ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า - ตอนที่ 379 ผู้ชำนาญศึกมักไร้ซึ่งผลงานเกรียงไกร
ตอนที่ 379 ผู้ชำนาญศึกมักไร้ซึ่งผลงานเกรียงไกร
ขณะที่พูดเขาจับมือซางเฉาจงไว้ ออกแรงบีบเล็กน้อย สื่อความนัยลุ่มลึก
ซางเฉาจงพยักหน้ารับด้วยความรู้สึกตื้นตัน
หนิวโหย่วเต้ากล่าวไปอีกว่า “ยังมีอีกเรื่องที่ท่านอ๋องต้องจำไว้ ม้าศึกสามหมื่นตัวนี้เป็นสำนักหยกสวรรค์จัดหามา ผู้วางแผนกำหนดกลยุทธ์อย่างแท้จริงก็คือสำนักหยกสวรรค์ เงินที่ใช้ซื้อม้าศึกก็มาจากสำนักหยกสวรรค์ กระหม่อมเพียงช่วยวิ่งเต้นให้เท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ”
ซางเฉาจงแปลกใจ “จะเป็นไปได้อย่างไร? สำนักหยกสวรรค์เสียเวลาไปนานปานนั้นแต่ทำงานไม่สำเร็จ เห็นกันอยู่ชัดๆ ว่าเป็นผลงานของเต้าเหยี่ย”
หนิวโหย่วเต้าโบกมือ “ไม่เลยพ่ะย่ะค่ะ ทั้งหมดเป็นเพราะแผนการที่สำนักหยกสวรรค์จัดวางไว้อย่างดี”
ซางเฉาจงเอ่ยว่า “ไม่มีทางเด็ดขาด หากว่าพวกเขาวางแผนได้เป็นอย่างดี พวกเขาจะไม่รู้กำหนดการกลับมาของท่านได้อย่างไร เหตุใดถึงยังวิ่งโร่ไปจับพวกหยวนฟางมาอีก? เต้าเหยี่ย สำนักหยกสวรรค์ทำเช่นนี้มันจะเกินไปแล้วกระมัง หรือแม้แต่ผลงานนี้ก็จะยึดไปด้วย?”
หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “ท่านอ๋องลืมถ้อยคำเมื่อครู่ของกระหม่อมไปแล้วหรือพ่ะย่ะค่ะ ทนไว้ให้ถึงที่สุด ยิ่งไปกว่านั้นคือสำนักหยกสวรรค์ต้องการเกียรตินี้มากกว่ากระหม่อม อีกอย่างยังไม่แน่ว่าเกียรติในครั้งนี้จะเป็นผลดีต่อกระหม่อม”
ซางเฉาจงเข้าใจแล้ว แต่ยังคงเอ่ยเกลี้ยกล่อมว่า “เต้าเหยี่ย ผลงานที่ตัวท่านเองลำบากลำบนเสี่ยงชีวิตเพื่อให้ได้มา ต้องยกให้คนเขาไปมันไม่น่าเสียดายหรือ? หากเก็บเอาไว้จะช่วยเพิ่มชื่อเสียงในโลกบำเพ็ญเพียรให้ท่านได้อีกมากโข!”
หนิวโหย่วเต้าส่ายหน้า “รูปลักษณ์ที่งดงามที่สุดคือไร้รูป ท่วงทำนองที่ไพเราะที่สุดคือไร้เสียง กระหม่อมปรารถนามิให้มีผู้ใดรับรู้ถึงการคงอยู่ของกระหม่อมได้จะเป็นการดีที่สุดพ่ะย่ะค่ะ ทว่ารูปการณ์กลับขัดแย้งกับความปรารถนา มีหลากหลายเรื่องราวที่ไม่เป็นไปตามต้องการ ทำให้เกิดชื่อเสียงก้องลือเลื่องขึ้นมาอย่างเลี่ยงไม่ได้ หากมีชื่อเสียงโด่งดังขึ้นไปอีก รังแต่จะเป็นภาระให้กระหม่อม ขับเน้นให้กระหม่อมดูดุดันก้าวร้าว จะต้องมีคนมุ่งหน้ามากำราบแน่นอน อันเกียรตินี้หากสำนักหยกสวรรค์อยากได้ก็ให้พวกเขาไปเถิด กระหม่อมไม่ต้องการเลย…ท่านอ๋อง ผู้ชำนาญศึกมักไร้ซึ่งผลงานเกรียงไกรนะพ่ะย่ะค่ะ!”
