ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า - ตอนที่ 390 เฮ่าเจินควรจะขอบคุณข้าเสียด้วยซ้ำ
ตอนที่ 390 เฮ่าเจินควรจะขอบคุณข้าเสียด้วยซ้ำ
ถึงแม้หยวนกังจะไม่เคยพบเซ่าผิงปอ แต่สำหรับเขา แค่คำว่า ‘คุณชายเซ่า’ ก็เพียงพอจะกระตุ้นความระแวดระวังในตัวเขาได้แล้ว คุณชายเซ่าที่รู้จักกับซูจ้าวอย่างนั้นหรือ? คนที่รู้เรื่องราวย่อมคิดเชื่อมโยงได้ไม่ยาก
ฉินเหมียนเดินเข้าไปหาซูจ้าว สายตาเต็มไปด้วยคำถามและคำตำหนิ
เซ่าผิงปอที่ตามเข้ามาก็มิใช่คนตาบอด มองเห็นหยวนกังที่นั่งดื่มชาอยู่ในห้องอย่างสงบเช่นกัน เขามองพินิจชายหน้าแดงคนนี้อย่างค่อนข้างสงสัยเล็กน้อย
จากนั้นก็กวาดตามองห้องของซูจ้าวอย่างรวดเร็ว เขาเพิ่งเคยมาที่นี่เป็นครั้งแรก วิเคราะห์จากเครื่องเรือนที่จัดวางไว้ในห้องแล้ว ที่นี่น่าจะเป็นห้องส่วนตัวของซูจ้าวไม่ผิดแน่
บุรุษที่มาปรากฏตัวในห้องส่วนตัวของซูจ้าว เขาค่อนข้างแปลกใจในฐานะของคนผู้นี้
เซ่าผิงปอพยักหน้าทักทายหยวนกังเล็กน้อย จากนั้นก็ยิ้มแล้วเอ่ยกับซูจ้าวว่า “พี่จ้าว”
คำว่า ‘พี่จ้าว’ นี้ทำให้หยวนกังค่อยๆ ลุกขึ้นมา เขาแทบจะมั่นใจในตัวตนของอีกฝ่ายแล้ว รู้สึกตกใจไม่น้อย คิดไม่ถึงว่าคนผู้นั้นจะมาปรากฏตัวที่นี่ คนที่ทำให้เต้าเหยี่ยออกปากพูดว่าอันตรายได้ มีค่าพอให้เขาระมัดระวังตัวเป็นอย่างสูง
เขามองออกว่าอีกฝ่ายสวมหน้ากากหนังบดบังใบหน้าที่แท้จริงเอาไว้
ซูจ้าวยิ้มอย่างกระอักกระอ่วนเล็กน้อย นางมักจะเรียกเซ่าผิงปอว่า ‘ผิงปอ’ แต่ตอนนี้อยู่ต่อหน้าหยวนกังจึงไม่สะดวกเรียก ด้วยเกรงว่าจะเป็นการเปิดเผยตัวตนเซ่าผิงปอ
หยวนกังอยู่ที่นี่ด้วย นางไม่สะดวกจะพูดอะไร ได้แต่หันไปเอ่ยกับหยวนกังก่อนว่า “คุณชายอัน ข้าต้องดูแลแขกก่อน ไม่ส่งล่ะ”
ความหมายในวาจาคือเจ้าก็เห็นแล้วนี่ว่ามิใช่ซีย่วนต้าอ๋อง เจ้าออกไปได้แล้วกระมัง?
เหตุผลและข้ออ้างถูกลบล้างแล้ว ในใจก็พอจะคาดเดาได้แล้ว หยวนกังจึงพยักหน้าให้เล็กน้อย “ขอตัวก่อน!”
เซ่าผิงปอก็ประสานมือคำนับส่งอย่างสุภาพ
หลังจากมองส่งหยวนกังจากไปแล้ว ฉินเหมียนก็ถอยออกไปเช่นกัน “นายหญิง คุณชายเซ่า พวกท่านคุยกันไปเถิด ข้ายังมีแขกในโถงหน้าที่ต้องรับรองอยู่”
“รบกวนด้วย” เซ่าผิงปอกล่าวอย่างสุภาพ
ตอนที่ฉินเหมียนเดินออกไปก็ได้ช่วยปิดประตูให้
เวลานี้ ซูจ้าวสงบใจลงแล้ว สายตามองไปที่เส้นผมของเซ่าผิงปอ เอ่ยด้วยความสงสัย “เหตุใดเส้นผมเจ้าถึงขาวเช่นนี้?”
