ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า - ตอนที่ 405 เสวียนเวยแห่งแคว้นเว่ย
ตอนที่ 405 เสวียนเวยแห่งแคว้นเว่ย
มีทรายจำนวนมหาศาลปิดกั้นอยู่ คนทั้งสามก็มองไม่เห็นเช่นกันว่าราชาแมงป่องทรายกำลังทำอะไรอยู่ รอบข้างล้วนล้อมรอบไปด้วยทราย มองเห็นเพียงว่าสิ่งที่อยู่ใต้เท้ายังคงเป็นร่างของราชาแมงป่องทรายเท่านั้น ซึ่งนี่เป็นเพราะมีพลังของชายสะพายกระบี่ช่วยสกัดไว้ให้
จู่ๆ ก็มีเสียง ‘โผละ’ ดังขึ้นมาภายในโพรง คล้ายกับมีบางสิ่งถูกเจาะทะลวง
ราชาแมงป่องเองก็หยุดนิ่งไปแล้ว
ไม่มีการเคลื่อนไหวต่อ สองชายหญิงมองหน้ากัน ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น
หยวนกังดูเหมือนจะเข้าใจว่าราชาแมงป่องทรายทำอะไรอยู่ เนื่องจากเขาคือผู้ออกคำสั่งต่อราชาแมงป่องทราย เขารู้ดีว่าตนใช้ให้ราชาแมงป่องทรายทำอะไร
ทะเลทรายเวิ้งว้างกว้างใหญ่ ไร้สถานที่กลบฝัง เขาจึงสั่งให้ราชาแมงป่องทรายตามหาสถานที่เหมาะสำหรับฝังร่างของซูจ้าวให้ ดังนั้นเขาจึงรู้ว่ามันทำอะไร
หยวนกังมองกำแพงทรายตรงหน้าแล้วเอ่ยว่า “รบกวนช่วยเปิดเส้นทางด้านหน้าให้ด้วย”
บุรุษผู้คุ้มกันของสตรีนางนั้นก้าวออกไปสองสามก้าว แทงดาบสามคำรามออกไปด้านหน้า ปราณดาบสายหนึ่งพุ่งออกมา ตูม! ปราณดาบทะลวงผ่านกำแพงทรายไปตรงๆ จากนั้นเขาก็ซัดฝ่ามือออกไปคราหนึ่ง ดาบสามคำรามหลุดออกจากมือ หมุนคว้างในอากาศอย่างรวดเร็ว ทำให้ปราณดาบหมนุวนรวมตัวกันอย่างต่อเนื่อง จากนั้นก็พุ่งทะลวงเปิดเส้นทางมืดมิดสายหนึ่งให้
ชายคนนั้นโบกแขนเล็กน้อย พุ่งตัวออกไปคว้าดาบสามคำรามกลับมา เกราะปราณคุ้มกายห่อหุ้มคนทั้งสามไว้พาพวกเขาเข้าไปในโพรงมืดมิดไปพร้อมกัน
เรียกได้ว่าพาทั้งสามพุ่งผ่านไปตามอุโมงค์อันมืดมิดในชั่วพริบตา แสดงให้เห็นถึงพลังปราณและความสามารถในการควบคุมพลังอันเลิศล้ำของชายคนนั้น
ด้านหลังมีเสียงพังถล่มของอุโมงค์อันมืดมิดดังขึ้นมา
ไข่มุกราตรีที่ลอยอยู่ตรงหน้าชายคนนั้นพุ่งออกไปแล้วหล่นลงบนพื้นด้านหน้า
พื้นปูด้วยแผ่นหิน กำแพงศิลาสลักลวดลาย เป็นโถงใต้ดินที่มีขนาดกว้างขวางห้องหนึ่ง คล้ายจะเป็นวังใต้ดินแห่งหนึ่ง
