ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า - ตอนที่ 38 ปัญหาของนาย ฉันจะช่วยแบกเอง!
ตอนที่ 38 ปัญหาของนาย ฉันจะช่วยแบกเอง!
ด้วยสถานการณ์ในตอนนี้ เขาเองก็ไม่สามารถบังคับให้พวกเขานำเอาสิ่งที่ไม่มีอยู่ในเวลานี้ออกมาได้ ตอนนี้ได้แต่ต้องปล่อยผ่านไปก่อน
เขาเพิ่งหยิบมีดเล็กสำหรับหั่นเนื้อขึ้นมาไว้ในมือ ขณะที่กำลังจะหั่นเนื้อ ร่างอรชรร่างหนึ่งก็ปรากฏขึ้นตรงด้านหน้ากระโจม นอกจากท่านหญิงซางซูชิงแล้วยังจะเป็นผู้ใดได้อีก
ไม่เห็นแม้แต่เงาของเจ้าลิง ทว่าสตรีนางนี้กลับมาที่นี่ น่าสนใจดี! หนิวโหย่วเต้าหรี่ตาพลางยิ้มเล็กน้อย ผายมือเชื้อเชิญ ขณะเดียวกันก็วางมีดในมือลง
ซางซูชิงเดินมาหยุดข้างโต๊ะเตี้ย นั่งคุกเข่าอยู่ตรงข้ามหนิวโหย่วเต้า “รบกวนเวลาอาหารของเต้าเหยี่ยเสียแล้ว ขออภัย!”
เต้าเหยี่ยอย่างนั้นหรือ? หนิวโหย่วเต้าเผยสีหน้าคล้ายยิ้มคล้ายมิยิ้มออกมา คิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะเปลี่ยนคำเรียกเป็น ‘เต้าเหยี่ย’ บนโลกนี้มีแค่เจ้าลิงเพียงคนเดียวที่เรียกแบบนี้ เขาเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ไม่เป็นไรพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมก็ไม่หิวสักเท่าไร”
ซางซูชิงถาม “หรือฝีมือการปรุงอาหารของพวกทหารจะไม่ถูกปากเต้าเหยี่ย?”
แบบนั้นคู่ควรเรียกว่าฝีมือการปรุงด้วยหรือ? หนิวโหย่วเต้าค่อนขอดอยู่ในใจ ทว่าคร้านจะเถียงกับอีกฝ่าย จึงส่ายหน้ากล่าวไปว่า “เรื่องในวันนี้ส่งผลต่อความอยากอาหาร เกรงว่าคงทำให้ท่านอ๋องและท่านหญิงขุ่นเคืองเสียแล้ว!”
ซางซูชิงเงียบไป ก่อนจะเอ่ยเนิบๆ ว่า “คนตายจากไปแล้ว เพียงหวังให้คนที่เหลือรอดใช้ชีวิตต่อไปให้ดี มีชีวิตอยู่แทนคนที่จากไป นับเป็นเรื่องที่สำคัญยิ่งกว่าสิ่งใด ทุกคนสมควรก้าวไปข้างหน้า ไม่จำเป็นต้องจมปลักอยู่กับอดีตและเอาแต่กล่าวโทษตัวเอง”
ทั้งสองต่างพูดจาอ้อมค้อมคลุมเครือ ไม่มีใครยอมเปิดประเด็นตรงๆ
หนิวโหย่วเต้ากล่าวด้วยรอยยิ้ม “เหตุใดท่านหญิงจึงมีอารมณ์สุนทรีย์มาคุยเล่นกับแซ่หนิวได้?”
ซางซูชิงพูดเข้าประเด็นทันที “เต้าเหยี่ยคิดจากไปหรือไม่?”
หนิวโหย่วเต้ายิ้มเล็กน้อย “มีความคิดนี้จริง”
ซางซูชิงยืดอกขึ้น พูดจาผ่าเผยงามสง่า “ชิงเอ๋อร์มาที่นี่ด้วยหวังว่าเต้าเหยี่ยจะยอมรั้งอยู่ช่วยเหลือพวกเราสองพี่น้อง!”
