ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า - ตอนที่ 386 สหายสนิทของอวิ๋นจี
ตอนที่ 386 สหายสนิทของอวิ๋นจี
“เดี๋ยวหลานจะไปนำมาให้” เฮ่าเจินเดินเข้าไปรื้อกองเอกสารที่โต๊ะอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นหยิบราชโองการฉบับหนึ่งออกมา ยื่นส่งให้เขา
เฮ่าอวิ๋นเซิ่งรับไปเปิดอ่านอย่างรวดเร็ว เป็นราชโองการจากองค์ฮ่องเต้จริงๆ เนื้อหาคร่าวๆ สรุปได้ว่าแคว้นฉีมีพื้นที่กว้างใหญ่ไพศาล เฮ่าเจินต้องตรวจสอบทรัพย์สินราชวงศ์ทั่วแคว้นจะสิ้นเปลืองเวลานัก เพื่อไม่ให้ประสบความลำบากและเพื่อให้ปฏิบัติงานได้สะดวก จึงปลดพวกจางสิงรุ่ยออกจากสังกัดจวนประจิม ให้มาขึ้นตรงต่อเฮ่าเจินแทน
กล่าวอีกนัยคือเมื่อมีราชโองการนี้มาถึงก็แปลว่าพวกจางสิงรุ่ยกลายเป็นคนของเฮ่าเจินอย่างเป็นทางการแล้ว มิได้อยู่ในสังกัดของเฮ่าอวิ๋นเซิ่งอีกต่อไป
พอเห็นเขามีสีหน้าหมองคล้ำสับสน เฮ่าเจินที่อยู่ด้านข้างก็เอ่ยไปว่า “เสด็จอาไม่ทราบเรื่องนี้หรือพ่ะย่ะค่ะ? การโยกย้ายคนมาให้หลาน ตามหลักแล้วเอกสารจากทางการน่าจะถูกส่งไปที่จวนประจิมด้วยถึงจะถูก”
เฮ่าอวิ๋นเซิ่งปิดราชโองการ สีหน้าเคร่งเครียด เขาไม่รู้เรื่องนี้เลยจริงๆ เอกสารทางการน่าจะส่งไปที่จวนประจิมแล้ว คงเป็นเพราะเขาอยู่ระหว่างเดินทางจึงไม่ได้เห็น ด้วยมิใช่เรื่องเร่งด่วนอันใด ทางจวนประจิมจึงไม่ได้ส่งข่าวมาหาเขาเพราะเรื่องเล็กน้อยเพียงเท่านี้
ที่สำคัญคือคนส่วนใหญ่ทางจวนประจิมไม่ทราบสถานะที่แท้จริงของจางสิงรุ่ย ตามปกติเขาก็ไม่ได้ไปมาหาสู่จางสิงรุ่ยนัก เพียงโยกย้ายเจ้าหน้าที่ระดับล่างไม่กี่คนเท่านั้น จะล่าช้าไปบ้างก็ได้ น่าจะรวบรวมส่งมาให้เขาพร้อมกับเรื่องอื่นๆ
อันที่จริงเรื่องที่ทำให้เขาฉงนงงงวยองค์ฮ่องเต้ย้ายจางสิงรุ่ยตอนไหนไม่ย้าย ดันมาย้ายให้มาอยู่กับเฮ่าเจินเอาตอนนี้ นี่มันหมายความว่าอย่างไรกันแน่ ฮ่องเต้ทรงไปทราบเรื่องใดมาใช่หรือไม่ มิเช่นนั้นเหตุใดเวลาถึงประจวบเหมาะบังเอิญปานนี้ กำลังเล่นงานเขาอย่างนั้นหรือ?
“เหตุใดข้าถึงได้ยินมาว่าเป็นเจ้าที่เป็นคนเอ่ยปากขอคนจากฝ่าบาท?” เฮ่าอวิ๋นเซิ่งถามอย่างเย็นชา
เฮ่าเจินเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “เสด็จอาไปฟังเรื่องเหลวไหลมาจากไหนพ่ะย่ะค่ะ ไม่มีเรื่องเช่นนี้แน่นอน ไปตรวจสอบได้เลย! อีกอย่างหลานรังเกียจปัญหายุ่งยากเป็นที่สุด แล้วจะร้องขอคนของเสด็จอามาทำไมพ่ะย่ะค่ะ เสด็จอาโปรดตรวจสอบให้ชัดเจนด้วยพ่ะย่ะค่ะ!”
