ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า - ตอนที่ 409 หนิวโหย่วเต้าส่งเจ้ามาหรือ
ตอนที่ 409 หนิวโหย่วเต้าส่งเจ้ามาหรือ?
จากนั้นไม่นาน ซางซูชิงที่ได้ข่าวก็รีบเดินทางมาเช่นกัน แต่หยวนกังอาบน้ำอยู่ นางย่อมไม่อาจวิ่งเข้าไปหาเหมือนที่หยวนฟางทำได้
ก่วนฟางอี๋นับว่ามองออกแล้ว หยวนกังจะต้องเป็นบุคคลสำคัญของที่นี่อย่างแน่นอน มองจากท่าทีลูกน้องรอบตัวหนิวโหย่วเต้าก็รู้แล้ว
พอเห็นซางซูชิง หนิวโหย่วเต้าก็เอ่ยคำขอเล็กๆ น้อยๆ อย่างหนึ่งไปว่า “ท่านหญิง ขอยืมพิณของพระองค์สักหน่อยได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
ซางซูชิงผงะไปเล็กน้อย ไม่เคยเห็นหนิวโหย่วเต้าจับเครื่องดนตรีใดๆ มาก่อน แต่เคยได้ยินหยวนกังบอกว่าอันที่จริงหนิวโหย่วเต้าเล่นดนตรีได้หลากหลายชนิดนัก
สำหรับเรื่องนี้ นางค่อนข้างสงสัย สภาพแวดล้อมของเรือนดอกท้อนางเคยเห็นมาแล้ว ไม่เห็นจะมีเครื่องดนตรีอันใด แล้วหมู่บ้านป่าเขาเล็กๆ แห่งนั้นจะมีได้หรือ?
อันที่จริงทางนี้รู้สึกสงสัยในฐานะความเป็นมาของหนิวโหย่วเต้าและหยวนกังเป็นอย่างมาก คุณสมบัติด้านต่างๆ ของคนคนหนึ่งนั้นมีส่วนเกี่ยวข้องกับสภาพแวดล้อมที่เติบโตขึ้นมาอย่างแน่นอน แต่ความสามารถส่วนตัวของทั้งสองดูไม่ค่อยจะสมเหตุสมผลสักเท่าไร
ถึงแม้ซางซูชิงจะแปลกใจ ทว่ายังคงตอบรับด้วยความยินดี อยากจะชมทักษะพิณของเขาสักหน่อย ยากนักที่เขาจะเป็นฝ่ายร้องขอด้วยตัวเอง
พิณตัวหนึ่งถูกอุ้มเข้ามา หนิวโหย่วเต้ารับไป แล้วเดินขึ้นไปยังชั้นบนสุดของหอสูง
ผ่านไปครู่หนึ่ง เสียงพิณดัง ‘ติงๆ’ แว่วสะท้อนไปมาจากหอสูง เปิดฉากโหมโรงเสียงพิณดังติงตังดั่งปานเสียงน้ำพุ
ซางซูชิงเงี่ยหูรับฟัง ก่วนฟางอี๋ที่เดินวนไปวนมาอยู่ในเรือนหยุดเท้า ค่อยๆ หันมองไปบนหอสูง
เป็นท่วงทำนองแบบที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน ทำนองพิณโบราณเช่นนี้ปกติจะเน้นเชิงศิลป์ ทว่าเสียงพิณที่แว่วมาจากหอสูงคล้ายจะเน้นไปที่การร้อยเรียงจังหวะและท่วงทำนองมากกว่า ให้ความรู้สึกที่ต่างกันออกไปอีกแบบ
ท่วงทำนองนี้ทำให้ซางซูชิงนึกถึงบทกลอนธาราไหลเชี่ยวสู่บูรพาที่หยวนกังเคยท่องบทนั้น จึงลองจับคำใส่ทำนองดู ปรากฏว่าเข้ากันจริงๆ ความหมายของกลอนบทนั้นยิ่งกระจ่างชัดแจ่มแจ้งขึ้นมาภายในใจนาง
