ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า - ตอนที่ 372 ม้าศึกมาแล้ว!
ตอนที่ 372 ม้าศึกมาแล้ว!
ทุกคนต่างรู้ดีว่าการที่จู่ๆ สำนักหยกสวรรค์มาไม้นี้ ย่อมเป็นเพราะจับสังเกตได้แล้วว่าทางนี้ขาดการติดต่อกับหนิวโหย่วเต้าอย่างสิ้นเชิง จึงหาโอกาสสำหรับลงมืออย่างถูกต้องชอบธรรม
สิบวันหรือ? หนิวโหย่วเต้าไม่มีทางขนส่งม้าศึกกลับมาภายในระยะเวลาสิบวันตามกำหนดได้ ต่อให้หนิวโหย่วเต้ากลับมาได้ก็คงมามือเปล่า ดังนั้นจึงจับพวกหยวนฟางไปก่อนแล้วค่อยว่ากันทีหลัง
อีกฝ่ายมีเหตุผลในทุกๆ ด้าน แล้วพวกเขาจะบอกว่าอีกฝ่ายพูดไม่ถูกได้หรือ? เรื่องม้าศึกปล่อยให้ล่าช้าต่อไปไม่ได้จริงๆ ทุกคนต่างตกลงกันไปแล้วว่าหากทางนี้ทำไม่สำเร็จ พวกเขาจะส่งศิษย์ไปที่แคว้นฉีอีกครั้ง อีกฝ่ายให้เวลาพวกเขาสำหรับหาทางติดต่อมากพอแล้ว อีกฝ่ายต้องการเพียงคำอธิบายจากหนิวโหย่วเต้าเท่านั้น หากได้รับคำอธิบายจะปล่อยตัวคนทันที นี่นับว่าอีกฝ่ายทำเกินเลยมากไปหรือ?
อีกฝ่ายคิดเพื่อประโยชน์ส่วนรวม ใครยังจะไปว่าอะไรได้? อีกฝ่ายมีอำนาจมากกว่า ซ้ำยังพูดจาสมเหตุสมผล!
เจิ้งจิ่วเซียวเอ่ยเสียงขรึม “สำหรับแผนการในตอนนี้คงทำได้เพียงพยายามติดต่อไปหาซ้ำๆ หวังว่าจะติดต่อหนิวโหย่วเต้าได้โดยเร็วที่สุด ถึงทำไม่ได้ก็ต้องลองดู!”
เฟ่ยฉางหลิวและเซี่ยฮวาพยักหน้ารับเงียบๆ มีแต่เพียงวิธีนี้วิธีเดียวเท่านั้น
ซางซูชิงลองถามไปประโยคหนึ่ง “จะเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับเต้าเหยี่ยหรือไม่?”
เซี่ยฮวายิ้มเจื่อนพลางเอ่ยว่า “ท่านหญิง เรื่องนี้บอกไม่ได้จริงๆ ว่ากันตามหลักแล้ว เขาส่งคนของสวนไม้เลื้อยมาทางนี้ ย่อมต้องมีการวางแผนมาก่อนแล้ว แต่ว่าหลายเดือนมานี้ทั้งที่มีคนมากมายปานนั้น แต่กลับไม่มีข่าวส่งกลับมาเลยสักนิด ไม่มีผู้ใดทราบได้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่”
แววตาซางซูชิงเปี่ยมด้วยความกังวล
เซี่ยฮวาลูบสองไหล่ของนางพลางถอนหายใจ เอ่ยไปว่า “ท่านหญิง ระยะนี้พระงอค์ผอมลงไปมากนะเพคะ! อย่าเป็นกังวลเกินไปเลย จำต้องยอมรับเลยว่าหนิวโหย่วเต้าผู้นั้นพอจะมีฝีมืออยู่จริงๆ น่าจะไม่มีทางเกิดอะไรขึ้นเพคะ”
ปลอบใจมันก็ส่วนปลอบใจ แต่ความเป็นจริงที่สามสำนักต้องเผชิญหลังจากนี้ยังคงค่อนข้างน่าวิตกอยู่ดี ปีกทองที่ถูกปล่อยออกไปบินวนอยู่กลางอากาศ จากนั้นก็ร่อนกลับลงมาอีกครั้ง
พยายามปล่อยออกไปซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่ก็เป็นแบบเดิมซ้ำๆ แปลว่ายังคงติดต่อไม่ได้
….
