ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า - ตอนที่ 416 หนิวโหย่วเต้าหายตัวไป!
ตอนที่ 416 หนิวโหย่วเต้าหายตัวไป!
เจ้าบ้านและแขกผู้มาเยือนล้วนเพ่งพินิจซึ่งกันและกัน
ฝ่ายชายล้วงกระดาษแผ่นหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อแล้วกางออก บนกระดาษคือภาพเหมือนของหนิวโหย่วเต้า หลังจากมองเทียบกับหนิวโหย่วเต้า ก่อนจะหันไปพยักหน้าให้กับสตรีที่อยู่ด้านข้างแล้วเอ่ยอย่างนอบน้อมว่า “เป็นเขาพ่ะย่ะค่ะ!”
หนิวโหย่วเต้ามองจากเงาที่สะท้อนจากด้านหลังแผ่นกระดาษ พอจะมองออกว่าเป็นภาพเหมือน จึงอดไม่ได้ที่จะแสดงสีหน้าสนใจใคร่รู้ออกมาพลางเอ่ยถามว่า “ทั้งสองท่านเป็นใครหรือ แล้วมีธุระใดหรือ?”
ฝ่ายสตรีแนะนำตัวด้วยน้ำเสียงใสกระจ่าง “ข้าพเจ้าคือโจวชิง”
หนิวโหย่วเต้าและก่วนฟางอี๋สบตากัน อดไม่ได้ที่จะเพ่งพิศดูสตรีนางนี้ตั้งแต่หัวจรดเท้าอีกครั้ง หนิวโหย่วเต้าเอ่ยด้วยความสงสัย “ข้าพเจ้า? โจวชิง? โปรดอภัยให้ความรู้ที่ตื้นเขินของผู้น้อยด้วย พอจะอธิบายให้ละเอียดอีกหน่อยได้หรือไม่?”
ฝ่ายชายรีบเอ่ยแนะนำว่า “ท่านผู้นี้คือพระสนมกุ้ยเฟย”
ฝ่ายหญิงเองก็แนะนำตัวเพิ่มว่า “โจวโส่วเสียนผู้ว่าการมณฑลหนานโจวคือบิดาของข้า”
“โอ้!” ในที่สุดหนิวโหย่วเต้าก็เข้าใจแล้ว ที่แท้ก็เป็นสนมขององค์ฮ่องเต้ บุตรีของโจวโส่วเสียนเดินทางมาเขา เขาก็พอจะเดาออกแล้วว่าอีกฝ่ายมีจุดประสงค์ใด เขาจึงหันเหสายตาไปที่ฝ่ายชายแล้วเอ่ยถามไปว่า “แล้วท่านล่ะ?”
ฝ่ายชายตอบว่า “ก่าเหมี่ยวสุย ผู้ดูแลราชรถของวังหลวง!”
“โอ้!” หนิวโหย่วเต้าพยักหน้ารับ ถึงจะไม่เคยพบคนผู้นี้ แต่เคยได้ยินเรื่องราวของคนผู้นี้ เป็นขันทีที่รับใช้ใกล้ชิดซางเจี้ยนสยงฮ่องเต้แห่งแคว้นเยี่ยน ตอนที่ซางเฉาจงบุกเข้าชิงจังหวัดชิงซาน คนผู้นี้ก็เหมือนจะเป็นตัวแทนราชสำนักมาเจรจาเช่นกัน เขาถามไปว่า “ท่านคือลูกศิษย์ของผู้ดูแลหลวงเถียนอวี่อย่างนั้นหรือ?”
“ถูกต้อง!” ก่าเหมี่ยวสุ่ยยอมรับ
หนิวโหย่วเต้าถาม “ข้าจะทราบได้อย่างไรว่าพวกท่านเป็นตัวจริง?”
ก่าเหมี่ยวสุ่ยโยนป้ายคำสั่งชิ้นหนึ่งให้ หนิวโหย่วเต้ารับไปมองเล็กน้อยแล้วโยนคืนให้ จากนั้นก็ผายมือเชิญ “แขกผู้มีเกียรติทั้งสองเชิญนั่งก่อน!”
