ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า - ตอนที่ 404 สายลมพัดโชยมาอีกครั้ง
ตอนที่ 404 สายลมพัดโชยมาอีกครั้ง
เหตุการณ์เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน ผู้ใดก็คาดไม่ถึงว่าหางที่ใหญ่โตราวกับเสาค้ำนภาของราชาแมงป่องทรายจะเคลื่อนไหวปราดเปรียวเช่นนี้
“กรู้ว!” วิหคยักษ์ที่โฉบต่ำลงไปพลันร้องด้วยความหวาดกลัว หลบหลีกหางขนาดใหญ่ที่โจมตีเข้ามาพร้อมสายลมกระโชกไม่ทันแล้ว
“ไป!” ชายไว้เคราพลันอุทานขึ้นมา
สถานการณ์เร่งด่วน ทั้งสามรีบแยกย้ายกันออกจากหลังวิหคยักษ์ เวลานี้ต่างต้องหนีเอาชีวิตรอด จึงไม่มีผู้ใดสนใจผู้ใดอีก การโจมตีนั้นเพียงแค่มองก็รู้แล้วว่าสามารถเอาชีวิตคนได้จริงๆ
ผัวะ! หยาดโลหิตสาดกระจายกลางอากาศ ขนนกปลิวว่อน วิหคยักษ์ถูกหางใหญ่ยักษ์นั้นฟาดใส่ ไม่ทันแม้แต่จะกรีดร้องออกมาด้วยซ้ำ
จากนั้นหางที่ใหญ่ราวกับเสาค้ำนภาก็เหวี่ยงเป็นวงกลางอากาศ ฟาดไปทางเจ้าบอดที่ไร้ดวงตาจึงไม่รู้ว่าร่วงหล่นไปในทิศทางใด
ทิศทางที่เจ้าบอดลอยออกไปคือทิศทางที่ราชาแมงป่องทรายกำลังมุ่งหน้าไปพอดี
หางแมงป่องสีเหลืองทองราวกับเหล็กหมาดสีทองขนาดใหญ่อันหนึ่ง ทอแสงทองอร่ามอยู่ภายใต้แสงตะวัน พุ่งแทงออกไปจนเกิดเสียงหวีดหวิว
โสตรับเสียงของเจ้าบอดยังคงยอดเยี่ยม รับรู้ได้ถึงอันตราย จึงพลิกตัวซัดฝ่ามือออกไปอย่างเต็มแรง หวังจะหยิบยืมแรงในการหลบหลีกอยู่กลางอากาศ
“เจ้าบอด!”
ชายไว้เคราและชายไร้เคราอุทานออกมาแทบจะพร้อมเพียงกัน หลังรอดพ้นจากอันตรายแล้ว ทั้งสองถึงได้รู้สึกตัวว่าในสถานการณ์เช่นนี้เป็นอันตรายต่อเจ้าบอดที่มองไม่เห็นมากนัก
แก๊ง! หางสีเหลืองทองแหลมคมเจาะทำลายปราณฝ่ามือนั้นลงได้อย่างง่ายดาย จากนั้นแทงเข้าไปในอกของเจ้าบอดจนเกิดเสียงดังสวบในทันใด
“อ๊าก!” เจ้าบอดที่ห้อยค้างอยู่บนเข็มพิษขนาดใหญ่มหึมาร้องโหยหวนขึ้นมา แขนขาสะบัดตะเกียกตะกาย
สองก้ามยื่นออกไปรับเหยื่อมาจากปลายหาง หย่อนเข้าปากไปทั้งตัว เขมือบเจ้าบอดเข้าไปทั้งเป็นท่ามกลางสายตกตะลึงของทุกคน
เรื่องนี้เกิดขึ้นแทบจะในชั่วพริบตาเท่านั้น
ชายหญิงที่อยู่บนหลังวิหคขนหลากสีที่ไล่ตามมาก็ได้รู้ซึ้งถึงพลังโจมตีและการป้องกันอันแข็งแกร่งของราชาแมงป่องทรายแล้ว ต่างสบตากันอย่างเงียบๆ
