ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า - ตอนที่ 419 สถานการณ์อยู่ในการควบคุม
ตอนที่ 419 สถานการณ์อยู่ในการควบคุม
ฟ้าสว่างขึ้นมาเล็กน้อย ขบวนเดินทางที่อยู่ในสภาพสะบักสะบอมกลุ่มหนึ่งควบม้าผ่านไร่นา ตัดตรงเข้าสู่ถนนหลวง เข้าสู่ถนนหลวงแล้วหลบหนีต่อไป
โจวโส่วเสียนที่นั่งบนหลังม้าสีหน้าหมองคล้ำ เหลียวมองดูสถานการณ์ของไพร่พลรอบข้างเล็กน้อย ทั้งคนทั้งม้าต่างอ่อนล้ากันหมดแล้ว
จินอู๋กวงเจ้าสำนักจิตกระจ่างและเฉาอวี้เอ๋อร์เจ้าหอบุปผาล่องต่างมีสีหน้าตึงเครียด สีหน้าค่อนข้างดูแย่
นี่เพิ่งจะเพียงไปไม่กี่วันเอง แต่กระบวนทัพกลับแตกกระเจิงไปหมดแล้ว ศึกครานี้นับว่าแตกพ่ายอย่างสิ้นเชิง อลหม่านจนไม่อาจบัญชาการทัพได้
ผู้ใดก็คาดไม่ถึงว่าห้าจังหวัดตอนล่างจะไม่สนใจความเป็นความตายของไพร่พลหลายแสนชีวิตเลย กองทหารม้าจำนวนมหาศาลที่นำทัพโดยกององครักษ์เลิศล้ำห้าวหาญรุกเข้าโจมตีโจวโส่วเสียนเพียงอย่างเดียว สำนักหยกสวรรค์ สำนักเซียนสถิต สำนักเมฆาล่องและสำนักคีรีพิลาสก็ระดมผู้บำเพ็ญเพียรกลุ่มใหญ่คอยทำงานประสานกัน
เมื่อทราบว่าอีกฝ่ายระดมกำลังผู้บำเพ็ญเพียรมามากมายปานนั้น โจวโส่วเสียนก็ทำได้เพียงล่าถอยหลบเลี่ยงการโจมตีชั่วคราว ทว่าการที่อีกฝ่ายเป็นกองทหารม้าแทบทั้งหมด ทำให้ทางนี้จำเป็นต้องสั่งการให้ไพร่พลฝ่ายตนเข้าสกัดขัดขวาง ส่วนโจวโส่วเสียนก็นำกองทหารกลุ่มเล็กๆ ล่าถอยไปก่อน
ระหว่างที่เร่งเดินทางล่าถอยอยู่ก็ได้รับข่าวร้าย ไพร่พลหนึ่งแสนนายที่ส่งไปขัดขวางแตกพ่ายแล้ว
ผู้บำเพ็ญเพียรของสำนักศิษย์กระจ่างและหอบุปผาล่องก็ไม่สามารถสกัดการโจมตีประสานของทางสี่สำนักได้ เกิดความเสียหายบาดเจ็บล้มตายเป็นจำนวนมาก ต้านไว้ไม่อยู่จริงๆ ผู้บำเพ็ญเพียรของสองสำนักที่รอดชีวิตมาได้ก็ถูกบีบให้ต้องหลบหนีไปคนละทิศละทาง
ทางฝั่งสำนักหยกสวรรค์และสามสำนักก็ไม่ได้ตามไล่ล่าผู้บำเพ็ญเพียรของสองสำนักเช่นกัน แต่ติดตามกององครักษ์เลิศล้ำห้าวหาญไป ประสานงานกับทัพใหญ่ ตามไล่ล่าโจวโส่วเสียนต่อ
ยามนี้โจวโส่วเสียนนึกเสียใจขึ้นมาอย่างสุดซึ้งแล้ว นึกเสียใจว่าไม่ควรส่งทัพใหญ่ไปอยู่แนวหน้า นึกเสียใจว่าไม่ควรซ่อนตัวอยู่ในแนวหลังของทัพใหญ่เลย ฝ่ายศัตรูรุกเข้าโจมตีอย่างฮึกเหิมในทันทีทันใด ทำให้ต้องสั่งเคลื่อนพลกองทัพใหญ่ที่ก่อนหน้านี้เขาให้จัดแนวป้องกันซ้อนกันเป็นชั้นๆ กลับมาช่วยสนับสนุน ทว่ากองทัพฝ่ายศัตรูที่ไล่ตามหลังมากลับฉวยโอกาสจากสถานการณ์ เข้าปล้นชิงวางเพลิง เผาทำลายสัมภาระของกองทัพรักษาการณ์ไปตลอดทาง
กว่าเขาจะรู้ตัวว่าเกิดอะไรขึ้น กว่าจะเข้าใจแผนการของฝ่ายศัตรู มันก็สายไปแล้ว!