มีแมงป่องทรายขนาดน้อยใหญ่จำนวนมากมายคืบคลานอยู่ในวังใต้ดิน เริ่มแรกต่างกรูกันเข้ามาอย่างรวดเร็ว แต่พอรับรู้ได้ถึงกลิ่นอายของหยวนกังก็พากันถอยกรูดออกไปดั่งกระแสน้ำหลาก
ภายในทรายทางด้านหลังมีเสียงขยับพลิกตัวดังออกมา จากนั้นค่อยๆ เคลื่อนห่างออกไป ทั้งสามคนต่างรับรู้ได้ว่าเหมือนราชาแมงป่องทรายจะจากไปอย่างเงียบๆ แล้ว
มีแสงสว่างอีกสายหนึ่งสาดส่องออกมา ชายที่สะพายกระบี่ไว้ปล่อยผีเสื้อจันทราออกมา กระพือปีกโบยบิน ส่องแสงพร่างพราวช่วยเพิ่มความสว่างให้วังใต้ดินมากขึ้น
สองชายหญิงอาศัยแสงสว่างสำรวจดูรอบข้าง มองเห็นว่าบนเสาหินของวังใต้ดิน รวมถึงบนผนังศิลาล้วนเต็มไปด้วยภาพสลักทางพุทธศาสนา บนผนังหลักเบื้องหน้าที่ผีเสื้อจันทราโบยบินส่องสว่างอยู่เป็นพุทธรูปขนาดมหึมานั่งขัดสมาธิอยู่บนดอกบัว
วังใต้ดินแห่งนี้ค่อนข้างแปลก เรื่องแมงป่องทรายขอไม่เอ่ยถึงแล้ว แต่ในตำแหน่งตรงกลางทางด้านล่างผนังหลักมีโลงหินหยกสีดำหนาทึบขนาดใหญ่จัดวางไว้ใบหนึ่ง บนโลงหินสลักลายเมฆมงคลและดอกบัวที่งดงามประณีตเอาไว้ มีรูปพุทธองค์เหยียบย่างไปตามเมฆมงคล
เพียงแต่บนโลงหินมีร่องรอยถูกงัดแงะ ฝาโลงหักครึ่ง ครึ่งหนึ่งหล่นอยู่บนพื้น ส่วนอีกครึ่งหนึ่งพาดอยู่บนโลงหิน บนพื้นยังมีเศษอาภรณ์เก่าขาดอยู่ด้วย บนอาภรณ์ปักลวดลายเก่าแก่งามวิจิตรไว้
ทำให้มองออกว่าวังใต้ดินแห่งนี้ดำรงอยู่มาไม่รู้นานเท่าไรแล้ว
สองชายหญิงเดินตามหลังหยวนกังที่มุ่งหน้าไปยังข้างโลงหิน พบว่าด้านในว่างเปล่า ไม่มีศพบรรจุอยู่ มีฝุ่นจับหนาเป็นชั้น
จากสภาพของโลงหินทำให้มองออกว่าเมื่อนานมาแล้วที่นี่เคยถูกคนเข้ามาขุดสุสานไปแล้ว
สองชายหญิงสบตากันเล็กน้อย คล้ายจะเข้าใจแล้วว่าหยวนกังจะทำอะไร
ฝ่ายสตรีหันไปส่งสัญญาณให้เล็กน้อย ฝ่ายชายยื่นมือข้างหนึ่งออกไป พลังปราณถ่ายเทเข้าไปไหลวนอยู่ในโลงหิน ฝุ่นผงด้านในไหวกระเพื่อม ทว่าไม่ได้ฟุ้งกระจายออกมา ม้วนตลบก่อตัวกันเป็นก้อนอย่างรวดเร็ว กลายเป็นก้อนฝุ่นลูกหนึ่ง
หลังจากภายในโลงหินสะอาดเอี่ยมแล้ว ฝ่ายชายก็สะบัดมือเล็กน้อย ก้อนฝุ่นลอยออกมา ร่วงหล่นลงบนมุมหนึ่งของวังใต้ดินแล้วสลายตัวเป็นฝุ่นผง
