ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า - ตอนที่ 411 เสนอเฟิ่งหลิงปอ
ตอนที่ 411 เสนอเฟิ่งหลิงปอ
รุ่งเช้าวันต่อมา เฟิงเอินไท่เป็นฝ่ายมาพบหนิวโหย่วเต้าที่เรือนรับรองทางนี้ด้วยตัวเอง เมื่อวานตกลงกันไว้แล้วว่าจะทำหน้าที่เจ้าบ้านพาหนิวโหย่วเต้าเยี่ยมชมสถานที่ตั้งใหม่ของสำนักหยกสวรรค์
หลังจากไป๋เหยาที่เฝ้าอยู่ในลานเรือนเข้ามาสอบถาม ก็ได้ทราบว่าอีกฝ่ายมาพบหนิวโหย่วเต้า จึงรีบถอยหลบออกไป เพราะไม่อยากพบหนิวโหย่วเต้า
เหตุลที่ไม่อยากพบก็เพราะกระอักกระอ่วน แต่ก่อนเขาไม่เห็นหนิวโหย่วเต้าอยู่ในสายตาเลย ตอนนี้กลับดีนัก หนิวโหย่วเต้ากลายเป็นน้องชายร่วมสาบานกับอาจารย์อาของตน ลำดับอาวุโสนับว่าสูงกว่าเขาหนึ่งรุ่น หากพบหน้ากัน ตามกฎเกณฑ์แล้วต้องเรียกขานหนิวโหย่วเต้าว่า ‘เต้าเหยี่ย’ อย่างมีมารยาท ทำให้เขาอึดอัดกระอักกระอ่วนจริงๆ
ศิษย์ทั้งหมดของสำนักหยกสวรรค์ที่อยู่ในจังหวัดชิงซานไม่ไว้หน้าซางเฉาจงได้ แต่กลับต้องไว้หน้าหนิวโหย่วเต้า ด้วยจนปัญญาที่อีกฝ่ายเป็นน้องชายของผู้อาวุโสเฟิง ไม่เห็นแก่หน้าพระก็ต้องเห็นแก้หน้าเจ้า เมื่อพบหน้าก็จำเป็นต้องเรียกขานว่าเต้าเหยี่ยอย่างมีมารยาท
ไม่ทราบว่ามีคนมากน้อยเพียงใดที่รู้สึกขัดแย้งอยู่ในใจ แอบตำหนิว่าผู้อาวุโสเฟิงช่างเลอะเลือนนัก ดันหลับหูหลับตาไปสาบานเป็นพี่น้องเสียได้
หลังจากได้พบหนิวโหย่วเต้าแล้ว เฟิงเอินไท่ก็พาออกจากเรือนรับรอง ท่องเที่ยวไปตามขุนเขาที่มีทิวทัศน์งดงาม
สำนักเก่าที่เคยครอบครองพื้นที่แห่งนี้เป็นสำนักที่ค่อนข้างเล็ก ขนาดของอาคารสิ่งปลูกสร้างจึงไม่ใหญ่นัก ยามนี้พอสำนักหยกสวรรค์เข้ายึดครองสถานที่แห่งนี้ เนื่องด้วยจำนวนของเหล่าศิษย์ในสำนักหยกสวรรค์ ทำให้ตอนนี้มีการก่อสร้างขยายอาคารในพื้นที่นี้ให้ใหญ่ขึ้น
หากเทียบกับค่าใช้จ่ายของสำนักหยกสวรรค์แล้ว ค่าใช้จ่ายในการขยายอาคารนี้ไม่นับว่ามากมายอันใดเลย อีกทั้งสำนักหยกสวรรค์ก็ไม่จำเป็นต้องออกเงิน เงินของขวัญที่แต่ละฝ่ายนำมามอบให้เพื่อแสดงความยินที่สำนักหยกสวรรค์ย้ายฐานที่มั่นก็เหลือเฟือแล้ว หนิวโหย่วเต้าเพียงคนเดียวก็มอบเงินให้หนึ่งหมื่นเหรียญทองแล้ว ผู้ว่าการจังหวัดอีกหลายคนนั้นย่อมมอบให้มากยิ่งกว่านั้น ส่วนซางเฉาจงมอบเงินให้หนึ่งแสนเหรียญทองเพื่อเป็นตัวแทนของสองจังหวัดในการแสดงน้ำใจต่อสำนักหยกสวรรค์