ภายในจวนผู้ว่าการจังหวัด ซางเฉาจงเดินกลับไปกลับมาอยู่ภายในห้อง บ่นถึงความจองหองกำเริบเสิบสานของสำนักหยกสวรรค์
เหมิงซานหมิงที่นั่งอยู่บนรถเข็นเพียงรับฟังอย่างสงบเท่านั้น หลังจากฟังจบก็เอ่ยเสียงเรียบว่า “ท่านอ๋องโปรดสงบอารมณ์ด้วยเถิด ต่างคนต่างมีผลประโยชน์ของตน อีกฝ่ายก็ไม่ได้ทำอะไรผิดเช่นกันพ่ะย่ะค่ะ”
หลานรั่วถิงลูบเคราพลางเอ่ยว่า “กล่าวโดยสรุปคือทางเรายังขาดสำนักที่จะมาคานอำนาจกับสำนักหยกสวรรค์อยู่ แต่หากว่ากันในอีกมุมหนึ่ง ตอนนี้ทางเราก็ยังไม่สามารถเลี้ยงดูสำนักเป็นจำนวนมากได้ จะมาพูดเรื่องคานอำนาจอันใดยังเร็วไป ยามนี้เป็นช่วงเวลาที่ยังต้องการแรงสนับสนุนจากสำนักหยกสวรรค์ ท่านอ๋องยังคงต้องอดทนไว้นะพ่ะย่ะค่ะ รอจนมีผลประโยชน์มากพอแล้ว เราย่อมสามารถแสดงพลังที่สามารถคานอำนาจได้พ่ะย่ะค่ะ”
ซางเฉาจงหย่อนก้นนั่งลงบนเก้าอี้ที่อยู่ด้านข้าง เอนหลังพิงพนักเก้าอี้ เงยหน้าทอดถอนใจ “หลักเหตุผลน่ะข้าเข้าใจ แต่หากว่าหลังจากนี้หนิวโหย่วเต้ากลับมาแล้ว แล้วพบว่าข้าปล่อยให้คนของเขาถูกจับตัวไปโดยไม่ทำอะไร ข้าสมควรจะอธิบายกับเขาอย่างไรเล่า? อีกฝ่ายทุ่มเททำงานหนักเพื่อข้า ออกไปเสี่ยงชีวิตอยู่ด้านนอก ทว่าแม้แต่คนของเขาข้าก็ยังปกป้องไว้ไม่ได้ จะให้เขารู้สึกอย่างไรล่ะ?”
เหมิงซานหมิงส่ายหน้าเอ่ยไปว่า “ท่านอ๋องกังวลมากไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ หนิวโหย่วเต้าเป็นคนมีเหตุผลคนหนึ่ง เขาต้องเข้าใจแน่ว่าเป็นเพราะเขาเองที่ทำให้เกิดช่องโหว่ในเรื่องราวขึ้น ทำให้อีกฝ่ายสบโอกาสเอาเปรียบได้ ทางท่านอ๋องก็ไม่อาจขัดขวางได้เช่นกัน แล้วก็ห้ามไม่อยู่ด้วย ปัญหาในตอนนี้คือสรุปแล้วสถานการณ์ทางฝั่งหนิวโหย่วเต้าเป็นเช่นไรกันแน่ หากเกิดเหตุขึ้นจริงๆ ต่อให้ท่านอ๋องออกหน้าปะทะกับสำนักหยกสวรรค์ไปตอนนี้แล้วจะมีประโยชน์อะไรพ่ะย่ะค่ะ? หากหนิวโหย่วเต้าไม่กลับมาจริงๆ ท่านอ๋องก็ทำได้เพียงต้องเลือกยืนฝั่งเดียวกับสำนักหยกสวรรค์ หากเลือกยืนข้างเดียวกับสามสำนักแล้วจะต่อกรกับสำนักหยกสวรรค์ได้หรือ? ตัวเจ้าสำนักทั้งสามเองก็ไม่มีความกล้าขนาดนั้นเช่นกัน มิเช่นนั้นคงไม่ยอมทนมองพวกเดียวกันถูกจับกุมไปต่อหน้าต่อตาตนหรอกพ่ะย่ะค่ะ!”