ราชาแมงป่องทรายยังคงวิ่งตะลุยมุ่งไปด้านหน้า หยวนกังที่อุ้มซูจ้าวไว้เหลียวหน้ากลับไปมอง ร่างกายท่อนบนที่เปลือยเปล่าเปรอะเปื้อนคราบโลหิต ผมสยายปลิวไปตามลม
ชายไว้เคราและชายไร้เคราเหินทะยานขึ้นๆ ลงๆ อยู่ท่ามกลางฝูงแมงป่องทรายเพื่อหลบหลีกการโจมตี สีหน้าดูแย่เป็นอย่างยิ่ง
สำหรับหอจันทร์กระจ่างแล้ว เจ้าบอดคือสมบัติล้ำค่า เป็นคนสำคัญที่ต้องปกป้องไว้ให้ดี แต่ตอนนี้กลับต้องเสียอีกฝ่ายไปเพราะการกิจในครั้งนี้ กลับไปครั้งนี้ทั้งสองคงยากจะแก้ตัวได้จริงๆ
โชคยังดีที่เจ้าบอดตายเพราะราชาแมงป่องทรายที่พบเห็นได้ยาก นี่เป็นเรื่องสุดวิสัยที่อยู่เหนือการควบคุม พอจะใช้แก้ตัวได้ในระดับหนึ่ง
ปัญหาในตอนนี้คือเป้าหมายได้รับการปกป้องจากราชาแมงป่องทราย การโจมตีของราชาแมงป่องทรายเมื่อครู่นี้ ทั้งสองต่างได้เห็นแล้ว หนำซ้ำยามนี้ทั้งสองก็ตกอยู่ท่ามกลางกองทัพแมงป่องทราย ไม่มีที่ให้เหยียบเท้าเหินทะยาน หากเสียเวลาอยู่เช่นนี้ต่อไป ทันทีที่พลังปราณร่อยหรอลง ทั้งสองต้องตายอย่างไร้ที่ฝังศพแน่นอน
เมื่อถึงเวลานั้นอย่าว่าแต่ราชาแมงป่องทรายเลย แค่ฝูงแมงป่องทรายก็สามารถสังหารพวกเขาได้แล้ว
ในที่สุดทั้งสองก็ต้องหยุดการตามล่า กระทั่งกองทัพแมงป่องทรายทางด้านล่างเคลื่อนผ่านไปดั่งกระแสน้ำหลากแล้ว ทั้งคู่ก็ร่อนลงสู่พื้นทราย เฝ้ามองราชาแมงป่องทรายวิ่งฝุ่นตลบจากไปไกลพร้อมกับเหล่าแมงป่องทรายจำนวนมหาศาลที่ติดตามไปด้วย ทั้งสองไม่จำเป็นต้องปลืองกำลังเพื่อไล่ตามอีกต่อไป ทำได้เพียงมองดูเป้าหมายหลบหนีไปโดยไม่อาจทำอะไรได้
…….
หยวนกังที่ผมปลิวสะบัดยุ่งเหยิงก็มองไปทางด้านหลังเช่นกัน จากนั้นก็เงยหน้ามองขึ้นไปบนอากาศ ไม่รู้ว่าอีกสองที่อยู่บนวิหคยักษ์ขนหลากสีใช่ศัตรูหรือไม่ แต่เมื่อมองจากเครื่องแต่งกายแล้ว ดูไม่คล้ายคนของหอจันทร์กระจ่างที่ตามไล่ล่ามาก่อนหน้านี้
“คนผู้นี้เป็นใครกันแน่?” สตรีที่อยู่บนหลังวิหคยักษ์ขนหลากสีมองหยวนกังที่อุ้มคนอยู่ด้านล่างพลางเอ่ยถาม
ชายคนนั้นก็จ้องมองเช่นกัน เอ่ยเสียงเรียบว่า “ไม่ทราบขอรับ ข้าก็เพิ่งเคยเจอคนที่สามารถควบคุมแมงป่องทรายได้เป็นครั้งแรก เรื่องควบคุมราชาแมงป่องทรายยิ่งไม่เคยยลยินมาก่อนเลย”
ฝ่ายสตรีถามออกไป “พวกเขาจะไปที่ใด?”