“ไพเราะ ทว่าแปลกพิกลเล็กน้อย มองไม่ออกเลยว่าคนเจ้าเล่ห์ผู้นี้ก็มีทักษะด้านนี้ด้วย” ก่วนฟางอี๋เอ่ยกับซางซูชิง
ซางซูชิงท่องกลอนควบคู่ไปกับเสียงพิณ “ธาราไหลเชี่ยวสู่บูรพา เสมือนดั่งเหล่าผู้กล้าลาจากหาย เฝ้าถกเถียงชอบชั่วมิวางวาย สุดท้ายล้วนว่างเปล่าไม่จีรัง มีเพียงขุนเขาคีรียังคงอยู่ สุริยงคอยเปล่งแสงมิแปรผัน ได้พบเจอเพื่อนยากยากพานพบ มือยกจอกร่ำสุราใจสุขสันต์…”
ก่วนฟางอี๋ที่โบกพัดกลมในมืออยู่ชะงักไป รับฟังโคลงกลอนของนางเงียบๆ พลางตั้งใจฟังเสียงดนตรีจากหอสูง เมื่อนำทั้งสองสิ่งมารวมเข้าด้วยกัน ถึงได้ทราบว่าจังหวะของทั้งสองสอดคล้องเป็นหนึ่งเดียวกัน
หลังจากซางซูชิงท่องจบก็เงียบไป ก่วนฟางอี๋พึมพำว่า “เฉื่อยชา ไร้ความมีชีวิตชีวา ไม่เหมือนลักษณะของคนหนุ่มเลย”
ซางซูชิงนิ่งเงียบ ทำนองสื่อเสียงจากใจ นางฟังออกว่าเนื้อในของเต้าเหยี่ยผู้นี้ยังคงมิได้สนใจในยศฐาบรรดาศักดิ์ของพวกนางพี่น้องเลย สิ่งที่ทำอยู่ในตอนนี้มิได้ทำด้วยความเต็มใจ…
หยวนกังอาบน้ำเสร็จแล้ว สุราอาหารในหอสูงก็จัดเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว
หยวนฟางยืนพิงราวกั้นบนหอสูง โคลงหัวฟังบทท่วงทำนองพิณ
หยวนกังที่เดินขึ้นหอมามองดูแผ่นหลังของหนิวโหย่วเต้า ตกอยู่ในภวังค์ความคิด ไม่ได้เห็นเต้าเหยี่ยเล่นพิณมานานมากแล้ว เขาทราบดีว่าการกลับมาของเขาทำให้เต้าเหยี่ยดีใจ ถึงได้เกิดอารมณ์สุนทรีย์ขึ้นมา บทเพลงนี้เขาย่อมฟังเข้าใจ หลังจากประสบเรื่องราวบางอย่างมา เขาเองก็นึกเสียใจขึ้นมาแล้ว เต้าเหยี่ยก็คือผู้ที่ได้พบเจอเพื่อนยากในบทกลอนนั้น ตอนนี้เขานึกเสียใจว่าตอนนั้นไม่ควรลากเต้าเหยี่ยมาพัวพันเลย เต้าเหยี่ยถึงได้ต้องตกอยู่ในข้อพิพาทขัดแย้งเหล่านี้
“ไปเฝ้าด้านล่างไว้ อย่าให้ใครขึ้นมา” หยวนกังเดินเข้าไปหยุดอยู่ข้างกายหยวนฟางแล้วเอ่ยสั่ง
“ขอรับ!” หยวนฟางวิ่งลงหอไปทันที
ก่อนจะลงไปด้านล่าง หยวนฟางอดไม่ได้ที่จะหันกลับไปมองหยวนกังเล็กน้อย น่าแปลกนัก เขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันเกิดอะไรขึ้น เดิมทีเขาค่อนข้างหวาดกลัวหยวนกังอยู่แล้ว แต่หยวนกังกลับมาครานี้ กลิ่นอายบนร่างหยวนกังยิ่งทำให้เขารู้สึกยำเกรงยิ่งขึ้น
พอได้ยินเสียงของหยวนกัง เสียงพิณก็หยุดลงทันที หนิวโหย่วเต้าหยุดบรรเลงพิณ ลุกขึ้นมาแล้วเดินไปหน้าโต๊ะที่จัดสุราอาหารไว้ กวักมือเรียกเขามา “คงไม่ต้องให้ฉันเชิญนายอีกใช่ไหม?”