เรื่องทุกข์ใจ เซ่าผิงปอไม่อยากกล่าวถึงมากนัก เขาถามกลับไปว่า “ชายหน้าแดงเมื่อครู่เป็นใคร?”
ซูจ้าวตอบเพียงประโยคเดียว “เป้าหมายที่เบื้องบนกำลังพัฒนาอยู่”
เซ่าผิงปอตอบ “อ่อ” ด้วยน้ำเสียงราบเรียบ เมื่อนึกถึงสีหน้ากระอักกระอ่วนก่อนหน้านี้ของซูจ้าว แล้วไหนจะเรื่องที่เป้าหมายที่กำลังพัฒนารั้งอยู่ที่นี่จนเขามาถึงเพื่อรอพบหน้าเขาอีก เรื่องนี้ผิดปกติ
คนอย่างเขามีประสาทสัมผัสเฉียบไวเป็นพิเศษ เรื่องผิดปกติเพียงเล็กน้อยกระตุ้นความระแวงของเขาได้ง่ายมาก เมื่ออยู่ต่อหน้าเขา เมื่ออยู่ภายใต้สายตาเขา มันก็ยากจะปกปิดเรื่องบางอย่างต่อสายตาของเขาได้
แต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไรให้มากความ เพราะทราบชัดเจนดีว่าหากเป็นเรื่องที่มีเจตนาปกปิดเขาแล้ว ถามมากไปก็ไม่มีประโยชน์อะไร
ทว่าเรื่องราวบางอย่างกลับต้องถามไถ่กันให้ชัดเจน “เรื่องม้าศึกชุดนั้นสรุปแล้วเป็นมาอย่างไรกันแน่? เพราะเหตุใดถึงตกไปอยู่ในมือของหนิวโหย่วเต้าได้ เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นจากทางฝั่งข้าหรือว่าเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นจากทางฝั่งท่าน? เป็นเพราะท่านไปหาเรื่องหนิวโหย่วเต้าถึงทำให้หนิวโหย่วเต้าจับได้ถึงการมีตัวตนอยู่ของท่านกระมัง?” เขาเอ่ยถามออกไปรวดเดียวพลางสังเกตดูปฏิกิริยาของอีกฝ่ายไปด้วย
ซูจ้าวยิ้มเจื่อนเอ่ยไปว่า “เจ้าเข้าใจผิดแล้ว เป็นเหตุสุดวิสัยจริงๆ เป็นเพราะกุ่ยหมู่แห่งเขาลับแลแปรพักตร์ ผู้ใดก็คาดไม่ถึงว่าหนิวโหย่วเต้าจะสมคบคิดกับกุ่ยหมู่…” นางบอกเล่าสถานการณ์รายละเอียดออกมา
พอได้ยินว่าขนาดหอจันทร์กระจ่างออกโรงแล้วหนิวโหย่วเต้าก็ยังหนีรอดไปได้ เซ่าผิงปอถอนหายใจพลางเอ่ยว่า “ข้าเคยบอกท่านไปแต่แรกแล้วว่าหนิวโหย่วเต้าน่าจะทราบถึงฐานะของลิ่งหูชิวแต่แรกแล้ว ท่านนี่หนอ…” เขาไม่รู้จริงๆ ว่าควรจะว่าอีกฝ่ายอย่างไรดี เรื่องราวเกิดขึ้นไปแล้วมาเอ่ยติเตียนอีกก็ไม่มีประโยชน์ใดๆ จึงพูดได้เพียงเท่านี้
แต่เขาก็ยังเอ่ยปลอบไปว่า “แต่ก็ดีเหมือนกัน เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น เบื้องบนของทางท่านน่าจะไม่ปล่อยเขาไปแน่ นับว่าตัดปัญหาไปได้แล้ว”
ผู้ใดจะคาดว่าซูจ้าวกลับเอ่ยด้วยสีหน้าลำบากใจ “แต่ท่าทีของเบื้องบนกลับทำให้ข้าไม่เข้าใจเลย”
เซ่าผิงปอถามด้วยความตื่นตัว “หมายความว่าอย่างไร?”
