ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า - ตอนที่ 418 เร่งจบศึกโดยเร็ว
ตอนที่ 418 เร่งจบศึกโดยเร็ว
ความเห็นหรือ? ภายในบริเวณนั้นเงียบสงัด ไม่มีผู้ใดปริปากเลย
จู่ๆ ทางฝั่งราชสำนักก็ปรากฏเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น สำนักหยกสวรรค์และเฟิ่งหลิงปอต่างทราบกันมาก่อนแล้ว พวกเขาเคยหารือเรื่องนี้กันมาก่อนแล้วด้วย อันที่จริงครั้งนี้พวกเขาตั้งใจมาพูดให้พวกซางเฉาจงฟัง เพราะพวกเหมยหลินเซิ่งทั้งสามต่างแยกย้ายกลับไปเฝ้าฐานทัพของตนแล้ว
เดิมทีเฟิ่งหลิงปอรู้สึกว่าไม่จำเป็นต้องบอกให้รู้เลย เป็นเผิงโย่วไจ้ที่ยืนกรานให้บอกไป เผิงโย่วไจ้ต้องการฟังความเห็นจากซางเฉาจง หากพูดให้ถูกก็คืออยากฟังความเห็นจากเหมิงซานหมิง
เรื่องอื่นยังไม่ต้องพูดถึง เอาแค่ในเรื่องของการรบแล้ว เผิงโย่วไจ้ทราบถึงความสามารถของเหมิงซานหมิงดี กิตติศัพท์ด้านการรบในกาลก่อนของคนผู้นี้ไม่จำเป็นต้องยกมากล่าวอีก สรุปคือไม่ว่าจะเป็นศึกเล็กหรือศึกใหญ่ อีกฝ่ายล้วนเคยประสบมาอย่างโชกโชน โดยเฉพาะในบรรดาคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่ มีเพียงเหมิงซานหมิงเท่านั้นที่เคยมีประสบการณ์บัญชากองทัพใหญ่ขนาดนี้เพื่อออกศึก การให้เฟิ่งหลิงปอนำทัพ แม้แต่เผิงโย่วไจ้เองก็ไม่มีความมั่นใจเช่นกัน
แต่เรื่องนี้กลับทำให้เฟิ่งหลิงปอรู้สึกค่อนข้างอึดอัด ถึงอย่างไรเขาก็เป็นผู้บัญชาการหลักของศึกนี้ อีกอย่างอีกฝ่ายก็หาใช่คนโง่ไม่ รังแกอีกฝ่ายถึงขนาดนี้แล้วยังอยากได้ความเห็นจากอีกฝ่ายอีก ไม่กลัวจะถูกอีกฝ่ายหลอกเอาหรือ?
แต่ไม่ว่าจะเป็นซางเฉาจง หลานรั่วถิงหรือว่าเหมิงซางหมิงก็ล้วนแต่ไม่มีผู้ใดปริปากเลย
บรรยากาศตอนนี้กระอักกระอ่วนอย่างเห็นได้ชัด สุดท้ายยังคงเป็นเผิงโย่วไจ้ที่ยิ้มละไมพลางเอ่ยไปว่า “แม่ทัพเหมิง ท่านเป็นยอดขุนพล พอจะมีความเห็นอันใดชี้แนะหรือไม่?”
เหมิงซานหมิงเอ่ยว่า “ชมเกินไปแล้ว หากยอดเยี่ยมอย่างที่เจ้าสำนักเผิงชมจริงๆ ไหนเลยจะถูกคนทุบตีจนพิการนั่งรถเข็นเช่นนี้”
เผิงโย่วไจ้กล่าวว่า “ทุกคนต่างทราบสาเหตุที่ทำให้แม่ทัพเหมิงต้องพิการดี แต่ก็หาได้กระทบต่อความปราดเปรื่องของแม่ทัพเหมิงไม่ หากว่ากันในแง่ของการรบแล้ว ทุกคนในที่นี้ล้วนอ่อนประสบการณ์กว่าท่านทั้งสิ้น ความเห็นและประสบการณ์ของท่านมีคุณค่าต่อพวกเขามากนัก! หากศึกนี้มีชัยล้วนจะเป็นผลดีต่อทุกคน ท่านว่าใช่หรือไม่?” วาจาแฝงเจตนาข่มขู่ไว้
เหมิงซานหมิงตอบอย่างสุขุมว่า “ไม่ว่าราชสำนักจะส่งกำลังเสริมมาหรือไม่ ข้าก็อยากถามเพียงประโยคเดียว จะสู้หรือไม่สู้?”