ซางเฉาจงผงะไป ในที่สุดก็ฟังเข้าใจแล้ว จิตใจหดหู่ไปครู่หนึ่ง สุดท้ายก็พรูลมหายใจออกมา พยักหน้ารับแล้วกวาดตามองไปรอบๆ เอ่ยถามอีกครั้ง “หยวนเหยี่ยเล่า? เหตุใดถึงไม่เห็นเขากลับมาด้วย?”
“วิถีทางแตกต่าง เขามีเส้นทางที่ตัวเองอยากเดินไป ปล่อยเขาไปเถิดพ่ะย่ะค่ะ…”
ดึกดื่นแล้ว แต่ขบวนม้าศึกชุดใหญ่เพิ่งมาถึง ไม่ได้เตรียมการเอาไว้ล่วงหน้าเลยสักนิด ซางเฉาจงยังมีอีกหลายเรื่องที่ต้องไปจัดการ ไม่สะดวกรั้งอยู่ที่นี่ ทั้งขบวนจำเป็นต้องจากไป
หนิวโหย่วเต้าพาพวกพ้องกลับไปยังคฤหาสน์บนเขาอันกว้างขวาง
คฤหาสน์หลังน้อยที่สร้างขึ้นบนยอดเขาแห่งนี้ย่อมไม่ได้ใหญ่โตมโหฬารมากนัก เมื่อก่วนฟางอี๋ขึ้นไปถึงยอดเขาก็อาศัยความสว่างจากแสงจันทร์กวาดตามองรอบๆ อยู่ครู่หนึ่ง รู้สึกผิดหวังพอสมควร
คฤหาสน์เล็กแห่งนี้ใหญ่ไม่ถึงครึ่งของสวนไม้เลื้อยในเมืองหลวงของนางที่พื้นที่ทุกตารางนิ้วมีค่าดั่งทองด้วยซ้ำ สภาพแวดล้อมที่จัดแต่งก็ยิ่งเทียบกับสวนไม้เลื้อยของนางไม่ได้
เมื่อทอดสายตาออกไปไกล จะมองเห็นแสงไฟจากตัวจังหวัดชิงซาน มองเห็นเป็นหย่อมๆ เท่านั้น เทียบกับซอกมุมหนึ่งในเมืองหลวงแคว้นฉีไม่ได้เลย
ภูเขาแห่งนี้ก็ไม่ได้สูงมากเช่นกัน ทั้งไม่งดงามและไม่น่าพิสมัย เป็นเพียงบ้านพักบนเขาที่ยากไร้ในเขตหุบเขากันดารรกร้างเท่านั้น
ลิ่งหูชิวคุยโวโอ้อวดเอาไว้เสียดิบดี แต่ไม่ได้ดีถึงขนาดนั้นเลย
“พวกคนโกหก!” ก่วนฟางอี๋กัดฟันร้องด่า “สถานที่ซอมซ่อในถิ่นชนบทกันดารจะมีอะไรดีกัน?”
หนิวโหย่วเต้าทราบดีว่าสตรีนางนี้เคยชินกับชีวิตหรูหราฟุ้งเฟ้อแล้ว จึงนึกกลัวขึ้นมาชั่วขณะว่าจะปรับตัวไม่ได้ เขาหันไปเอ่ยเรียกด้วยรอยยิ้ม “หยวนฟาง!”
