ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า - ตอนที่ 398 เจ้าบอดมาแล้ว
ตอนที่ 398 เจ้าบอดมาแล้ว
เสียงฝีเท้าผ่อนลง กองทหารที่ปิดล้อมอยู่แหวกเปิดออกเป็นทาง กองทหารม้านับร้อยวิ่งเหยาะๆ ฝ่าเข้าในวงล้อม
ผู้ที่มาย่อมดึงดูดสายตาของหยวนกังและซูจ้าวให้มองออกไป หลังจากมองเห็นชัดเจนว่าผู้มาเป็นใคร หยวนกังก็ขมวดคิ้วขึ้นมาเล็กน้อย คิดไม่ถึงว่าเขาจะมาได้
ผู้นำขบวนปรากฏตัวขึ้นภายใต้แสงสว่างจากผีเสื้อจันทรา ทำให้แยกแยะใบหน้าได้ไม่ยาก เป็นฮูเหยียนเวยผู้มีหนวดเคราปรกหน้า ผ้าคลุมที่ห้อยอยู่ด้านหลังเปื้อนฝุ่นดิน เห็นได้ชัดว่าเร่งเดินทางมา
ฮุเหยียนเวยสบตากับหยวนกัง เขาควบม้าเหยาะๆ เข้ามาอยู่เบื้องหน้า แม้อยู่ท่ามกลางขบวนทัพที่เป็นทางการเช่นนี้ก็ยังทำตัวสบายๆ เสมือนทัพใหญ่ที่รายล้อมอยู่ไร้ตัวตน
และเนื่องด้วยเหตุนี้ ฮูเหยียนเวยในเวลานี้จึงคล้ายดูแตกต่างไปที่ผ่านมา มีมาดของแม่ทัพใหญ่!
นี่คือสิ่งที่สืบทอดกันมาในตระกูล หากเป็นคุณชายสูงศักดิ์ทั่วไปในเมืองหลวงที่ไม่เคยเห็นการปิดล้อมเต็มกำลังของกองทัพใหญ่เช่นนี้คงจะประดักประเดิดและทำตัวไม่ถูก แต่เขากลับไม่เป็นเช่นนั้น เขาเคยเห็นภาพเช่นนี้มาแต่เล็ก เห็นท่วงท่าวาจาของบิดายามอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้มาจนชิน เมื่อเวลาผ่านไปย่อมซึมซับเข้าไปจนฝังแน่นอยู่ในกระดูก
ในบ้านมีตำราสะสมไว้ ต่อให้บุตรธิดาจะไม่เอาอ่าวแค่ไหนก็ต้องเปิดอ่านบ้าง จะมากจะน้อยก็ยังเคยได้กลิ่นหอมของตำรา
ในบ้านมีอาวุธอยู่ ต่อให้บุตรธิดาไม่ได้เรื่องเพียงใดก็ต้องเคยหยิบเคยจับอยู่บ้างเช่นกัน จะมากจะน้อยก็ยังเคยได้สัมผัสกลิ่นอายของการต่อสู้
นี่คือประเพณีที่สืบทอดต่อกันมาในบ้าน
สิ่งที่ตระกูลฮูเหยียนปลูกฝังให้ฮูเหยียนเวยมิได้มีเพียงเท่านี้ คนทั่วไปที่เข้าร่วมกองทัพจะต้องผ่านกระบวนการพัฒนาเพื่อให้ได้รับการยอมรับ แต่เขาคือบุตรชายของตระกูลฮูเหยียน ได้รับการยอมรับว่าเป็นส่วนหนึ่งในกองทัพตั้งแต่ถือกำเนิด ขอเพียงมาถึงก็จะกลายเป็นคนหนึ่งที่ได้รับความสำคัญเช่นกัน ถูกลิขิตให้อยู่เหนือกฎเกณฑ์บางอย่างตั้งแต่เกิด
ฮูเหยียนเวยรั้งบังเหียนหยุดอยู่ตรงหน้าหยวนกัง อาชาของเขาหอบหายใจฟืดฟาดจากการเร่งเดินทางไกล
“ไยถึงจากไปโดยไม่ร่ำลาเลยล่ะ?” ฮูเหยียนเวยเอ่ยด้วยสีหน้าเรียบเฉย ไม่ได้มีรอยยิ้มเฉื่อยชาขี้เล่นเช่นในอดีต เรื่องที่เกิดขึ้นมาแล้วก็สถานการณ์ที่อยู่ตรงหน้าก็ยากจะทำให้เขายิ้มออกมาได้เช่นกัน
หยวนกังถาม “ถามเรื่องนี้แล้วจะมีประโยชน์อะไร?”
