปด้วยไม่ได้เผยตัวเลย จนกระทั่งแสงโคมส่องสว่างขึ้นมา งานเลี้ยงฉลองสมรสเริ่มขึ้นแล้ว ทั้งสามถึงได้เสาะหาหลืบมุมแห่งหนึ่งแล้วนั่งลงไป
หยวนกังไม่อยากอยู่ปะปนกับคนร่ำรวยสูงศักดิ์เหล่านั้น ดูเหมือนทางตระกูลฮูเหยียนก็เข้าใจความรู้สึกของเขาเช่นกัน จึงตอบรับคำขอของพวกเขาโดยจัดให้พวกเขาไปอยู่ในลานเรือนที่ค่อนข้างห่างออกไป
สองชายพิการอย่างหยวนต้าหูและกู่โหย่วเหนียวเองก็ยินดีที่จะนั่งอยู่ตรงนี้เช่นกัน อันที่จริงพวกเขารู้สึกว่าตนไม่สมควรได้มาเยือนสถานที่แห่งนี้เลย ล้วนคิดว่าหลบอยู่ในหลืบมุมก็ค่อนข้างเหมาะแล้ว
จนกระทั่งที่นั่งในลานเรือนฝั่งนั้นค่อยๆ ถูกเติมเต็ม สังเกตเห็นคนบางส่วนที่สวมชุดเกราะ ทั้งสามถึงได้ทราบว่าคนที่ถูกจัดให้มาดื่มฉลองในลานเรือนแห่งนี้ล้วนเป็นทหารบางส่วนของกองทัพทหารม้า
พวกหยวนกังทั้งสามที่ไม่ได้สวมชุดเกราะจึงดูค่อนข้างสะดุดตาขึ้นมา
“คนหน้าแดงตัวใหญ่ผู้นั้นกับตาเฒ่าแขนขาด้วนคู่นั้นเป็นใครกัน?”
“คนที่หน้าแดงเมื่อก่อนหาได้หน้าแดงไม่ เป็นเถ้าแก่ของร้านเต้าหู้แห่งนั้น ส่วนสองคนที่แขนขาด้วนเป็นยามเฝ้าประตูที่คอยปัดกวาดอยู่นอกร้านเต้าหู้”
“นี่มันอะไรกัน? แม้แต่ยามปัดกวาดร้านเต้าหู้ก็ยังมาร่วมงานได้อย่างนั้นหรือ?”
“เฮ้อ! เจ้าจะใส่ใจมากขนาดนั้นไปทำไม เห็นได้ชัดว่าล้วนได้รับอนุญาตให้เข้ามาร่วมงาน ย่อมมีเหตุผลอยู่เป็นแน่”
หลังจากเริ่มกินดื่มสังสรรค์กันไป กลุ่มชายชาติทหารก็ค่อยๆ ผ่อนคลายมากขึ้น บรรยากาศเริ่มกลายเป็นเอะอะมะเทิ่งขึ้นมา จากใช้จอกก็เปลี่ยนมาใช้ถ้วยดื่มสุราแทน
หยวนกังกับหยวนต้าหูและกู่โหย่วเหนียนก้มหน้าก้มตากินอาหารอยู่ในมุมเงียบๆ
“ท่านแม่ทัพมาแล้ว”
ทันใดนั้นมีเสียงบอกต่อกันมาเป็นทอดๆ ทุกคนในงานล้วนวางจอกสุราลง บางคนรีบสวมหมวกเกราะกลับเข้าที่อย่างรวดเร็ว มีเสียงชุดเกราะกระทบกันเกรียวกราวแว่วดังขึ้น คนทั้งหมดในลานล้วนลุกขึ้นยืน
ฮูเหยียนอู๋เฮิ่นมาพร้อมผู้ติดตามอีกสองสามคน กวาดสายตามองทุกคนอย่างสบายๆ ไม่วางอำนาจ
“ยินดีกับท่านแม่ทัพด้วย ขอแสดงความยินดีต่อท่านแม่ทัพด้วย!”