“เต้าเหยี่ย!” หยวนฟางเข้ามาหาทันที
หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “หลายเดือนนี้ลอยคออยู่บนเรือในทะเลมาตลอด ไม่ได้กินของดีอันใดเลย มีแขกผู้ทรงเกียรติมาเยือนทั้งที จัดสุราอาหารชั้นดีมาหลายอย่างหน่อย นำอาหารจานเด็ดของพวกเจ้ามาขึ้นโต๊ะด้วย”
“ได้ขอรับ!” หยวนฟางตบอกรับประกันแล้ววิ่งออกไป
ตรงข้ามกับคฤหาสน์คือยอดเขาเล็กๆ แห่งหนึ่ง มีเสียงกระทบดังตึงตังแว่วเข้ามา ซ้ำยังมีผีเสื้อจันทราส่องแสง หนิวโหย่วเต้าจึงออกจากคฤหาสน์แล้วมุ่งหน้าไป
ใต้ต้นสนบนยอดเขา มีเนินหลุมศพแห่งหนึ่งถูกสร้างขึ้นใหม่ ชื่อที่สลักอยู่ป้ายหลุมศพคือเฮยหมู่ตาน ศพที่อยู่ในหลุมย่อมเป็นเฮยหมู่ตานเช่นกัน
พวกต้วนหู่ขนย้ายก้อนหินมาปรับเสริมหลุมศพ เรียงซ้อนไว้บนเนินหลุม แต่ละคนขอบตาแดงก่ำ
ดวงตาของซางซูชิงก็แดงเรื่อเช่นกัน นางนั่งยองๆ อยู่ตรงนั้นแต้มสีให้รอยจารึกที่สลักอยู่บนป้ายหลุมศพ
หนิวโหย่วเต้าหยุดยืนอยู่ห่างๆ สีหน้าสงบราบเรียบ แววตาลุ่มลึก จ้องมองอยู่เงียบๆ พักหนึ่ง จากนั้นก็หันหลังจากไปเงียบๆ ไม่ได้เข้าไปรบกวนพวกเขา
….
ณ จวนผู้ว่าการ ซางเฉาจง หลานรั่วถิงและเหมิงซานหมิงนั่งอยู่ข้างตะเกียง
พอได้ฟังคำบอกเล่าจากซางเฉาจง เหมิงหานหมิงถอนหายใจเบาๆ “เป็นผู้ชำนาญศึกไร้ซึ่งผลงานเกรียงไกรที่ยอดเยี่ยมจริงๆ! เขาเอ่ยออกมาเช่นนี้ได้ เห็นทีว่าคงจะมอบคำอธิบายที่น่าพอใจให้เผิงโย่วไจ้ไปแล้ว ตอนนี้น่าจะไม่เกิดความขัดแย้งระหว่างทั้งสองฝ่ายขึ้นอีก”
หลานรั่วถิงลูบเครา ถอนหายใจเบาๆ เช่นกัน “ช่างเป็นยอดคนโดยแท้!”
….
ภายในคฤหาสน์บนเขา หนิวโหย่วเต้าให้สมาชิกจากสวนไม้เลื้อยเลือกสถานที่สำหรับเข้าพักอาศัย
ก่วนฟางอี๋ตัดปัญหาโดยการเข้าไปยึดครองห้องหนึ่งภายในเรือนพำนักของหนิวโหย่วเต้าทันที
กระทั่งทุกคนเลือกสถานที่พักเรียบร้อยแล้ว หยวนฟางก็จัดแจงสุราอาหารหลายสำรับไว้ในเรือนพักเสร็จเรียบร้อยพอดี
พวกกุ่ยหมู่ไม่ได้มาร่วมงานรื่นเริงด้วย เนื่องจากมีฐานะเป็นผู้บำเพ็ญเพียรผี สุราอาหาศเลิศรสของแดนมนุษย์สิ้นวาสนากับพวกเขามานานแล้ว
สมาชิกจากสวนไม้เลื้อยกลับล้อมวงจดๆ จ้องๆ สุราอาหารเหล่านั้น
ตอนยังอยู่ในเมืองหลวงแคว้นฉี ทุกคนก็นับว่ารู้จักอาหารการกินมาหลากหลายมากมายเช่นกัน แต่กับอาหารที่จัดวางอยู่เต็มโต๊ะนี้ พวกเขาส่วนใหญ่ล้วนมองดูด้วยความตะลึง ไม่เคยพบเห็นมาก่อน มีหลากหลายชนิดนัก
โดยเฉพาะกลิ่นหอมยั่วยวนที่ชวนให้คนต้องกลืนน้ำลายนั้น
กวนฟางอี๋จ้องมองตาปริบๆ อยู่พักหนึ่ง จากนั้นเงยหน้าถามหนิวโหย่วเต้า “นี่คืออาหารอันดับหนึ่งในใต้หล้าที่ลิ่งหูชิวกล่าวถึงหรือ?”
“จะอร่อยหรือไม่ ต้องชิมดูถึงจะรู้!” หนิวโหย่วเต้าผายมือเชิญทุกคนเข้าประจำที่ “ทุกท่านเชิญชิมได้ตามสะดวก”
มีคนหยิบตะเกียบเตรียมจะลงมือกิน ก่วนฟางอี๋กลับถลึงตาใส่ “จะรีบไปเกิดใหม่หรือไง! ตรวจสอบดูก่อน!”
