ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า - ตอนที่ 420 ปลิดชีพตัวเอง
ตอนที่ 420 ปลิดชีพตัวเอง
เผิงโย่วไจ้หันไปมองเฟิ่งหลิงปอที่อยู่ด้านข้าง จากนั้นโบกมือสื่อให้คนอื่นถอยไปแล้วเอ่ยกับเฟิ่งหลิงปอว่า “หลังจบศึกนี้ไม่อาจเก็บคนผู้นี้ไว้ได้อีก คิดหาทางจัดการซะ”
เฟิ่งหลิงปอไม่ค่อยเข้าใจนัก จึงสอบถามไปอย่างนอบน้อม “ท่านพ่อหมายความว่าอย่างไร?”
เผิงโย่วไจ้พยักเพยิดหน้าไปทางกลุ่มคนที่ห่างออกไปไกลแล้ว
เฟิ่งหลิงปอถามหยั่งเชิง “เหมิงซานหมิงหรือขอรับ?”
เผิงโย่วไจ้พยักเล็กน้อย
เฟิ่งหลิงปอพลันกังวลขึ้นมา ถามออกไปว่า “เพราะเหตุใดขอรับ?”
เผิงโย่วไจ้เอ่ยว่า “ชื่อเสียงเลื่องลือย่อมมิใช่คนไร้ความสามารถ เจ้าเองก็ได้ประจักษ์แล้ว คนผู้นี้เก่งกาจจริงๆ หากเขายังมีชีวิตอยู่ ต่อให้เราควบคุมซางเฉาจงเอาไว้ได้ เขาก็ยังช่วยสนับสนุนให้ซางเฉาจงพลิกสถานการณ์ได้อยู่ดี ดังนั้นระหว่างเขาและซางเฉาจง จะมีคนรอดได้เพียงคนเดียวเท่านั้น เจ้าจะเลือกผู้ใดเล่า?”
เฟิ่งหลิงปอเข้าใจเจตนาของเขาแล้ว ไม่ว่าจะพูดกันอย่างไ รซางเฉาจงก็เป็นลูกเขยของเขา ถึงแม้เรื่องที่เขากระทำจะไม่เป็นผลดีต่อซางเฉาจง แต่หากว่าไม่จำเป็นจริงๆ เขาก็ไม่อยากจะเอาชีวิตของซางเฉาจงเลย ภายใต้สถานการณ์ที่มีเงื่อนไข เขายังคงต้องพิจารณาถึงทางบุตรสาวบ้างไม่มากก็น้อย การตัดกำลังเสริมของซางเฉาจงจึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด
หากว่าแม้แต่บุตรเขยของตนก็ยังเอาชีวิตได้ง่ายๆ ล่ะก็ แล้วจะให้คนอื่นๆ มองเขาอย่างไร?
ถ้าให้เขาเลือก เขาย่อมต้องเลือกให้ซางเฉาจงรอด
“จัดการเขาอย่างเงียบๆ อย่าให้ปรากฏพิรุธใดๆ ขึ้น” เผิงโย่วไจ้เหลือบมองพลางเอ่ยกำชับ ก่อนจะหันหลังเดินจากไป
เฟิ่งหลิงปอค้อมกายน้อมส่ง จากนั้นก็หันกลับไปมองคนบนรถเข็นที่อยู่ไกลออกไป ทำได้เพียงทอดถอนใจอยู่ภายในใจ
เขาเองก็ไม่คิดเช่นกันว่าสุดท้ายแล้วยอดขุนพลเลื่องชื่ออย่างเหมิงซานหมิงจะต้องจบชีวิตลงด้วยฝีมือเขา ถึงแม้จะอดสะท้อนใจไม่ได้ แต่เขาก็ไม่คิดจะใจอ่อนอยู่ดี คำพูดบางส่วนของพ่อตามีเหตุผล เหมิงซานหมิงเป็นบุคคลที่ก่อให้เกิดผลกระทบได้แน่นอน เป็นแขนขาของซางเฉาจง
…..