ซางเฉาจงเอ่ยถาม “แล้วถ้าหากหนิวโหย่วเต้ากลับมาได้ล่ะ?”
เหมิงซานหมิงกล่าวว่า “ผ่านมานานขนาดนี้แล้ว ท่านอ๋องยังมองไม่ออกอีกหรือพ่ะย่ะค่ะ? ระยะทางห่างไกลยังพอว่า แต่เมื่อมองจากเรื่องราวที่เกิดขึ้นในแคว้นฉีเหล่านั้นแล้ว หนิวโหย่วเต้าไหนเลยจะใช่คนที่จะรังแกได้ง่ายๆ? เขาใช่คนที่ผู้ใดก็สามารถจัดการได้ง่ายๆ อย่างนั้นหรือพ่ะย่ะค่ะ? แม้แต่เฮ่าอวิ๋นถูฮ่องเต้แห่งแคว้นฉีก็ยังทำอะไรเขาไม่ได้ เขาจะกลัวสำนักหยกสวรรค์ได้หรือ? กระหม่อมเฝ้าสังเกตมานานแล้ว สำหนักหยกสวรรค์ดูเหมือนจะแข็งแกร่ง แต่ความจริงแล้วพอเผชิญหน้ากับหนิวโหย่วเต้ากลับไร้กำลังเป็นอย่างมาก ไม่เคยรับมือกับหนิวโหย่วเต้าได้เลย มิเช่นนี้จะต้องมาทำตัวลับๆ ล่อๆ เช่นนี้ด้วยหรือพ่ะย่ะค่ะ? เป็นหนึ่งสำนักใหญ่สำนักหนึ่ง เหตุใดถึงไม่กล้าควบคุมหนิวโหย่วเต้าอย่างตรงไปตรงมา? มองจากจุดนี้ก็เห็นได้ชัดแล้วว่ามีปัญหา บางทีกระทั่งสำนักหยกสวรรค์เองก็คงไม่รู้สึกตัวเช่นกัน ยังคงคิดว่าตนเองได้เปรียบอยู่ ท่านอ๋องวางใจเถิดพ่ะย่ะค่ะ หากหนิวโหย่วเต้าไม่กลับมาก็แล้วไปเถิด แต่หากกลับมาได้จริงๆ ท่านอ๋องก็ไม่จำเป็นต้องออกหน้าไปงัดคานกับสำนักหยกสวรรค์ด้วยตัวพระองค์เองเลย ผู้ใดจะมีชัยผู้ใดจะพ่ายแพ้ก็ยังไม่แน่หรอกพ่ะย่ะค่ะ!”
หลานรั่วถิงพยักหน้ารับ “อาจารย์เหมิงกล่าวมีเหตุผล!”