สมาชิกจากสวนไม้เลื้อยต่างหันไปมองหนิวโหย่วเต้า
หนิวโหย่วเต้าเอ่ยอย่างจนปัญญาเป็นอย่างมาก “หงเหนียง ข้าว่าเจ้าทำเรื่องไม่เป็นเรื่องอยู่นะ ข้าทำร้ายเจ้าไปแล้วจะได้ผลประโยชน์ใดเล่า?”
“มีตั้งหลายประโยชน์ กำจัดทิ้งหลังหมดประโยชน์หรือไม่ก็คิดอยากได้สมบัติของข้า ข้านับว่าได้รู้เห็นถึงความเจ้าแผนการของเจ้ามาแล้ว เจ้าเล่ห์ร้ายกาจ ข้าจำเป็นต้องป้องกันตัวไว้ก่อน” ก่วนฟางอี๋เอ่ยอย่างไม่ปิดบังเลย เปิดเผยตรงไปตรงมา จากนั้นก็หันไปตะโกนใส่ทุกคนว่า “มัวนิ่งทื่ออันใดอยู่?”
ด้วยเหตุนี้จึงมีหลายคนพากันล้วงห่อผงยาออกมา เทใส่อาหารเพื่อตรวจสอบ
หลังจากตรวจสอบสุราอาหารทั้งหมดดูแล้ว สวี่เหล่าลิ่วรายงานว่า “พี่ใหญ่ ปลอดภัยขอรับ”
ก่วนฟางอี๋ถึงได้ตอบ “อืม” คำหนึ่ง สื่อว่ากินได้แล้ว
สวี่เหล่าลิ่วถือตะเกียบลงมือเป็นคนแรก คีบลูกชิ้นทอดใส่เข้าปาก เคี้ยวไปเล็กน้อยสองเนตรพลันเปล่งประกายขึ้นมา รีบใช้ตะเกียบคีบอาหารจานอื่นๆ อย่างรวดเร็ว
พอคนอื่นๆ เห็นเช่นนี้ก็พากันขยับตะเกียบเช่นกัน
ตอนไม่ชิมยังพอว่า แต่พอได้ชิมแล้ว ทุกคนต่างขยับมือคีบกินอย่างดุเดือด
แม้แต่ลุงเฉินที่เงียบขรึมสงวนวาจาเสมอมา หลังจากได้ชิมเข้าไปก็แสดงสีหน้าแปลกใจ ขยับตะเกียบอย่างต่อเนื่องเช่นกัน
“ดีร้ายอย่างไรก็เคยอยู่ในเมืองหลวงกันมาก่อน อาหารเช่นใดบ้างที่ยังไม่เคยกิน? ขายขี้หน้าจริงๆ เลยเจ้าพวกนี้!” ก่วนฟางอี๋ขยับปากด่า แต่ก็อดไม่ได้ที่จะจับตะเกียบคีบชิมดูด้วยความอยากรู้อยากเห็น หลังจากชิมเข้าไปเล็กน้อย ก็ยื่นตะเกียบไปสกัดตะเกียบของสวี่เหล่าลิ่วทันที “เจ้าผีตะกละกลับชาติมาเกิด! มาแย่งอะไรอยู่ได้?”