หนิวโหย่วเต้าเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “กระหม่อมเป็นเพียงผู้บำเพ็ญเพียรตัวเล็กๆ ในระดับหลอมปราณคนหนึ่ง เกรงว่าคงไม่มีความสามารถพอเป็นกำลังให้พวกพระองค์ได้ ไปหาผู้มีความสามารถท่านอื่นจะดีกว่าพ่ะย่ะค่ะ”
ซางซูชิงเอ่ยว่า “ชิงเอ๋อร์ขอกล่าวกับเต้าเหยี่ยตามตรง แล้วก็มิใช่ว่าจะดูแคลนเต้าเหยี่ย พวกเราพี่น้องตกต่ำจนอยู่ในสภาพเช่นนี้ อนาคตยากคะเน เบื้องหน้าเต็มไปด้วยภัยอันตราย ไม่มีผู้ใดยินดีติดตามพวกเราแล้ว ผู้อื่นต่างหลบลี้หนีหน้า พวกเราสองพี่น้องเองก็ไม่มีสิทธิ์เรื่องมากเช่นกัน ขอเพียงเป็นผู้มีความสามารถ พวกเราพี่น้องล้วนจะทุ่มเทอย่างสุดความสามารถเพื่อยื้อตัวไว้ ค่อยๆ เก็บเล็กผสมน้อยไปเรื่อยๆ เชื่อว่าพอถึงวันนั้นต้องยิ่งใหญ่เกรียงไกรได้แน่นอน ยิ่งไปกว่านั้นเต้าเหยี่ยก็เป็นศิษย์ของท่านตงกัวด้วย!”
หนิวโหย่วเต้าหัวเราะฮ่าๆ พลางกล่าวว่า “กระหม่อมไม่ทราบถึงความสัมพันธ์ระหว่างพวกพระองค์และอาจารย์ของกระหม่อม ความสัมพันธ์นั้นจึงไม่อาจผูกมัดกระหม่อมไว้ได้ เอ่ยถึงอาจารย์ของกระหม่อมไปก็ไม่มีความหมายอันใด ในเมื่อนี่เป็นเรื่องของพวกเรา พวกเราก็เป็นคนจัดการเองเถอะพ่ะย่ะค่ะ เหตุใดกระหม่อมถึงต้องอยู่ต่อเพื่อทำงานให้พวกพระองค์ด้วย?”
ซางซูชิงเอ่ยว่า “หากเต้าเหยี่ยยอมช่วยเหลือพวกเรา พวกเราจะทุ่มเทจัดหาทรัพยากรบำเพ็ญเพียรให้เต้าเหยี่ยอย่างเต็มที่!”
หนิวโหย่วเต้าเลิกคิ้วเล็กน้อย เอ่ยอย่างเนิบช้าว่า “กระทั่งปกป้องคุ้มครองตัวเองพวกพระองค์ก็ยังทำได้ยาก แล้วจะมีทรัพยากรบำเพ็ญเพียรมาให้กระหม่อมหรือ?”
ซางซูชิงตอบว่า “ดังนั้นถึงได้หวังว่าจะได้ร่วมมือกับเต้าเหยี่ยพยายามฟันฝ่าไปด้วยกัน หาใช่ต้องการให้เต้าเหยี่ยรับใช้พวกเราไม่! ไม่จำเป็นต้องเอ่ยถึงเรื่องที่เต้าเหยี่ยล่วงเกินตระกูลซ่งเลย ลำพังแค่เต้าเหยี่ยเป็นศิษย์ของสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ เกรงว่าผู้บำเพ็ญเพียรทั่วหล้าคงยากจะยอมรับเต้าเหยี่ยได้ เต้าเหยี่ยอยากได้ทรัพยากรบำเพ็ญเพียรย่อมต้องยากเย็น มาตรว่าตอนนี้พวกเราสองพี่น้องจะไม่มีทรัพยากรบำเพ็ญเพียรใดๆ ให้เต้าเหยี่ย แต่ขอเพียงหามาได้ แม้จะน้อยนิด ทว่าทั้งหมดล้วนยกให้เต้าเหยี่ยทั้งสิ้น หากเต้าเหยี่ยยอมช่วยเหลือพวกเรา พวกเราจะทุ่มเทกำลังทั้งหมดเพื่อจัดหาทรัพยากรบำเพ็ญเพียรให้เต้าเหยี่ย!”