มีเพียงโจวชิงที่นั่งลงไป ส่วนก่าเหมี่ยวสุ่ยปฏิบัติตัวตามฐานะ ยืนรวบมืออยู่ด้านข้างโจวชิง
โจวชิงล้วงพู่หยกชิ้นหนึ่งออกมา วางลงบนโต๊ะแล้วดันไปไว้เบื้องหน้าหนิวโหย่วเต้า “มีคนมอบหมายให้ข้าเป็นตัวแทนมาทักทายฝ่าซือ บอกว่าเมื่อฝ่าซือเห็นก็จะทราบว่าเป็นผู้ใด”
หนิวโหย่วเต้ามองมือเรียวงามของนางก่อนครู่หนึ่ง สังเกตเห็นว่ามือของสตรีนางนี้งดงามจริงๆ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้พบโฉมงามที่มีมือเรียวงามน่ามองขนาดนี้ มองเพียงครู่เดียวก็สลักลึกลงในความทรงจำแล้ว จากนั้นจึงหันเหความสนใจไปยังพู่หยก รับไปมองอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะยิ้มแล้วส่ายศีรษะเล็กน้อย
เขามีพู่หยกชิ้นหนึ่งที่เหมือนกันทุกกระเบียดนิ้วอยู่ หากนำมาประกบกันสองฝั่งซ้ายขวาก็น่าจะเข้าคู่กันได้พอดี
ก็เหมือนที่อีกฝ่ายบอกไว้ พอเห็นพู่หยกเขาก็คาดเดาได้ทันทีว่าคนที่ต้องการทักทายเขาคือผู้ใด เขาพยักหน้าพลางเอ่ยไปว่า “คงต้องรบกวนกุ้ยเฟยช่วยทักทายหลิวกุ้ยเฟยแทนกระหม่อมด้วย” เขาดันพู่หยกคืนให้
หลิวกุ้ยเฟยที่เขากล่าวถึงก็คือมารดาของซางเสวี่ยพระชายาอวี้อ๋องแห่งแคว้นฉี ยามที่เขาอยู่แคว้นฉี เพื่อผลักดันให้เกิดสันติภาพแล้ว ซางเสวี่ยได้มอบของสิ่งหนึ่งให้เขาเพื่อให้เขาใช้ติดต่อกับทางเมืองหลวงแคว้นเยี่ยน นั่นก็คือพู่หยกที่เข้าคู่กันชิ้นนี้
เมื่อเห็นพู่หยกนี้ เขาก็ยิ่งแน่ใจในเจตนาการมาเยือนของอีกฝ่าย
โจวชิงเอ่ยว่า “คาดว่าฝ่าซือน่าจะทราบจุดประสงค์ในการมาของข้าพเจ้าแล้ว”
หนิวโหย่วเต้าตอบว่า “พอจะเดาออกเล็กน้อยพ่ะย่ะค่ะ”
โจวชิงกล่าวว่า “องค์หญิงแจ้งข่าวให้ทางนี้ทราบแล้ว บอกว่าตอนอยู่ที่เมืองหลวงแคว้นฉี ฝ่าซือรับปากนางไว้ว่าจะพยายามสร้างความปรองดองระหว่างฝ่าบาทและยงผิงจวิ้นอ๋อง พยายามหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดการปะทะกันระหว่างพวกเขาลุงหลาน ไม่ทราบว่ามีเรื่องเช่นนี้จริงหรือไม่?”