ซูจ้าวกล่าวว่า “เบื้องบนประกาศห้ามมิให้ผู้ใดแตะต้องหนิวโหย่วเต้า หากฝ่าฝืนต้องตาย!”
“แค่กๆ…” เซ่าผิงปอผงะไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็ไอถี่ๆ ขึ้นมา ไอจนตัวงอหน้าแดงไปหมด เขาล้วงผ้าเช็ดหน้าสีขาวออกมาจากแขนเสื้อ ยกขึ้นปิดปากไว้
ซูจ้าวเข้ามาช่วยปรับลมหายใจให้เขาอย่างรวดเร็ว กระทั่งเขาคลายผ้าเช็ดหน้าออก พอมองเห็นคราบสีแดงสะดุดตาบนผ้าเช็ดหน้าก็เอ่ยถามด้วยความตกใจว่า “เจ้าเป็นอะไรไป ยังไม่หายดีหรือ?”
“ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร” เซ่าผิงปอโบกมือ เดินไปนั่งลงบนเก้าอี้ด้านข้าง หลับตาพลางสูดหายใจลึกๆ ทว่ากลับขบกรามแน่นจนแก้มตึง
เขานึกว่าพอเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นมา หอจันทร์กระจ่างจะไม่มีทางปล่อยหนิวโหย่วเต้าไปแน่ ผู้ใดจะคาดว่าหอจันทร์กระจ่างกลับออกคำสั่งที่แทบจะเป็นการปกป้องหนิวโหย่วเต้าแทน
เรื่องเช่นนี้มันไม่สมเหตุสมผล ไม่มีทางเกิดขึ้นโดยไร้สาเหตุแน่นอน เขาเชื่อว่าเบื้องหลังเรื่องนี้ต้องเป็นเพราะหนิวโหย่วเต้าใช่เล่ห์กลอะไรบางอย่างแน่นอน
ที่สำคัญคือเขามีไพ่ตายสำหรับใช้จัดการหนิวโหย่วเต้าอยู่ไม่มาก มณฑลเป่ยโจวและมณฑลหนานโจวเรียกได้ว่าอยู่กันคนละฟากฝั่ง หนึ่งเหนือหนึ่งใต้ มีแผ่นดินแคว้นเยี่ยนอันกว้างใหญ่คั่นกลางอยู่ คิดจะส่งกำลังทหารไปโจมตีไม่มีทางเป็นไปได้ อีกทั้งเขาไม่มีกลุ่มอิทธิพลในโลกบำเพ็ญเพียรที่จะไปจัดการกับหนิวโหย่วเต้าได้เลย และในแง่หนึ่งแล้ว สำนักเขามหายานก็กำลังคอยคุมพฤติกรรมของเขาอยู่ เมื่อครู่เขาหลงนึกว่าหอจันทร์กระจ่างถูกหนิวโหย่วเต้ายั่วโทสะเข้าแล้วคงยากจะรอดพ้นจากเพลิงโทสะของหอจันทร์กระจ่างไปได้ ไม่คิดเลยว่าสถานการณ์จะพลิกผันไปอย่างรวดเร็ว ซ้ำยังพลิกผันไปอย่างสิ้นเชิงเช่นนี้ด้วย
ตอนนี้แม้แต่หอจันทร์กระจ่างก็รามือแล้ว ส่งผลกระทบต่อเขาอย่างยิ่ง เห็นได้ชัดว่าหนิวโหย่วเต้าและหอจันทร์กระจ่างบรรลุข้อตกลงบางอย่างแล้ว
หนิวโหย่วเต้าอยู่ในเมืองหลวงแคว้นฉีก็ยังคลี่คลายวิกฤตการณ์ไปได้ครั้งแล้วครั้งเล่า รอดพ้นจากการไล่ล่าของหอจันทร์กระจ่าง ซ้ำยังขโมยม้าศึกของเขาไปได้ มาตอนนี้ก็สงบศึกกับหอจันทร์กระจ่างได้อีก ทุกการกระทำของอีกฝ่าย แม้แต่ตัวเขาเองก็รู้สึกเหลือเชื่อเช่นกัน เขาค่อยๆ ลืมตาขึ้น เงยหน้าทอดถอนใจ “คนผู้นี้อันตรายเกินไปแล้ว เป็นศัตรูตัวฉกาจของแซ่เซ่าจริงๆ!”