ท้ายที่สุดทั้งสองก็มายืนอยู่บนยอดเขาลูกหนึ่ง ทอดสายตามองทิวทัศน์งดงามที่อยู่ทางเบื้องล่างขุนเขา ภายใต้แสงตะวันมีควันล่องลอย มีมัจฉากระโดดวิหคเหินร่อนเป็นครั้งคราว ให้บรรยากาศคล้ายแดนเซียนเป็นอย่างยิ่ง
“เป็นสถานที่ที่ดี!” หนิวโหย่วเต้าที่ยืนยกมือไพล่หลังอยู่เอ่ยชมเชย
เฟิงเอินไท่กลับส่ายหน้าอย่างไม่ใคร่พอใจ เอ่ยไปว่า “ดูเหมือนน้องสามจะยังไม่เคยไปเยือนถิ่นฐานเดิมของสำนักหยกสวรรค์ ยอดเยี่ยมกว่าที่นี่มากนัก แต่ด้วยสถานการณ์ในปัจจุบันนี้ ทั่วทั้งสำนักหยกสวรรค์จะต้องคล้อยตามสถานการณ์ส่วนรวม จึงได้แต่จัดการเช่นนี้ไปก่อน”
หนิวโหย่วเต้าหัวเราะหึหึ เอ่ยไปว่า “เช่นนี้แล้วยังไม่พอใจอีกหรือ สำนักใหญ่ช่างไม่ธรรมดาจริงๆ”
“น้องสาม ข้าติดต่อกับน้องรองแล้ว” จู่ๆ เฟิงอินไท่ก็เอ่ยโพล่งออกมา
หนิวโหย่วเต้าค่อยๆ หันมองไปที่เขา
“น้องรองเล่าให้ข้าฟังแล้ว ทำได้ดีมาก!” เฟิงเอินไท่ตบไหล่เขาเบาๆ ท่าทางสะท้อนใจเป็นอย่างยิ่ง
หนิวโหย่วเต้าเพียงยิ้มแต่ไม่ตอบ
ในเวลานี้เอง ศิษย์คนหนึ่งทะยานเข้ามาประสานมือรายงานว่า “ผู้อาวุโส งานเลี้ยงใกล้จะเริ่มแล้วขอรับ”
“อืม รู้แล้ว” เฟิงเอินไท่พยักหน้ารับ หันไปผายมือเชื้อเชิญหนิวโหย่วเต้า ทั้งสองพากันกลับไป
งานเลี้ยงเมื่อวานเป็นงานเลี้ยงต้อนรับ ส่วนงานเลี้ยงวันนี้เป็นงานเลี้ยงส่ง แขกในงานยังคงเป็นคนเหล่านั้น
สำหรับคนเหล่านี้แล้ว เป้าหมายมิใช่การกินเดิมสังสรรค์แน่นอน การพูดคุยในงานเลี้ยงต่างหากถึงจะเป็นเป้าหมายหลัก
หลังจากดื่มสุราเข้าไปสองสามจอก หัวข้อสนทนาก็หันเหไปยังเรื่องไพร่พลของห้าจังหวัด ยามนี้เมื่อนำไพร่พลของห้าจังหวัดมานับรวมกัน ผนวกกับกองกำลังยิบย่อยเหล่านั้น ก็มีเกือบหกแสนนายแล้ว นับเป็นภาระอันหนักหนาในด้านกำลังทรัพย์ของทั้งห้าจังหวัด
หัวข้อที่สนทนาคือยามนี้จำเป็นต้องมีไพร่พลมากขนาดนี้หรือไม่ ในอดีตแต่ละจังหวัดแบ่งแยกกัน ต่างฝ่ายต่างดูแลจังหวัดของตน แต่ละจังหวัดล้วนต้องแบกรับแรงกดดันจากรอบข้าง จึงจำเป็นต้องชุบเลี้ยงไพร่พลเอาไว้จำนวนหนึ่ง ยามนี้ห้าจังหวัดรวมเป็นหนึ่ง มีผู้ให้การสนับสนุนเบื้องหลังตนแล้ว แรงกดดันที่แบกรับทุเลาลงไปมาก หากจะลดจำนวนไพร่พลลงสักสองแสนนายก็มิใช่ปัญหาเลย เช่นนี้แล้วจะสามารถลดภาระที่แต่ละจังหวัดต้องแบกรับลงไปได้มาก