ทุกคนประสานมือเอ่ยแสดงความยินดีเสียงดังฟังชัดอย่างพร้อมเพรียง แว่วดังต่อเนื่องไม่หยุดหย่อน
ฮูเหยียนอู๋เฮิ่นยกมือขึ้น ทั้งลานเงียบลงทันที เขากดมือลงเล็กน้อย ทุกคนพากันนั่งลงอย่างพร้อมเพรียงอีกครั้ง แต่ละคนนั่งตัวตรงไม่กระดุกกระดิกแม้แต่นิดเดียว
บรรยากาศเข้มงวดขึงขังนี้ทำให้หยวนกังที่กวาดตามองไปทั่วตื่นตัวอยู่ในใจนิดๆ
ฉาหู่บุ้ยปากไปทางหยวนกังเล็กน้อย เอ่ยกระซิบกระซาบบางอย่างข้างหูฮูเหยียนอู๋เฮิ่นสองสามประโยค
ฮูเหยียนอู๋เฮิ่นทอดสายตามองเข้ามา ก่อนจะเดินเข้ามา เดินมาหยุดที่โต๊ะของหยวนกัง ก้าวไปยืนตรงหน้าหยวนต้าหูและกู่โหย่วเหนียน ทำให้ทั้งสองประหม่าเป็นอย่างมาก
ฮูเหยียนอู๋เฮิ่นยื่นมือออกไปด้านข้าง มีคนยื่นถ้วยสุราที่รินสุราไว้แล้วใส่มือเขาทันที
“ทั้งสองท่านอาวุโสกว่าข้า อีกทั้งเข้าร่วมกองทัพก่อนข้า ทั้งสองท่านให้เกียรติมาร่วมดื่มสุรามงคลได้ ข้าดีใจยิ่งนัก ข้าขอคารวะทั้งสองท่านก่อนหนึ่งถ้วย!” ฮูเหยียนอู๋เฮิ่นประคองถ้วยด้วยสองมือสื่อถึงเจตนา
นี่มันเรื่องอะไรกัน? เหล่าทหารต่างมองเข้ามาทางฝั่งนี้ แต่ละคนมีสีหน้าสับสนแปลกใจ
อย่าว่าแต่คนอื่นเลย แม้แต่หยวนกังก็ตะลึงไปเช่นกัน ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
หยวนต้าหูและกู่โหย่วเหนียนลนลานลุกขึ้นมา รีบเอ่ยว่ามิกล้าๆ
“ข้าขอคำนับหมดถ้วยก่อน!” ฮูเหยียนอู๋เฮิ่นเชิดหน้าดื่มสุรารวดเดียวหมด จากนั้นแสดงให้ทั้งสองเห็นก้นถ้วยที่ดื่มไปจนว่างเปล่า
ทั้งสองรีบหยิบถ้วยสุราขึ้นมา เอ่ยแสดงความยินดีกับท่านแม่ทัพอย่างตะกุกตะกัก จากนั้นก็รีบเทกรอกปากเข้าไป หยวนต้าหูรีบร้อนเกินไปจึงสำลึกขึ้นมา ไอแค่กๆ ไม่หยุด
สายตาของฮูเหยียนอู๋เฮิ่นมองไปยังใบหน้าของหยวนกังต่อ เอ่ยถามว่า “เหตุใดถึงหน้าแดงไปเสียเล่า?”