หนิวโหย่วเต้าลูบคาง ตระหนักได้ว่าเรื่องนี้ทั้งซับซ้อนแล้วก็เรียบง่าย สัญลักษณ์ยืนยันตัวตนอยู่กับทางหลิวกุ้ยเฟย แต่หลิวกุ้ยเฟยไม่ได้มา ผู้ที่มากลับเป็นโจวกุ้ยเฟยเพียงคนเดียว เห็นได้ชัดว่าเป็นเพราะเรื่องสงครามพัวพันไปถึงโจวโส่วเสียนผู้เป็นบิดาของโจวกุ้ยเฟย แล้วก็พอจะเข้าใจได้เช่นกันว่าทันทีที่โจวโส่วเสียนพ่ายศึก ทางซางเจี้ยนสยงและราชสำนักไม่มีทางยอมรับผิดชอบในเรื่องนี้ พวกเขาจะต้องหาคนมารับผิดชอบแทนแน่นอน ซึ่งก็เหลือเพียงโจวโส่วเสียนผู้พ่ายศึกที่ต้องมาแบกรับความผิดแทน เขาพอจะนึกภาพออก ทันทีที่กุ้ยเฟยกลายเป็นบุตรีของขุนนางต้องโทษ เกรงว่าชีวิตภายในวังหลวงของโจวกุ้ยเฟยคนนี้คงลำบากแล้ว ความสัมพันธ์ของสองพ่อลูกคือการพึ่งพาซึ่งกันและกัน
เพียงแต่เมื่อมองจากสถานการณ์ในปัจจุบันนี้ โจวโส่วเสียนผู้มีกองกำลังของแคว้นหนุนหลังอยู่กลับไม่มีความมั่นใจในการทำศึกเลย
ฝ่ายซางเสวี่ยส่งจดหมายมาขอให้เขาช่วยจัดการอย่างต่อเนื่อง ตอนนี้โจวกุ้ยเฟยก็มาหาเขาอีก เห็นได้ชัดว่าสตรีทั้งสองต้องการให้แผ่นดินเยี่ยนเกิดสันติ
เขามั่นใจว่าการมาเยือนของโจวกุ้ยเฟยคนนี้ได้รับอนุญาตจากซางเจี้ยนสยงผู้เป็นฮ่องเต้แคว้นเยี่ยนแล้ว มิเช่นนั้นพระสนมผู้สูงศักดิ์คนหนึ่งจะออกจากวังมาอย่างเงียบเชียบปานนี้ได้อย่างไร ทั้งยังมีผู้ดูแลราชรถของวังหลวงร่วมเดินทางมาด้วยอีก หากไม่ได้รับอนุญาตจากซางเจี้ยนสยงสิถึงจะแปลก
หนิวโหย่วเต้าพยักหน้า “เรื่องเป็นเช่นนั้นจริงๆ พ่ะย่ะค่ะ”
โจวชิงยิ้มเล็กน้อย เอ่ยไปว่า “ฝ่าซือจดจำได้ก็ดีแล้ว”
หนิวโหย่วเต้าตอบว่า “จดจำได้ ไม่มีทางลืมพ่ะย่ะค่ะ เพียงแต่กระหม่อมก็ไร้ความสามารถจะจัดการเรื่องนี้ได้เช่นกัน”
โจวชิงเอ่ยว่า “กระทั่งฮ่องเต้แคว้นฉียังให้การยอมรับ ไยฝ่าซือต้องถ่อมตัวอีก ราชสำนักจับตามองสถานการณ์ของทางนี้มาโดยตลอด จากการวิเคราะห์ของราชสำนัก ฝ่าซือมีอิทธิพลต่อยงผิงจวิ้นอ๋องอย่างมากทีเดียว ขอเพียงฝ่าซือยอมใช้อิทธิพลในส่วนนี้ สงครามครั้งนี้ก็ยากจะเกิดขึ้นได้ ทันทีที่เกิดสงคราม ราษฎรไม่เพียงแต่จะต้องพลอยตกทุกข์ได้ยากไปด้วย อีกทั้งยงผิงจวิ้นอ๋องและฝ่าบาทก็เป็นลุงหลานกัน ยิ่งไปกว่านั้นคือผลประโยชน์ใหญ่หลวงที่สุดจากสงครามหาได้ตกอยู่ที่ยงผิงจวิ้นอ๋องไม่ แต่ไปตกอยู่กับสำนักหยกสวรรค์แทน ไยต้องทำเรื่องโง่เขลาห้ำหั่นกับญาติร่วมสายเลือดเพื่อให้คนนอกได้ผลประโยชน์ด้วย?”
หนิวโหย่วเต้าขบขันอยู่ในใจ ตอนนี้รู้จักคำว่าญาติร่วมสายเลือดแล้วอย่างนั้นหรือ แล้วแต่ก่อนคนที่บีบคั้นซางเฉาจงจนหมดหนทางเป็นผู้ใดกันเล่า?