เฮ่าอวิ๋นเซิ่งโยนราชโองการในมือกลับไปบนโต๊ะ “ข้าย่อมไปตรวจสอบให้ชัดเจนแน่” พูดจบก็หันหลังเดินออกไป
“เสด็จอา!” เฮ่าเจินไล่ตามออกไปนอกกระโจม มองเห็นเฮ่าอวิ๋นเซิ่งเดินไปขึ้นม้า จึงรีบเข้าไปขวางไว้ “เสด็จอาเพิ่งมาถึง ยังไม่ได้จิบชาสักคำเลยด้วยซ้ำ นี่จะไปที่ใดหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
เฮ่าอวิ๋นเซิ่งกล่าวว่า “หลีกไป ข้ายังมีธุระต่อ”
เฮ่าเจินเอ่ยถาม “เสด็จอา ท่านบอกว่าจางสิงรุ่ยหายไป เป็นความจริงหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
“เจ้าถามข้าแล้วข้าจะไปถามใคร? ตอนนี้เขาเป็นคนของเจ้าแล้ว เจ้าไปคิดหาทางจัดการเองเถอะ” เฮ่าอวิ๋นเซิ่งบังคับม้าหักเลี้ยวอ้อมผ่านเขาไป จากนั้นตวัดแส้คราหนึ่ง ควบม้าจากไปอย่างรวดเร็ว ผู้ติดตามก็ควบม้าไล่ตามไป
ไม่นานนักขบวนม้าหลายร้อยตัวก็ค่อยๆ ห่างออกไป
เฮ่าเจินมองตามด้วยสีหน้าราบเรียบ
อันที่จริงราชโองการนั้นขององค์ฮ่องเต้ เขาเป็นทูลขอมาจริงๆ แต่เขาไม่ได้ออกหน้าเอง และเขาเองก็ไม่มีทางออกหน้าเพื่อให้เรื่องราวสาวมาถึงตัวเขาได้ง่ายๆ ในราชสำนักย่อมมีคนที่ออกหน้ากราบทูลเรื่องนี้ต่อองค์ฮ่องเต้ เรื่องราวที่กราบทูลไปก็มีความหมายเหมือนกับเนื้อความในราชโองการ แยกแยะข้อดีข้อเสียชัดเจน องค์ฮ่องเต้จึงตอบตกลง
การจัดการเรื่องแบบนี้ไม่ได้เหนือบ่ากว่าแรงเขาเลย ดังนั้นจึงไม่มีเรื่องที่เขาไปกราบทูลอย่างแน่นอน ทันทีที่เฮ่าอวิ๋นเซิ่งเอ่ยออกมา เขาก็รู้แล้วว่าอีกฝ่ายกำลังลองเชิงเขาอยู่
เขาหันหลังเดินไปที่กระโจมอีกหลังหนึ่ง
เมื่อแหวกม่านกระโจมออกก็เห็นคนผู้หนึ่งนั่งจัดการเอกสารอยู่ที่โต๊ะ มิใช่ใครอื่น เป็นจางสิงรุ่ยนั่นเอง
มีผู้บำเพ็ญเพียรผีสองรายเฝ้าประกบอยู่สองฝั่งซ้ายขวาด้วย
เมื่อเห็นเฮ่าเจิน จางสิงรุ่ยรีบลุกขึ้นมาถวายความเคารพ “ท่านอ๋อง!”
….
ปีกทองตัวหนึ่งโฉบเข้ามาจากท้องนภา ร่อนลงในคฤหาสน์บนเขา
ไม่นานนัก ลู่หลีจวินมุดออกมาจากห้องหนึ่ง ทะยานกายขึ้นไปบนหอสูงหลังหนึ่ง ประคองจดหมายด้วยสองมือยื่นส่งให้กุ่ยหมู่ที่เท้าราวกั้นอยู่ “นายหญิง คนปลอดภัยดีขอรับ โยกย้ายไปอยู่ในสังกัดอิงอ๋องแล้ว ได้รับราชโองการโยกย้ายจากทางเมืองหลวงแคว้นฉีแล้วด้วยขอรับ”
กุ่ยหมู่เปิดจดหมายอ่าน หลังจากอ่านดูก็มีท่าทางเหมือนได้ยกภูเขาออกจากอก หันไปสั่งว่า “เชิญหนิวโหย่วเต้ามาที”
“ขอรับ!” ลู่หลีจวินตอบรับแล้วออกไป
ท่ามกลางหมู่ศาลาในอีกด้านหนึ่ง ชายชุดดำวางตั๋วแลกทองลงบนโต๊ะ จากนั้นยื่นมือออกไปตรงหน้าหนิวโหย่วเต้า “ของล่ะ?”