หนิวโหย่วเต้าหยิบมีดเล็กบนโต๊ะขึ้นมาเล่น หลังฟังจบ เขาจึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดเล็กน้อยว่า “เอาเถอะ โยกโย้กันไปก็ไม่มีประโยชน์ ว่ากันตามนี้แล้วกัน!”
“หือ?” ซางซูชิงไม่ค่อยเข้าใจ จึงถามด้วยความฉงน “ความหมายของเต้าเหยี่ยคือ?”
หนิวโหย่วเต้าเอ่ยด้วยน้ำเสียงเนิบช้าว่า “กระหม่อมตกลงอยู่ต่อ!”
“เอ่อ…” ซางซูชิงตะลึงงัน ภายในใจเต็มไปด้วยความรู้สึกยากจะเชื่อได้ เกลี้ยกล่อมได้ง่ายปานนี้เชียวหรือ? นางเตรียมกลยุทธ์มาแล้ว คิดคำพูดไว้เป็นกอง ผลสุดท้ายคือยังไม่ได้ใช้ก็เกลี้ยกล่อมได้สำเร็จแล้ว? นางเอ่ยถามด้วยความไม่แน่ใจ “วาจานี้เป็นความจริงหรือ?”
หนิวโหย่วเต้าเงยหน้ามองอีกฝ่าย ย้อนถาม “ในสายตาท่านหญิง แซ่หนิวดูเป็นคนกลับกลอกหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
ซางซูชิงได้ฟังก็ปรีดานัก รีบลุกขึ้นยืน จัดแจงอาภรณ์ ค้อมกายคำนับ จากนั้นยืดตัวขึ้นอีกครั้งพลางกล่าวด้วยความตื่นเต้น “เต้าเหยี่ยโปรดรอสักครู่ ข้าจะไปเชิญเสด็จพี่มาขอบคุณเดี๋ยวนี้!”
“เว้นเรื่องขอบคุณไปเถอะพ่ะย่ะค่ะ และพวกพระองค์ก็ไม่ต้องนำสิ่งใดมาขอบคุณกระหม่อมด้วย พิธีรีตองจอมปลอมเหล่านั้นไม่มีประโยชน์อันใด ฟังกระหม่อมพูดให้จบก่อนก็แล้วกันพ่ะย่ะค่ะ” เขาใช้นิ้วโป้งไล้ใบมีดเล่น หนิวโหย่วเต้าจ้องมองอีกฝ่ายด้วยแววตาเย็นชา เอ่ยว่า “รั้งอยู่น่ะได้ แต่กระหม่อมมีเงื่อนไข ห้ามใช้เจ้าลิงไปรบทัพจับศึก ห้ามใช้เจ้าลิงเป็นเครื่องมือไปฆ่าใคร มิเช่นนั้นอย่าหาว่ากระหม่อมไม่เกรงใจ!” พลันสะบัดมีดเล็กในมือออกไป ปักลงบนก้อนเนื้อในจาน
ซางซูชิงตะลึงงัน ตกอยู่ในสภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก พี่ชายของตนต้องการรั้งตัวหยวนกังไว้ก็เพราะคิดว่าหยวนกังมีความสามารถในด้านนี้มิใช่หรือ? หากมิให้หยวนกังรบทัพจับศึก เช่นนั้นจะเอามาทำอันใดเล่า? หากต้องการเพียงกำลังทหารสักคน เช่นนั้นหนิวโหย่วเต้าก็เหมาะสมกว่าหยวนกังจริงๆ
นางลังเลสองจิตสองใจ เรื่องนี้ตัดสินใจได้ไม่ยาก หากไม่ตกลง อีกฝ่ายย่อมจากไป จะไม่ได้ใครมาทั้งนั้น แต่ถ้าตกลง อย่างน้อยๆ ทั้งสองคนก็ยังอยู่ มาถึงขนาดนี้แล้ว มีย่อมต้องดีกว่าไม่มี ท้ายที่สุดซางซูชิงยังคงพยักหน้าตอบตกลง “ได้ ข้ารับปากเต้าเหยี่ย ข้าสามารถรับรองแทนพี่ชายข้าได้!”