เสียงฮูเหยียนเวยดังขึ้นกว่าเดิม แฝงไว้ด้วยความรู้สึกโกรธเคือง “ข้าควรจะเรียกเจ้าว่าอันซยงหรือหยวนซยงดีเล่า?”
หยวนกังถาม “สำคัญด้วยหรือ?”
ฮูเหยียนเวยเอ่ยว่า “ตระกูลฮูเหยียนดีต่อเจ้า ข้าเห็นเจ้าเป็นดั่งพี่น้อง แต่เจ้ากลับตอบแทนกันเช่นนี้หรือ? ท่านพ่อก็ให้ความสำคัญกับเจ้าอย่างมากเช่นกัน ขอเพียงเจ้ายอมกลับใจติดตามข้ากลับไป เบื้องหน้าย่อมมีอนาคตสดใสรอคอยเจ้าอยู่”
หยวนกังตอบว่า “กลับไปไม่ได้แล้ว”
ฮูเหยียนเวยเอ่ยถาม “เพราะเหตุใด? ข้าขอรับรองต่อหน้าเหล่าพี่น้องในกองทหารม้าองอาจว่าจะไม่เอาความกับเรื่องทั้งหมดที่ผ่านมา จะทำเหมือนไม่เคยมีเรื่องใดเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเกิดเรื่องใดขึ้น ตระกูลฮูเหยียนของพวกเราจะแบกรับไว้ให้ ขอเพียงตามข้ากลับไปก็พอ!”
ซูจ้าวค่อนข้างแปลกใจ นางคิดไม่ถึงเลยจริงๆ เคยได้ยินว่าตระกูลฮูเหยียนชื่นชมหยวนกังเป็นอย่างมาก แต่ก็ไม่คิดเลยว่าจะให้ความสำคัญมากขนาดนี้
หยวนกังกล่าวว่า “หากข้าไม่ได้มาด้วยมีจุดประสงค์แอบแฝง ข้าก็คงตอบรับความเมตตาของท่านแม่ทัพไว้ได้ แต่ในเมื่อเจ้าเองก็รู้ฐานะของข้าแล้ว น่าจะเข้าใจดีว่านับตั้งแต่ที่ข้ามาเยือนเมืองหลวงแคว้นฉี นั่นก็นับว่าข้าได้เลืองทางเดินไปแล้ว”
ฮูเหยียนเวยเอ่ยถาม “ต่อให้สิ้นใจตายร่างแหลกเหลวก็ตามน่ะหรือ?”
“ขอเพียงจิตใจสัตย์ซื่อไร้ละอายก็พอ!” หยวนกังเอ่ยตอบอย่างเยือกเย็น จากนั้นชี้ไปทางซูจ้าว “ข้าจะรอดไปได้หรือไม่ไม่สำคัญ แต่นางไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ พลอยเดือดร้อนไปด้วยเพราะข้า โปรดปล่อยนางไปด้วย”
ซูจ้าวร้อนใจ “หยวนกัง…”
หยวนกังยกมือพลางเอ่ยตัดบทว่า “ใช้ชีวิตให้ดี แจ้งเต้าเหยี่ยว่าข้าไม่มีความแค้นเคืองต่อตระกูลฮูเหยียน นี่คือเส้นทางที่ข้าเลือกเอง เต้าเหยี่ยต้องเข้าใจแน่”
“เจ้ามันจะไม่รู้จักดีชั่วเกินไปแล้ว!” ฮูเหยียนเวยชี้หน้าหยวนกังพลางสบถด้วยความโกรธ
หยวนกังมองไปที่เขา เฝ้ารอคำตอบจากเขา
สองฝ่ายที่เผชิญหน้ากันตกอยู่ในความเงียบ ผ่านไปครู่หนึ่งฮูเหยียนเวยจึงยกมือขึ้นมาที่เอว ปลดป้ายคำสั่งชิ้นหนึ่งลงมา โยนออกไปด้านหน้า
หยวนกังคว้าไว้แล้วมองเล็กน้อย ไม่เข้าใจว่ามีเจตนาอย่างไร
ฮูเหยียนเวยอธิบายว่า “ก่อนที่เจ้าจะพ้นจากแคว้นฉี หากพบการสกัดกั้นจากคนของราชสำนักอีก ก็ให้แสดงป้ายคำสั่งนี้เพื่อผ่านไปได้ หากพบปัญหาเดือดร้อนก็สามารถใช้ป้ายคำสั่งนี้ขอความช่วยเหลือจากกองกำลังของราชสำนักได้”
กล่าวจบก็บังคับม้าหักเลี้ยว สองเท้ากระทุ้งสีข้างม้าเล็กน้อย ตะโกนเสียงดัง “ไป!”