เผิงโย่วไจ้ตอบอย่างผ่าเผยว่า “เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ธนูขึ้นสายแล้ว อย่างไรก็ต้องยิง”
เขาไม่เหลือทางถอยแล้ว ขอร้องสามสำนักใหญ่จนได้รับความยินยอมแล้ว หากถอยในเวลานี้ ไม่ว่าราชสำนักจะฉวยโอกาสเข้าโจมตีหรือไม่ แต่สามสำนักใหญ่คงต้องหน่ายแหนงสำนักหยกสวรรค์แน่นอน คิดจะล้อพวกเราเล่นอย่างนั้นหรือ? หากทำไม่ได้จะแส่หาเรื่องทำไม?
เหมิงซานหมิงกล่าวว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็สู้เถอะ!” เขาเหลือบมองไปทางเผิงโย่วไจ้ ท่าทีนั้นคล้ายกำลังบอกว่าก็ให้เฟิ่งหลิงปอบัญชาทัพเอาเองสิ
เผิงโย่วไจ้ถามเขาไปตรงๆ ว่า “แม่ทัพเหมิงคิดว่าควรสู้อย่างไร?”
เหมิงซานหมิงกลับหันไปถามเฟิ่งหลิงปอ “ท่านผู้ว่าการเตรียมจะสู้อย่างไร?”
เฟิ่งหลิงปอสูดหายใจเข้าลึกๆ เฮือกหนึ่ง พออยู่ต่อหน้าผู้ทรงความสามารถด้านการบัญชาทัพคนนี้ ตัวเขาเองก็ไม่ค่อยมั่นใจเท่าไรเช่นกัน แต่สุดท้ายยังคงหันหลังกลับไปบอกให้ลูกชายสองคนถอยออกไป ส่วนตัวเองเดินไปหยุดยืนอยู่หน้าแผนที่ที่แขวนเอาไว้ ชี้พลางเอ่ยว่า “เมื่อพิจารณาจากข้อมูลต่างๆ ที่ได้รับมา โจวโส่วเสียนได้ส่งไพร่พลไปประจำในแถบภูเขาทิศเหนือแล้ว ต้องการจะสกัดกองทัพใหญ่ของพวกเรา ทางทัพเราควรจะส่งไพร่พลส่วนหนึ่งไปแสร้งโจมตีหลอกล่อความสนใจของทัพหลักของศัตรู จากนั้นค่อยส่งกำลังทหารแยกเป็นสองทางเข้าโจมตีขนาบภูเขาเขตเหนือทั้งสองฝั่งซ้ายขวา…”
กล่าวยังไม่ทันจบ เหมิงซานหมิงก็ทนฟังต่อไปไม่ไหว โบกมือพลางเอ่ยว่า “ผู้ว่าการเตรียมจะนำทัพเข้าปะทะกับโจวโส่วเสียนที่แถวภูเขาทิศเหนือหรือ?”
เฟิ่งหลิงปอพยักหน้ารับ “ถูกต้อง หลอกล่อความสนใจทัพหลักฝ่ายศัตรู จากนั้นเข้าต่อสู้ตัดสินกับโจวโส่วเสียนที่ภูเขาแถบเหนือ ด้วยข้อได้เปรียบด้านระยะห่างจะทำให้ทางฝั่งเราสามารถใช้กลยุทธ์รอโจมตียามศัตรูอ่อนแรงได้ กว่าทัพหลักของศัตรูจะตามมาเสริมกำลังก็คงอ่อนล้ากันแล้ว สามารถเผด็จศึกในคราวเดียวได้…”
เหมิงซานหมิงเอ่ยขัดอีกครั้ง “หากว่าทัพหลักของศัตรูไม่มาช่วยจะทำอย่างไร?”