ชายคนนั้นตอบว่า “ไม่ทราบขอรับ”
คนในอ้อมแขนขยับตัวเล็กน้อย ดูเหมือนจะถูกสายลมกระโชกที่พัดโบกเข้ามาตลอดทางปลุกให้ฟื้น หยวนกังก้มหน้ามอง
เขาเห็นซูจ้าวลืมตาขึ้นแล้ว พวงแก้มแดงเรื่อ สองเนตรสดใสขึ้นมาอย่างน่าประหลาด แววตาไม่ได้มืดมนไร้แววเช่นก่อนหน้านี้อีก
ภาพนี้ทำให้หยวนกังใจหายวาบ เขาเคยเผชิญกับสถานการณ์เช่นนี้มาก่อน เสมือนแสงสายัณห์ก่อนที่ตะวันจะลาลับ
ซูจ้าวมองเห็นกองทัพแมงป่องทรายวิ่งยั้วเยี่ย แต่กลับไม่เข้าใจว่าตนอยู่บนสิ่งใดถึงได้เคลื่อนที่ไปด้วยความเร็วสูง หยวนกังที่โอบอุ้มนางอยู่ก็ไม่ได้ขยับเขยื้อนเลยชัดๆ ไม่คล้ายว่ากำลังวิ่งอยู่เลย
ร่างกายของราชาแมงป่องทรายใหญ่โตมโหฬารอย่างมากจริงๆ หากไม่ได้อยู่ในระยะไกลแล้วมองเข้ามาหรือไม่ทราบเรื่องราวมาก่อนก็คงจะนึกไม่ออกจริงๆ
นางถามเสียงเบา “พวกเราอยู่ที่ไหนเหรอ?”
ไม่สามารถเล่าเรื่องราวให้กระจ่างได้ภายในไม่กี่ประโยค หยวนกังจึงเอ่ยให้ปลอบโยนไปว่า “อดทนอีกนิด พวกเราพ้นอันตรายแล้ว อีกไม่นานก็จะไปถึงหอไร้ขอบเขตแล้ว”
“พ้นอันตรายแล้วหรือ?” ซูจ้าวกะพริบตา ยิ้มน้อยๆ เอ่ยออกมาว่า “ดีจริงๆ!”
ดวงตานางจ้อมองไปที่เขา ใบหน้าแต้มรอยยิ้มจางๆ ทว่ามีโลหิตไหลซึมออกมาจากมุมปากอีกครั้ง
หยวนกังตระหนักได้ถึงอะไรบางอย่าง จู่ๆ ก็เงยหน้าขึ้นแล้วแผดร้องเสียงดัง “อ๊าก!”
ท่ามกลางทะเลทรายเกิดเสียงอึกทึกครึกโครมดังสวบสาบขึ้นพักหนึ่ง ราชาแมงป่องทรายหยุดวิ่งอย่างกะทันหัน หยวนกังยื่นเท้าข้างหนึ่งเหยียบลงบนส่วนที่นูนขึ้นมาจากเปลือกหุ้มของราชาแมงป่องทรายจึงไม่ถูกเหวี่ยงจนกระเด็นออกไป พยายามรักษาสมดุลร่างกายไว้เพื่อลดความเจ็บปวดให้ซูจ้าว
ราชาแมงป่องทรายส่ายหางอย่างเร่งร้อน เกิดเสียงดังหึ่งๆ ขึ้นมา
กองทัพแมงป่องทรายที่วิ่งตะลุยอยู่ก็รีบหยุดลงทันที แต่ก็มีแมงป่องทรายจำนวนไม่น้อยที่พุ่งชนกันจนพลิกหงาย
วิหคยักษ์ขนหลากสีบินวนรอบหนึ่งแล้วกลับมาอีกครั้ง บินวนอยู่บนฟ้าโดยรักษาระยะห่างที่ปลอดภัยไว้
หยวนกังเงยหน้าตะโกนขึ้นไปฟ้า “กล้าลงมาคุยกันหรือไม่?”
บุรุษที่อยู่บนหลังวิหคยักษ์ขนหลากสีใช้พลังขยายเสียง “ไยจะไม่กล้า?”