หนิวโหย่วเต้าหยิบตั๋วแลกทองไป ยื่นส่งให้ก่วนฟางอี๋ที่อยู่ด้านข้างตรวจนับ ก่อนจะล้วงเอาคันฉ่องสัมฤทธิ์ออกมาจากแขนเสื้อ โยนส่งให้เหมือนโยนผ้าขี้ริ้วอีกครั้ง เกิดเสียงดังเคร้ง
บนคันฉ่องยังมีคราบหมึกจากครั้งก่อนเปื้อนอยู่ คนชุดดำหยิบขึ้นมาดูจากนั้นเปิดภาพลอกลายในครั้งก่อนเพื่อเทียบดูอีกครั้ง สุดท้ายจึงหยิบคันฉ่องขึ้นมาโบกไปมาตรงหน้า “หากว่าเป็นของปลอม เจ้าคงทราบผลที่จะตามมากระมัง”
หนิวโหย่วเต้าเอ่ยว่า “พูดกันตามตรง ของจะใช่ของจริงหรือไม่ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่นี่คือสิ่งที่ตงกัวเฮ่าหรานมอบให้ข้าจริงๆ คาดว่าคงมิใช่ของปลอม”
“เฮอะ!” คนชุดดำแค่นเสียงทีหนึ่ง ลุกขึ้นหมายจะจากไป
“ช้าก่อน!” หนิวโหย่วเต้าเรียกเขาไว้ เอียงหัวไปทางของในมือก่วนฟางอี๋เล็กน้อย ความหมายคือการแลกเปลี่ยนยังไม่นับว่าเสร็จสมบูรณ์
คนชุดดำเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา “วางใจเถอะ เงินครบแน่นอน”
เป็นอย่างที่กล่าวมาจริงๆ ก่วนฟางอี๋ตรวจนับอย่างรวดเร็วแล้วพยักหน้ารับ “ห้าล้านเหรียญทองครบถ้วน”
เดิมทีตกลงกันที่สิบล้านเหรียญทอง แต่ทั้งสองฝ่ายต่อรองไปมา ด้านเงื่อนไขอื่นๆ หอจันทร์กระจ่างล้วนรับปากหมดแล้ว แต่เรื่องเงินยอมจ่ายแค่สามล้านเท่านั้น สุดท้ายทั้งสองฝ่ายก็ยอมถอยกันคนละก้าว จบลงที่ห้าล้าน!
คนชุดดำถาม “ข้าไปได้หรือยัง?”
หนิวโหย่วเต้ายิ้มพลางลุกขึ้นมาส่ง “เชิญตามสบาย! แต่โปรดถ่ายทอดข้อความเหล่านี้ต่อเบื้องบนด้วย ไม่ต่อยตีไม่รู้จัก เรื่องราวที่ผ่านไปแล้วก็ปล่อยให้ผ่านไป ไม่จำเป็นต้องวางตัวเป็นอริกัน ศัตรูลดน้อยลงไปหนึ่ง เส้นทางก็ราบรื่นขึ้น อันที่จริงการผูกมิตรไว้ก็เป็นทางเลือกอย่างหนึ่งเช่นกัน ตัวข้าเป็นคนชอบผูกมิตร ทุกเรื่องราวในใต้หล้า ไม่มีมิตรแท้และศัตรูถาวร เพียงผีเสื้อกระพือปีกก็สะเทือนถึงดวงดาว ไม่แน่ต่อไปทุกคนอาจจะมีโอกาสได้ร่วมงานกัน หากว่าเบื้องบนไม่รังเกียจ นับจากนี้ไปพวกเราก็ทิ้งข้อมูลติดต่อกันและกันเอาไว้ เพื่อจะได้ไม่เกิดความเข้าใจผิดขึ้นในอนาคต ข้อความมีเท่านี้ รบกวนท่านช่วยส่งข้อความแทนข้าด้วย”
แววตาคนชุดดำวูบไหวคล้ายกำลังตริตรองวาจานี้อยู่ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรอีก หลังจากเงียบงันอยู่สักพักก็หันหลังเดินอาดๆ จากไป
พอเห็นว่าทางนี้เสร็จธุระแล้ว ต้วนหู่ที่ขวางลู่หลีจวินไว้ถึงเข้ามาแจ้งว่า “เต้าเหยี่ย ลู่หลีจวินต้องการเข้าพบท่านขอรับ”
หนิวโหย่วเต้าตอบอืมคำหนึ่ง “เชิญเข้ามา!”