ซางเฉาจงใคร่ครวญเงียบๆ ค่อยๆ ใจเย็นลง
……
บนหอสูงด้านนอก ไป๋เหยายืนกอดกระบี่ไว้ เหม่อมองออกไปไกล ความรู้สึกค่อนข้างซับซ้อน
เรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้เขาก็อยู่ในเหตุการณ์เช่นกัน หากว่ากันในอีกมุมหนึ่งแล้ว ตัวเขาเองก็จำเป็นต้องยอมรับว่าวิธีการของทางสำนักค่อนข้างต่ำช้าและไร้เกียรติ
แต่เขาก็ทราบดีว่าเรื่องราวบางอย่างไม่มีแบ่งแยกถูกผิด หรือจะบอกว่าการที่สามสำนักพยายามคิดหาทางแบ่งผลประโยชน์ไปจากสำนักหยกสวรรค์ใช่เรื่องที่ถูกต้องอย่างนั้นหรือ? ผู้อาวุโสระดับสูงของสำนักหยกสวรรค์ทำไปเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของทางสำนักนับว่ามีความผิดหรือ? หากว่ากันตามความเป็นจริงแล้ว ศิษย์ของสำนักหยกสวรรค์ก็ต้องการคนเช่นนี้มาปกป้องผลประโยชน์ส่วนรวมไว้
กับเรื่องบางอย่าง เขาก็ทำได้เพียงทอดถอนใจออกมาเท่านั้น รู้สึกหดหู่เล็กน้อย
….
นกทะเลร้อง “แกวกๆ” มัจฉากระโจนไปมาในท้องทะเลกว้าง
หนิวโหย่วเต้ายืนมือไพล่หลังรับลมอยู่ตรงหัวเรือ เสื้อผ้าปลิวสะบัดตามแรงลม มองดูปลาที่กระโจนขึ้นมาเหนือผิวน้ำสองฝั่งเรืออยู่เป็นระยะ ฉากนี้คล้ายคลึงกับอดีตที่ประทับอยู่ในความทรงจำเขา
ก่วนฟางอี๋จับตามองหนิวโหย่วเต้าอย่างใกล้ชิด หนิวโหย่วเต้าไปไหนนางก็ไปที่นั่นด้วย
ตอนนี้นางก็ถูกจำกัดการติดต่อกับโลกภายนอกเช่นกัน ซ้ำยังถูกลากไปเอี่ยวจนล่วงเกินหอจันทร์กระจ่างเข้าแล้ว ถ้าหากหนิวโหย่วเต้าเล่นตุกติกหลบหนีไป นางจะไปร้องทุกข์กับใครได้? ดังนั้นจึงคอยจับตามองอย่างใกล้ชิด
แต่นางกลับดูผ่อนคลาย ยกเก้าอี้ตัวหนึ่งมาจัดวาง นั่งไขว้ขาถือถ้วยชาใบหนึ่งไว้ รับลมทะเลที่พัดโชยมาอย่างสบายใจ ชายกระโปรงพลิ้วไหวตามสายลม
อุดอู้อยู่ในเมืองหลวงแคว้นฉีมากนานหลายปี ได้เห็นทิวทัศน์เช่นนี้ก็ทำให้รู้สึกดีเช่นกัน
กงซุนปู้เดินออกมาจากห้องโดยสาร สาวเท้าเดินเข้ามา พยักหน้าทักทายก่วนฟางอี๋เล็กน้อย ก่วนฟางอี๋ชม้ายตาให้เขาทีหนึ่ง ทำให้เขายิ้มเจื่อนออกมา
“เต้าเหยี่ย ต้นหนเรือบอกว่าใช้เวลาอย่างมากอีกหนึ่งวันก็ถึงจังหวัดชิงซานแล้วขอรับ” กงซุนปู้เอ่ยรายงาน
ใกล้ถึงแล้วหรือ? ก่วนฟางอี๋กะพริบตาปริบๆ ตั้งตารอคอยเหลือเกิน จากที่ลิ่งหูชิวเคยบรรยายไว้ ดูเหมือนความเป็นอยู่จะยอดเยี่ยมอย่างมาก