เฟิ่งหลิงปอกล่าวว่า “เช่นนั้นพวกเราก็จะฉวยโอกาสกวาดล้างไพร่พลที่ภูเขาแถบเหนือเสีย อาศัยภูมิประเทศภูเขาแถบเหนือที่เหมาะทั้งรุกโจมตีและถอยเพื่อป้องกัน หากโจวโส่วเสียนไม่มาช่วยก็เท่ากับประเคนภูเขาแถบเหนืออันเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญให้พวกเรา”
เหมิงซานหมิงถาม “เช่นนั้นผู้ว่าการวางแผนจะจบสงครามนี้ลงเมื่อใด?”
เฟิ่งหลิงปอกล่าวว่า “ไหนเลยจะกำหนดช่วงเวลาสิ้นสุดสงครามได้ตั้งแต่ตอนนี้? ขอเพียงมีชัยในศึกแรกได้ ขวัญและกำลังใจของทัพเราจะเพิ่มพูนมหาศาล แล้วก็จะเป็นการฉวยโอกาสซื้อเวลาให้กองทัพด้วย รอสังเกตความเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์และเคลื่อนทัพไปตามสถานการณ์ได้ แม่ทัพเหมิงผ่านสนามรบมาอย่างโชกโชน พอจะกำหนดได้หรือไม่ว่าศึกนี้จะจบลงเมื่อใด?”
พวกเผิงโย่วไจ้ได้ฟังก็มองไปทางเหมิงซานหมิง
เหมิงซานหมิงเอ่ยว่า “หากข้าเป็นโจวโส่วเสียน ท่านก็สู้ของท่านไป ข้าก็สู้ของข้าไป ผู้ว่าการไม่กล้าชักไฟสงครามให้ลามไปถึงมณฑลข้างเคียง มิเช่นนั้นจะต้องเผชิญศึกหลายด้าน อีกทั้งมณฑลในแถบใกล้เคียงนอกจากมณฑลจิวโจวแล้ว ที่เหลือล้วนอยู่ในการปกครองของแคว้นเยี่ยน อาศัยเพียงจุดนี้ข้าก็สามารถลัดผ่านมณฑลข้างเคียงหรือถอยทัพเข้าสู่มณฑลข้างเคียงได้ แล้วก็สามารถเข้าโจมตีจากเขตพรมแดนทั้งเหนือใต้ของมณฑลหนานโจวได้ตามต้องการ ท่านบุกมา ข้าล่าถอย จากนั้นค่อยสลับไปโจมตีจากทางอื่น ข้าไม่จำเป็นต้องเข้าปะทะตรงๆ ให้แพ้ท่านเลย ทรัพยากรสำหรับทำศึกของท่านมีจำกัด ลำพังเพียงมณฑลหนานโจวไม่มีทางเทียบกับแคว้นเยี่ยนทั้งแคว้นได้ กระทั่งทรัพยากรและเรี่ยวแรงของทางท่านร่อยหรอแล้ว ถึงท่านไม่สู้ก็ต้องแพ้อยู่ดี ข้าจะเสี่ยงเข้าปะทะกับท่านไปไยเล่า? ถ่วงเวลาให้ท่านสิ้นท่าไปเองก็พอแล้ว!”
เมื่อเขากล่าวไปเช่นนี้ เผิงโย่วไจ้ก็รู้สึกหนาวสันหลังขึ้นมา หากโจวโส่วเสียนใช้วิธีนี้ล่ะก็ เขาก็รับมือไม่ไหวจริงๆ ลำพังวิธีนี้ก็เพียงพอจะบั่นทอนกำลังของห้าจังหวัดของทางฝั่งนี้ให้สิ้นท่าได้แล้ว เมื่อถึงเวลานั้นสำนักหยกสวรรค์ก็จะสู้อะไรอีก ฝันอันงดงามทั้งหมดที่วาดไว้ล้วนแต่จะกลายเป็นความว่างเปล่า
เขารีบสอดปากถามไป “นี่คือกลยุทธ์ของแม่ทัพเหมิง โจวโส่วเสียนย่อมเทียบแม่ทัพเหมิงไม่ได้ คิดว่าโจวโส่วเสียนอาจจะไม่ใช้วิธีนี้กระมัง?”