ต้วนหู่ออกไปกวักมือเรียกเล็กน้อย ลู่หลีจวินเดินเข้ามาในศาลา ประสานมือเอ่ยแจ้งว่า “เต้าเหยี่ย นายหญิงต้องการพบท่าน”
“ได้ เจ้ากลับไปก่อน เดี๋ยวข้าจัดการธุระเล็กน้อยทางนี้เสร็จแล้วจะเข้าไปหา” หนิวโหย่วเต้าโบกมือสั่งการไป
ลู่หลีจวินพยักหน้ารับ หันหลังเดินออกไป
หนิวโหย่วเต้าสั่งการต้วนหู่ต่อ “ไปตามกงซุนปู้มาที”
“ขอรับ!” ต้วนหู่เดินออกไป
หนิวโหย่วเต้าหันกลับมา พบว่าเงินไม่อยู่ในมือก่วนฟางอี๋แล้ว ในมือมีเพียงพัดกลมที่โบกไหวนิดๆ
หนิวโหย่วเต้าเอ่ยออกไปว่า “เอามาสองล้าน”
ก่วนฟางอี๋ใช้พดกลมบังแขนเสื้อไว้พลางเอ่ยว่า “เอะอะอะไรก็ใช้เงินเป็นล้านๆ เจ้าเอาเงินไปใช้จ่ายอะไรมากขนาดนั้น? ใช้เงินเป็นเบี้ยอย่างเจ้า ต่อให้กิจการจะใหญ่โตขนาดไหนก็คงถูกเจ้าถลุงจนเกลี้ยง ข้าจะช่วยดูแลจัดการเงินให้เจ้าก่อน เลี่ยงไม่ให้เจ้าใช้งานเสร็จแล้วถีบหัวส่ง บุรุษอกตัญญูลืมคุณมีมากมาย สตรีต้องพกเงินติดตัวไว้ให้มากหน่อยถึงจะอุ่นใจ เจ้าว่าถูกหรือไม่เล่า?”
ถึงแม้จะเอ่ยไปเช่นนี้ แต่สุกท้ายก็แบ่งเงินออกมาสองล้านอยู่ดี
ผ่านไปสักพักกงซุนปู้ก็มาถึง หนิวโหย่วเต้าดันเงินจำนวนสองล้านที่อยู่บนโต๊ะให้ “นี่คือเงินจำนวนสองล้านเหรียญทอง เจ้ารับไปซะ”
กงซุนปู้แปลกใจ “เต้าเหยี่ย นี่หมายความว่าอย่างไรขอรับ”
หนิวโหย่วเต้าตอบว่า “เจ้ามีคนในปกครองมากมาย จำเป็นต้องใช้จ่าย แต่กำลังคนของสำนักเบญจคีรีก็ยังไม่เพียงพอ หาโอกาสเหมาะๆ รับศิษย์ที่ไว้ใจได้เข้ามาจำนวนหนึ่งเถอะ ข้าต้องการขยายเครือข่ายข่าวสารให้ใหญ่ขึ้น เจ้าค่อยๆ พัฒนาฐานอำนาจของสำนักเบญจคีรีไป ในส่วนนี้ล้วนต้องใช้เงินเช่นกัน”
กงซุนปู้อดไม่ได้ที่จะกระดากใจ เมื่อหลายวันก่อนก็เพิ่งมอบให้เขามาล้านหนึ่งแล้ว ตอนนี้ให้มาอีกสองล้าน หากรับไว้ก็ค่อนข้างน่ากระอักกระอ่วน แต่การพัฒนากำลังคนก็จำเป็นต้องใช้เงินจริงๆ สุดท้ายจึงได้แต่ตอบว่า “ขอรับ” แล้วรับไว้
หนิวโหย่วเต้าชี้ก่วนฟางอี๋ที่อยู่ด้านข้าง เอ่ยขึ้นว่า “ต่อไปนี้ข่าวสารจากเครือข่ายของสำนักเบญจคีรีจะไม่มีการปกปิดเรื่องใดจากนางทั้งสิ้น นางจะเข้ามามีส่วนร่วมด้วย ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง นางรู้จักคนกว้างขาง เข้าใจในเรื่องราวหลายๆ เรื่องค่อนข้างชัดเจน ด้านแนวทางการวางเครือข่ายข่าวสาร เจ้าก็ปรึกษาหารือกับนางให้มากหน่อย สามารถขอความเห็นจากนางได้”