หยวนกังเดินเข้าไปนั่งตรงข้ามเขา ยกกาสุราขึ้นรินสุราให้เขาพลางเอ่ยว่า “เต้าเหยี่ย ผมผิดไปแล้ว!”
คำว่าผิดนี้มีสองความหมาย ความหมายแรกคือไม่ควรลากอีกฝ่ายมาเดือดร้อน ความหมายที่สองเป็นเพราะเขาไม่ยอมเชื่อฟัง ถึงทำให้ซูจ้าวต้องตาย
หนิวโหย่วเต้าเอ่ยว่า “เป็นนายที่ตัดสินใจเลือกอยู่ฝั่งสองพี่น้องสกุลซาง นายไม่ใช่คนที่จะยอมล้มเลิกไปกลางคัน นายแค่อยากลองพยายามให้เต็มที่ด้วยวิธีในแบบของตัวเอง ไม่มีทางทอดทิ้งที่นี่ไปโดยไม่ไยดี ฉันรู้อยู่แล้วนายจะต้องกลับมาในไม่ช้าก็เร็ว ดังนั้น กลับมาอย่างปลอดภัยก็พอแล้ว เรื่องอื่นไม่สำคัญเลย”
หยวนกังกล่าวว่า “เป็นความผิดของผม เดิมทีเต้าเหยี่ยรักอิสระ ครั้งนั้นที่วัดหนานซาน ผมไม่ควรลากเต้าเหยี่ยมาเดือดร้อนเลย”
หนิวโหย่วเต้าโบกมือเล็กน้อย “นายคิดมากไปแล้ว ฉันแค่อยากมีอิสระอยู่ว่างๆ เท่านั้น แต่ในยุคที่โลกโกลาหลด้วยสงครามแบบนี้ ถึงอยากเลี่ยงก็คงเลี่ยงไม่พ้นจริงๆ ขอแค่ฉันยังมีความปราณนาในการบำเพ็ญเพียร มันก็เลี่ยงไม่พ้นอยู่ดี คิดจะทำตัวอิสระลอยชาย มันก็ต้องมีความสามารถพอที่จะทำตัวลอยชายให้ได้ก่อน ถึงยังไงก็ต้องเข้าไปพัวพันในไม่ช้าก็เร็วอยู่แล้ว ตอนนี้มาพูดเรื่องพวกนี้ไปก็ไม่มีประโยชน์ ว่าแต่นายเถอะ ฉันได้ยินว่าเรือนเมฆาขาวทางแคว้นฉีถูกบุกค้น ร้านเต้าหู้ของนายก็ถูกปิดล้อมในวันนั้นด้วย แถมฉันยังติดต่อนายไม่ได้อีก เกิดเรื่องอะไรขึ้นใช่ไหม?”
พอได้ยินข่าวจากทางเมืองหลวงแคว้นฉี อันที่จริงเขาร้อนใจมาก แต่ร้อนใจไปก็ไม่มีประโยชน์ เพราะติดต่อหยวนกังไม่ได้เลยจริงๆ ตอนนี้พอได้เห็นหยวนกังกลับมาอย่างปลอดภัยจึงโล่งใจนัก
หยวนกังกล่าวว่า “ซูจ้าวตายแล้ว”
หนิวโหย่วเต้าผงะไปเล็กน้อย “นายฆ่าเหรอ?”
หยวนกังตอบว่า “ก็ไม่ต่างกันมาก เป็นผมที่ทำให้เธอต้องตาย”
คำพูดนี้ผิดปกติ หนิวโหย่วเต้าเลิกคิ้วเล็กน้อย “หมายความว่ายังไง?”