เขาส่ายหน้าเล็กน้อยเอ่ยไปว่า “ในเมื่อพระสนมทราบเรื่องสำนักหยกสวรรค์แล้ว เช่นนั้นพระสนมก็น่าจะรู้นะพ่ะย่ะค่ะว่าห้าจังหวัดตอนล่างของมณฑลหนานโจวมิได้อยู่ภายใต้การดูแลของท่านอ๋อง ท่านอ๋องดูแลเพียงสองในห้าจังหวัดเท่านั้น ไพร่พลเกือบหกแสนนายก็อยู่ในบังคับบัญชาของท่านอ๋องเพียงสองแสนนายเท่านั้น”
โจวชิงกล่าวว่า “ขอเพียงท่านอ๋องยอมหลีกเลี่ยงสงคราม ไม่ว่าจะเป็นทางสำนักหยกสวรรค์ หรือว่าผู้แปรพักตร์ทั้งสามอย่างเหมยหลินเซิ่ง อู๋เทียนตั้งและจ้าวซิงเฟิงก็ไม่มีค่าพอให้กังวลเลย!”
หนิวโหย่วเต้าถามด้วยความสนใจ “ยงผิงจวิ้นอ๋องมีอำนาจน่าเกรงขามถึงเพียงนั้นเชียวหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
โจวชิงตอบว่า “บิดาข้าเคยอยู่ใต้บังคับบัญชาของเหมิงซานหมิงมาก่อน จึงทราบดีว่าชื่อเสียงในฐานะยอดขุนพลของเหมิงซานหมิงหาใช่ชื่อเสียงเลื่อนลอยไม่ หนิงอ๋องเรืองอำนาจขึ้นมาได้ก็เพราะความช่วยเหลือของเหมิงซานหมิง เดิมทีคิดว่าเหมิงซานหมิงสิ้นชีพไปนานแล้ว ไม่คิดเลยว่าจะแอบซ่อนตัวมาโดยตลอด ทั้งยังออกจากหุบเขามาติดตามยงผิงจวิ้นอ๋องอีก มิใช่แค่เรื่องนี้เท่านั้น ถ้าว่ากันในแง่ของกำลังทหารเพียงอย่างเดียว เมื่อผู้แปรพักตร์ทั้งสามคนนั้นต้องการจะก่อสงคราม หากปราศจากกำลังทหารสองแสนนายของยิงผิงจวิ้นอ๋องไป แรงกดดันของบิดาข้าก็จะลดลงไปอย่างมากด้วยเช่นกัน”
หนิวโหย่วเต้าลอบทอดถอนใจ นี่เพิ่งผ่านไปเพียงไม่กี่ปีเอง ซางเฉาจงที่เคยระหกระเหินออกจากเมืองหลวงแคว้นเยี่ยนเสมือนสุนัขเร่ร่อนกลับแข็งแกร่งขึ้นจนกดดันให้ทางซางเจี้ยนสยงต้องยอมไว้หน้าได้แล้ว
แต่แน่นอน มิใช่ว่าซางเจี้ยนสยงเกรงกลัวกำลังทหารของห้าจังหวัด อันที่จริงเป็นเพราะมีศึกรุมเร้าทั้งนอกใน จึงทำให้ซางเจี้ยนสยงไม่กล้าเรียกใช้กองกำลังของแคว้นไปออกศึก หากมิใช่เพราะเหตุผลนี้ ซางเฉาจงก็คงจะไม่กล้าเปิดศึกนี้ขึ้นเช่นกัน เรียกได้ว่าสำนักหยกสวรรค์ฉวยโอกาสหาประโยชน์จากจุดนี้เช่นกัน
และการที่ซางเจี้ยนสยงยอมอ่อนข้อให้ทางนี้ ก็เป็นเพราะหากต้องสูญเสียมณฑลหนานโจวไปจริงๆ ประชาชนแคว้นเยี่ยนจะมองเขาอย่างไร? จะให้ฮ่องเต้อย่างซางเจี้ยนสยงยอมรับความอดสูได้อย่างไร? เรื่องแรกที่ผู้คนจะคิดกันก็คือซางเจี้ยนสยงไร้ความสามารถ
โจวชิงเอ่ยต่อว่า “ไม่จำเป็นต้องกังวลกับทางสำนักหยกสวรรค์ ขอเพียงยงผิงจวิ้นอ๋องยอมเลี่ยงศึกในครั้งนี้ ทันที่ที่สงครามในครั้งนี้ไม่เป็นผลดีต่อสำนักหยกสวรรค์ เมื่อนั้นก็คือเวลาตายของสำนักหยกสวรรค์ ฝ่าบาทสามารถแจ้งให้สามสำนักใหญ่ขับไล่สำนักหยกสวรรค์ออกจากแคว้นเยี่ยนได้!”