พอกล่าวจบ วิหคยักษ์ขนหลากสีที่บินวนอยู่ก็ลดระดับลงมา
ฝ่ายสตรีหันไปมองฝ่ายชายเล็กน้อย รู้ดีว่าในเมื่อเขากล้าเข้าใกล้เช่นนี้ ก็แปลว่าเขาไม่ได้กลัวราชาแมงป่องทรายเลย
ทว่าวิหคยักษ์ขนหลากสีคล้ายจะค่อนข้างหวาดกลัวราชาแมงป่องทราย พอลดระดับความสูงลงไปได้ระยะหนึ่งก็ไม่กล้าบินต่ำลงไปกว่านั้นอีก มันส่งเสียงร้อง “กรูกรู” ออกมาอย่างคับข้องใจ
ฝ่ายชายยื่นมือออกไปคว้าแขนฝ่ายสตรีแล้วกระโดดลงไป ร่อนลงบนร่างของราชาแมงป่องทราย
วิหคยักษ์ขนหลากสีเสมือนยกภูเขาออกจากอกในทันใด เหินขึ้นสู่อากาศอีกครั้ง
สัมผัสแรกที่สองชายหญิงรู้สึกได้หลังจากร่อนลงบนร่างราชาแมงป่องทรายคือเหมือนเหยียบลงบนศิลาแข็งทื่อ จากนั้นทั้งสองต่างมองพินิจหยวนกัง
ฝ่ายสตรีมองซูจ้าวที่อยู่ในอ้อมแขนของหยวนกังอยู่ครู่ จากนั้นค่อยเพ่งพิศดูชายหนุ่มร่างกายกำยำลำสันที่เปี่ยมด้วยกลิ่นอายป่าเถื่อนเสมือนหลุดออกมาจากยุคดึกดำบรรพ์คนนี้ต่อ
หยวนกังเองก็พินิจดูพวกเขาทั้งสองอยู่เช่นกัน สุดท้ายก็ถามออกไป “พวกเจ้าใช่คนของหอจันทร์กระจ่างหรือไม่?”
ชายหญิงสบตากันอีกครั้ง พบเบาะแสบางอย่างจากวาจานี้ ฝ่ายชายตอบว่า “ไม่ใช่! คนที่ตามล่าเจ้าก่อนหน้านี้คือคนของหอจันทร์กระจ่างหรือ?”
นี่คือคำตอบที่หยวนกังต้องการ เขาเดินลงมาจากส่วนหัวของราชาแมงป่องทราย อุ้มซูจ้าวเดินมาหยุดตรงหน้าคนทั้งสอง เอ่ยไปว่า “นางทนต่อไปไม่ไหวแล้ว ข้าไม่ใช่ผู้บำเพ็ญเพียร ข้าไม่สามารถรักษาอาการบาดเจ็บของนางได้ ช่วยรักษานางให้ข้าที! ขอเพียงรักษานางให้หายดีได้ ไม่ว่าพวกเจ้าจะให้ทำเรื่องใด ขอเพียงเป็นสิ่งที่ข้าทำได้ ข้าล้วนยอมรับทั้งสิ้น ไม่มีทางกลับคำแน่นอน!”
ซูจ้าวกะพริบตาปริบๆ มองดูเขา หยาดน้ำตาเอ่อคลอในดวงตา ตั้งแต่แรกเริ่มจนถึงยามนี้ ชายคนนี้ล้วนไม่เคยทอดทิ้งนางเลย
ในรอยยิ้มน้อยๆ ของนางมีประกายน้ำตาปรากฏขึ้นมา นางไม่เสียใจเลยจริงๆ ที่เลือกติดตามชายผู้นี้ แม้จะต้องเผชิญกับภัยอันตรายเช่นนี้ก็ไม่เสียใจเลยจริงๆ
สตรีที่อยู่ตรงหน้าก็กะพริบตาปริบๆ เช่นกัน จ้องหยวนกังเขม็ง
ฝ่ายชายเอ่ยด้วยความแปลกใจ “เจ้าไม่ใช่ผู้บำเพ็ญเพียรอย่างนั้นหรือ?”
หยวนกังตอบว่า “ไม่ใช่! ขอเพียงรักษานางให้หายดีได้ ข้ายอมรับปากพวกเจ้าทุกอย่างโดยไม่ตั้งเงื่อนไขใดๆ ช่วยนางก่อนเถิด!” ยากจะปกปิดน้ำเสียงวิงวอนในวาจาไว้ได้
ฝ่ายชายที่สุขุมเยือกเย็นมาตลอด เวลานี้ดูตกใจอย่างค่อนข้างเห็นได้ชัด เขาค่อนข้างคาดไม่ถึงเลย ไม่ใช่ผู้บำเพ็ญเพียร แต่สามารถควบคุมแมงป่องทรายได้ ซ้ำยังควบคุมราชาแมงป่องทรายได้อีกอย่างนั้นหรือ?
แต่เขาก็มองออกเช่นกันว่าในช่วงเวลาเช่นนี้ หยวนกังไม่จำเป็นต้องโกหกตนเลย
ขณะเดียวกันก็มองออกว่าซูจ้าวใกล้จะไม่ไหวแล้วจริงๆ จึงชี้ลงไปด้านล่างในทันใด “วางคนลงก่อน!”