หยวนกังโน้มตัววางร่างซูจ้าวลงในโลงหินอย่างระมัดระวัง หลังจากจัดท่าทางให้นางเรียบร้อยแล้วก็เดินไปยังด้านข้าง สองแขนโอบยกฝาโลงหักครึ่งที่พาดอยู่บนโลง กล้ามเนื้อทั่วร่างเกร็งอยู่สักพักหนึ่ง จากนั้นก็ยกฝาโลงหักครึ่งขึ้นมา วางประกบกลับเข้าไปยังตำแหน่งเดิมบนโลง
สตรีนางนั้นยังไม่เท่าไร เพราะไม่ค่อยรู้เรื่องความหนักเบาของวัตถุมากนัก
ทว่าฝ่ายชายกลับหางตากระตุกขึ้นมาเล็กน้อย เขามองออกว่าหยวนกังไม่ได้ใช้พลังปราณเลย ส่วนฝาโลงหักครึ่งนี้เกรงว่าจะหนักนับพันจิน แต่คนผู้นี้กลับใช้พละกำลังยกขึ้นมาได้อย่างไม่เปลืองแรง
เขาทราบชัดเจนดี หากเปลี่ยนเป็นตัวเขา ถ้าไม่ใช้พลังปราณช่วยเหลือ คาดว่าเขาคงงัดสักมุมหนึ่งให้กระดิกไม่ได้ด้วยซ้ำ ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงเรื่องที่จะยกขึ้นมาเลย
หยวนกังหันกลับไปยกฝาโลงอีกครึ่งหนึ่งบนพื้นที่มีขนาดใหญ่กว่าขึ้นมา ประกบคืนไปบนโลง ทำให้ฝาโลงที่หักเป็นสองท่อนได้กลับมารวมตัวกันในสภาพเดิมอีกครั้ง
หลังจัดการเรื่องเหล่านี้เสร็จ หยวนกังหันไปมองแมงป่องทรายที่อยู่ตรงมุมห้องเล็กน้อย จากนั้นก็กลับไปรับดาบสามคำรามในมือชายคนนั้นมา ใช้ดาบกรีดฝ่ามือเล็กน้อย โลหิตไหลออกมาทันที
สองชายหญิงผงะไป จ้องมองเขา เพราะไม่รู้ว่าเหตุใดเขาถึงทำร้ายตัวเอง
หยวนกังใช้ฝ่ามืออาบเลือดป้ายไปตามโลงหิน เดินวนไปรอบโลงหินแล้วป้ายโลหิตในมือตนลงบนโลงหินรอบหนึ่ง จากนั้นถึงจะรามือ
หลังจากจัดการเรียบร้อย เขาถึงได้พินิจดูสภาพแวดล้อมภายในวังใต้ดินอย่างจริงจัง
สตรีนางนั้นลองถามดู “นางคือคนรักของเจ้าหรือ?”
หยวนกังไม่ได้เอ่ยตอบ เขาไม่เคยชินที่จะแบ่งปันความรู้สึกของตนกับคนแปลกหน้า คนที่มีคุณสมบัติพอจะให้เขาร่วมแบ่งปันความรู้สึกได้มีอยู่ไม่มาก ในโลกทางนี้ยิ่งน้อยลงไปอีก “ไปกันเถอะ รบกวนพาข้าออกไปด้วย”
ฝ่ายชายมองไปที่สตรีนางนั้น นางพยักหน้าให้เล็กน้อย “ไปกันเถอะ!”ดฮณ๊ฯดฯฌซ,
ทั้งสามเดินย้อนกลับไปยังตำแหน่งที่กำแพงพังถล่มลงมาในตอนที่เข้ามา ชายคนนั้นวาดสองนิ้วชี้ออกไป กำแพงทรายพลันเปิดออกเป็นช่องทันที เขาพุ่งตัวเข้าไป คว้าทั้งสองคนข้างกายไว้แล้วมุดเข้าไปพร้อมกัน
…..