ในจุดนี้หนิวโหย่วเต้าเชื่ออีกฝ่าย เมื่อสงครามที่สำนักหยกสวรรค์จุดชนวนขึ้นล้มเหลว ก็แปลว่าสำนักหยกสวรรค์ยากจะได้ควบคุมมณฑลหนานโจวแล้ว เมื่อไม่มีกำลังพอจะควบคุมมณฑลหนานโจวได้ ไม่ว่าก่อนหน้านี้สำนักหยกสวรรค์จะเจรจากับสามสำนักใหญ่ไว้อย่างไร ก็ล้วนแต่จะต้องเผชิญหน้ากับการถูกสามสำนักใหญ่กวาดล้าง ในเมื่อรับมือไม่ไหวแล้วจะก่อปัญหาขึ้นทำไม?
“อีกทั้งฝ่าบาทก็จะไม่เอาเปรียบยงผิงจวิ้นอ๋องเช่นกัน จะเลื่อนยศจากจวิ้นอ๋องเป็นชินอ๋อง จะยกห้าจังหวัดตอนล่างของหนานโจวให้เป็นที่ดินศักดินาของท่านอ๋อง!”
หลังจากหนิวโหย่วเต้าได้ฟังก็ส่ายหน้าพลางยิ้มอย่างขมขื่น “กระหม่อมไร้กำลังจะจัดการเรื่องนี้ได้จริงๆ พ่ะย่ะค่ะ”
ก่าเหมี่ยวสุ่ยที่อยู่ด้านข้างเอ่ยขึ้นว่า “ฝ่าบาทตรัสแล้วว่ายินดียกหนานโจวให้คนในครอบครัว ดีกว่าให้คนนอกได้ประโยชน์ หากยงผิงจวิ้นอ๋องยังคงขุ่นเคืองกับเรื่องในอดีต ฝ่าบาทก็ยินดีจะยอมถอยให้อีกก้าว สามารยกหนานโจวทั้งมณฑลให้เป็นที่ดินศักดินาของท่านอ๋องได้!”
ความหมายในวาจานี้บอกไว้ชัดเจนแล้ว ขอเพียงซางเฉาจงยอมเลี่ยงศึกในครั้งนี้ มณฑลหนานโจวก็จะตกเป็นของซางเฉาจงโดยที่ซางเฉาจงไม่ต้องโจมตีแย่งชิงเลย
ทว่าหนิวโหย่วเต้ากลับฟังออกถึงเจตนาร้ายที่แอบแฝงอยู่ในเรื่องราว เขามุ่นคิ้วเล็กน้อยพลางเอ่ยไปว่า “พระสนม กงกง คุยกันมานานสองนานแล้ว แต่ดูเหมือนราชสำนักจะยังไม่ค่อยเข้าใจถึงสถานการณ์สักเท่าไร เรื่องราวหาได้เป็นอย่างที่พวกท่านคิดไว้ไม่”
โจวชิงที่นั่งอยู่โน้มตัวไปด้านหน้าเล็กน้อย “โปรดอธิบายด้วย”
หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “ยงผิงจวิ้นอ๋องถูกสำนักหยกสวรรค์ควบคุมเอาไว้ อำนาจทางการทหารก็ถูกสำนักหยกสวรรค์ลิดรอนไปด้วย ตอนนี้ผู้ที่สามารถบัญชาการกองทัพห้าจังหวัดได้คือเฟิ่งหลิงปอ”