หยวนกังย่อตัวคุกเข่าข้างหนึ่งลง วางซูจ้าวนอนราบลงบนร่างของราชาแมงป่องทรายอย่างระมัดระวัง จากนั้นโยนดาบออกไปห่างตัวเล็กน้อย
เขาสละอาวุธเพื่อแสดงว่าตนไม่ได้มีเจตนาร้าย จากนั้นผายมือเชิญบุรุษที่อยู่ตรงหน้าให้เข้ามาช่วยรักษา
ฝ่ายสตรีจ้องมองดาบสามคำราม เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยดฮณ๊ฯดฯฌซ,
บุรุษที่สะพายกระบี่ไว้ด้านหลังก็คุกเข่าลงข้างหนึ่งเช่นกัน ยื่นมือออกไปตรวจสอบอาการบาดเจ็บของซูจ้าว ขณะที่กำลังตั้งใจตรวจอาการอยู่ จู่ๆ เขาก็หันไปมองใบหน้าของซูจ้าว ม่านตาหดตัวเล็กน้อย
ดวงตาของซูจ้าวปิดสนิทแล้ว มีคราบน้ำตาไหลออกมาจากหางตา คอพับเอียงไปด้านข้างอย่างไร้เรี่ยวแรง
ฝ่ายชายค่อยๆ ละมือออกจากร่างของซูจ้าว เงยหน้าขึ้นช้าๆ มองไปทางหยวนกังที่กำลังจ้องมองซูจ้าวอยู่ ถอนหายใจแล้วเอ่ยไปว่า “ขออภัยจริงๆ สายเกินไปแล้ว ข้าไม่มีกำลังพอจะช่วยเหลือได้ นางจากไปแล้ว” กล่าวจบก็ค่อยๆ ลุกขึ้นยืน ถอยหลังไปก้าวหนึ่ง กลับไปอยู่ข้างกายสตรีนางนั้น
หยวนกังเงียบงันไม่เปล่งเสียง เขามองเห็นแล้ว มือของซูจ้าวที่จับมือเขาเอาไว้คลายออกไปอย่างไร้เรี่ยวแรง เขาจึงทราบแล้ว
วิหคยักษ์ขนหลากสียังคงบินวนเวียนอยู่กลางอากาศ
สองชายหญิงยืนเคียงข้างกัน มองไปที่เขา พลางมองดูกองทัพแมงป่องทรายรอบทิศที่หมอบนิ่งอยู่บนพื้นทราย คิดไม่ถึงว่าจะเชื่องเชื่อถึงเพียงนี้
สีหน้าหยวนกังเรียบเฉย คุกเข่าข้างหนึ่งลงข้างกายซูจ้าว จ้องมองซูจ้าวอยู่เนิ่นนาน
สุดท้ายเขาฉีกเอาเศษผ้าผืนหนึ่งออกมาจากกางเกงที่ขาดรุ่งริ่ง เช็ดคราบเลือดตรงมุมปากและบนใบหน้าของซูจ้าว
คราบเลือดบางส่วนแห้งกรังไปแล้ว ทำให้เช็ดไม่ออก
ฝ่ายสตรียกมือส่งสัญญาณเล็กน้อย ฝ่ายชายปลดถุงหนังบรรจุน้ำบริสุทธิ์ใบหนึ่งออกมาจากเอว โยนไปตรงหน้าหยวนกัง
หยวนกังเองก็ไม่เกรงใจเช่นกัน โยนเศษผ้าเปื้อนเลือดในมือทิ้ง จากนั้นฉีกเศษผ้าอีกชิ้นออกมาจากขากางเกง หยิบถุงหนังบรรจุน้ำขึ้นมาเปิดจุก เทน้ำลงบนเศษให้เปียกหมาด เช็ดทำความสะอาดใบหน้าให้ซูจ้าวต่อ
หลังจากนั้นหยวนกังอุ้มซูจ้าวที่สองมือห้อยตกไร้เรี่ยวแรงขึ้นมาอีกครั้ง กวาดตามองไปรอบทิศ ทะเลทรายกว้างใหญ่เวิ้งว้าง จะไปไหนดีเล่า?