บนผิวทรายเกิดเสียงระเบิดดังตูม เม็ดทรายกระเด็นปลิวว่อน เงาร่างมนุษย์สามร่างพุ่งทะลุขึ้นมาจากพื้น ร่อนลงบนเนินทรายลูกหนึ่ง
เมื่อมองไปรอบๆ เห็นเพียงเนินทรายลุ่มๆดอนๆ กว้างไกลไร้ขอบเขต ไม่มีสิ่งใดให้ใช้เป็นหลักอ้างอิงได้เลย ชายคนนั้นจ้องมองหยวนกังที่นิ่งเงียบไม่พูดจาพลางเอ่ยไปว่า “ฝังนางเอาไว้ที่นี่ หากวันหน้าคิดจะกลับมาเยี่ยมล่ะก็ การจะตามหาตำแหน่งที่ตั้งนี้จากทะเลทรายอันกว้างใหญ่ไพศาลคงจะค่อนข้างลำบาก”
ฝ่ายสตรีเอ่ยรับว่า “คนอื่นอาจจะตามหาที่แห่งนี้ได้ลำบาก แต่ไม่ใช่ปัญหาสำหรับสหายท่านนี้แน่นอน”
ชายคนนั้นผงะไปเล็กน้อย จากนั้นก็นึกขึ้นมาได้ นั่นสิ อีกฝ่ายสามารถควบคุมราชาแมงป่องทรายได้ ราชาแมงป่องทรายพาเขามาส่งที่นี่ได้ครั้งหนึ่งแล้ว ย่อมมาส่งเขาอีกเป็นครั้งที่สองได้ เป็นตัวเองที่คิดมากไปจริงๆ
หยวนกังนิ่งเงียบ ที่เขาจะพาซูจ้าวกลับจังหวัดชิงซานก็เพื่อตัวซูจ้าวเอง ยามนี้ซูจ้าวจากไปแล้ว เขากำลังทบทวนอยู่ว่าตนสมควรจะไปที่ใดดี ยังจะกลับไปที่จังหวัดชิงซานหรือไม่?
สายตาของสตรีนางนั้นมองไปที่ดาบของเขา เอ่ยถามขึ้นว่า “สหายท่านนี้ ท่านมีความเกี่ยวข้องอย่างไรกับแม่ทัพใหญ่ฮูเหยียนอู๋เฮิ่นแห่งแคว้นฉีหรือ?”
นามของฮูเหยียนอู๋เฮิ่นทำให้หยวนกังเงยหน้าขึ้นมา ถามกลับไป “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้ามีความเกี่ยวข้องกับฮูเหยียนอู๋เฮิ่น?”
สตรีนางนั้นพยักเพยิดหน้าไปทางดาบในมือเขา “ซีอู๋เซียนผู้เป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งแห่งการหลอมศาสตราแห่งสำนักเลิศเมฆาเคยหลอมดาบล้ำค่าเล่มหนึ่งขึ้นมา บนใบดาบมีพยัคฆ์สามตัว ตัวแรกเป็นพยัคฆ์โกรธา ตัวที่สองเป็นพยัคฆ์กระโจน ตัวที่สามเป็นพยัคฆ์หมอบ ร่ำลือกันว่าขอเพียงผู้ใช้ดาบสำแดงพลังออกมามากพอ ก็จะมีเสียงพยัคฆ์คำรามดังขึ้น พละกำลังที่ต่างกันไปจะทำให้เกิดเสียงพยัคฆ์คำรามได้สามระดับ ซีอู๋เซียนคล้ายจะเคยกล่าวไว้ว่า พยัคฆ์โกรธาคำรามง่าย พยัคฆ์กระโจนไร้เสียง ผู้ใดทำให้พยัคฆ์กระโจนเปล่งเสียงคำรามได้นับเป็นยอดคนแกร่งกล้า แต่ผู้ที่สามารถปลุกพยัคฆ์หลับใหลให้แผดเสียงคำรามได้คือผู้ไร้พ่ายแห่งใต้หล้า!”