เกิดเสียงเอะอะดังไปทั่ว ไม่มีใครนั่งเลย ล้วนยืนกินกันอยู่แบบนั้น
หนิวโหย่วเต้ายิ้มนิดๆ หันหลังไปหยิบกาสุรา เดินออกไปที่บริเวณราวกั้น เงยหน้ามองจันทราจากนั้นก็รินสุราใส่จอก สะบัดแขนสาดลงพื้น
หลังจากสาดสุราต่อเนื่องสามครั้ง หนิวโหย่วเต้าก็ถือจอกไว้แล้วค่อยๆ ดื่ม ชมจันทราบนนภาตามลำพัง
กระทั่งทั้งกลุ่มกินอิ่มหนำกันแล้ว ในถ้วยชามบนโต๊ะไม่มีเศษซากหลงเหลืออยู่เลยแม้แต่น้อย ทั้งกลุ่มต่างตบหน้าท้องด้วยความพอใจ สีหน้าอิ่มเอมกับอาหารที่กินเข้าไปอย่างเห็นได้ชัด
เมื่อในถ้วยไม่เหลืออะไรแล้ว ก่วนฟางอี๋ที่ออกตัวช้ากว่าใคร อีกทั้งพะวงถึงมารยาทความเรียบร้อยก็กวาดตามองทุกคนด้วยแววตาดุดัน จำใจต้องวางตะเกียบลงแล้วหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาซับปากเบาๆ
ตอนนี้นางพอจะเข้าใจแล้วว่าเหตุใดลิ่งหูชิวถึงบอกว่าหากอาหารการกินของที่นี่นับเป็นที่สองในใต้หล้า เกรงว่าคงไม่มีใครกล้ายกตัวเป็นที่หนึ่งแล้ว
“สมกับที่มาจากเมืองหลวงโดยแท้ แม้แต่กินอาหารก็ยังกินจนเกลี้ยงยิ่งกว่าพวกเราเสียอีก!” หนิวโหย่วเต้าเหลือบมองบนโต๊ะเล็กน้อยพลางเอ่ยกระเซ้าข้างหูก่วนฟางอี๋
ก่วนฟางอี๋รู้สึกอายจนพาลโมโห โต้กลับไปทันที “พวกเจ้าทำมาน้อยเกินไปชัดๆ!”
หนิวโหย่วเต้าคร้านจะเถียงกับนางแล้ว สตรีนางนี้โต้เถียงอย่างไร้เหตุผลได้เสมอ จึงยิ้มแล้วหันหลังเดินออกไป
กระทั่งเขาจากไปแล้ว ก่วนฟางอี๋ก็ชี้หน้าด่าคนของตนทันที “ข้าต้องขายขี้หน้าก็เพราะพวกเจ้า!”
ลูกน้องที่ถูกด่ามองหน้ากันเหลอหลา พอมองดูถ้วยชามบนโต๊ะก็รู้สึกกระอักกระอ่วนมากอย่างมากเช่นกัน
ส่วนคนด่ากลับเดินตามหนิวโหย่วเต้าไปแล้ว พูดคุยกับหนิวโหย่วเต้าอยู่นานกว่าจะออกมา
…..
ห้องพักยังคงเป็นห้องเดิม แต่คนกลับหายไปหนึ่งคน
ภายในถังน้ำร้อน หนิวโหย่วเต้าแช่อยู่ในถังอาบน้ำพลางหลับตาลง สตรีที่มักจะเปลือยกายอาบน้ำกับเขาเป็นประจำคนนั้นไม่มีวันปรากฏตัวขึ้นอีกแล้ว
หลังจากอาบน้ำเสร็จก็นั่งลงตรงโต๊ะหนังสือที่ตั้งตะเกียงไว้ในสภาพปล่อยผมยาวสยาย เขาเติมน้ำฝนหมึก ผีเสื้อจันทราเกาะอยู่บนคานส่องแสงสว่างไสว
เขาดึงกระดาษออกมาวางจุ่มพู่กันลงในหมึก เริ่มเขียนคำว่า ‘เอกะ’ สองคำ
เขาเขียนอักษรแต่ละตัวอย่างละเอียดตั้งใจ จนกระทั่งฟ้าสางเขาถึงได้เขียนเสร็จ
ยามที่เปิดประตูออกก็พบว่าซางซูชิงอยู่ด้านนอก ยืนหันหลังรออยู่
“ท่านหญิงมาแล้วหรือ!” หนิวโหย่วเต้ายิ้มนิดๆ หันกลับเข้าไปในห้อง นั่งลงหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง
ซางซูชิงตามเข้ามา หยิบหวีแล้วยืนด้านหลังเขา เริ่มหวีผมยาวสลวยให้เขา
ออกไปอยู่ด้านนอกนานถึงเพียงนี้ ด้วยสถานการณ์ที่บีบบังคับทำให้หนิวโหย่วเต้าฝึกเกล้าผมให้ตัวเองจนชินไปแล้ว แต่เขาก็ไม่ได้ปฏิเสธซางซูชิงที่ยังคงปฏิบัติเหมือนเดิม
อันที่จริงแยกจากกันไปนานถึงเพียงนี้ ซางซูชิงก็ค่อนข้างกระวนกระสายเช่นกัน ไม่รู้ว่าหนิวโหย่วเต้ายังจะให้นางหวีผมให้อีกหรือไม่ แต่ผลลัพธ์ก็ยังคงเป็นไปตามเดิม
“เต้าเหยี่ย ตะเกียงในห้องท่านสว่างอยู่ทั้งคืน ไม่ได้พักผ่อนทั้งคืนเลยหรือ?” ซางซูชิงถามเสียงเบา
“อื้อ มีเรื่องนิดหน่อยน่ะพ่ะย่ะค่ะ” หนิวโหย่วเต้าจ้องมองเงาคนในคันฉ่อง “มองจากสีหน้าท่านหญิงแล้ว คงจะพักผ่อนไม่เต็มที่เช่นกันใช่ไหมพ่ะย่ะค่ะ?”