“หลังคุณออกจากแคว้นฉีไปแล้ว ผมก็ตรงไปที่เรือนเมฆาขาว…” หยวนกังเล่าเรื่องที่ตนไปพบซูจ้าว จากนั้นก็ครอบครองซูจ้าว แล้วก็โดนพิษโอสถเทพระทมเข้า เล่าไปจนถึงเรื่องที่ประสบในทะเลทรายช่วงสุดท้ายก่อนจะกลับมาเพียงลำพังอย่างละเอียด
หนิวโหย่วเต้ามีสีหน้าประหลาดใจ น้องชายคนนี้ของตนเปลี่ยนซูจ้าวให้กลายเป็นสตรีของเขา นี่คือแผนชายงามอย่างนั้นหรือ? นี่ไม่คล้ายวิสัยของหยวนกังเลย แถมโอสถเทพระทมยังไม่มีผลกับเจ้าหมอนี่อีก ปราณเสริมแกร่งที่เจ้าหมอนี่ฝึกฝนสามารถแก้พิษโอสถเทพระทมได้อย่างนั้นหรือ? ตอนนี้แข็งแกร่งจนสามารถปะทะกับยอดฝีมือระดับโอสถทองที่ตามไล่ล่าได้แล้วเชียวหรือ? แถมยังสามารถเรียกแมงป่องทรายกับควบคุมราชาแมงป่องทราบได้อีก ช่างน่ามหัศจรรย์นัก
ไม่คิดเลยว่าหลังจากหยวนกังแยกกับตนแล้วจะประสบเรื่องราวมากมายถึงเพียงนี้ เขาอดไม่ได้ที่จะกระดกสุราหมดจอกในคราวเดียว ระงับความตื่นเต้นตกใจ
หลังจากวางจอกสุราลง เขาก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมา ทราบดีว่าเรื่องของซูจ้าวส่งผลกระทบต่อหยวนกังแน่นอน เขาก็ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี ว่ากันตามจริงแล้ว ถ้าหยวนกังไม่มีความสัมพันธ์เชิงนั้นกับซูจ้าว หากตัวเขาสบโอกาส เกรงว่าก็คงจะไม่ปล่อยซูจ้าวให้รอดไปได้เช่นกัน สตรีนางนั้นและเซ่าผิงปอก่อเรื่องเลวร้ายเอาไว้ ที่มีคนมาหาเรื่องเขาตอนอยู่ในเมืองหลวงแคว้นฉี สตรีนางนี้ต้องมีส่วนด้วยแน่นอน
แต่ไม่คิดเลยว่าซูจ้าวจะทรยศหอจันทร์กระจ่างเพื่อหยวนกัง อยู่เหนือความคาดหมายของเขาจริงๆ เขาหัวเราะเสียงขื่นพลางกล่าวว่า “เจ้าลิง ฉันว่านายมีเสน่ห์มากเลยนะ นายบอกฉันมาตามตรง ไห่หรูเยวี่ยคนนั้นก็มีอะไรกับนายด้วยใช่ไหม ในจดหมายที่ส่งติดต่อกับทางนี้เอาแต่อ้อมค้อมถามถึงนายอยู่ตลอด”
“เปล่าครับ มีตามตอแยนิดหน่อย แต่ผมไม่ได้สนใจเธอ แต่เรื่องที่เธอเคยพัวพันกับหนิงอ๋องซางเจี้ยนปั๋วกลับเป็นเรื่อง…” หยวนกังเล่าเรื่องที่ไห่หรูเยวี่ยเคยเล่าถึงอดีตของนางกับซางเจี้ยนปั๋วให้เขาฟังเล็กน้อย
หนิวโหย่วเต้าได้ฟังก็เข้าใจ คาดว่าผู้หญิงคนนั้นคงค่อนข้างสนใจในตัวเจ้าลิง เขาหัวเราะฮ่าๆ แล้วเอ่ยไปว่า “หน้าแดงหน่อยก็ดี จะได้ไม่มีสาวๆ มาหลงชอบมากเกินไป”艾琳小說
สิ่งที่เขาพูดเป็นความจริง พอหยวนกังหน้าแดงก็ไม่ได้ดูดีเท่าก่อนหน้านี้แล้ว ดูค่อนข้างแปลก
ทั้งสองพูดคุยกันไป หนิวโหย่วเต้าชี้ไปยังทิศทางหนึ่ง “เห็นหลุมศพที่อยู่ใต้ต้นไม้บนเขาทางนั้นไหม ที่เป็นหลุมใหม่น่ะ”
หยวนกังมองตามมือไป ก่อนหน้านี้ไม่เคยเห็นมาก่อน จึงถามด้วยความสงสัย “ของใครครับ?”