จากนั้นก็ชี้ไปที่ดาบในมือเขา “หากข้ามองไม่ผิดไปล่ะก็ ดาบเล่มนี้มีนามว่าดาบสามคำราม เดิมทีเป็นอาวุธประจำตัวของแม่ทัพใหญ่เถียนจื่อซิ่นแห่งแคว้นจิ้น เถียนจื่อซิ่นพ่ายแพ้ให้แก่ฮูเหยียนอู๋เฮิ่น ดาบเล่มนี้จึงถูกฮูเหยียนอู๋เฮิ่นยึดไปเก็บรักษาไว้ ศึกนี้สร้างชื่อเสียงให้ฮูเหยียนอู๋เฮิ่น สินสงครามระดับนี้ ฮูเหยียนอู๋เฮิ่นไม่มีทางมอบให้ผู้ใดง่ายๆ หากว่าดาบเล่มนี้คือดาบสามคำรามจริงๆ คาดว่าเจ้าน่าจะรู้จักกับแม่ทัพใหญ่ฮูเหยียนอู๋เฮิ่นแห่งแคว้นฉีกระมัง”
หยวนกังแปลกใจเล็กน้อย ไม่ได้แปลกใจเพราะตำนานอันน่ามหัศจรรย์นั้น หากแต่คิดไม่ถึงว่าฮูเหยียนอู๋เฮิ่นจะมอบสินสงครามในศึกสร้างชื่อของตนให้แก่ตัวเขา เขายกดาบขึ้นพลางจ้องมอง เอ่ยไปว่า “ข้าไม่ทราบถึงประวัติความเป็นมาของดาบเล่มนี้ แต่ได้รับมาจากฮูเหยียนอู๋เฮิ่นจริงๆ”
ดวงตาของสตรีนางนั้นฉายแววแปลกใจ ฮูเหยียนอู๋เฮิ่นเป็นขุนศึกเลื่องชื่อ แต่กลับมอบสินสงครามเช่นนี้ให้คนผู้นี้ เช่นนั้นคนผู้นี้คงมีภูมิหลังไม่ธรรมดา หรือไม่ก็คงได้รับความชื่นชมจากฮูเหยียนอู๋เฮิ่นเป็นอย่างยิ่ง มิเช่นนั้นไม่มีทางจะได้มอบดาบเล่มนี้ให้ง่ายๆ
นางถามออกไปทันที “ขอเรียนถามว่ามีสหายชื่อเสียงเรียงนามใด พื้นเพเป็นคนถิ่นไหน?”
หยวนกังตอบว่า “ชาวแคว้นเยี่ยน หยวนกังจากจังหวัดชิงซาน”
“จังหวัดชิงซานในแคว้นเยี่ยนหรือ? อาณาเขตของซางเฉาจง…” สตรีนางนั้นผงะไปเล็กน้อย เอ่ยถามอีกครั้ง “ข้างกายซางเฉาจงมีฝ่าซือติดตามคนหนึ่งนามว่าหนิวโหย่วเต้า ได้ยินว่าหนิวโหย่วเต้าคนนี้ก็มีคนสนิทนามว่าหยวนกังเช่นกัน ซื่อแซ่เดียวกับสหาย ไม่ทราบว่าสหายรู้จักหนิวโหย่วเต้าหรือไม่?”
หยวนกังหันไปมอง ค่อนข้างแปลกใจเช่นกัน เพราะคิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะรู้จักเขาด้วย ตนเหมือนจะไม่ได้มีชื่อเสียงโด่งดังขนาดนั้นไม่ใช่เหรอ? จึงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม “หนิวโหย่วเต้าคือลูกพี่ของข้า เจ้ารู้จักหรือ?”
สองชายหญิงสบตากัน วาจานี้ของอีกฝ่ายนับเป็นการยืนยันแล้วว่าใช่หยวนกังคนนั้นจริงๆ
สตรีนางนั้นยิ้มออกมา “ผู้บำเพ็ญเพียรชื่อดังที่สังหารราชทูตแคว้นเยี่ยน ใครจะไม่รู้จักบ้างเล่า? วิเคราะห์ตามข่าวที่ข้าได้รับมา นับจากซางเฉาจงออกจากเมืองหลวงจนมีวันนี้ได้ หาใช่ผลงานของสำนักหยกสวรรค์ไม่ ทั้งหมดนี้ล้วนต้องยกผลงานให้หนิวโหย่วเต้าที่คอยสนับสนุนค้ำจุน ได้ยินว่าเมื่อไม่นานมานี้หนิวโหย่วเต้าได้ขนส่งม้าศึกสามหมื่นตัวออกจากแคว้นฉีไปให้ซางเฉาจงได้อย่างเงียบเชียบ ช่วยคลี่คลายปัญหากลัดกลุ้มให้ซางเฉาจงได้ ถึงแม้จะยังไม่เคยพบหนิวโหย่วเต้าคนนี้ ทว่าได้ยินชื่อเสียงโด่งดังของเขามานานแล้ว เรียกได้ว่าใต้หล้านี้ผู้ที่จะสยบหนิวโหย่วเต้าได้มีอยู่ไม่มาก! ตามความเห็นของข้า ทั่วทั้งแคว้นเยี่ยน ผู้ที่คู่ควรได้ชื่อว่าผู้ทรงความสามารถมีเพียงสองคน คนหนึ่งอยู่ในหนานโจว ส่วนอีกคนอยู่ที่เป่ยโจว เซ่าผิงปอแห่งเป่ยโจว หนิวโหย่วเต้าแห่งหนานโจว นอกจากสองคนนี้แล้ว แคว้นเยี่ยนก็ไม่มีผู้ทรงความสามารถอีกแล้ว เพียงแต่สองคนนี้ต่างอยู่กันคนละขั้ว น่าเสียดายที่ราชสำนักแคว้นเยี่ยนไม่อาจใช้งานคนมีความสามารถได้ ”
หยวนกังย่อมทราบถึงความสามารถของหนิวโหย่วเต้าดี มิเช่นนั้นในอดีตคงไม่เสนอให้ซางซูชิงรั้งตัวหนิวโหย่วเต้าไว้ แต่ไม่คิดเลยว่าสตรีที่บังเอิญพบระหว่างทางคนนี้เองก็ทราบเรื่องดีเช่นกัน เกรงว่าปณิธานของเต้าเหยี่ยที่อยากจะเก็บตัวให้เงียบที่สุดคงเป็นไปไม่ได้เสียแล้ว
แต่การวิเคราะห์ของอีกฝ่ายก็ทำให้เขาไม่ค่อยพอใจนัก นำเซ่าผิงปอมาเทียบกับเต้าเหยี่ยเสียได้ อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามอย่างเฉยชาว่า “แล้วเจ้าคิดว่าพวกเขาทั้งสองใครเหนือกว่า?”
สตรีนางนั้นขบคิดพลางเอ่ยว่า “เซ่าผิงปอมีวิสัยทัศน์เหนือกว่า หนิวโหย่วเต้ามีกลยุทธ์ยอดเยี่ยมกว่า ทั้งสองไม่ด้อยไปกว่ากันเลย” แต่พอเห็นหยวนกังมีสีหน้าคล้ายจะไม่พอใจ นางก็นึกขึ้นได้ว่าคนผู้นี้เป็นพวกของหนิวโหย่วเต้า นางจึงยิ้มแล้วเอ่ยเสริมไปในทันใด “แต่แน่นอน ฐานะชาติกำเนิดของเซ่าผิงปอแตกต่างออกไป ประกอบกับมีอายุมากกว่า ส่วนหนิวโหย่วเต้าเพิ่งตะย่างยี่สิบเท่านั้น จะให้ตัดสินกันตอนนี้ว่าใครดีใครด้อยกว่ามันยังเร็วเกินไป อนาคตยังอีกยาวไกล”
หยวนกังเอ่ยด้วยแววตาเย็นชา “สตรีที่มีความกล้าพอจะเอ่ยวิจารณ์คนในใต้หล้าหาได้น้อยยิ่ง ไม่ทราบว่าเจ้ามีชื่อเสียงเรียงนามใด?”
สตรีนางนั้นเผยรอยยิ้มถ่อมตัวและลึกลับ เอ่ยไปว่า “เสวียนเวยแห่งแคว้นเว่ย!”
หยวนกังผงะไปเล็กน้อย มาอยู่ที่โลกทางนี้นานขนาดนี้ เขาจึงเคยได้ยินเรื่องราวของบุคคลสำคัญมีชื่อเสียงในแคว้นต่างๆ มาพอประมาณเช่นกัน ได้ยินว่าแคว้นเว่ยมีสตรีนางหนึ่งนามว่าเสวียนเวย ไม่ทราบเช่นกันว่าจะใช่คนตรงหน้าหรือไม่
เขาเงยหน้ามองวิหคยักษ์ขนหลากสีที่บินวนอยู่บนท้องฟ้า นี่มิใช่พาหนะที่คนธรรมดาจะใช้ได้ จึงหันมาเอ่ยว่า “ได้ยินว่าแคว้นเว่ยมีองค์หญิงใหญ่ท่านหนึ่งควบตำแหน่งมหาเสนาบดีหญิงแห่งแคว้นเว่ย นามว่าเสวียนเวยเช่นกัน ไม่ทราบว่าเจ้ารู้จักหรือไม่?”
สตรีนางนั้นพยักหน้ารับ “เป็นผู้น้อยเอง!”
…………………………………………………………………..