หากไม่ได้พักผ่อนมาสองคืนติดแล้วสีหน้ายังดูดีอยู่ก็แปลกแล้ว ซางซูชิงตอบว่า “ยังพอไหว!”
หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “ท่านหญิงผอมลงไม่น้อยเลย แทบจะปลิวไปตามแรงลมแล้ว ช่วงที่กระหม่อมไม่อยู่หยวนฟางเกียจคร้านไม่ได้ดูแลอาหารการกินให้ท่านหญิงหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
ซางซูชิงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เปล่าเลย เพราะเรื่องม้าศึกยืดเยื้อไม่มาถึงเสียที ข้ารู้สึกกังวลใจกับสถานการณ์ของสองจังหวัดจนส่งผลต่อความอยากอาหารเท่านั้น โชคดีที่เต้าเหยี่ยกลับมาทันเวลาพอดี”
หนิวโหย่วเต้าก็ยิ้มออกมาเช่นกัน เพียงเอ่ยหยอกล้อเพื่อคลายความกระอักกระอ่วนจากการห่างหายกันไปนานเท่านั้น หยวนฟางติดตามเขามานานขนาดนี้ ทำให้มีจุดหนึ่งที่เขาพอจะทราบดี นั่นคือปีศาจอย่างหยวนฟางไม่มีทางทำเช่นนั้น
หลังจากทั้งสองฝ่ายเงียบกันไปสักพัก ซางซูชิงก็ลองถามไปว่า “สตรีนางนั้นคือหงเหนียงแห่งเมืองหลวงแคว้นฉีผู้โด่งดังกระมัง? ด้านนอกร่ำลือว่าเต้าเหยี่ยจะแต่งกับนางอย่างนั้นหรือ?”
“ข้าไหนเลยจะรับสตรีนางนี้ไหว ที่ปล่อยข่าวลือออกไปก็เพื่อรับมือกับสถานการณ์บางอย่างในขณะนั้นเท่านั้น หาใช่ความจริงไม่พ่ะย่ะค่ะ” หนิวโหย่วเต้าเอ่ยชี้แจงทั้งที่หลับตาอยู่
ซางซูชิงยิ้มมุมปากนิดๆ มือไม้กระฉับกระเฉงขึ้นไม่น้อย แววตาที่อ่อนล้าก็ดูสดใสขึ้นมาเช่นกัน
หลังจากเกล้าผมเสร็จ หนิวโหย่วเต้าก็ลุกขึ้น หยิบเอาสิ่งที่เขียนอยู่ทั้งคืนจากบนโต๊ะหนังสือ มุ่งตรงออกไปนอกคฤหาสน์ มาที่หน้าหลุมศพใต้ต้นสนบนยอดเขาเล็กๆ
มือหนึ่งถือกระบี่ยันพื้น อีกมือชูปึกกระดาษที่ถือไว้ขึ้นมา เกิดเสียงดังพรึบ กระดาษติดไฟขึ้นมาเอง ไม่นานนักก็สลายเป็นเถ้าธุลีปลิดปลิวไปตามสายลม
ตอนอยู่ในเมืองหลวงแคว้นฉี เขาเคยบอกเฮยหมู่ตานไว้ว่าหลังจากกลับมาจะมอบของขวัญชิ้นหนึ่งให้นาง ซึ่งก็คือเคล็ดวิชา ‘เอกะวิถี’ ฉบับนี้ แต่น่าเสียดายที่คำสัญญานี้ไม่มีวันเป็นจริงได้อีก
………………………………………………………………….