เขาควบม้านำหน้า พุ่งฝ่าวงล้อมออกไปก่อน เสื้อคลุมปลิวสะบัด
เหล่าผู้คุ้มกันที่ติดตามมาก็จากไปด้วย
เมื่อได้รับคำสั่ง กองทัพใหญ่ที่ปิดล้อมอยู่ต่างบังคับม้าหักเลี้ยว ติดตามฮูเหยียนเวยจากไป
เสียงฝีเท้าม้ากึกก้องแว่วห่างไกลออกไป กองทหารที่เข้าปิดล้อมไปมาดั่งวายุ พริบตาเดียวก็แยกย้ายไปจนหมดสิ้น
ซูจ้าวตะลึงงัน มองรอบข้างที่ว่างเปล่า ค่อนข้างมึนงง กองทัพใหญ่ลำบากลำบนเสียเวลาไล่ตามมา สุดท้ายก็เพียงเท่านี้อย่างนั้นหรือ?
สำหรับผู้บำเพ็ญเพียรอย่างนางแล้ว เรื่องบางเรื่องนั้นไม่อาจเข้าใจได้
หยวนกังเฝ้ามองขบวนม้าอันยิ่งใหญ่จากไป จนกระทั่งไม่เห็นร่องรอยและไร้ซึ่งเสียงฝีเท้าม้าอย่างสิ้นเชิงแล้ว ริมฝีปากเขาถึงได้เม้มแน่นขึ้นมาเล็กน้อย บีบป้ายคำสั่งภายในมือไป พลันบังคับม้าหักเลี้ยวแล้วเอ่ยว่า “ไป!”
ชายหญิงทั้งสองควบม้าต่อไปภายในแสงจันทรา…
….
ณ วังหลวงในช่วงเช้าวันใหม่
เฮ่าอวิ๋นถูที่ตื่นแต่รุ่งสางเปิดประตูออกมา ยืนยืดเส้นยืดสายอยู่ใต้ชายคา ปู้สวินที่เฝ้ารออยู่หน้าประตูผายมือเชิญเขาไปรับประทานอาหารเช้า
ระหว่างทางปู้สวินได้รายงานว่า “อันไท่ผิงผู้นั้น หรือก็คือหยวนกัง ถูกคนของแม่ทัพใหญ่สกัดไว้เมื่อคืนนี้ แต่ก็ถูกท่านแม่ทัพสามปล่อยตัวไปอีกครั้งพ่ะย่ะค่ะ…” เขารายงานข่าวการสกัดจับเมื่อคืนอย่างละเอียด
ส่วนแม่ทัพสามนั้นเป็นยศที่ประทานให้ฮูเหยียนเวย ฮูเหยียนเวยมิได้แต่งเข้ามาเป็นราชบุตรเขยของราชวงศ์ แต่แต่งเฮ่าชิงชิงเป็นภรรยาอย่างเปิดเผย เฮ่าชิงชิงเป็นฝ่ายออกเรือนแต่งเข้าตระกูลฮูเหยียน เรื่องนี้นับว่ามีความแตกต่างกันเป็นอย่างมาก ผู้ที่เข้ามาเป็นราชบุตรเขยจะถูกจำกัดเส้นทางอนาคต ถูกควบคุมเรื่องการรับอนุภรรยานางบำเรอ แต่เมื่อเฮ่าชิงชิงเป็นฝ่ายออกเรือนก็ไม่มีปัญหาในด้านนี้อีกต่อไป
“เรียกระดมกำลังทหารนับพันจนเกิดเหตุอึกทึกครึกโครมเช่นนั้น แต่กลับปล่อยตัวไปอีกครั้งอย่างนั้นหรือ?” เฮ่าอวิ๋นถูแปลกใจเล็กน้อย เขาหยุดอยู่หน้าเสาต้นหนึ่งพลางใช้ความคิดอยู่สักพัก ก่อนจะเอ่ยเนิบๆ ขึ้นมา “หยวนกังคนนี้เป็นมาอย่างไร ไฉนแม่ทัพใหญ่ถึงให้ความสำคัญขนาดนี้?艾琳小說