เหมิงซานหมิงเอ่ยว่า “เพื่อไต่เต้าให้เจริญรุ่งเรืองในราชสำนัก แม้แต่บุตรสาวโจวโส่วเสียนก็ประเคนส่งให้องค์ฮ่องเต้ได้ เจ้าสำนักเผิงคิดว่าโจวโส่วเสียนจะใช่คนประเภทที่สู้กันให้ตายไปข้างหนึ่งหรือ? โอกาสที่เขาจะระดมกำลังทหารเข้าต่อสู้ตัดสินให้จบศึกในทีเดียวนั้นมีไม่มาก ทันทีที่สถานการณ์ต่อสู้ในภูเขาแถบเหนือผิดไปจากที่คาดการณ์ไว้ มีความเป็นไปได้สูงที่เขาจะถอยทัพหนีทันที ที่ไหนปลอดภัยเขาก็จะล่าถอยไปที่นั่น แน่นอนว่ามณฑลข้างเคียงย่อมปลอดภัยที่สุด เมื่อเขาถอยเข้าสู่มณฑลข้างเคียงแล้ว เขาก็ไม่มียอมรับว่าว่าตัวเองแพ้สงครามได้ มิเช่นนั้นเขาจะไม่สามารถอธิบายต่อทางราชสำนักได้ แล้วก็ไม่อาจไม่สู้รบได้ เมื่อถึงเวลานั้นเกรงว่าต่อให้เขาไม่อยากจะสู้แบบนี้ก็คงไม่ได้แล้ว”
เฟิ่งหลิงปอกระอักกระอ่วนไปทันที กลศึกที่ตัวเขาตั้งใจวางแผนเป็นอย่างดีกลับดูไม่ได้เรื่องไปเสียแล้ว เขาอึกอักคล้ายอยากจะพูดอะไร แต่ก็ดูเหมือนจะหาเหตุผลมาโต้แย้งไม่ได้ ที่สำคัญคือถ้อยคำของเหมิงซานหมิงสมเหตุสมผล มีความเป็นไปได้สูงที่จะเป็นเช่นนั้นจริงๆ
เหล่าผู้อาวุโสของสำนักหยกสวรรค์ขมวดคิ้ว มองเฟิ่งหลิงปอด้วยแววตาคลางแคลง ต่างสงสัยแล้วว่าคนผู้นี้จะได้เรื่องหรือไม่
ซางเฉาจงยกยิ้มมุมปาก แฝงไว้ด้วยความรู้สึกเย้ยหยันเล็กน้อย ซางซูชิงและหลานรั่วถิงมองเหมิงซานหมิงด้วยสายตาชื่นชม มองออกแล้วว่าแม่ทัพเหมิงยังคงเป็นแม่ทัพเหมิงผู้เลื่องชื่อไปทั่วหล้าคนนั้นอยู่ ขิงแก่ยิ่งเผ็ดร้อน!
เผิงโย่วไจ้เหลือบมองเฟิ่งหลิงปออย่างเย็นชา สีหน้าคร่ำเคร่งอย่างเห็นได้ชัด สบถอยู่ในใจ เกือบทำลายงานสำคัญของข้าแล้วไหมล่ะ โชคดีที่ตนยอมลดศักดิ์ศรีมาสอบถามความเห็นของเหมิงซานหมิงดู
เขาเปลี่ยนสีหน้าอีกครั้ง ยิ้มน้อยๆ ขอคำแนะนำอย่างถ่อมตัวว่า “แม่ทัพเหมิง ในความเห็นของท่านศึกนี้ต้องรบอย่างไรถึงจะเหมาะที่สุด?”
แววตาเหมิงซานหมิงพลันคมปลาบขึ้นมา จ้องมองแผนที่แล้วเอ่ยเสียงกร้าว “เร่งจบศึกโดยเร็ว!”
เฟิ่งหลิงปอเอ่ยขึ้นทันที “ตัวข้าไหนเลยจะไม่อยากจบศึกลงโดยเร็ว แต่หากสถานการณ์ศึกไม่อาจสู้ให้จบโดยเร็วได้ แล้วจะทำให้จบลงโดยเร็วได้อย่างไร?”