แต่ต่อมาสำนักหยกสวรรค์ประกาศว่ามณฑลหนานโจวคือเป้าหมาย ต้องการให้ทุกจังหวัดยืนหยัดแบกรับแรงกดดันต่อไปสักพัก ทันทีที่ตีชิงมณฑลหนานโจวมาได้ ไพร่พลหกแสนนายในมือของแต่ละจังหวัดต้องกระจายกำลังออกไปป้องกัน ยามนั้นไพร่พลหกแสนนายก็ไม่นับว่ามากแล้ว ทางสำนักหยกสวรรค์เองก็จะหยุดเรียกค่าบำรุงจากทุกจังหวัด พยายามลดภาระที่แต่ละจังหวัดแบกรับอยู่
สำหรับเรื่องนี้ คนที่มีส่วนเกี่ยวข้องต่างทราบแก่ใจดี ตอนนี้สำนักหยกสวรรค์มีกำไรจากการค้าสุราอยู่ ถึงได้ทำตัวใจกว้างขนาดนี้ได้ ผลกำไรต่อปีเป็นเงินหลายล้านเหรียญทอง แค่กำไรในส่วนนี้ก็มากกว่าค่าบำรุงที่เรียกร้องจากแต่ละจังหวัดแล้ว
จ้าวซิงเฟิงผู้ว่าการจังหวัดถูอันอดไม่ได้ที่จะเอ่ยขึ้นว่า “เจ้าสำนัก รูปแบบการปกครองของจังหวัดชิงซานและจังหวัดกว่างอี้ก็นับว่าไม่เลวเลย หากว่าพวกเราสามจังหวัดก็ได้ลดหย่อนภาษีด้วยล่ะก็…”
กล่าวยังไม่ทันจบ เผิงโย่วไจ้ก็กล่าวปิดทางด้วยประโยคหนึ่งว่า “จังหวัดชิงซานและจังหวัดกว่างอี้เสนอช่องทางรายได้อื่นเพื่อทดแทนให้แล้ว แล้วทางสามจังหวัดของพวกเจ้าเสนออันใดได้หรือไม่? หรือพวกเจ้าคิดว่าทางสำนักหยกสวรรค์ยึดเอากำไรจากการค้าสุราไว้ทั้งหมดเล่า? ค่าบำรุงที่ต้องจ่ายให้วังเหินเวหา วิมานม่วงทองและหุบเขากระบี่วิญญาณในแต่ละปีก็ไม่อาจขาดไปได้เช่นกัน หากต้องการครอบครองมณฑลหนานโจว ต้นทุนในการจ่ายค่าบำรุงก็จะยิ่งสูงขึ้น พวกเจ้าจะออกเงินในส่วนนี้หรือไม่เล่า? ล้วนเป็นสำนักหยกสวรรค์ที่ต้องจ่าย เอาล่ะ อย่าพูดถึงเรื่องนี้อีกเลย”
จ้าวซิงเฟิงดูประดักประเดิดเล็กน้อย ไม่คิดเลยว่าเอ่ยเสนอไปเพียงเล็กน้อยก็จะได้รับคำโต้แย้งมากมายขนาดนี้ จึงได้แต่ต้องหุบปากไปเงียบๆ
เผิงโย่วไจ้เอ่ยต่อว่า “ห้าจังหวัดต่างดูแลปกครองกันเอง ปกติไม่นับว่ามีปัญหา แต่ถ้าหากเผชิญปัญหาใดเข้า ไพร่พลของทั้งห้าจังหวัดจำเป็นต้องมีผู้บัญชาการหลัก เรื่องนี้ต้องเตรียมการเอาไว้ล่วงหน้า พวกเจ้าคิดว่าให้ผู้ใดบัญชาการถึงจะค่อนข้างเหมาะสม?”
ทันทีที่เขาเอ่ยประโยคนี้ออกมา หนิวโหย่วเต้าและเหมิงซานหมิงต่างสบตากันทันที หลงนึกว่าหลังจากตีชิงมณฑลหนานโจวมาได้แล้วถึงจะคุยเรื่องนี้ ไม่คิดเลยว่าจะเริ่มคุยตั้งแต่ตอนนี้
ขณะที่จ้าวซิงเฟิงกำลังจะเอ่ยขึ้นอีกครั้ง หนิวโหย่วเต้ากลับกระแอมคราหนึ่ง ชิงเอ่ยดึงความสนใจของทุกคนก่อน “ย่อมต้องให้เจ้าสำนักเผิงเป็นผู้บัญชาการหลักถึงจะค่อนข้างเหมาะสม ในที่นี้หากว่ากันในแง่ของบารมีแล้วยังจะมีผู้ใดเทียบกับเจ้าสำนักเผิงได้อีกหรือ?”