ปู้สวินเอ่ยว่า “หน่วยข่าวกรองก็ไม่ทราบแน่ชัดพ่ะย่ะค่ะ ทราบเพียงว่าคนผู้นี้เป็นลูกน้องคนสนิทของหนิวโหย่วเต้า ไม่มีเบาะแสหรือเรื่องราวอื่นใดให้นำมาวิเคราะห์ตรวจสอบเพิ่มได้เลย แต่ก็เห็นได้ชัดว่าการที่แม่ทัพใหญ่ก่อเรื่องใหญ่เช่นนี้ขึ้นนั้นมิได้มีเจตนาจะสังหารเขา ซ้ำยังมอบป้ายคำสั่งให้แล้วปล่อยตัวไป แล้วก็คล้ายจะอยากเตือนหยวนกังคนนั้นเช่นกันว่าแม้ทัพบัญชาการมีกำลังพอจะสังหารเขาได้ เพียงแต่ไม่คิดจะสังหารก็เท่านั้น! แม่ทัพใหญ่ส่งท่านแม่ทัพสามไปเพื่อแสดงความกรุณาต่อหยวนกังคนนั้นพ่ะย่ะค่ะ”
เฮ่าอวิ๋นถูเอ่ยถาม “บุตรชายคนโตและคนรองของตระกูลฮูเหยียนมิได้ไปอย่างนั้นหรือ?”
ปู้สวินเอ่ยตอบ “ไม่ได้ไปพ่ะย่ะค่ะ”
เฮ่าอวิ๋นถูยิ้มออกมา “ดูเหมือนแม่ทัพใหญ่จะตัดสินใจได้แล้ว ตัดสินใจจะให้การสนับสนุนลูกเขยคนนี้ของข้าแล้ว ยอดเยี่ยมมาก!”
ปู้สวินพยักหน้ารับเล็กน้อย จากเหตุการณ์บุกทลายเรือนเมฆาขาวเมื่อคืนนี้ก็มองออกแล้วว่าฮูเหยียนอู๋เฮิ่นประกาศจุดยืนอย่างเป็นทางการแล้ว
“เรียกระดมกำลังกลางเมืองอย่างปุบปับมันออกจากผิดกฎไปเสียหน่อย ในท้องพระโรงวันนี้เกรงว่าเจ้าห้าคงจะสร้างปัญหาให้แม่ทัพใหญ่แน่ แม่ทัพใหญ่แสดงความจริงใจให้เห็นแล้ว ข้าไม่อาจนิ่งเฉยดูดายได้ ทางฝั่งเจ้าห้านั้นเจ้าไปจัดการทีเถอะ” เฮ่าอวิ๋นถูยกแขนเสื้อขึ้นแล้วเดินอาดๆ จากไป ไปรับประทานมื้อเช้าอย่างอารมณ์ดี
เป็นไปตามที่คุยกันไว้ ก่อนว่าราชการช่วงเช้า ปู้สวินได้มาคอยอยู่ด้านในของประตูวังแล้ว
เฮ่าอวิ๋นเซิ่งที่เดินกะเผลกๆ ผ่านประตูวังเข้ามาถูกปู้สวินเชิญออกไปคุยกันอีกด้านหนึ่ง สอบถามถึงเรื่องราวเมื่อคืนนี้ เฮ่าอวิ๋นเซิ่งย่อมโกรธเคืองขุ่นข้องเป็นธรรมดา
“ท่านอ๋องใจเย็นๆ เถิดพ่ะย่ะค่ะ เรื่องเรือนเมฆาขาวอย่าสืบสวนเอาความต่อเลยจะดีกว่าพ่ะย่ะค่ะ”
“ไม่สืบสวนเอาความหรือ? ทุกเรื่องราวภายในเมืองหลวงล้วนอยู่ใต้กฎหมาย หากเรือนเมฆาขาวมีความผิดอันใดที่สมควรถูกจับ ถูกสังหารหรือควรถูกตัดสินโทษก็ต้องให้ทางการเข้าไปจัดการ เคลื่อนพลกองทัพมาด้วยเหตุใด? ซ้ำยังสำเร็จโทษผู้บริสุทธิ์ที่ยังไม่ผ่านกระบวนการไต่สวนต่อหน้าข้าอีก หากไม่จำกัดควบคุมทหารในเมืองหลวงแห่งนี้ไว้สักหน่อย หากวันหนึ่งมีคนคิดชั่วก่อกบฏขึ้นมาจะทำอย่างไร? เจ้าอย่าได้บอกเชียวนะว่าฝ่าบาทสั่งให้กองทหารเคลื่อนพลเพราะหอนางโลมเพียงแห่งเดียว เช่นนั้นจะมีหน่วยงานราชการต่างๆ ไว้ทำไมเล่า?”