พอเอ่ยถึงเรื่องนี้ ตอนนี้เขาถึงได้เข้าใจแล้วว่าเหตุใดสำนักหยกสวรรค์ถึงได้พยายามก่อให้เกิดความขัดแย้งภายในห้าจังหวัดก่อนงานใหญ่จะสำเร็จ ที่แท้อีกฝ่ายก็เตรียมการป้องกันความเป็นไปได้บางอย่างเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว ตัดผลกระทบที่อาจปรากฏขึ้นในอนาคตออกไป เห็นได้ชัดว่าสำนักหยกสวรรค์สิ้นเปลืองความคิดจิตใจไปไม่น้อยเลยเพื่อให้ได้มณฑลหนานโจวมาครอบครอง
“อะไรนะ?” โจวชิงตกใจ
ก่าเหมี่ยวสุ่ยเอ่ยเสียงเครียด “เป็นเช่นนี้ได้อย่างไร? ต่อให้ยงผิงจวิ้นอ๋องจะมองไม่ออก แต่เหมิงซานหมิงจะยอมปล่อยให้ท่านอ๋องถูกลิดรอนอำนาจทางการทหารไปง่ายๆ ได้อย่างไร? แม่ทัพเหมิงผู้องอาจจะไม่ทราบถึงความสำคัญของอำนาจทางการทหารได้อย่างไร?”
“แต่เรื่องมันเป็นเช่นนี้จริงๆ!” หนิวโหย่วเต้าพยักหน้ายืนยันหนักแน่น เขาย่อมไม่มีทางบอกไปว่าเป็นเพราะตัวเขาแนะนำอีกฝ่ายให้ยอมตามน้ำไปก่อน ฝ่ายหนึ่งเจตนาโจมตี อีกฝ่ายต้องอดทนแบกรับไว้!
โจวชิงพลันมีสีหน้าตื่นตระหนก
สีหน้าของก่าเหมี่ยวสุ่ยก็แปรเปลี่ยนอย่างรุนแรง ทราบดีว่าหากเรื่องราวเป็นเช่นนี้จริง ศึกนี้คงหลีกเลี่ยงไม่ได้แล้ว เมื่อคิดถึงสถานการณ์ที่มีศึกรุมเร้าทั้งนอกใน มันก็มีความเป็นได้สูงจริงๆ ที่สำนักหยกสวรรค์จะให้การสนับสนุนเฟิ่งหลิงปอ
ทันใดนั้นหนิวโหย่วเต้าเอ่ยขึ้นมาอีกครั้งว่า “แต่ถ้าหากเกิดเหตุขึ้นกับท่านอ๋องล่ะก็ ข้าเองก็คงลำบากเช่นกัน ทางข้ามีแผนการหนึ่งจะหารือกับทั้งสองท่าน อาจจะพอมีช่องทางพลิกสถานการณ์ของเรื่องราวได้”
ก่วนฟางอี๋ปรายตามองเขาเล็กน้อย ไม่รู้ว่าคนผู้นี้จะเล่นลูกไม้อันใดอีก
โจวชิงลืมตัวเล็กน้อย ชิงเอ่ยไปว่า “เชิญว่ามาได้เลย!”
หลังจากทั้งสองฝ่ายวางแผนลับกันอยู่พักหนึ่ง ก่าเหมี่ยวสุ่ยและโจวกุ้ยเฟยก็ไม่ได้รั้งอยู่ต่อ หากแต่รีบจากไปทันที
มาครานี้ก็ไม่นับว่ามาเสียเที่ยว อย่างน้อยก็ได้ทราบสถานการณ์ของทางฝั่งซางเฉาจงแล้ว รู้แล้วว่าแม่ทัพใหญ่ของทางฝั่งศัตรูเป็นใคร
……
ศิษย์จากสามสำนักอันได้แก่สำนักเซียนสถิต สำนักเมฆาล่องและสำนักคีรีพิลาสต่างอพยพออกไปภายในวันเดียวกัน
เมื่อสามสำนักจากไปได้ไม่นาน หนิวโหย่วเต้าก็พาคนของตนหายตัวไปอย่างงัยบๆ ในป่าเขา
…….