สงครามเพิ่งเริ่มเปิดฉาก ทว่าเสบียงกรังหญ้าแห้งของไพร่พลหลายแสนชีวิตกลับเหลืออยู่ไม่เท่าไรแล้ว ช่างน่าตลกสิ้นดี แล้วศึกนี้ยังจะสู้ต่อไปได้อย่างไร? หลังจากนี้ยังต้องสู้อยู่อีกหรือ?
แต่จะว่าไปแล้ว เขาก็ไม่ได้วางแผนจะทำศึกแลกชีวิตกับฝ่ายศัตรูมาตั้งแต่แรกแล้ว มิเช่นนั้นคงไม่ไปซ่อนตัวอยู่ในแนวหลังของกองทัพ ที่ทำเช่นนี้ก็เพราะคิดว่าซ่อนตัวอยู่ในแนวหลังของกองทัพจะปลอดภัยกว่าและล่าถอยหลบหนีได้ง่ายกว่ามิใช่หรือ ผลลัพธ์คือปลอดภัยจริงๆ แต่ย่ำแย่ตรงที่ทัพฝ่ายศัตรูเลือกใช้กลยุทธ์นี้ เขาไม่เคยเห็นกลยุทธ์โจมตีเช่นนี้มาก่อนเลย ไพร่พลหลายแสนชีวิตของทัพฝ่ายศัตรูรุกเข้าโจมตีโดยทิ้งสัมภาระหนักๆ เอาไว้ แม้แต่เสบียงกรังก็ไม่พกติดตัวเลย มีผู้ใดเคยเห็นทัพใหญ่หลายแสนชีวิตออกศึกโดยไม่พกเสบียงกรังบ้างเล่า? ทำเช่นนี้ไม่ต่างกับการนำชีวิตของไพร่พลหลายแสนนายมาล้อเล่นเลย
แต่สถานการณ์ได้พิสูจน์แล้วว่านี่ไม่ใช่การนำชีวิตมาล้อเล่น หากแต่มีคนเพ่งเล็งไปที่แนวป้องกันของเขา โจมตีเข้าที่จุดอ่อนของเขาอย่างดุดันและแม่นยำ ทำให้ตัวเขานึกอยากจะร้องไห้ขึ้นมา!
จินอู๋กวงและเฉาอวี้เอ๋อร์ที่มีสีหน้ามืดมนยังคงจดจำพูดที่โจวโส่วเสียนกล่าวไว้ก่อนหน้านี้ได้ เขาพูดจาทำนองว่าศึกครานี้ไม่มุ่งหมายชัยชนะ ขอเพียงสามารถยับยั้งคานกำลังกับทัพศัตรูได้ก็เท่ากับพวกเราชนะแล้ว ส่วนที่เหลือฝ่าบาทจะไปตกลงกับสามสำนักใหญ่เอง อิทธิพลของราชสำนักก็สร้างแรงกดดันให้สามสำนักใหญ่ได้เช่นกัน ไม่มีทางที่จะถ่วงรั้งแคว้นเยี่ยนทั้งแคว้นเอาไว้เพื่อสำนักหยกสวรรค์ที่เข้ายึดครองมณฑลหนานโจวไม่ได้เสียที เมื่อถึงเวลานั้นความตายจะมาเยือนสำนักหยกสวรรค์เอง
ในยามนั้นทั้งสองยังคงมีความมั่นใจอยู่ แต่ผลลัพธ์ในตอนนี้เล่า สงครามเพิ่งเปิดฉากไม่ได้นานก็อลหม่านเสียท่าอย่างสิ้นเชิงแล้ว สถานการณ์เช่นนี้ดูเหมือนจะยื้อคานกำลังกับศัตรูได้หรือ?