พอได้ยินว่าต่อไปนี้จะไม่ปกปิดข่าวสารใดๆ ของทางนี้จากตนอีกต่อไป ก่วนฟางอี๋พลันกะพริบตาพริบๆ เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย
กงซุนปู้ประสานมือคำนับไปทางก่วนฟางอี๋ทันที
ก่วนฟางอี๋ผงกหัวนิดๆ พลางส่งยิ้มให้
เมื่อไม่มีเรื่องอื่นใดแล้ว กงซุนปู้จึงขอตัวลาไป
“เจ้ามองข้าทำไม?” พอเห็นหนิวโหย่วเต้ามองมา ก่วนฟางอี๋ก็บังแขนเสื้อตนไว้อีกครั้ง ทำราวกับว่าเงินห้าล้านเหรียญทองที่ได้มาก่อนหน้านี้เป็นของนางเอง
หนิวโหย่วเต้าเอ่ยว่า “นับจากนี้ไปคนของเจ้าจะรับหน้าที่คุ้มกันเรือนแห่งนี้ เรื่องเงินยกให้เจ้าจัดการแล้ว เรื่องการคุ้มกันก็จะยกให้เจ้าจัดการด้วย ชีวิตและทรัพย์สินของข้าล้วนต้องฝากไว้กับเจ้าแล้ว”
เช่นนี้ก็ แปลว่าให้ความไว้วางใจเป็นอย่างสูง ก่วนฟางอี๋ได้ฟังก็ดีใจอยู่ภายในใจ แต่ในฉากหน้ากลับเบือนหน้าหนีพลางโบกพัดกลม พูดจาประชดไปว่า “ทำเหมือนข้าชอบความยุ่งยากนักแหละ”
“ยังมีอีกเรื่อง มอบเงินให้เจ้าไปแล้ว วันหน้าวัตถุดิบในการบำเพ็ญเพียรของพวกเราทุกคนล้วนต้องให้เจ้าเป็นผู้จัดหา”
“อะไรกัน เห็นข้าเป็นแม่นมหรือไง?”
หนิวโหย่วเต้าหันหลังเดินออกไป ไม่สนใจเสียงโวยวายด้านหลังอีก
เขามุ่งหน้ามาหากุ่ยหมู่ มองเห็นกุ่ยหมู่อยู่บนหอสูง จึงทะยานขึ้นไปหา เอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม “มีเรื่องใดหรือ?”
กุ่ยหมู่ตอบว่า “ข้าเตรียมจะเดินทางกลับแล้ว”
หนิวโหย่วเต้ายิ้มออกมา “ยืนยันข่าวได้แล้วหรือ? น้องชายอย่างข้าไม่ได้หลอกท่านเลยใช่หรือไม่?”
กุ่ยหมู่เหลือบมองเขา เอ่ยอย่างเย็นชา “ทำให้เฮ่าอวิ๋นถูออกราชโองการได้ มีความสามารถไม่เบาเลยนี่!”
ในเรื่องนี้หนิวโหย่วเต้ารู้แก่ใจดี เขายังไม่มีความสามารถขนาดนั้น หากผู้บำเพ็ญเพียรต่างแคว้นอย่างเขากล้าเข้าไปแทรกแซงเรื่องการเมืองในแคว้นฉี เฮ่าอวิ๋นถูไม่มีทางยอมรับแน่ ทั้งหมดล้วนอาศัยเส้นสายของทานเฮ่าเจินดำเนินการในเรื่องนี้ เฮ่าเจินจัดการเรื่องราวได้เงียบเชียบนัก
“พี่หญิงล้อกันเล่นแล้ว เพียงแต่การที่จู่ๆ เฮ่าอวิ๋นถูก็ออกราชโองการเช่นนี้ไป ไม่ว่าจะเป็นทางหอจันทร์กระจ่างหรือเฮ่าอวิ๋นเซิ่งล้วนต้องตกใจแน่ พวกเขาน่าจะเข้าใจแล้ว เรื่องราวได้เกิดขึ้นแล้ว ไม่อาจแก้ไขอะไรได้อีก เฮ่าอวิ๋นถูออกหน้าปกป้องจางสิงรุ่ย ต่อให้อยากสังหารจางสิงรุ่ยเพื่อล้างแค้นแค่ไหน แต่การไปยั่วโทสะเฮ่าอวิ๋นถูเข้านั้นไม่คุ้มกันเลย