เหมิงซานหมิงค่อยๆ ยกจอกจรดริมฝีปาก ทราบดีว่าหนิวโหย่วเต้ากำลังสร้างเรื่อง เพราะไม่อยากให้อำนาจบัญชาการหลักไปตกอยู่ในมือผู้อื่น
ขอเพียงมิใช่คนโง่ ต่างก็ต้องมองออกกันทั้งสิ้นว่าหากตอนนี้กำหนดผู้ใดให้บัญชาการไพร่พลห้าจังหวัด คนผู้นั้นก็มีโอกาสสูงที่จะได้เป็นผู้ปกครองมณฑลหนานโจวในอนาคตด้วย
เมื่อทางนี้เสนอเผิงโย่วไจ้ออกไป จ้าวซิงเฟิงที่เตรียมคำพูดไว้แล้วก็จำเป็นต้องกลืนคำพูดกลับเข้าไป หากบอกว่าคนอื่นดีกว่าเผิงโย่วไจ้ แบบนี้นมันออกจะไม่ค่อยเหมาะสักเท่าไร
เผิงโย่วไจ้หัวเราะฮ่าๆ เอ่ยไปว่า “ความเห็นของน้องหนิวยอดเยี่ยมจริงๆ แต่ข้าไม่ได้มีปัญญามากขนาดนั้น อีกทั้งข้าไม่สันทัดเรื่องบัญชาการทัพด้วย”
หนิวโหย่วเต้าชี้ผู้อาวุโสสำนักหยกสวรรค์ที่อยู่ในงานเลี้ยงด้วย “สำนักหยกสวรรค์มีผู้ทรงความสามารถหลากหลาย สุ่มเลือกศิษย์ออกมาสักคนก็เพียงพอจะรับผิดชอบได้แล้ว”
เผิงโย่วไจ้ส่ายหน้าเอ่ยขึ้นมาอีกครั้งว่า “ผู้บำเพ็ญเพียรก็มีเรื่องราวในโลกบำเพ็ญเพียรต้องจัดการงาน ทั้งยังต้องบำเพ็ญเพียรด้วย ไม่ได้มีเวลาขนาดนั้น อีกทั้งไม่อาจทุ่มเทกำลังจัดการเรื่องราวทางโลกมากเกินไปได้ มิเช่นนั้นจะมีผู้ว่าการจังหวัดเอาไว้ทำไมเล่า? การเลือกคนสำหรับบัญชาการกองทัพกับการเลือกศิษย์สำหรับบำเพ็ญเพียรเป็นคนละเรื่องกันเลย น้องหนิว แต่ละศาสตร์ล้วนต้องมีผู้เชี่ยวชาญเฉพาะ ข้าคิดว่ายกเรื่องนี้ให้ผู้ที่ค่อนข้างชำนาญการรับผิดชอบไปเถอะ พวกเราอย่าได้เข้าไปยุ่งส่งเดชเลย ”
“เจ้าสำนักเผิงพูดมีเหตุผล” หนิวโหย่วเต้าหัวเราะฮ่าๆ จากนั้นหันไปมองเฟิ่งรัวหนานที่อยู่อีกทาง ถามไปว่า “พระชายา ท่านก็มีฐานะเป็นแม่ทัพเช่นกัน ไม่ทราบว่าท่านคิดว่ายกให้ผู้ใดเป็นผู้บัญชาการถึงจะค่อนข้างเหมาะพ่ะย่ะค่ะ?”
เฟิ่งรั่วหนานลอบกัดฟัน
เฟิ่งหลิงปอเหลือบมองหนิวโหย่วเต้าอย่างเย็นชา เผิงอวี้หลานยิ่งกัดฟันด้วยความชิงชัง ลากลูกสาวนางออกมาเช่นนี้ คิดจะส่งลูกสาวนางเข้ากองไฟอย่างนั้นหรือ?
ซางเฉาจง หลานรั่วถิงและเหมิงซานหมิงต่างมองไปที่หนิวโหย่วเต้าอย่างค่อนข้างแปลกใจ เรื่องนี้ไหนเลยจะให้เฟิ่งรั่วหนานมาตัดสินได้ ไม่ทราบเช่นกันว่าคนผู้นี้ชักเรื่องเดือดร้อนไปหาเฟิ่งรั่วหนานด้วยเจตนาใด
เผิงโย่วไจ้กลับโบกมือไปยังคนที่นั่งอยู่พลางกล่าวว่า “ผู้บำเพ็ญเพียรอย่าเข้าไปยุ่งกับเรื่องนี้เลยจะดีกว่า ให้ผู้ว่าการจังหวัดทั้งสี่เสนอชื่อออกมาแล้วกัน!”