เหมิงซานหมิงกล่าวว่า “ในฐานะผู้บัญชาการสูงสุดของกองทัพ ท่านต้องเข้าใจก่อนว่าเหตุใดถึงต้องทำศึก แล้วเป้าหมายในการทำศึกครั้งนี้คือสิ่งใด เช่นนี้ถึงจะสามารถกำหนดกลยุทธ์ให้ชัดเจนได้! พวกเราไม่ได้รบเพื่อจะห้ำหั่นกับโจวโส่วเสียน พวกเรารบเพื่อยึดครองมณฑลหนานโจว”
“จะมัวชักช้ารบติดพันกับโจวโส่วเสียนไม่ได้ ศึกนี้เองก็ไม่จำเป็นต้องยื้อกันไปยื้อกันมา อาศัยข้อได้เปรียบด้านกำลังทหาร ระดมพลรุกไล่โจมตีโจวโส่วเสียน ไม่ต้องสนใจว่าจะรุกล้ำไปยังมณฑลรอบข้างหรือไม่ เป้าหมายของพวกเรามีเพียงอย่างเดียวคือบุกโจมตีโจวโส่วเสียนด้วยทุกอย่างที่เรามี”
“ต้องบุกโจมตีโจวโส่วเสียนให้พ่ายแพ้อย่างต่อเนื่อง โจมตีจนเขาทำได้เพียงต้องหนีเอาชีวิตรอด สรุปคือต้องรุกคืบโจมตีเขาอย่างไม่หยุดยั้ง ขอเพียงรุกโจมตีจนได้ผลลัพธ์เช่นนี้ออกมา ขวัญกำลังใจของกองทัพที่มาช่วยเหลือเขาย่อมต้องพังทลายลง หากโจวโส่วเสียนหนีออกจากมณฑลหนานโจวไป เราก็ให้ทหารกลับมาสกัดขวางกำลังเสริมของโจวโส่วเสียนที่อยู่ในเขตมณฑลหนานโจวทันที พวกเราจะรุกโจมตีทั้งด้านหน้าและด้านหลังไปพร้อมกัน”
หลัวอันได้รับสัญญาณมือจากเหมิงซานหมิง จึงเข็นเหมิงซานหมิงไปหยุดอยู่หน้าแผนที่ เหมิงซานหมิงหยิบลำไผ่ในมือเฟิ่งหลิงปอมา ชี้ไปยังตำแหน่งจัดวางกำลังทหารทั้งฝ่ายตนและศัตรูพลางเอ่ยเปรียบเทียบว่า “ดังนั้นศึกนี้ไม่จำเป็นต้องจัดค่ายทัพเลย พวกเราไม่จำเป็นต้องเตรียมตัวอย่างเต็มที่ แล้วก็ต้องไม่ให้โอกาสศัตรูได้เตรียมตัวอย่างเต็มที่ด้วยเช่นกัน สามารถบุกโจมตีตามใจชอบได้เลย ต้องส่งทหารออกไปจู่โจมในตอนนี้เลย ยิ่งเร็วเท่าไรก็ยิ่งดี ใช้หน่วยติดอาวุธหนักทะลวงฝ่าแนวหน้าของศัตรูเข้าไปก่อน จากนั้นทัพใหญ่ค่อยบุกเข้าไป เป้าหมายมิใช่การโจมตีตัวเมือง ให้ทิ้งสัมภาระที่ถ่วงรั้งไว้แล้วมุ่งโจมตีโจวโส่วเสียนที่ซ่อนตัวในแนวหลังเสีย…”
ภายในวันเดียวกันนั้นเอง ทั่วทั้งสำนักหยกสวรรค์ได้ดำเนินการถอนกำลังอย่างรวดเร็ว กองกำลังทั้งหมดในศูนย์บัญชาการกลางเริ่มเคลื่อนพล
แม้ว่าผู้บัญชาการสูงสุดของศึกนี้จะยังคงเป็นเฟิ่งหลิงปอ แต่ในความเป็นจริงเฟิ่งหลิงปอกลับเป็นเพียงคนถ่ายทอดคำสั่งทางการทหารเท่านั้น ผู้บัญชาการตัวจริงกลับเป็นเหมิงซานหมิง คำสั่งกองทัพทั้งหมดที่ถ่ายทอดลงไปล้วนมาจากการบัญชาการของเหมิงซานหมิง…
ด้วยเหตุนี้สงครามใหญ่อันดุเดือดจึงเปิดฉากขึ้น
ภายใต้การบัญชาการทัพของเหมิงซานหมิง มีการระดมพลทหารติดอาวุธหนักเข้าโจมตีทลายจุดอ่อนของศัตรู ทำลายแนวป้องกันของกองทัพศัตรู กองทหารม้าชั้นยอดเข้าโจมตีฐานที่มั่นของโจวโส่วเสียนโดยไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น จากนั้นกองทหารก็ทิ้งสัมภาระทั้งหมดไปอย่างไม่สนใจไยดีเพื่อให้ตัวเบา จะได้ตามไล่ล่าทัน
จะไม่สู้แล้วหรือ? ไพร่พลของหกจังหวัดตอนบนค่อนข้างมึนงง ศัตรูยกทัพใหญ่มาเช่นนี้ แต่กลับไม่พกสัมภาระไปด้วยเลย แม้แต่กองพลาธิการก็ไม่มีแล้ว แล้วกองทัพนับแสนจะกินดื่มกันอย่างไร? นี่มาโจมตีหรือมาหาที่ตายกันแน่? มีการสู้รบเช่นนี้ด้วยหรือ?