นางก็เคยสอบถามกงซุนปู้เช่นกัน กงซุนปู้ก็เคยบอกไว้ว่าอย่างอื่นไม่อาจบอกได้แน่ชัด แต่ในเรื่องอาหารการกิน หากบอกว่าคฤหาสน์บนเขาของเต้าเหยี่ยเป็นอันดับสอง เกรงว่าคงไม่มีผู้ใดกล้ายกตนเป็นที่หนึ่ง
“หนึ่งวันหรือ…” หนิวโหย่วเต้าพยักหน้าเล็กน้อย ใคร่ครวญถึงความต่างของช่วงเวลาครู่หนึ่ง รอจนทางนี้ส่งปีกทองกลับไป ต่อให้มีข่าวเล็ดรอดออกไป ต่อให้ฝ่ายศัตรูได้รับข่าวที่ส่งกลับไปก็คงสายเกินแก้แล้ว
“ส่งข่าวไปหาขบวนเรือด้านหน้าให้ชะลอความเร็วลดหลั่นกันไป รอให้เรือที่ตามมาข้างหลังเข้าไปสมทบ”
“ส่งข่าวไปหาท่านอ๋อง สำนักเซียนสถิต สำนักเมฆาล่อง สำนักคีรีพิลาสรวมถึงทางบ้านของพวกเราด้วย แจ้งว่าม้าศึกมาถึงแล้ว ให้พวกเขามาคอยต้อนรับ เรียกระดมกำลังทหารมาจัดเตรียมสถานที่และเรียกระดมผู้บำเพ็ญเพียรของแต่ละสำนักมาคอยเฝ้าระวัง!”
เขาสั่งการสองเรื่องในคราวเดียว เพื่อป้องกันไม่ให้ข่าวที่ส่งกลับไปเกิดความผิดพลาด จึงส่งข่าวให้หลายแห่งในคราวเดียว
“ขอรับ!” กงซุนปู้รับคำสั่ง จากนั้นเอ่ยถามอีกครั้ง “แล้วเส้นทางเดินเรือปลอมที่ขึ้นไปทางเหนือเส้นนั้น ยังต้องส่งข่าวให้ต่อไปหรือไม่ขอรับ?”
“ส่งสิ! เหตุใดถึงจะไม่ส่งเล่า? รอจนกว่าพวกเราจะไปถึงแล้วค่อยหยุดส่ง” หนิวโหย่วเต้ายกยิ้มมุมปากอย่างเจ้าเล่ห์ ความคิดล่องลอยไปอยู่กับเซ่าผิงปอในชั่วพริบตา พอจะจินตนาการถึงแรงกดดันที่เซ่าผิงปอกำลังจะได้รับออก!
“ขอรับ!” กงซุนปู้แย้มยิ้มพลางพยักหน้ารับ เมื่อเห็นว่าเขาไม่มีคำสั่งใดแล้วจึงหันหลังเดินออกไปจัดการตามที่สั่ง
ก่วนฟางอี๋ดื่มน้ำชาอย่างสบายใจ เอ่ยอย่างเฉื่อยชาว่า “ในที่สุดก็จะถึงเสียที ลอยโคลงเคลงอยู่ทั้งวันทั้งคืน ”หากยังต้องลอยต่อไปอีกกระดูกข้าคงแหลกเป็นเสี่ยงๆ แล้ว
นางไม่เข้าใจถึงแรงกดดันที่มณฑลเป่ยโจวและจังหวัดชิงซานต้องเผชิญ ไม่ทราบว่าหากมณฑลเป่ยโจวสูญเสียม้าศึกชุดนี้ไปแล้วจะมีความหมายอย่างไรกับเซ่าผิงปอ
….
ตกดึก ปีกทองห้าตัวทยอยบินเข้ามาในทิศทางเดียวกัน มีสี่ตัวที่บินมุดหายเข้าไปในสำนักเบญจคีรี สำนักเมฆาล่อง สำนักเซียนสถิต สำนักคีรีพิลาส และมีตัวหนึ่งที่บินมุ่งไปทางตัวเมืองจังหวัดชิงซานอย่างรวดเร็ว
“เจ้าสำนัก! เจ้าสำนักขอรับ! มีข่าวมาจากหนิวโหย่วเต้าแล้วขอรับ!”