หนิวโหย่วเต้าพยักหน้าพลางเอ่ยว่า “เช่นนั้นก็ตกลงตามนี้!”
หลังทั้งสองพูดคุยกันตามมารยาทอยู่ครู่ ซางซูชิงก็ขอตัวลา ยามมานางมาอย่างฮึกเหิม ทว่ายามกลับนางกลับดูหดหู่อยู่บ้างเล็กน้อย รั้งคนไว้ได้ ทว่าผลลัพธ์กลับไม่เป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้
ซางซูชิงจากไปได้ไม่นาน ด้านนอกก็มีคนปรากฏตัวขึ้นมาอีก หยวนกังเดินเข้ามาอย่างเงียบๆ
หนิวโหย่วเต้านั่งขัดสมาธิ มองดูอาหารในจานเบื้องหน้าอย่างนิ่งเฉย หยวนกังนั่งขัดสมาธิลงตรงข้ามพลางกล่าวว่า “เมื่อครู่เห็นท่านหญิงออกไปจากที่นี่ เกิดอะไรขึ้นเหรอ?”
หนิวโหย่วเต้าตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “ยังจะมีอะไรได้ล่ะ? หน้าตาหน้าเกลียดแบบนั้น แค่เห็นก็หมดอารมณ์กินข้าวแล้ว แล้วจะให้ฉันไปพูดจารักๆ ใคร่ๆ กับเธอเหรอไง? เธออยากให้พวกเราอยู่ต่อเพื่อช่วยพวกเธอสองพี่น้อง…ฉันรับปากไปแล้ว!”
หยวนกังก้มหน้าเล็กน้อย กล่าวว่า “เรื่องนี้ต้องโทษผม…”
พูดยังไม่ทันจบ หนิวโหย่วเต้าก็เอ่ยขัดว่า “ไม่เกี่ยวกับนาย ฉันปฏิเสธเงื่อนไขที่เธอเสนอให้ไม่ลงเอง เธอรับปากว่าหากวันหน้าประสบความสำเร็จ สองพี่น้องจะทุ่มเทกำลังจัดหาทรัพยากรบำเพ็ญเพียรให้ฉัน”
หยวนกังก้มหน้าเงียบงัน จากนั้นกล่าวว่า “เต้าเหยี่ย วันนี้ผมทำผิดพลาดไปแล้ว ผมพูดเรื่องที่ไม่ควรพูด ขอโทษครับ!” เขารู้แก่ใจดี เรื่องบางอย่างไม่มีทางปกปิดเต้าเหยี่ยได้ ทั้งคู่รู้จักกันดีเกินไป เป็นเพราะเขา เต้าเหยี่ยถึงได้ยอมอยู่
หนิวโหย่วเต้าเอ่ยเนิบๆ อย่างไม่ทุกข์ไม่ร้อนว่า “จะมาขอโทษอะไรกันอีก ใช้ชีวิตมาสองชาติ เป็นพี่น้องตลอดไป นายมีปัญหา ฉันจะช่วยแบกเอง!”