ประโยคเดียวก็สะกดหนิวโหย่วเต้าไว้ได้แล้ว ทั้งยังกันเฟิ่งรั่วหนานออกไปด้วย
หนิวโหย่วเต้ายิ้มละไมแล้วชูจอกไปทางเผิงโย่วไจ้ เขาทำได้เพียงหยุดลงเท่านี้ อำนาจตัดสินใจอยู่ในมืออีกฝ่าย อำนาจจัดการเรื่องราวก็อยู่ในมืออีกฝ่ายเช่นกัน หัวข้อสนทนาจะเป็นอย่างไรล้วนขึ้นอยู่กับการชักจูงของอีกฝ่าย นี่คือเรื่องที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้
จ้าวซิงเฟิงเปิดปากขึ้นมาอีกครั้ง ชี้เฟิ่งหลิงปอที่นั่งอยู่ “มีจังหวัดกว่างอี้ก่อนถึงได้มีจังหวัดชิงซาน ทั้งหมดนี้ต้องขอบคุณเฟิ่งหลิงปอที่ช่วยปูทางให้ตั้งแต่จังหวัดกว่างอี้ ถึงได้ทำให้สองจังหวัดมีวันนี้ได้ ในหมู่ผู้ว่าการจังหวัดทั้งหมดที่อยู่ในงาน ข้ายอมรับเพียงเฟิ่งหลิงปอเท่านั้น ข้าขอเสนอให้เฟิ่งหลิงเป็นผู้บัญชาการไพร่พลห้าจังหวัด”
หนิวโหย่วเต้าเลิกคิ้วเล็กน้อย เอ่ยหยอกไปว่า “นามของผู้ว่าการจ้าวช่างตั้งได้เหมาะนัก!”
ทุกคนมองหน้ากัน จ้าวซิงเฟิงผงะไป หมายความว่าอย่างไร?
หลานรั่วถิงเอ่ยรับช่วงทันที “วาจานี้ของเต้าเหยี่ยมีความหมายเช่นไรกัน?”
หนิวโหย่วเต้าค่อยๆ เอ่ยขึ้นว่า “ถนัดสร้างคลื่นลมน่ะสิ”
ทุกคนที่อยู่ในงานเลี้ยงบ้างก็หลุดขำออกมา บ้างก็มีสีหน้าเรียบเฉย ส่วนสีหน้าจ้าวซิงเฟิงหมองคล้ำลง
หนิวโหย่วเต้าเหลือบมองด้วยสายตาเย็นชาในทันใด “มองจากสีหน้าของผู้ว่าการจ้าวแล้ว หรือว่าไม่พอใจในตัวข้า? เพียงหยอกเย้าเล่นเท่านั้น อย่าได้ถือเป็นจริงเป็นจังไปเลยหากคิดเป็นจริงเป็นจังไปคงไม่ดี”
จ้าวซิงเฟิงประสานมือไปทางเผิงโย่วไจ้ทันที ต้องการขอให้อีกฝ่ายช่วยให้ความเป็นธรรม
เผิงโย่วไจ้ยกมือปรามโดยเร็ว ไม่ให้เขาทะเลาะแตกหักกับหนิวโหย่วเต้าต่อหน้าคนมากมาย เห็นได้ชัดว่าเจ้าหนิวโหย่วเต้าคนนี้จงใจหาเรื่อง หากปล่อยให้คนผู้นี้จับจุดสร้างปัญหาขึ้นมาได้จริงๆ เกรงว่าจ้าวซิงเฟิงคงรับมือไม่ไหว ที่สำคัญคือหนิวโหย่วเต้ากุมช่องทางรายได้หลักของสำนักหยกสวรรค์ไว้ สำนักหยกสวรรค์จำเป็นต้องไว้หน้าสามส่วน
ดังนั้นเรื่องที่สามารถแก้ไขกันด้วยเหตุผลได้ก็ไม่จำเป็นต้องทะเลาะหักหน้ากันเลย เรื่องทุกอย่างรอให้ถึงเวลาแล้วค่อยคิดบัญชีทีหลังก็ได้ดฮณ๊ฯดฯฌซ,
เขาเอ่ยปรามว่า “น้องหนิว ที่นี่กำลังคุยเรื่องงานกันอยู่ อย่าได้ล้อเล่นเลย หากรู้สึกว่านั่งอยู่ที่นี่แล้วอึดอัด ข้าสามารถจัดห้องรับรองส่วนตัวให้ได้” นับว่าเป็นการมอบคำเตือนให้อีกฝ่าย
หนิวโหย่วเต้าโบกมือกล่าวไปว่า “เจ้าสำนักเผิงเกรงใจเกินไปแล้ว ทุกคนดูตึงเครียดกันเกินไป ข้าจึงอยากช่วยให้บรรยากาศดูมีชีวิตชีวาขึ้นเท่านั้น”
เผิงโย่วไจ้กวาดตามองคนอื่นๆ
เหมยหลินเซิ่งผู้ว่าการจังหวัดหูซีก็เอ่ยขึ้นมาว่า “ข้าก็เสนอเฟิงหลิงปอเช่นกัน!”