นอกห้องที่เงียบสงบห้องหนึ่ง ศิษย์คนหนึ่งของสำนักเซียนสถิตตะโกนขึ้นมาด้วยความตื่นเต้น
ประตูเปิดออกดัง ปึง! เฟ่ยฉางหลิวเปิดประตูออกมาอย่างรวดเร็ว ผีเสื้อจันทราตัวหนึ่งบินนำออกมา
“ข่าวจากหนิวโหย่วเต้าขอรับ!” ผู้เป็นศิษย์ยื่นจดหมายส่งให้ด้วยสองมือ ทราบดีว่าท่านเจ้าสำนักรอคอยข่าวนี้มานานเหลือเกิน คอยถามไถ่อยู่ทุกวัน
ศิษย์ที่พอจะมีปัญญาเล็กน้อยล้วนทราบกันดี หากว่าหนิวโหย่วเต้าไม่กลับมา ทั้งสำนักล้วนมีโอกาสจะถูกสำนักหยกสวรรค์เตะออกไปจากจังหวัดชิงซาน เหล่าศิษย์ทั่วสำนักล้วนหวาดวิตกกันถ้วนหน้า
หากไม่เคยมีประสบการณ์มาก่อนคงไม่เข้าใจ หากไร้ประสบการณ์ก็ไม่อาจแยกแยะดีร้ายได้ คนที่ก่อนหน้านี้เคยไม่ชอบใจหนิวโหย่วเต้า หลังจากเผชิญเหตุการณ์นี้เข้าไปก็เรียกได้ว่าเข้าใจอย่างถ่องแท้แล้วว่าใครกันแน่ที่สามารถควบคุมสถานที่นี้ได้!
บารมีที่ไม่อาจจับต้องได้ก็เป็นเช่นนี้
เฟ่ยฉางหลิวดึงจดหมายไปทันที หลังจากอ่านจบก็เอ่ยด้วยความตื่นเต้น “ม้าศึกมาถึงแล้ว ยอดเยี่ยม! ยอดเยี่ยม! ยอดเยี่ยมมาก! น้องชายที่แสนดีคนนี้ไม่ทำให้พวกเราต้องผิดหวังจริงๆ!”
เขาเงยหน้าขึ้นมาทันที สั่งการศิษย์คนนั้นว่า “ไป! แจ้งไปให้อีกสองสำนักทราบ ยังมีอีกเรื่อง ส่งคนไปแจ้งท่านอ๋องที่จวนผู้ว่าการจังหวัดด้วย เรียกระดมกำลังไปคุ้มกันที่ท่าเรือโดยเร็ว!”
เขานึกว่าคนอื่นยังไม่ทราบเรื่อง
“ขอรับ!” ศิษย์คนนั้นประสานมือรับคำสั่งแล้ววิ่งออกไป
เฟ่ยฉางหลิวตะโกนเสียงดังอีกครั้ง “มีใครอยู่บ้าง! รีบเรียกรวมตัวศิษย์ทั้งหมดในสำนักเซียนสถิตเราเดี๋ยวนี้!”