“ท่านอ๋อง ช่วงก่อนหน้านี้มีคนลักลอบขนส่งม้าศึกชุดหนึ่งออกไป ตั้งใจขนส่งไปให้เซ่าเติงอวิ๋นแห่งมณฑลเป่ยโจว เมื่อตรวจสอบดูแล้ว พบว่าผู้อยู่เบื้องหลังคือซูจ้าวเถ้าแก่เรือนเมฆาขาว ส่วนซูจ้าวคนนี้ยังมีฐานะอื่นที่ลึกลับไม่อาจเปิดเผยได้ ที่ไม่ได้ให้ทางการเข้าดำเนินคดี เพราะฝ่าบาททรงคิดว่าเรื่องบางอย่างอย่าให้คนรู้มากไปจะดีกว่า บ่าวขอกล่าวเพียงเท่านี้ ขอตัวลาก่อนพ่ะย่ะค่ะ!” ปู้สวินประสานมือคำนับอย่างนอบน้อมแล้วหันหลังเดินจากไป
เฮ่าอวิ๋นเซิ่งตะลึงงันอยู่กับที่ ค่อยๆ สั่นสะท้านขึ้นมาด้วยความหวาดหวั่น ตอนนี้เพิ่งจะรู้สึกตัวขึ้นมาได้ว่าทุกอย่างล้วนอยู่ในการควบคุมของใครบางคนมาโดยตลอด
เดิมทีเขาได้ปลุกระดมขุนนางใหญ่บางส่วนในราชสำนักตลอดทั้งคืน เพื่อร่วมมือกันสร้างปัญหาให้ฮูเหยียนอู๋เฮิ่นในท้องพระโรงวันนี้
ไม่ได้ทำไปเพื่อระบายโทสะเท่านั้น แต่เป็นเพราะโอกาสเช่นนี้หาได้ยากเช่นกัน เรื่องในครั้งนี้ฮูเหยียนอู๋เฮิ่นทำเกินไปหน่อยจริงๆ ทำให้ขุนนางใหญ่มากมายในราชสำนักรู้สึกไม่สบายใจ หากวันหน้าฮูเหยียนอู๋เฮิ่นใช้วิธีนี้กับขุนนางใหญ่ในราชสำนักด้วยล่ะก็ คนที่กุมอำนาจทหารไว้เช่นนี้น่ากลัวเกินไปแล้ว
อันที่จริงต่อให้เขาไม่ปลุกระดมยุแยง ขุนนางใหญ่ในราชสำนักเหล่านั้นก็ต้องการทำให้เป็นเรื่องอยู่แล้ว เมื่อเรื่องราวเกี่ยวพันถึงความปลอดภัยและผลประโยชน์ของตน คนเหล่านั้นจะมีใครนิ่งเฉยดูดายได้เล่า?
ทว่าตอนนี้ มีคนส่งคำเตือนให้เขาแล้ว หากว่าเขาไม่จัดการทำให้เหล่าขุนนางราชสำนักเหล่านั้นสงบเสงี่ยมลง อีกฝ่ายก็จะคิดบัญชีทั้งหมดกับเขา เมื่อถึงเวลานั้นย่อมไม่เกิดเหตุอะไรขึ้นกับฮูเหยียนอู๋เฮิ่น แต่จะเกิดขึ้นกับเขาแทน อีกฝ่ายสามารถจัดการเขาอย่างมีเหตุผลชอบธรรมได้ทุกเมื่อ
ตอนนี้เขาเพิ่งจะเข้าใจขึ้นมาว่าอำนาจควบคุมจวนประจิมที่เขาทุ่มเทกำลังแย่งชิงมานั้นมิได้ขึ้นอยู่กับเขาเลย หากแต่อยู่ในมือของคนอื่น ซีย่วนต้าอ๋องอย่างเขาเป็นเพียงตัวหมากในมือของใครบางคนเท่านั้น เมื่อถึงเวลาที่ต้องการ อีกฝ่ายสั่งให้เขาไปทางซ้าย เขาย่อมไม่กล้าเลี้ยวไปทางขวา
……
ท่ามกลางแม่น้ำเชี่ยวกรากสายหนึ่ง ซูจ้าวโผล่ขึ้นมาก่อน จากนั้นหยวนกังก็โผล่ตามขึ้นมา
สุดท้ายแล้วปัญหาที่ควรจะเกิดก็ยังคงเกิดขึ้นอยู่ดี คนของหอจันทร์กระจ่างไล่ตามมา โชคดีที่หยวนกังไหวตัวทันสังเกตเห็นความผิดปกติขณะที่จับจ่ายซื้อของที่เมืองเมืองหนึ่ง จึงสลัดคนติดตามทิ้งได้ทันท่วงที
ทว่าหลังจากเปิดเผยร่องรอยไปในครั้งนั้นก็ดูเหมือนทั้งสองจะสลัดการสะกดรอยตามไม่พ้นอีกต่อไป ภายหลังซูจ้าวจึงลากเขากระโดดลงน้ำ หลบหนีมาตลอดทางจนถึงที่นี่
ซูจ้าวที่แช่อยู่ในน้ำซบหน้าลงกับริมฝั่งแล้วร้องไห้ออกมา
หยวนกังเอ่ยถาม “เจ้าเป็นอะไรไป?”