ยามที่กล่าวประโยคนี้ออกมา ในใจรู้สึกเศร้าสร้อยเล็กน้อย พอตกอยู่ในสภาพที่กำลังของเขาไม่สามารถคุกคามหนิวโหย่วเต้าได้ เขาถึงได้พบว่าตนมีจุดอ่อนร้ายแรงในการเผชิญหน้ากับหนิวโหย่วเต้า นั่นคือเขาไม่ใช่คนของโลกบำเพ็ญเพียร หากไม่มีผลประโยชน์มอบให้คนของโลกบำเพ็ญเพียรก็ไม่มีผู้ใดอยากจะไปมาหาสู่กับเขา ไม่เหมือนหนิวโหย่วเต้าที่สามารถคบค้าได้กับคนของทั้งสองโลก
“คนผู้นี้อันตรายมากจริงๆ” ซูจ้าวพยักหน้ารับ แสดงความเห็นด้วยสีหน้าหนักใจ “แต่เจ้าก็ไม่ต้องกังวลไปหรอก เบื้องบนยังคงจะคิดหาทางช่วยเจ้าในเรื่องม้าศึกอยู่ เพราะถึงอย่างไรเรื่องนี้ก็เกิดความผิดพลาดขึ้นจากทางเรา ยิ่งไปกว่านั้นเบื้องบนก็แสดงท่าทีให้การสนับสนุนเจ้ามาตลอด”
“ข้าจัดการเรื่องม้าศึกเรียบร้อยแล้ว”
“จัดการแล้ว?”
“ข้ามาเมืองหลวงแคว้นฉีครานี้ก็เพื่อเรื่องนี้ ข้าไปพบเฮ่าอวิ๋นถูมาแล้ว เขายอมตกลงให้ข้าขนส่งม้าศึกสามหมื่นตัวแล้ว”
“เช่นนั้นเจ้าจะขนกลับไปอย่างไร?”
“ข้าไปพบไห่อู๋จี๋ฮ่องเต้แห่งแคว้นจ้าวมาแล้วเหมือนกัน ไห่อู๋จี๋ก็ยอมให้ความช่วยเหลือ จัดส่งม้าศึกสามหมื่นตัวผ่านเส้นทางในแคว้นจ้าวได้ไม่มีปัญหาแน่นอน”
ซูจ้าวพูดไม่ออก เรียกได้ว่าตกตะลึงเช่นเดียวกัน ตกตะลึงกับความสามารถของคนผู้นี้ สามารถจัดการราชสำนักของทั้งสองแคว้นได้อย่างไร้สุ้มเสียง อีกทั้งยังรวดเร็วอย่างมากด้วย
นางรินชาใส่ถ้วยแล้ววางไว้เบื้องหน้าเขา “ครั้งนี้พวกเราทำให้เจ้าต้องลำบากเสียแล้ว”
“ท่านช่วยข้ามามากแล้ว” เซ่าผิงปอยกชาขึ้นมาจิบบรรเทาอาการเจ็บคอจากการไอ จากนั้นก็วางถ้วยชาลงแล้วเอ่ยว่า “ยังมีอีกเรื่องที่ข้าอยากให้ท่านช่วย หลิ่วเอ๋อร์โดดเดี่ยวไร้ญาติมิตรในเมืองหลวงแคว้นฉี อยู่ที่นี่ข้าเองก็ไร้กำลังอันใดที่จะช่วยเหลือนางได้ หลังจากนางมาถึงที่นี่ หากอยู่ในสถานการณ์ที่จะไม่กระทบไปถึงเรื่องใด ท่านก็ช่วยดูแลนางให้มากหน่อยแล้วกัน”
ซูจ้าวแปลกใจ “หลิ่วเอ๋อร์ก็มาที่เมืองหลวงด้วยหรือ?”