แนวทางการโจมตีของกองทัพห้าจังหวัดเด่นชัดเป็นอย่างมาก โจวโส่วเสียนตระหนักได้อย่างรวดเร็วว่าอีกฝ่ายพุ่งเป้ามาที่ตน จึงระดมกำลังทหารไปสกัดกั้นทัพศัตรูที่ไล่ตามมาโดยเร็ว
กำลังทหารของหกจังหวัดตอนบนที่รักษาการณ์อยู่ในแนวป้องกันไม่มีความจำเป็นต้องเฝ้ารักษาการณ์แล้ว ภายเขตห้าจังหวัดตอนล่างของมณฑลหนานโจวแทบจะไม่หลงเหลือทัพฝ่ายศัตรูแล้ว ทัพศัตรูรุกไล่เข้าสู่แนวหลังของฝั่งตนอย่างไม่สนใจความเป็นความตาย แล้วจะรักษาการณ์ต่อไปทำไมอีก กองทัพที่ทำการป้องกันจึงเคลื่อนทัพทันที เปลี่ยนจากป้องกันเป็นตามไล่ล่าแทน
แต่การไล่ล่าในครั้งนี้ก็เกิดปัญหาขึ้น ทัพศัตรูตัวเบาเคลื่อนที่ว่องไว แต่ทางนี้พกสัมภาระหนักอึ้งมาด้วย ไม่มีทางไล่ตามทัน จึงทำได้เพียงละทิ้งสัมภาระเพื่อไล่ตามให้ทัน
ทว่ากองทหารม้าชั้นยอดของทางห้าจังหวัดตอนล่างที่นำทัพโดยกององครักษ์เลิศล้ำห้าวหาญกลับไม่ได้เข้าโรมรันกับกองกำลังที่มาขวางทางอยู่เบื้องหน้า แล้วก็ไม่ได้รุกเข้าโจมตีตัวเมือง ทั้งหมดเดินทางอ้อมไป ทหารหนึ่งคนคุมม้าไว้คนละสองตัว ทิศทางหลักหลังจากอ้อมไปยังคงไม่เปลี่ยน ยังคงมุ่งหน้าไปสู่ฐานที่มั่นของโจวโส่วเสียน
ด้วยเหตุนี้ไพร่พลของหกจังหวัดตอนบนที่ดักสกัดอยู่ระหว่างทางจึงจำเป็นต้องทิ้งสัมภาระที่หนักอึ้งเอาไว้ เร่งตามกลับไปเสริมทัพของโจวโส่วเสียนโดยเร็ว
ทัพใหญ่ของห้าจังหวัดตอนล่างที่ไล่ตามมาโดยไร้ซึ่งสัมภาระจึงฉกฉวยเสบียงสัมภาระที่ทัพรักษาการณ์ทิ้งไว้ระหว่างทาง ไม่พกพาสิ่งใดไปนอกจากเสบียง จัดการเผาสัมภาระทั้งหมดที่ทัพศัตรูเหลือทิ้งไว้ ณ ที่แห่งนั้น
เมื่อกองทัพของหกจังหวัดตอนบนที่เดิมทีเฝ้ารักษาการณ์แนวป้องกันไล่ตามมา พวกเขาก็ตะลึงงันไปทันที ทัพศัตรูมีเสบียงแล้วจึงสามารถตามไล่ล่าต่อไปได้ แต่เบื้องหน้าของพวกเขากลับเหลือเพียงซากสัมภาระที่มอดไหม้เป็นเถ้าถ่าน
…………………………………………………………..