แทบจะในเวลาเดียวกันนี้ ทางภูเขาของอีกสองสำนักก็เกิดความโกลาหลขึ้นเช่นกัน มีผีเสื้อจันทรามากมายโผล่ออกมาบินว่อน
ศิษย์ของทั้งสามสำนัก นอกจากคนที่ต้องอยู่เฝ้าสำนักแล้ว ที่เหลือล้วนทยอยไปรวมตัวกันในหุบเขา ผู้บำเพ็ญเพียรนับพันคนมาชุมนุมกัน ผีเสื้อจันทราโบยบินส่องสว่างพร่างพราว
เจ้าสำนักทั้งสามที่กำลังพูดคุยกันด้วยความตื่นเต้นพากันหันหลังไป มองเห็นซางซูชิงมาพร้อมกับศิษย์สำนักเบญจคีรีอีกสองคน เดินกระวีกระวาดเข้ามา
เซี่ยฮวาเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ท่านหญิง หนิวโหย่วเต้านำม้าศึกกลับมาแล้ว จะมาถึงวันพรุ่งนี้เพคะ”
ซางซูชิงพยักหน้าแย้มยิ้มเอ่ยไปว่า “ข้าทราบเรื่องแล้ว ฝ่าซือจากสำนักเบญจคีรีแจ้งข้าแล้ว ข้าจะตามไปต้อนรับเต้าเหยี่ยกับพวกท่านด้วย”
เซี่ยฮวาเอ่ยด้วยความลังเล “การเดินทางครั้งนี้มิใช่ระยะทางสั้นๆ นะเพคะ ท่านหญิงรออยู่ที่นี่เถิด คาดว่าเต้าเหยี่ยคงกลับมาถึงที่นี่ภายในวันพรุ่งนี้”
ซางซูชิงกล่าวว่า “ไม่เป็นไร ข้าก็หาใช่สตรีบอบบางอันใด ขี่ม้าระยะทางแค่นี้ไม่ใช่เรื่องลำบากอะไรเลย”
เจ้าสำนักทั้งสามสบตากันเล็กน้อย ไม่ได้เอ่ยอันใดอีก
เฟ่ยฉางหลิวพูดขึ้นว่า “พวกเราไปพบท่านอ๋องกันก่อนเถิด แล้วค่อยดูว่าจะจัดการอย่างไร!”
ณ จวนผู้ว่าการจังหวัด ซางเฉาจงถือจดหมายไว้ในมือพลางเงยหน้าหัวเราะอย่างบ้าคลั่งอยู่ในห้องโถง “ม้าศึก! ม้าศึกของข้ามาแล้ว! กององครักษ์เลิศล้ำห้าวหาญของข้าอยู่เพียงเอื้อมแล้ว! เต้าเหยี่ยไม่ทำให้ข้าต้องผิดหวังเลยจริงๆ!”
เหมิงซานหมิงและหลานรั่วถิงต่างมีรอยยิ้มประดับอยู่บนใบหน้า แต่ก็ทอดถอนใจด้วยความสะท้อนใจเช่นกัน เรื่องที่สำนักหยกสวรรค์และสามสำนักทุ่มเทกำลังไปมากขนาดนั้นก็ยังจัดการให้สำเร็จไม่ได้ คิดไม่ถึงว่าหนิวโหย่วเต้าจะจัดการได้สำเร็จจริงๆ ทั้งสองต่างทราบดีว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ต้องประสบความลำบากยากเข็ญไม่น้อยแน่นอน
ด้านนอกประตู เฟิ่งรั่วหนานแอบฟังอยู่ตรงประตู นางย่อมรู้ดีว่าม้าศึกมีความสำคัญต่อสองจังหวัดอย่างไร ทั้งยังทราบเรื่องที่หนิวโหย่วเต้าออกไปจัดการเรื่องม้าศึกด้วย เขาทำสำเร็จริงๆ ทำให้นางสะท้อนใจอย่างมากเช่นกัน
นางอดไม่ได้ที่นึกย้อนถึงเหตุการณ์ตอนที่ได้พบหนิวโหย่วเต้าครั้งแรก ชั่วพริบตาเดียวก็ผ่านพ้นไปดั่งความฝันจริงๆ!
ภายในห้องโถง เหมิงซานหมิงถามขึ้นมา “ท่านอ๋อง หนิวโหย่วเต้าได้แจ้งจำนวนม้าศึกหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”
“เอ่อ…” ซางเฉาจงผงะไป อ่านจดหมายอีกครั้ง “ในส่วนนี้ไม่ได้แจ้งไว้”
…………………………………………………..