“ฝึกวิชายุทธ์มาขอรับ” หยวนกังตอบไปตามความจริง
“ใช้ตั้งแทนรูปปั้นในวัดได้เลย” ฮูเหยียนอู๋เฮิ่นเอ่ยเสียดสีประโยคหนึ่ง ไม่ได้สนใจอะไรอีก หันหลังเดินออกไป สั่งการให้เอาสุรามาอีกถ้วย ถือถ้วนสุราแล้วมองทุกคนที่อยู่รอบๆ
ทุกคนพากันถือถ้วยสุราลุกขึ้นมา
“ทุกท่านล้วนเป็นพวกพ้องที่ร่วมเป็นร่วมตายมากับข้า ข้าจะไม่อ้อมค้อมกับทุกท่านเช่นกัน เจ้าสามของบ้านข้าคงไม่อาจใช้ชีวิตสำมะเลเทเมาเช่นในอดีตได้อีก อีกไม่นานก็จะส่งตัวเขาเข้าไปเคี่ยวกรำในกองทหารม้าแล้ว ส่วนเรื่องเหตุผลมีบางส่วนก็คงพอเข้าใจแล้ว แต่ก็มีบางส่วนที่ยังไม่เข้า ขอเอ่ยสรุปให้ในประโยคเดียวว่า ผู้ใดยอมผ่อนปรนให้เขานับว่าเป็นการทำร้ายเขาทางอ้อม ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง วันนี้เชิญทุกคนมาร่วมดื่มสุรามงคล ให้งดเว้นกฎระเบียบกองทัพได้ ดื่มให้หนำใจได้เลย เชิญ!” น้ำเสียงช่วงสุดท้ายหนักแน่นทรงพลัง จากนั้นฮูเหยียนอู๋เฮิ่นก็ดื่มคารวะก่อนอีกครั้ง
ทุกคนดื่มตามทันที
ฮูเหยียนอู๋เฮิ่นวางถ้วยสุราลงแล้วสาวเท้าเดินออกไป ขณะที่เดินฝ่าฝูงชนไปอย่างองอาจ เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักแน่นกังวานโดยที่สายตามองตรงไม่ลอกแล่ก “เมื่อมีฐานะในราชสำนักย่อมไร้ซึ่งอิสระแล้ว ด้านนอกยังมีแขกผู้มีเกียรติบางส่วนที่ไม่อาจล่วงเกินได้อยู่ ข้าไม่อาจแยกร่างได้ จึงทำได้เพียงต้องละเลยพวกพ้องของตนไปอย่างไม่มีทางเลือก สุราอาหารมีให้เต็มที่ แต่ข้าอยู่เป็นเพื่อนไม่ได้แล้ว ดื่มเสร็จขออย่าได้อาละวาดวุ่นวาย เดินทางกลับบ้านของตนไปดีๆ!” เขาสะบัดแขนเสื้อคราหนึ่ง
“ขอรับ!” ทุกคนขานรับอย่างพร้อมเพรียง มองส่งเขาจากไป
จากนั้นหยวนต้าหูและกู่โหย่วเหนียนก็กลายเป็นจุดสนใจของทุกคน คนอื่นๆ ล้วนเข้ามาสอบถามประวัติความเป็นมา เพราะสามารถทำให้ท่านแม่ทัพเข้ามาคารวะสุราเป็นการส่วนตัวได้
ตอนนี้ไม่มีผู้ใดกล้าดูหมิ่นทั้งสองอีกต่อไป ทหารที่ร่วมโต๊ะเดียวกันอดไม่ได้ที่สอบถาม “ที่แท้ทั้งสองท่านก็เป็นคนในกองทัพเช่นเดียวกัน ไม่ทราบว่าเดิมทีอยู่สังกัดในกองทัพใดหรือ?”
หยวนต้าหูและกู่โหย่วเหนียนไม่อยากเอ่ยถึงเลย แต่ถูกคนซักถามซ้ำแล้วซ้ำเล่า อีกทั้งไม่สะดวกจะพูดปด สุดท้ายจึงเอ่ยออกไปสามคำ ทัพลมทมิฬ!
ผลคือหยวนกังพบว่าเหล่าทหารมองทั้งสองด้วยสายตาที่เปลี่ยนแปลงไป แต่ละคนดูเคารพเลื่อมใสขึ้นมาทันที!
หลังจบงานมีคนจำนวนหนึ่งเข้ามาคารวะสุราด้วย!
การคารวะสุรานี้ทำให้สองชายชราดื่มกันจนร้องไห้ออกมา เมามายไปอย่างสิ้นเชิง กลับไปได้อย่างไรก็ยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำ
หลายวันต่อมา พอหยวนกังได้ทราบว่า ‘ทัพลมทมิฬ’ มีความเป็นมาอย่างไร ชายชราทั้งสองก็ถูกหยวนกังพาออกจากเมืองไปช่วยฝึกฝนสมาชิกเหล่านั้นของร้านเต้าหู้
…………………………………………….