ณ สถานที่ตั้งของสำนักหยกสวรรค์ เหมยหลินเซิ่ง อู๋เทียนตั้งและจ้าวซิงเฟิงเร่งเดินทางออกมาจากศูนย์บัญชาการกลางที่ก่อตั้งขึ้นมาชั่วคราว มุ่งหน้ากลับไปยังจังหวัดของตนอย่างลับๆ ภายใต้การคุ้มกันของเหล่าศิษย์สำนักหยกสวรรค์
จากนั้นเผิงโย่วไจ้ก็พาสมาชิกระดับสูงกลุ่มหนึ่งของสำนักหยกสวรรค์ออกมาจากในเรือนที่อยู่ในศูนย์บัญชาการกลาง
ระหว่างที่เดินขึ้นไปตามบันไดขึ้นเขา มีศิษย์คนหนึ่งรีบเดินเข้ามารายงานว่า “ทางท่านหญิงซางซูชิงรวมถึงศิษย์จากสามสำนักอันได้แก่สำนักเซียนสถิต สำนักเมฆาล่องและสำนักคีรีพิลาสอยู่ระหว่างเดินทางแล้วขอรับ”
“ดี!” เผิงโย่วไจ้หยุดเดินแล้วหันกลับมาเอ่ยเสียงขรึมกับเหล่าผู้อาวุโสว่า “ตอนนี้อย่าเพิ่งแหวกหญ้าให้งูตื่น เอาไว้พวกเขามาถึงแล้ว คนอื่นไม่ต้องไปสนใจ ขอเพียงพวกหนิวโหย่วเต้าเดินทางมาถึง ให้จับพวกเขาทั้งหมดไว้อย่างลับๆ ทันที! เด็กคนนี้เจ้าเล่ห์เป็นที่สุด แล้วก็เป็นคนที่ทำให้ข้ากังวลที่สุด ก่อนที่สงครามจะเปิดฉากขึ้น จะต้องควบคุมตัวเขาไว้ให้ได้ ห้ามปล่อยให้เกิดเหตุไม่คาดฝันใดๆ ขึ้นเด็ดขาด”
ทุกคนต่างพยักหน้าเล็กน้อย ขอเพียงควบคุมสถานการณ์โดยรวมเอาไว้ได้ ต่อไปยังจำเป็นต้องเจรจาเรื่องผลกำไรจากการค้าสุรากับหนิวโหย่วเต้าอีกหรือ? หากจับตัวคนเอาไว้ทั้งหมด ดูสิว่าเจ้ายังจะยังต่อรองอย่างไรอีก?
เฟิงเอินไท่มีสีหน้าตึงเครียด เขาถอนหายใจเบาๆ รู้สึกจนปัญญา
ทว่าขณะที่ทั้งคณะมาถึงโถงหลักของสำนัก ก็มีศิษย์อีกคนรีบวิ่งเข้ามารายงานอย่างเร่งด่วน “เรียนเจ้าสำนัก หนิวโหย่วเต้าหายตัวไปขอรับ!”
เผิงโย่วไจ้ยังไม่ทันได้หย่อนก้นนั่งพลันตกใจ ตวาดถามด้วยความโกรธว่า “หายไปหรือ? หมายความว่าอย่างไร?”
ฝ่ายศิษย์ตอบว่า “จู่ๆ คนที่จับตาดูทางคฤหาสน์ในหุบเขาก็สังเกตเห็นว่าทางคฤหาสน์เหมือนจะไม่มีความเคลื่อนไหวเลย ต่อมาจึงเข้าไปสืบดู ผลคือพบว่าคนในคฤหาสน์หายตัวไปจนหมด ไม่มีเงาคนเลยแม้แต่คนเดียว ไม่รู้ว่าหนิวโหย่วเต้ารวมถึงพวกลูกน้องหายไปไหนกัน หายตัวไปทั้งหมดเลยขอรับ!”
……………………………………………………..