ปีกทองตัวหนึ่งร่อนลงมาท่ามกลางแสงอาทิตย์ยายมเช้า ไม่นานนักแม่ทัพคนหนึ่งก็เร่งม้าเข้ามา รายงานโจวโส่วเสียนว่า “ใต้เท้า สายข่าวแจ้งว่าทัพศัตรูอ่อนล้าหมดแรง หยุดการตามไล่ล่าเพื่อพักผ่อนแล้วขอรับ”
เฉาอวี้เอ๋อร์จับสายรัดเอวที่ถูกลมพัดปลิวสะบัดยุ่งเหยิงแล้วเอ่ยกับโจวโส่วเสียนว่า “มีระยะห่างระวังทัพฝ่ายศัตรูกับฝั่งเราแล้ว น่าจะไล่ตามพวกเราให้ทันได้ในระยะเวลาสั้นๆ ทางเราก็เหนื่อยล้าอ่อนแรงเช่นกัน พักผ่อนกันสักหน่อยเถิด”
โจวโส่วเสียนเอ่ยถามแม่ทัพคนนั้นทันที “อีกไกลแค่ไหนกว่าจะถึงติ้งโจว?”
แม่ทัพตอบว่า “ราวแปดสิบลี้ขอรับ”
โจวโส่วเสียนตะโกนบอกทุกคนว่า “ใกล้จะถึงติ้งโจวแล้ว ทุกคนแข็งใจอีกหน่อยเถิด หากไปถึงติ้งโจวก็ปลอดภัยแล้ว ศัตรูไม่กล้าบุกเข้าสู่ติ้งโจวแน่นอน”
ด้วยเหตุนี้ขบวนม้าที่เหนื่อยล้าอ่อนแรงจึงเดินทางต่อไป แต่ความเร็วในการเดินทางเชื่องช้า กว่าจะไปถึงเขตติ้งโจวก็เข้าช่วงพลบค่ำแล้ว
ทางติ้งโจวจัดกำลังคอยเฝ้าตามแถบพรมแดนแล้ว พอได้ข่าวว่าโจวโส่วเสียนมา เซวียเซียวผู้ว่าการมณฑลติ้งโจวก็รุดมาต้อนรับด้วยตัวเอง สองผู้ว่าการลงจากหลังม้าเดินเข้ามาพบกับ
เซวียเซียวคว้าแขนเขาเอ่ยถามอย่างร้อนใจ “โจวซยง ไฉนจึงล่าถอยเข้าสู่ติ้งโจวของข้าเร็วขนาดนี้?”
โจวโส่วเสียนอับอายจนไม่รู้ว่าควรจะตอบคำถามอย่างไรดี
เซวียเซียวถามอย่างร้อนใจอีกครั้ง “โจวซยง แล้วทัพทหารสองแสนนายของติ้งโจวที่ข้าลอบส่งไปช่วยสนับสนุนอยู่ไหล่ะ?”
โจวโส่วเสียนหันกลับไปมองไพร่พลที่ติดตามตนมา พาทหารกลับมาด้วยเพียงสามพันนาย ทหารที่ติดตามมามีแค่กองทหารม้าอารักขาในกองทัพเท่านั้น ซ้ำแต่ละคนยังมีสภาพอ่อนล้าและหมดสภาพ ส่วนไพร่พลที่เหลือถูกเขาทิ้งไว้คอยสกัดกั้นทัพสัตรูที่ไล่ตามมา เกรงว่าคงยากจะหนีรอดมาได้
เซวียเซียวถามด้วยความตะลึง “โจวซยง นี่เพิ่งผ่านไปไม่กี่วันเอง ไพร่พลแปดแสนคนเชียวนะ ท่านอย่าบอกข้าเชียวนะว่าถูกโจมตีจนแตกพ่ายไปเร็วถึงเพียงนี้? ต่อให้เป็นทหารโง่เง่าแปดแสนคนก็ไม่มีทางถูกทัพศัตรูกวาดล้างได้เร็วขนาดนี้หรือเปล่า?”