หยวนกังนิ่งเงียบไร้วาจา ใบหน้าคร่ำเคร่งเล็กน้อย
หนิวโหย่วเต้ายื่นมือออกไปเคาะโต๊ะ เอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “นายดูนี่ นายเห็นไหม มาก้อนใหญ่แบบนี้อีกแล้ว ทุกคนต่างเป็นคนมีการศึกษากันทั้งนั้น ให้คนเขาได้กินดีๆ หน่อยไม่ได้หรือไง? วันๆ ทำของกินมาให้เหมือนให้ข้าวหมู แค่เห็นก็แทบจะเป็นร้อนในแล้ว เอาไว้ทุกอย่างลงตัวแล้วนายก็คิดหาวิธีจัดการซะ ”
หยวนกังไม่กล่าวอะไร หากแต่ยื่นมือไปหยิบมีดเล็กที่ปักอยู่บนเนื้อชิ้นใหญ่ก้อนนั้น เริ่มแล่เนื้อเป็นแผ่นๆ เขาใช้มีดอย่างคล่องแคล่ว เนื้อมีความหนาบางเท่ากันทุกชิ้น
ในเวลานี้หนิวโหย่วเต้าถึงได้หยิบตะเกียบที่เตรียมไว้ขึ้นมา คีบเนื้อใส่ปากค่อยๆ เคี้ยวกิน
เมื่อหั่นเนื้อทั้งก้อนเรียบร้อยแล้ว หยวนกังก็ใช้มือเปล่าหยิบเนื้อยัดใส่ปากค่อยๆ เคี้ยวแล้วกลืนลงไป
ทั้งสองนิ่งเงียบไม่พูดไม่จา นั่งหันหน้าเข้าหากัน ค่อยๆ กินเนื้อไปจนหมดจาน
กระทั่งหยวนกังเก็บกวาดเรียบร้อยแล้ว หนิวโหย่วเต้าถึงยืดตัวบิดขี้เกียจ หยิบกระบี่ข้างกายมาถือต่างไม้เท้า ยันตัวลุกขึ้นมาแล้วกล่าวว่า “ไปเถอะ อิ่มแล้วก็ไปเดินเล่นกันหน่อย!”
เมื่อออกมาด้านนอก ลานเรือนมืดสลัว โคมไฟที่แขวนไว้ใต้ชายคาโยกไหวแกว่งไกว บางดวงสว่าง บางดวงไม่สว่าง
เดินเตร่ไปเตร่มา ก็เดินเตร่มาถึงเรือนที่ซางเฉาจงพักอยู่ มีองครักษ์เข้าไปรายงาน จากนั้นซางเฉาจง หลานรั่วถิงและซางซูชิงก็ออกมาพร้อมกัน
“เต้าเหยี่ย!” พอเห็นหน้าก็ทักทาย คิดไม่ถึงว่าทุกคนจะพากันเปลี่ยนคำเรียกขานเขา เพียงแต่เมื่อคำเรียกขานเช่นนี้ออกมาจากปากหลานรั่วถิงที่มีอายุมากกว่าก็ให้ความรู้สึกแปลกพิลึกอยู่บ้าง
หนิวโหย่วเต้าผงะไปเล็กน้อย มองซางซูชิงแวบหนึ่ง เห็นได้ชัดว่าสตรีนางนี้ทำได้ตามที่รับปากไว้ ทางนี้ล้วนเห็นชอบด้วยหมดแล้ว
เมื่อเป็นเช่นนี้ เขาก็ไม่อ้อมค้อมแล้วเช่นกัน “ข้าถูกกักบริเวณอยู่ในสำนักสวรรค์พิสุทธิ์มาตลอด ไม่เข้าใจสถานการณ์ของโลกภายนอก ด้วยฐานะของทุกท่าน คาดว่าคงมีแผนที่อยู่เป็นแน่ ข้าต้องการแผนที่ เพื่อทำความเข้าใจรูปการณ์และสถานการณ์รอบด้าน โดยเฉพาะสถานการณ์ในแถบอำเภอชางหลูอันเป็นเมืองศักดินา!” ก่อนหน้านี้ เขาไม่คิดจะไปที่อำเภอชางหลูของซางเฉาจงเลย ดังนั้นจึงไม่ใส่ใจ แต่ตอนนี้ไม่เหมือนเดิมแล้ว เขาจึงเริ่มให้ความสนใจ
หยวนกังที่ติดตามอยู่ด้านข้างพลันใจชื้นขึ้นมา พอหนิวโหย่วเต้าเอ่ยเช่นนี้ แสดงท่าทางเช่นนี้ ทำให้เขามองเห็นเงาของเต้าเหยี่ยผู้ทรงอิทธิพลแห่งวงการโบราณคดีคนเดิมอีกครั้ง รับรู้ได้ว่าคราวนี้เต้าเหยี่ยเอาจริงแล้ว จะเข้าไปมีส่วนร่วมในเรื่องราวของคนกลุ่มนี้อย่างแท้จริง