หนิวโหย่วเต้าเอ่ยด้วยเสียงเรียบเฉย “เฮยหมู่ตาน!”
“…..” หยวนกังตกใจเป็นอย่างมาก “เกิดอะไรขึ้น?”
“ระหว่างหนีออกจากแคว้นฉีเจอปัญหาเข้า…” หนิวโหย่วเต้าเล่าเหตุการณ์ตอนนั้นออกมาเล็กน้อย จากนั้นถอนหายใจเอ่ยไปว่า “ควบม้าท่องทั่วหล้า ลมก็ดีฝนก็ช่าง เรื่องความเป็นความตายพวกเราก็พบเห็นมาจนชินแล้ว เรื่องซูจ้าวปล่อยวางได้ก็ปล่อยวางเถอะ ถ้าวางไม่ลงก็เก็บไว้ในใจ คนเป็นจะให้ทำตัวเหมือนคนที่ตายไปแล้วก็ไม่มีความหมาย ก็เหมือนที่นายพูดไว้ ต้องใช้ชีวิตให้มีความหมาย การที่คนเป็นใช้ชีวิตให้มีความหมายเพื่อคนตายล้วนดีกว่าเรื่องใดทั้งสิ้น ฉันเชื่อว่านายก็ไม่ใช่คนที่จะทำตัวหม่นหมองอมทุกข์แบบนั้น”
หยวนกังพูดว่า “ซูจ้าวทรยศหอจันทร์กระจ่างเพราะผม กลัวว่าอาจจะนำพาความเดือดร้อนมาให้คุณ”
หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “ซูจ้าวตายไปแล้ว เรื่องราวจบลงแล้ว ทางด้านหอจันทร์กระจ่างฉันจะไปชี้แจงกับพวกเขาเอง เรื่องแค่นี้ฉันจัดการได้ ไม่มีปัญหาอะไรหรอก”
ทั้งสองคุยเรื่องอื่นต่อไป หนิวโหย่วเต้าตั้งใจสอบถามถึงเรื่องของเสวียนเวยด้วย
ส่วนพวกหยวนเฟิงยังกลับมาไม่ถึง ถึงแม้หยวนกังจะถอนตัวออกมาทีหลัง แต่ด้วยบารมีของเสวียนเวยจึงทำให้เขากลับมาถึงจังหวัดชิงซานก่อน…
….
ณ เมืองไจซิง ที่โรงเตี๊ยมเชิญจันทร์ ลิ่งหูชิวพาหงซิ่วและหงฝูเดินออกมาจากโรงเตี๊ยม
ถึงแม้ทั้งสามคนจะถูกขับออกจากหอจันทร์กระจ่างแล้ว แต่ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาก็สะสมเงินเอาไว้ไม่น้อยเช่นกัน ยังจ่ายเงินเข้าพักในโรงเตี๊ยมเชิญจันทร์ไหว
เดินเตร็ดเตร่ในเมืองจนมาถึงหน้ากำแพงติดประกาศ บนกำแพงมีใบประกาศที่เขียนอักษรไว้ห้าคำ ‘ทำเนียบมารนอกรีต’ ด้านล่างมีรายชื่อและประวัติของคนมากมายเขียนไว้
คนที่มีชื่ออยู่ในทำเนียบนี้ล้วนเป็นคนที่ทำผิดกฎของโลกบำเพ็ญเพียร จะถูกผู้บำเพ็ญเพียรทั่วหล้าร่วมมือกันตามล่าสังหาร!