โจวโส่วเสียนกล่าวว่า “ตามหลักแล้วไพร่พลแปดแสนคนน่าจะยังอยู่…” เขาไม่รู้ว่าควรจะพูดอย่างไรต่อไปดี
เซวียเซียวตกตะลึงอีกครั้ง “ในเมื่อไพร่พลยังอยู่ แล้วเหตุใดแม่ทัพใหญ่อย่างโจวซยงถึงทิ้งกองทัพแล้วหนีเข้าสู่ติ้งโจวเล่า?”
โจวโส่วเสียนไม่รู้จริงๆ ว่าสมควรจะอธิบายอย่างไรดี เมื่อพิจารณาจากรายงานข่าวการสู้รบที่ได้รับมาจากฝ่ายต่างๆ ไพร่พลแปดแสนนายส่วนใหญ่ยังมีชีวิตอยู่จริงๆ อย่างน้อยๆ เหลือไพร่พลอยู่ราวหกแสนนาย แต่ทั้งหมดล้วนกระจัดกระจายวุ่นวายไปหมดแล้ว
แม่ทัพใหญ่อย่างเขาหนีมา ประเด็นสำคัญคือหนีมาเร็วเกินไป พอลองมองย้อนกลับไป กระทั่งตัวเขาก็ยังจินตนาการไม่ออกเลยว่ามันจะกระทบต่อขวัญกำลังใจไพร่พลในบังคับบัญชามากขนาดไหน
เขาหลบหนีมาเร็ว ไพร่พลของเขาก็ไล่ตามมาไม่ทัน อีกทั้งยังโยนเสบียงทิ้งไปแล้ว ตอนนี้คงกำลังตระเวนหาอาหารประทังชีวิตไปทั่ว แล้วก็ยังมีทัพศัตรูคอยโจมตีก่อกวนอีก ไพร่พลหลายแสนนายกระจัดกระจายระส่ำระสาย เกรงว่าคงยากจะกลับมารวมตัวกันได้ในระยะเวลาสั้นๆ
……
ณ สถานที่ที่อยู่ติดภูเขาเลียบแม่น้ำแห่งหนึ่ง ภายในกระโจมหลักของกองทัพผู้รุกราน มีรายงานจากกองทัพในพื้นที่ต่างๆ ส่งเข้ามาอย่างต่อเนื่อง แล้วก็มีการถ่ายทอดคำสั่งออกไปอย่างต่อเนื่องเช่นกัน
เผิงโย่วไจ้และเหล่าผู้อาวุโสสำนักหยกสวรรค์เฝ้ามองดูเหมิงซานหมิงทำงานยุ่งจนหัวหมุน
แม่ทัพคนหนึ่งเดินเข้ามาประสานมือเอ่ยขึ้นว่า “รายงาน โจวโส่วเสียนหลบหนีเข้าสู่มณฑลติ้งโจวแล้วขอรับ”
เหมิงซานหมิงหันกลับไปมองแผนที่ทันที หลัวอันหมุนรถเข็นให้เขาอย่างรวดเร็วเพื่อให้เขามองแผนที่ได้สะดวก
เหมิงซานหมิงเอ่ยถาม “การพักฟื้นกำลังของกององครักษ์เลิศล้ำห้าวหาญเป็นอย่างไรบ้าง?”