“โฮ!” หยวนกังพลันเงยหน้าแผดเสียงร้องอันโศกหมองออกมา เรือนผมยาวปลิวสะบัดไปตามลม
หางของราชาแมงป่องทรายสั่นไหวรัวเร็วอีกครั้ง
กองทัพแมงป่องทรายที่อยู่รอบข้างต่างคล้อยตาม ผ่านไปสักพักนึง แมงป่องทรายพากันขุดลงไปใต้ดินโดยมีบริเวณนี้เป็นจุดศูนย์กลาง พากันมุดหายเข้าไปใต้พื้นทราย
กองทัพแมงป่องทรายทยอยหายไปเป็นระลอกเหมือนดั่งเกลียวคลื่น บนผืนทรายเหลือเพียงร่องรอยการขุด
ราชาแมงป่องทรายเริ่มเคลื่อนไหวอีกครั้ง เริ่มวิ่งทะยานมุ่งหน้าไปอย่างรวดเร็ว วิ่งอยู่ท่ามกลางทะเลทรายอันเวิ้งว้างเพียงลำพังโดยไม่มีเพื่อนร่วมเผ่าพันธุ์ สายลมพัดโชยมาอีกครั้ง!
หญิงสาวยืนได้ไม่ค่อยมั่นคง ฝ่ายชายจึงยื่นมือออกไปช่วยพยุงแขนนางไว้ จากนั้นทั้งสองก็มองไปรอบๆ อีกครั้ง ซึมซับความรู้สึกที่ได้ขี่ราชาแมงป่องทรายวิ่งทะยานอยู่ท่ามกลางทะเลทราย มิใช่ทุกคนที่จะมีโอกาสได้ประสบพบพานโอกาสพิเศษเช่นนี้
ไม่มีใครให้ความสนใจดาบสามคำรามเลย ระหว่างที่กระเด้งกระดอนอยู่เป็นระยะ มันค่อยๆ ไถลไปที่ขอบเปลือกหุ้มแผ่นหลังของราชาแมงป่องทราย หยวนกังเองก็ไม่ได้สนใจดาบสามคำรามเช่นกัน
กลับเป็นสตรีนางนั้นที่ชี้ออกไปเล็กน้อย ฝ่ายชายยื่นมือตะปบออกไป ดาบสามคำรามลอยแหวกอากาศเข้ามา อยู่ในมือเขา
สองชายหญิงต่างอยากรู้ว่าหยวนกังและราชาแมงป่องทรายจะพาพวกเขาไปที่ใด
ไม่ทราบเช่นกันว่าวิ่งมานานขนาดไหนแล้ว แต่จู่ๆ ราชาแมงป่องทรายก็หยุดลง ยื่นก้ามทั้งสองข้างแทงลงไปในพื้นทราย ขาทั้งแปดขยับคุ้ยเข้าหากัน พาามนุษย์ทั้งสี่ที่อยู่บนหลังมุดลงไปใต้พื้นทรายพร้อมกัน
ท่ามกลางความส่ายโคลงเคลง เกราะปราณคุ้มกายแผ่ออกมาจากร่างของฝ่ายชาย ช่วยให้สตรีที่อยู่ข้างกายยืนได้อย่างมั่นคง
เมื่อเห็นว่าหยวนกังก็ส่ายโคลงเคลงอยู่เช่นกัน เขาจึงแผ่เกราะปราณคุ้มกายออกไปช่วยปกป้องหยวนกังไว้ด้วย艾琳小說
ในไม่ช้ารอบข้างก็ตกอยู่ท่ามกลางความมืด รับรู้ได้เพียงเสียงไหลเลื่อนของเม็ดทรายรอบด้าน ฝ่ายชายตวัดมือนำไข่มุกราตรีลูกหนึ่งออกมา ทั้งสามถึงได้มองเห็นชัดเจนว่าตนกำลังมุดดิ่งลึกลงไปใต้พื้นทราย
เนื่องจากชายคนนั้นคอยแบกรับแรงกดดันใต้ดินให้ ผนวกกับมีเกราะปราณคุ้มกายของเขาอยู่ หยวนกังและสตรีนางนั้นจึงไม่รู้สึกถึงแรงกดดันใดๆ
ทันใดนั้นราชาแมงป่องทรายหยุดชะงัก ใต้ดินพลันสั่นสะเทือนขึ้นมาเล็กน้อย มีเสียงกระแทกแว่วเข้ามา ดูเหมือนราชาแมงป่องทรายกำลังโจมตีอะไรอยู่
……………………………………………..