จะเปิดสำนักหาใช่เรื่องง่ายปานนั้นไม่ ด้านกำลังทรัพย์พวกเขามีพอ แต่การทำภารกิจให้สำเร็จครบถ้วนกลับค่อนข้างยาก
ภารกิจสามสิบรายการ เดิมทีพวกเขาคิดจะจ่ายเงินซื้อต่อจากคนอื่น ทว่าผู้บำเพ็ญเพียรไร้สำนักเหล่านั้นล้วนไม่มีผู้ใดยินยอมขายง่ายๆ ภารกิจเหล่านั้นแลกมาด้วยชีวิตตนทั้งสิ้น ไหนเลยจะยอมขายให้ง่ายๆ ได้ ที่สำคัญคือหลังจากก่อตั้งสำนักแล้ว ลิ่งหูชิวต้องการกุมอำนาจไว้เพียงผู้เดียว ไม่เขาอยากถูกผู้ใดกดขี่บงการอีก แต่เรื่องนี้เจรจากันได้ยาก
ตอนแรกพวกเขาไปยังหอไร้ขอบเขตที่อยู่ใกล้ๆ ก่อน แต่ไม่ได้เรื่อง จึงมาเสาะหาโอกาสที่เมืองไจซิงอีกครั้ง ผลแทบจะออกมาเหมือนกัน บ้างก็เรียกราคาสูงเกินกว่าที่พวกเขาจะรับไหว มากเกินกว่าเงินเก็บที่เขามี สิ่งที่คนเขาแลกชีวิตเพื่อให้ได้มาย่อมไม่มีทางขายให้ในราคาถูกๆ
คิดไปคิดมาลิ่งหูชิวก็ตัดสินใจว่าจะลงมือทำภารกิจบน ‘ทำเนียบมารนอกรีต’ ด้วยตัวเอง
อยู่หอจันทร์กระจ่างมานานหลายปี มีหอจันทร์กระจ่างคอยอุดหนุนทรัพยากรให้ ไม่ใช่ว่าจะไม่ได้อะไรกลับมา หลายปีมานี้ติดต่อสร้างสายสัมพันธ์ไปไม่น้อย คงจะช่วยให้เขาปฏิบัติภารกิจสำเร็จอย่างราบรื่นได้
หลังจากคัดลอกรายชื่อบนทำเนียบแล้ว ทั้งสามเตรียมจะกลับไปคัดเลือกภารกิจที่โรงเตี๊ยมเชิญจันทร์
ระหว่างทาง หงซิ่วกระซิบบอก “นายท่าน พวกเราถูกคนสะกดรอยตามเจ้าค่ะ”
ลิ่งหูชิวพลันมีสีหน้าตึงเครียด ไม่พูดอะไร ทั้งสามเร่งเดินทางกลับไปยังโรงเตี๊ยม
ผลคือคนที่สะกดรอยตามพวกเขาก็เข้าไปในโรงเตี๊ยมเช่นกัน
บนเฉลียงทางเดินนอกห้องพัก ลิ่งหูชิวพลันหันกลับมา จ้องมองผู้ที่ติดตามมาแล้วเอ่ยถาม “สหายมีธุระใดหรือ”
คนที่สะกดรอยตามดึงหน้ากากปลอมออกจากใบหน้า พวกลิ่งหูชิวทั้งสามตะลึงงัน ผู้มามิใช่ใครอื่น เป็นต้วนหู่ลูกน้องของหนิวโหย่วเต้า ทั้งสามเคยพบมาก่อน
สุดท้ายต้วนหู่ก็ตามพวกเขากลับไปที่ห้องด้วย
ภายในห้อง ไม่มีผู้ใดยกน้ำชามาให้แขก ลิ่งหูชิวนั่งบนเก้าอี้เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “หนิวโหย่วเต้าส่งเจ้ามาหรือ?”
ต้วนหู่หยิบถุงผ้าใบหนึ่งออกมา วางลงบนโต๊ะ “เต้าเหยี่ยทราบว่าท่านลิ่งหูเผชิญปัญหาลำบากเล็กน้อย จึงให้ข้านำของขวัญนี้มากำนัลให้ หวังว่าจะช่วยเหลือท่านได้”
…………………………………………………………..