ซูจ้าวส่ายหน้า “พวกเราหนีไม่รอดแล้ว”
หยวนกังมองไปตามกระแสน้ำที่ไหลต่อไป “หากใช้เส้นทางน้ำน่าจะไปต่อได้ ตอนนี้ก็ดูเหมือนจะได้ผลมิใช่หรือ”
ซูจ้าวส่ายหน้ากล่าวไปว่า “ไม่มีประโยชน์ เจ้าบอดน่าจะมาแล้ว หากเจ้าบอดจับทิศทางของพวกเราไม่ได้ พวกเขาน่าย้อนกลับมาแล้วส่งคนไปดักสกัดด้านหน้าไว้ หากว่ามุ่งหน้าต่อไปย่อมต้องปะทะกับพวกเขากลางทางแน่”
หยวนกังถาม “เจ้าบอดอันใด?”
ซูจ้าวตอบว่า “ชื่อจริงคืออะไรหรือมีความเป็นมาอย่างไร ข้าเองก็ไม่ทราบ รู้เพียงว่าประสาทรับกลิ่นเฉียบไวแต่กำเนิด เพียงตามกลิ่นไปก็สามารถค้นหาเป้าหมายทุกอย่างพบ เจ้าบอดคุ้นเคยกับกลิ่นของข้า ตลอดเส้นทางนี้เขาน่าจะรับรู้ถึงกลิ่นของเจ้าที่อยู่ด้วยกันกับข้าแล้ว พวกเราหนีไม่รอดแล้ว เป็นข้าที่ทำเจ้าเดือดร้อน”
นางไม่รู้ว่าหนิวโหย่วเต้าทำข้อตกลงกับหอจันทร์กระจ่างแล้ว มิเช่นนั้นเกรงว่าคงบอกให้หยวนกังจากไปเสีย
หยวนกังถาม “เจ้าบอกว่าเต้าเหยี่ยก็หนีรอดจากการตามล่าของหอจันทร์กระจ่างมิใช่หรือ? เหตุใดเต้าเหยี่ยถึงทำได้ล่ะ? หรือว่าในการไล่ล่าครั้งใหญ่เช่นนั้นมิได้ใช้งานเจ้าบอดที่เจ้าพูดถึง?”
ตอนที่เซ่าผิงปอสังหารพวกอนุหร่วนแม่ลูก ช่วงนั้นเขากำลังทุ่มเทจิตใจฝึกฝนบรรดาลูกน้องอยู่ จึงพลาดข่าวบางอย่างไป มิเช่นนั้นต้องทราบเหตุผลแน่นอน
ซูจ้าวส่ายหน้าเอ่ยไปว่า “ข้าก็ไม่รู้ ตามหลักแล้วจะต้องเรียกใช้แน่ หรืออาจเป็นไปได้ว่าเต้าเหยี่ยคนนั้นของเจ้ามากเล่ห์เกินไป ไม่หลงเหลือสิ่งใดที่เจ้าบอดคนนั้นจะใช้ตามกลิ่นได้ ได้ยินว่าหลังจากเขาหยุดพักที่พื้นที่เลี้ยงสัตว์แห่งหนึ่งก็ได้วางเพลิงเผาสถานที่ที่ตนเคยพักจนวอดวาย ด้วยความระมัดระวังรอบคอบระดับนี้ เกรงว่าเจ้าบอดเองก็คงไม่มีช่องให้ลงมือ”
…………………………………………………………………