เฟิงหลิงปอกล่าวว่า “ก่อนหน้านี้สั่งให้หยุดการไล่ล่าแล้ว ให้พักผ่อนฟื้นกำลังตลอดวันแล้ว”
เหมิงซานหมิงขอไม้ชี้แผนที่มา จากนั้นชี้ไปยังทัพศัตรูที่รวมตัวกันได้ขนาดค่อนข้างใหญ่ หลังจากรวบรวมเสบียงและหญ้าแห้งจากในเมืองเมืองหนึ่งแล้วก็มุ่งหน้าไปยังมณฑลติ้งโจว เขาเอ่ยว่า “สั่งให้กององครักษ์เลิศล้ำห้าวหาญมุ่งลงไปทางใต้ สกัดกั้นไพร่พลที่หลบหนีไปในเส้นทางนี้” จากนั้นก็หันไปมองเผิงโย่วไจ้ “ฝ่าซือติดตามจะต้องระดมกำลังเพื่อสังหารแม่ทัพหลักของทัพศัตรูในเส้นทางนี้ให้ได้ ฝ่ายศัตรูมีไพร่พลแปดหมื่นนาย สามารถจัดการได้หรือไม่?”
เผิงโย่วไจ้พยักหน้ารับ “น่าจะได้”
เหมิงซานหมิงกล่าวว่า“อย่าพูดว่าน่าจะได้กับข้า ข้าต้องการคำตอบที่ชัดเจน”
เผิงโย่วไจ้ลังเลเล็กน้อย ทหารจำนวนมากขนาดนี้ก็เป็นภัยคุกคามต่อผู้บำเพ็ญเพียรอย่างมากเช่นกัน ยิ่งไปกว่านั้นคือข้างกายของแม่ทัพหลักของฝ่ายศัตรูก็มีผู้บำเพ็ญเพียรตามอารักขาอยู่ไม่น้อยด้วย แต่สุดท้ายก็ยังคงกัดฟันกล่าวไปว่า “ได้ จะทำตามคำสั่งของแม่ทัพเหมิงให้สำเร็จไม่ว่าจะต้องแลกด้วยสิ่งใดก็ตาม!”
เหมิงซานหมิงพยักหน้ารับ จากนั้นมองไปที่เฟิ่งหลิงปอ “กององครักษ์เลิศล้ำห้าวหาญจะโจมตีหลอกล่อ เมื่อฝ่าซือติดตามลงมือสังหารแม่ทัพหลักฝ่ายศัตรูได้ กององครักษ์เลิศล้ำห้าวหาญจะถอนกำลังจากการสกัดกั้นทันที หลังจากแม่ทัพหลักฝ่ายศัตรูสิ้นชีพ ขณะที่กองทัพฝ่ายศัตรูยังรวมตัวกันอยู่ ให้กององครักษ์เลิศล้ำห้าวหาญอ้อมไปด้านหลังของทัพใหญ่ฝ่ายศัตรู แล้วตามไล่ล่าสังหารไปตลอดทาง! จำไว้แค่ตามไล่ล่าเท่านั้น ห้ามฝืนเข้าปะทะ ไพร่พลแปดหมื่นนายส่วนใหญ่เดินทางด้วยสองเท้าหลบหนีได้ไม่เร็ว ทหารม้าทางฝั่งเราได้เปรียบ ให้ตามก่อกวนไปตลอดทาง ถ่วงความเร็วในการเดินทัพของพวกเขา อย่าปล่อยให้พวกเขาได้มีเวลาพักผ่อน”
จากนั้นก็ถือไม้ชี้ไปยังจุดหนึ่งในแผนที่ “ในขณะเดียวกันก็ให้พวกเหมยหลินเซิ่งระดมกำลังทหารมุ่งไปทางเหนือ รนจนไพร่พลทั้งหมดเดินทางไปถึงก็ให้เข้าสกัดกั้น จากนั้นใช้กลยุทธ์ปิดล้อมและกดดันให้ยอมจำนน หากไม่ยอมจำนนก็ให้สังหารทิ้งทันที”