อู๋เทียนตั้งผู้ว่าการจังหวัดอู่หยางก็เอ่ยตามขึ้นมา “เห็นด้วย ขอเสนอเฟิ่งหลิงปอ!”
ดวงตาของเฟิ่งหลิงปอที่อยู่ในงานเลี้ยงฉายแววดีใจเล็กน้อย สำหรับผลลัพธ์นี้ ในใจเขารู้อยู่ก่อนแล้ว เขาเหลือบมองไปทางลูกเขยตน อยากเห็นว่าซางเฉาจงจะทำอย่างไร
เผิงอวี้หลานมองไปทางผู้เป็นบิดาด้วยสายตาตื้นตัน ถึงจะอ้อมวนไปไกล แต่สุดท้ายก็พบว่าท่านพ่อยังคงเข้าข้างครอบครัวตนอยู่ดี อีกทั้งตระหนักได้ถึงความฉลาดเฉลียวของผู้เป็นบิดา เสียน้อยเพื่อได้มาก ยอมอ้อมวนเป็นวงใหญ่ ซางเฉาจงก็เป็นเพียงหินรองเท้าของครอบครัวตนเท่านั้น กลยุทธ์นี้ของท่านพ่อเลิศล้ำโดยแท้
นางอดไม่ได้ที่จะนึกถึงคำพูดที่บิดากล่าวกับนางเมื่อคืนนี้ สำนักหยกสวรรค์มิใช่สำนักหยกสวรรค์ของตระกูลเผิง เรื่องทุกอย่างต้องดำเนินการด้วยวิธีที่เหมาะสมเป็นเหตุเป็นผล เมื่อเรื่องราวได้รับการสนับสนุนจากทุกคนก็จะจัดการได้ง่าย
สมาชิกระดับสูงของสำนักหยกสวรรค์ที่อยู่ในงานเลี้ยงต่างมีสีหน้าเรียบเฉย แต่ละคนมองไปทางซางเฉาจงด้วยสายตามีเลศนัย ผลลัพธ์ย่อมเป็นไปตามที่พวกเขาตกลงกันเอาไว้
ซางเฉาจงคลึงจอกสุราในมือเล่น เงียบงันไม่กล่าววาจา
เฟิ่งรั่วหนานกัดริมฝีปากแน่นไม่เอื้อนเอ่ย
พวกเฟ่ยฉางหลิวมีสีหน้าตึงเครียด艾琳小說
เหมิงซานหมิงทอดสายตามองไปที่หนิวโหย่วเต้า เห็นเพียงว่าหนิวโหย่วเต้าพยักหน้าให้นิดๆ
เผิงโย่วไจ้ยิ้มออกมา ถามไปว่า “ท่านอ๋อง มีความเห็นเช่นไรพ่ะย่ะค่ะ?”
ซางเฉาจงตอบอย่างเฉยชา “ความเห็นของข้ายังสำคัญอีกหรือ?”
เผิงโย่วใจกล่าวอย่างใจกว้าง “คุยกันอย่างเปิดกว้าง ทุกเรื่องว่าไปตามเหตุผล มีความเห็นเช่นไรก็กล่าวมาได้เต็มที่”
ซางเฉาจงกวาดมองไปรอบๆ หลังจากได้รับสายตาจากเหมิงซานหมิงก็เอ่ยออกไปด้วยใบหน้าที่เคร่งขรึมว่า “ความเห็นของผู้ว่าการทั้งสาม ข้าเห็นด้วย!”
………………………………………………………….