ประกอบกับมีอิงอ๋องคอยปกป้อง พวกเขาไม่กล้าบุ่มบ่ามลงมือกับจางสิงรุ่ยอย่างแน่นอน แต่กับพี่หญิงนั้นไม่แน่ ถึงแม้ตอนนี้พวกเขาจะไม่เสี่ยงเข้าโจมตีสร้างความเสียหายให้เขาลับแล แต่หากพี่หญิงปะทะกับคนของพวกเขาเข้า พวกเขาไม่มีทางยอมไว้หน้าพี่หญิงแน่ แต่ถ้าหากพี่หญิงยินดีป่าวประกาศออกไปว่าพวกเราสาบานเป็นพี่น้องกันแล้ว หอจันทร์กระจ่างก็คงจะไว้หน้าข้าบ้างไม่มากก็น้อย”
กุ่ยหมู่ท่าทางเหมือนได้ฟังเรื่องตลกที่สุดในใต้หล้า “หอจันทร์กระจ่างจะไว้หน้าเจ้าอย่างนั้นหรือ? หากข้าประกาศออกไปเกรงว่าคงได้ตายไวยิ่งกว่าเดิม! เอาล่ะ เรื่องของข้าเจ้าไม่จำเป็นต้องกังวล อีกไม่นานข้าก็จะออกเดินทางแล้ว”
หนิวโหย่วเต้าเอ่ยรั้ง “มิสู้พี่หญิงพักอยู่อีกสักหลายวัน ช่วงนี้ข้ายุ่งมาก ไม่ทันได้รับรองท่านให้ดีเลย”
“ไม่จำเป็น อีกอย่างข้าก็ไม่คุ้นเคยกับที่อยู่ของเจ้าด้วย”
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ข้าก็ไม่บังคับแล้ว หนทางยาวไกล ลำบากพี่หญิงต้องเทียวมาเทียวกลับ ล้วนเป็นความผิดของน้องเล็กเอง ทางด้านจางสิงรุ่ยหากพี่หญิงคิดว่าเหมาะสม ก็สามารถส่งครอบครัวจางสงรุ่ยมาอยู่กับข้าได้ ข้ารับประกันว่าจะช่วยดูแลปกป้องอย่างเต็มที่”
แต่กุ่ยหมู่กลับตอบสนองต่อวาจานี้ของเขาอย่างเฉยเมยว่า “อันที่จริงเดิมทีช่วงนี้ข้าก็คิดจะออกเดินทางออกมาจากเขาลับแลอยู่แล้ว ว่าจะไปที่เขาข้ามเมฆา ถือเสียว่าเป็นทางผ่านพอดี…”
หนิวโหย่วเต้าผงะไปเล็กน้อย เอ่ยขัดว่า “เขาข้ามเมฆาหรือ? เขาข้ามเมฆาตรงแถบเมืองไจซิงน่ะหรือ?”
“หรือว่าใต้หล้านี้มีเขาเข้ามเมฆาอยู่หลายแห่งกันเล่า?”
“พี่หญิงไปเยือนเขาข้ามเมฆาด้วยเหตุใด?”
“อวิ๋นจีเจ้าเขาข้ามเมฆาเป็นสหายสนิทที่คบหากับข้ามานาน ว่าจะไปเยี่ยมสักหน่อย วันหน้าหากเจ้าผ่านไป ถ้ามีธุระอันใดก็ไปหานางในนามของข้าได้ หากช่วยได้นางจะช่วยเจ้าแน่นอน ไยถึงมองข้าแบบนี้?” กุ่ยหมู่พบว่าจู่ๆ หนิวโหย่วเต้าก็มองตนด้วยสีหน้าแปลกพิกล
แม่เฒ่าผีนางนี้เป็นสหายสนิทกับอวิ๋นจีอย่างนั้นหรือ? มุมปากหนิวโหย่วเต้ากระตุกเล็กน้อย เอ่ยด้วยรอยยิ้มอิหลักอิเหลื่อ “ไม่มีอะไร บังเอิญจริงๆ ข้าก็ค่อนข้างคุ้นเคยกับอวิ๋นฮวนที่เป็นบุตรชายของอวิ๋นจีเช่นกัน พอจะสนิทสนมอยู่บ้าง”
“โอ้! เช่นนั้นก็ดูเหมือนจะพูดในเรื่องที่ไม่จำเป็นออกไปเสียแล้ว”
“ไม่หรอก ไม่เลย ข้าจดจำน้ำใจของพี่หญิงไว้แล้ว”
………………………………………………………………………