ทั้งสามคนมองหน้ากัน ในความทรงจำของพวกเขา ผู้บำเพ็ญเพียรคุ้มกันทั่วจะปกป้องเพียงความปลอดภัยของเป้าหมายเท่านั้น หรือไม่ก็รับหน้าที่จัดการในเรื่องที่ทหารทั่วไปทำไม่ได้ พอได้ยินเขาเรียกหาแผนที่เช่นนี้จึงรู้สึกแปลกๆ อยู่บ้าง
ทว่าซางเฉาจงยังคงพยักหน้าพลางเอ่ยว่า “มี เชิญเต้าเหยี่ยไปรอด้านในสักครู่เถิด!” เขาผายมือเชิญหนิวโหย่วเต้าเข้าไปด้านใน
พวกเขาเดินเข้าไป ในไม่ช้าก็มีคนนำแผนที่หลายฉบับมาให้ ไม่ว่าจะเป็นแผนที่ลงรายละเอียดของอำเภอชางหลู หรือจะเป็นแผนที่อย่างคร่าวๆ ของแคว้นเยี่ยนก็ล้วนแต่มีทั้งสิ้น
ขณะที่พวกเขากำลังช่วยกางแผนที่ให้เขา หนิวโหย่วเต้าก็ยกมือขึ้นมาพลางกล่าวว่า “ไม่ต้องรีบร้อนไป ข้าขอสอบถามสถานการณ์บางอย่างก่อน หวังว่าท่านอ๋องจะบอกเล่าตามความเป็นจริง”
คนทั้งสามสบตากันแวบหนึ่ง ซางเฉาจงพยักหน้ารับ “เต้าเหยี่ยถามมาได้เลย!”
หนิวโหย่วเต้าขมวดคิ้วเอ่ยถาม “จำเป็นต้องไปให้ถึงอำเภอชางหลูให้ได้ใช่หรือไม่?”
ทั้งสามเข้าใจความหมายของเขา หลานรั่วถิงจึงให้คำตอบว่า “เต้าเหยี่ยอาจจะไม่ทราบ หากพวกเราออกนอกเส้นทาง เกรงว่าคงต้องเผชิญการไล่ล่าจากราชสำนักทันที ด้วยความสามารถของพวกเราไม่มีกำลังพอจะตอบโต้ พวกเราแบกรับความเสี่ยงเช่นนี้ไม่ไหว!”
หนิวโหย่วเต้าร้องอ้อ จากนั้นถามต่อว่า “ในเมื่อราชสำนักมีท่าทีเช่นนี้ แล้วเหตุใดยังปล่อยพวกท่านออกจากเมืองหลวงอีก หรืออำเภอชางหลูจะเป็นสถานที่ยอดเยี่ยมอันใดที่สามารถคุมขังหรือรั้งตัวท่านอ๋องไว้ไม่ให้หนีรอดออกมาได้ประหนึ่งกรงขัง?”
สาเหตุแท้จริงที่แฝงอยู่ในเรื่องราวทำให้พวกซางเฉาจงค่อนข้างลำบากใจที่จะพูด
หนิวโหย่วเต้าเหลือบมองปฏิกิริยาของคนทั้งสามแวบหนึ่ง เอ่ยอย่างเฉยชาว่า “การติดตามพวกท่านมีความเสี่ยงถึงชีวิต พวกเราสองพี่น้องต่างมีแค่ชีวิตเดียว จึงไม่อยากตายแบบไม่รู้เรื่องรู้ราว ข้าต้องการฟังความจริง! อยากเล่าก็เล่า หากไม่อยากเล่า พวกเราสองคนจะไปทันที!”
“เสด็จพี่ ท่านอาจารย์หลาน!” ซางซูชิงพลันเอ่ยเรียกพลางพยักหน้าให้คนทั้งสอง
ด้วยเหตุนี้ซางเฉาจงจึงค่อยๆ พยักหน้าเช่นกัน หลานรั่วถิงถอนหายใจคราหนึ่ง เอ่ยด้วยรอยยิ้มขมขื่น “ตอนแรกราชสำนักหาข้ออ้างจับตัวท่านอ๋องไป เห็นได้ชัดว่าต้องการประหารท่านอ๋อง ข้าเห็นท่าไม่ดี จึงได้แพร่ข่าวลืออย่างหนึ่งออกไป…”
……………………………………..