“โจวโส่วเสียนหนีเข้ามณฑลติ้วโจวแล้ว พวกเราสามารถเก็บกวาดในมณฑลหนานโจวได้ ออกคำสั่งให้แต่ละจังหวัดแบ่งกำลังพลไปคอยเฝ้าตามเส้นทางหลักสายต่างๆ บีบให้ทัพฝ่ายศัตรูแตกแยกกระจัดกระจายไร้ทางหนีจนทหารที่แตกพ่ายเหล่านั้นทำได้เพียงหลบหนีไปตามเส้นทางภูเขาหรือเส้นทางลุ่มดอนขรุขระ บั่นทอนเรี่ยวแรงและขวัญกำลังใจของพวกเขา ทำให้พวกเขาเหนื่อยล้าสุดขีด ไม่อาจกลับมารวมตัวกันได้ง่ายๆ เพื่อสะดวกแก่การกวาดล้างในภายหลัง”
“เรียกระดมกำลังหลักจากทุกฝ่ายเข้าปิดล้อมเมืองที่อยู่ในละแวกใกล้เคียง ประกาศต่อกองทหารฝ่ายศัตรูที่ล่าถอยเข้าไปหลบในเมืองให้เปิดเมืองยอมจำนนเสีย หากที่ใดยอมเปิดประตูเมือง ก็ให้กองทัพใหญ่เข้าควบคุมเมืองไว้ทันทีจากนั้นก็ให้พักผ่อนฟื้นฟูกำลัง หากไม่ยอมจำนนก็ให้ปิดล้อมเอาไว้ชั่วคราว แต่ไม่ต้องโจมตี ให้ทัพใหญ่ตั้งค่ายพักผ่อนอยู่นอกเมือง รอจนกองพลาธิการตามมาถึงก็ให้เหล่าทหารกินอาหารเติมพลังให้พรั่งพร้อม จากนั้นให้ระดมกำลังเข้าโจมตีไปทีละจุด อย่าเข้าโจมตีในเวลาเดียวกัน เลี่ยงไม่ให้เกิดผลกระทบย้อนกลับในกรณีที่โจมตีไม่สำเร็จในหลายแห่ง เมื่อมาถึงขั้นนี้แล้วต้องมุ่งเน้นไปที่ความมั่นคง”
“ขอรับ!” เมื่อแน่ใจว่าเขาไม่มีคำสั่งอื่นแล้ว เฟิ่งหลิงปอก็ตอบรับแล้วถ่ายทอดคำสั่งลงไปอย่างรวดเร็ว
เหมิงซานหมิงวางไม้ชี้ลง มีสีหน้าค่อนข้างอ่อนล้า
เผิงโย่วไจ้พลันเดินเข้ามาสอบถามด้วยความจริงใจ “แม่ทัพเหมิง ไม่ได้พักผ่อนมาหนึ่งวันหนึ่งคืนแล้ว ไปพักผ่อนสักครู่ก่อนดีหรือไม่?”
เหมิงซานหมิงกล่าวว่า “ขอเพียงจัดการไปตามนี้ ไพร่พลที่ถูกโจวโส่วเสียนทอดทิ้งก็จะตกอยู่ในสภาพระส่ำระส่าย ยากจะมารวมตัวได้ หลังจากยึดครองเมืองต่างๆ ของหกจังหวัดตอนบนได้ สถานการณ์โดยรวมภายในมณฑลหนานโจวก็จะอยู่ในการควบคุมของเราแล้ว เรื่องกวาดล้างกองกำลังที่เหลืออยู่คงไม่จำเป็นต้องให้ข้าพูดมากอีก” พูดจบก็โบกมือเล็กน้อย หลัวอันเข็นรถออกไป พวกซางเฉาจงก็ติดตามจากไปเช่นกัน
ทั้งกลุ่มคำนับลา จากนั้นมุดออกไปส่งนอกกระโจม
เผิงโย่วไจ้เฝ้ามองเงาร่างบนรถเข็นที่จากไป จากนั้นถอนหายใจพลางเอ่ยไปว่า “เป็นอัจฉริยะด้านการวางกลยุทธ์ในสนามรบโดยแท้ สมญายอดขุนพลมิใช่เสียงเล่าอ้างเลย น่าเสียดายที่ซางเจี้ยนสยงฮ่องเต้แคว้นเยี่ยนตัดกำลังตัวเองทิ้งเสียแล้ว มิเช่นนั้นหากมีคนผู้นี้อยู่ในมือ สำนักหยกสวรรค์ของเราไหนเลยจะมีโอกาสได้”