เซ่าผิงปอส่ายหน้า “ยังไม่มา แต่ก็ใกล้แล้ว ข้าทูลขอสมรสพระราชทานจากเฮ่าอวิ๋นถู อีกไม่นานหลิ่วเอ๋อร์ก็จะออกเรือนมาที่นี่”
ซูจ้าวตกใจ “เจ้าจะให้หลิ่วเอ๋อร์แต่งเข้าไปเป็นสนมของเฮ่าอวิ๋นถูอย่างนั้นหรือ? เรื่องนี้…วังหลังของเฮ่าอวิ๋นถูมีโฉมงามมากมายเต็มไปหมด เจ้าจะให้หลิ่วเอ๋อร์ทนรับความอดสูได้อย่างไร?”
เซ่าผิงปอเอ่ยเสียงเรียบ “ท่านเข้าใจผิดแล้ว แต่งให้เฮ่าเจินต่างหาก แต่งเป็นภรรยาใหม่ของเฮ่าเจิน!”
“……” ซูจ้าวถึงกับพูดไม่ออก เบื้องบนก็นับว่าให้การสนับสนุนคนผู้นี้เป็นอย่างมาก ยังไม่ทราบเรื่องราวแน่ชัดก็ยอมช่วยจัดการให้ตามที่เขาขอแล้ว ทำให้ทางองค์กรต้องประสบความสูญเสียมากมายขนาดนั้น องค์กรก็ไม่ได้ว่ากล่าวอันใด ตอนนี้ในที่สุดก็ทราบแล้วว่าเหตุใดคนผู้นี้ถึงต้องการสังหารชายาของเฮ่าเจิน
และเพราะทราบเหตุแล้วถึงอดไม่ได้ที่จะกล่าวตำหนิออกไปเล็กน้อย “เจ้าบ้าไปแล้วกระมัง เฮ่าอวิ๋นถูมิใช่คนโง่ ชายาอิงอ๋องเพิ่งตายไม่เท่าไร เจ้าก็มาที่นี่เพื่อเสนอน้องสาวให้ออกเรือน จะไม่ให้เขาสงสัยเจ้าเลยก็คงยากแล้ว”
เซ่าผิงปอกล่าวว่า “เพราะภรรยาของลูกชายเขาเสียไปแล้ว ข้าถึงได้ขอสมรสพระราชทาน หากจะนึกสงสัยข้าก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว เรื่องราวไร้ซึ่งหลักฐานมัดตัว สงสัยแล้วจะทำอันใดได้เล่า? ต่อให้รู้ว่าเป็นฝีมือข้าแล้วอย่างไร? ท่านวางใจเถอะ เขาเป็นถึงฮ่องเต้ ไม่มีทางที่จะแยกแยะถูกผิดไม่ได้ มองเพียงว่ามีประโยชน์ต่อเขาหรือไม่เท่านั้น ยามที่จำเป็นก็ต้องทำเป็นหลับตาข้างหนึ่งก็ทำได้ดีกว่าพวกเราเสียอีก ท่านกังวลมากเกินไปแล้ว ท่านเองก้ได้เห็นผลลัพธ์แล้ว เฮ่าอวิ๋นถูตอบตกลงเรื่องวิวาห์”
ซูจ้าวถาม “แล้วเฮ่าเจินล่ะ?”
เซ่าผิงปอเอ่ยว่า “เฮ่าอวิ๋นถูตอบตกลงแล้ว เฮ่าเจินยังปฏิเสธได้หรือ? เขากล้าปฎิเสธหรือ? หากเทียบกับองค์ชายพระองค์อื่นแล้ว เขาไม่ได้รับความสำคัญจากเฮ่าอวิ๋นถูเลย เฮ่าอวิ๋นถูเป็นยอดกษัตริย์ที่ให้ความสำคัญกับโอรสที่ตนชื่นชมหรือมีความสามารถเท่านั้น ผลงานของเฮ่าเจินดาษดื่นธรรมดาเกินไป ไม่เคยเข้าตาเฮ่าอวิ๋นถูเลย มองจากชายาที่เลือกให้เฮ่าเจินก็รู้แล้ว ถือกำเนิดจากครอบครัวขุนนางเล็กๆ บ้านฝ่ายภรรยาไม่มีกำลังอำนาจอันใด เฮ่าอวิ๋นถูไม่มีทางตั้งความหวังอันใดในตัวเฮ่าเจินและไม่ให้ความหวังใดๆ กับเฮ่าเจินด้วย มีแต่หวังจะให้เฮ่าเจินอยู่อย่างสงบเสงี่ยมมากขึ้นอีกหน่อย”
ซูจ้าวส่ายหน้า “เจ้าคงไม่มีทางให้หลิ่วเอ๋อร์ออกเรือนกับเขาเพียงเพราะความสงบเสงี่ยมของเขาหรอกใช่หรือไม่?”
“สงบเสงี่ยมหรือ?” เซ่าผิงปอส่ายหน้าหัวเราะหึหึ “ไม้งามกลางพนาจะถูกสายลมพัดพาจนหักโค่น เฮ่าอวิ๋นถูเป็นกษัตริย์ทรงความสามารถ กำลังอยู่ในช่วงรุ่งโรจน์เปี่ยมกำลังวังชา ทั่วทั้งแคว้นฉียอมสยบก้มหัวให้ เรียกลมได้ลม เรียกฝนได้ฝน โอรสเของเขาหล่านั้น มีผู้ใดบ้างที่สามารถแบกรับความเกรียงไกรของเขาไว้ได้? การต่อสู้แย่งชิงที่คิดกันไปว่าเป็นการชิงอำนาจของเหล่าองค์ชาย แท้จริงแล้วสิ่งที่แย่งชิงกันก็คืออำนาจในมือของเฮ่าอวิ๋นถูทั้งสิ้น หารู้ไม่ว่าหากราชสีห์ไม่แก่โรยราไร้กำลังแล้วล่ะกก็ เขาไม่มีทางยอมสละอำนาจหรอก”
“พี่จ้าว ท่านคิดว่าเฮ่าเจินรักสงบจริงๆ น่ะหรือ? คนผู้นี้ซ่องสุมอำนาจไว้อย่างเงียบๆ ไม่กระโตกกระตาก รุกได้ถอยเป็น นี่ต่างหากถึงจะเป็นคนฉลาดที่แท้จริง เขารู้ดีว่ายังไม่ถึงเวลาแสดงความสามารถ ชายาของเฮ่าเจินคนนั้นให้ความช่วยเหลืออะไรเฮ่าเจินไม่ได้ แต่หลิ่วเอ๋อร์กลับต่างออกไป เบื้องหลังของนางมีพี่ชายอย่างข้าอยู่ ถ้าได้แต่งกับหลิ่วเอ๋อร์ ก็แปลว่าเขาสามารถเข้าแทรกแซงสถานการณ์ของอีกฝั่งได้ ในแง่หนึ่งแล้วก็ยังสามารถควบคุมความคิดของเฮ่าอวิ๋นถูจากสถานการณ์ในภาพรวมได้อีกด้วย การที่ชายาของเขาตายไป ความจริงเขาควรจะขอบคุณข้าเสียด้วยซ้ำที่ข้าช่วยจัดการเรื่องที่เขาไม่กล้าลงมือทำให้”
ซูจ้าวรู้สึกอกสั่นขวัญแขวนอยู่ในใจ แต่ยังคงกัดฟันเอ่ยไปว่า “มีเรื่องหนึ่ง ไม่รู้ว่าควรพูดหรือไม่”
เซ่าผิงปอกล่าวว่า “พูดมาได้เลย”
ซูจ้าวลังเลเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยไปว่า “เจ้าลืมไปแล้วหรือ หลิ่วเอ๋อร์กับถานเย่าเสี่ยนคนนั้น เหมือนจะมีมลทินไปแล้ว ให้ออกเรือนกับเฮ่าเจิน เฮ่าเจินจะถือสาหรือเปล่า?”
เซ่าผิงปอกล่าวว่า “ท่านกังวลมากไปแล้ว ข้ามีน้องสาวคนเดียว ข้าไม่มีทางทำร้ายนางแน่นอน ขอเพียงข้าแสดงให้เห็นว่าหลิ่วเอ๋อร์มีความสำคัญต่อข้า นับจากนี้ไปเฮ่าเจินจะต้องดีกับหลิ่วเอ๋อร์แน่ ส่วนเรื่องข้อบกพร่องบางอย่างแก้ไขได้ไม่ยาก ข้าจะคิดหาทางกลบเกลื่อนให้หลิ่วเอ๋อร์เอง ไม่มีทางปล่อยให้เฮ่าเจินเกิดความคับข้องใจ”
……………………………………………………..