ต่อให้ฝันเขาก็ไม่เคยคิดเลยว่ากลยุทธ์ที่เรียกว่าเร่งจบศึกโดยเร็วจะรวดเร็วถึงขนาดนี้ ระยะเวลาเพียงไม่กี่วันก็ตีทัพใหญ่แปดแสนนายของโจวโส่วเสียนจนแตกพ่ายได้แล้ว ทำให้สถานการณ์ของมณฑลหนานโจวตกอยู่ในการควบคุมสำนักหยกสวรรค์ ส่วนโจวโส่วเสียนคนนั้นไม่ควรค่าให้ต้องกังวลแล้ว เขาพากำลังทหารเพียงไม่กี่พันนายหนีไปยังมณฑลติ้งโจว นับว่าจบสิ้นแล้ว ไม่อาจก่อคลื่นลมใดๆ ได้อีก
เสียงถอนหายใจของเขาเจือความเสียดายไว้เล็กน้อย แม่ทัพเหมิงมีความสามารถเช่นนี้ แต่ทางสำนักหยกสวรรค์กลับไม่มีโอกาสให้ใช้ประโยชน์จากเขาอีกแล้ว หลังจากได้มณฑลหนานโจวมาครอง สำนักหยกสวรรค์จะไม่ก่อสงครามอีกเพราะว่ามีกำลังไม่เพียงพอ กว่าสำนักหยกสวรรค์จะสั่งสมกำลังจนก้าวไปอีกขั้นได้ก็ต้องใช้ระยะเวลาอย่างน้อยห้าสิบปี แต่กว่าจะถึงเวลานั้น แม้แต่ตัวเขาก็ยังไม่แน่ใจเลยว่าจะมีชีวิตอยู่ถึงวันนั้นหรือเปล่า ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงแม้ทัพเหมิงผู้นี้เลย หลังจบศึกนี้ไปก็คงได้แต่ต้องทำให้ยอดขุนพลเลื่องชื่อคนนี้ดับแสงเสียแล้ว
เฟิ่งหลิงปอมองตามด้วยสีหน้าซับซ้อน แรกเริ่มเขาไม่ค่อยพอใจในตัวเหมิงซานหมิง แต่หลังจากได้เห็นการบัญชาการทัพของอีกฝ่ายด้วยตาตนแล้ว ทำให้เขานึกชื่นชมขึ้นมาอย่างแท้จริง ยอมรับนับถือจากใจจริง ค้นพบว่าตนห่างชั้นกับอีกฝ่ายมากนัก เรียกได้ว่าห่างกันราวฟ้ากับเหว
แม้ตอนแรกอีกฝ่ายจะบอกว่าให้โจมตีก่อความวุ่นวาย แต่ในความวุ่นวายที่ก่อขึ้นมากลับมีแบบแผนนัก บัญชากองทัพให้รุกถอยอย่างมีชั้นเชิง กองทัพของฝ่ายไหนสมควรพักผ่อนยามใดสมควรรุกคืบยามใด ล้วนจัดการอย่างพิถีพิถัน กองทัพหลายแสนนายเรียกได้ว่าใช้งานได้อย่างใจนึกเมื่ออยู่ใต้การบัญชาการของอีกฝ่าย ไม่ทันไรก็โจมตีทัพใหญ่แปดแสนนายของโจวโส่วเสียนจนโกลาหลมึนงงได้แล้ว
เขาจำต้องยอมรับเลยว่าหากให้เขาบัญชาการด้วยกลยุทธ์เดียวกัน ตัวเขาไม่มีทางบัญชาการกองทัพให้เกิดผลลัพธ์เช่นเดียวกันได้ คงยากจะทำให้ไพร่พลจำนวนมากเหล่านั้นของโจวโส่วเสียนยอมทิ้งสัมภาระแล้วก็ถูกทางนี้จูงจมูกปั่นหัวได้ ทักษะการบัญชาการทัพของอีกฝ่ายช่างลึกล้ำนัก ตนยากจะเทียบติดได้จริงๆ
………………………………………………………….