ริมทะเลสาบ เหมิงซานหมิงยกมือส่งสัญญาณเล็กน้อย หลัวอันหมุนล้อเข็นให้หันเข้าหาทะเลสาบสีคราม
ขุนเขาที่อยู่ไกลออกไปถูกปกคลุมด้วยแสงอาทิตย์ยามอัสดง เหมิงซานหมิงทอดสายตามองออกไกลๆ อย่างสงบลุ่มลึก จอนผมหงอกสีขาวที่อยู่ภายใต้แสงอาทิตย์ยามอัสดงยิ่งขับเน้นให้ดูหงอยเหงา เขานิ่งเงียบอยู่เป็นเวลานาน ไม่ทราบว่าคิดอะไรอยู่
พวกซางเฉาจงสบตากัน ซางซูชิงเดินเข้าไปหยุดอยู่ข้างรถเข็น เอ่ยขึ้นว่า “ท่านลุงเหมิง ท่านไม่ได้พักผ่อนมานานมากแล้ว กลับไปพักเถอะเจ้าค่ะ”
เหมิงซานหมิงได้สติกลับมา เงยหน้าขึ้นแล้วหันไปมองนาง มองดูใบหน้าของนาง พลันเอ่ยขึ้นอย่างเศร้าๆ ว่า “ยังไม่ได้เห็นท่านหญิงออกเรือนเลย ท่านหญิง ท่านก็อายุไม่น้อยแล้ว สมควรจะแต่งกับใครสักคนได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ คาดว่านี่คงเป็นเรื่องที่ท่านอ๋องผู้ล่วงลับไปอยากจะเห็นเช่นกัน”
ซางซูชิงย่อตัวลงนั่งยองอยู่ๆ ข้างรถเข็น เอ่ยยิ้มๆ ว่า “ชิงเอ๋อร์เคยชินกับการอยู่คนเดียวมานานแล้ว มีความสุขดี ชิงเอ๋อร์ไม่อยากออกเรือนเจ้าค่ะ”
เหมิงซานหมิงลูบศีรษะนางด้วยความเอ็นดู ดวงตาฉายแววรักใคร่ทะลุถนอม “เด็กโง่ สตรีจะไม่ออกเรือนได้อย่างไรกัน อยากจมอยู่กับความเสียใจไปชั่วชีวิตอย่างนั้นหรือ? กระหม่อมเข้าใจความคิดของพระองค์ดี ในอนาคตหากได้พบเต้าเหยี่ยอีกก็ลองถามเต้าเหยี่ยดู ดูว่าเขาพอจะมีวิธีการใดบ้างหรือไม่ ปานบนใบหน้าของพระองค์ถูกประทับไว้โดยอาจารย์ตงกัว เขาคือลูกศิษย์ของอาจารย์ตงกัว ทั้งยังมาจากสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ด้วย บางทีเขาอาจจะมีวิธีช่วยแก้ไขให้พระองค์ก็เป็นได้”
ซางซูชิงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ท่านลุงเหมิง ไม่จำเป็นจริงๆ เจ้าค่ะ แบบนี้ดีมากแล้วจริงๆ หรือท่านลุงเหมิงต้องการให้ชิงเอ๋อร์แต่งกับชายที่มองคนจากรูปลักษณ์ภายนอกเจ้าคะ?”
ดวงตาของเหมิงซานหมิงทอแววรักใคร่เอ็นดู “สาวน้อย พระองค์จงจำไว้ ขอเพียงมีจิตใจซื่อตรง ถึงจะเป็นคนที่มองคนจากรูปลักษณ์ภายนอกก็ไม่ได้เลวร้ายอันใด นี่คือธรรมชาติของมนุษย์ จะเป็นความผิดไปได้อย่างไร? อีกอย่าง สตรีคนใดบ้างจะไม่รักสวยรักงาม หลายปีมานี้ท่านทุกข์ทนมามากแล้วจริงๆ สาวน้อยโง่งมของพวกเราคือสมบัติล้ำค่า ผู้ใดได้ครอบครองนับเป็นวาสนาของคนผู้นั้น จนใจที่มนุษย์โลกมีตาแต่ไร้แวว ไม่รู้จริงๆ ว่าการที่ตอนนั้นอาจารย์ตงกัวประทับปานอัปลักษณ์นี้ไว้บนหน้าท่านถือเป็นการช่วยท่านหรือเป็นการทำร้ายท่านกันแน่”
….
กองทัพใหญ่หลั่งไหลมาจากหลายทิศทาง ปิดล้อมเมืองเอาไว้
ในขบวนทัพมีธงที่เขียนว่า ‘อู๋’ ถูกยกเชิดไว้ อู๋เทียนตั้งในชุดเกราะวาววับถูกห้อมล้อมด้วยธง
ทหารรักษาการณ์บนกำแพงเมืองตัวสั่นขวัญผวา
อู๋เทียนตั้งหยุดม้าอยู่นอกเมือง ประกาศศักดาด้วยการชักกระบี่ออกมาจากฝัก ชี้เล็งไปทางกำแพงเมือง ตะโกนกร้าวดังสนั่น “แม่ทัพรักษาการณ์บนกำแพงเมืองจงฟัง เร่งเปิดประตูยอมจำนนเดี๋ยวนี้ ผู้ใดยอมจำนน เรื่องที่ผ่านมาก็นับว่าแล้วกันไป หากดึงดันขัดขืนจนถึงที่สุด ทันทีที่ตีเมืองแตก จะกวาดล้างสังหารไม่มีเว้น!”
รออยู่ครู่หนึ่งก็มีตะกร้าแขวนถูกหย่อนลงมาจากกำแพงเมือง ส่งคนผู้หนึ่งออกมาเจรจา
หนึ่งชั่วยามให้หลัง ประตูเมืองเปิดกว้าง แม่ทัพรักษาการณ์ถอดเกราะเดินเปลือยท่อนบนออกมาโดยสะพายกิ่งหนามไว้บนหลัง แบกกิ่งหนามมายอมจำนน
อู๋เทียนตั้งตอบรับการยอมจำนน ทัพใหญ่เคลื่อนพลเข้าสู่เมือง เข้ายึดครองทั้งเมืองอย่างเป็นทางการ
แรกเริ่มประชาชนในเมืองหวาดกลัวสุดขีด แต่เมื่อเห็นว่าไม่ได้เข้ามาระรานประชาชนถึงได้ค่อยๆ เบาใจลง
สถานการณ์ที่คล้ายคลึงกันนี้ ปรากฏขึ้นซ้ำๆ ในเขตต่างๆ ของหกจังหวัดตอนบนในมณฑลหนานโจว
….
ณ วังหลวงในเมืองหลวงแคว้นเยี่ยน โคมไฟส่องสว่าง ภายในตำหนักใหญ่โอ่อ่า บุรุษผมสีดอกเลาในชุดคลุมสีเหลืองปล่อยผมยาวสยาย เดินวนกลับไปกลับมาด้วยเท้าที่เปลือยเปล่า ตวาดเสียงกร้าวว่า “กองทัพใหญ่แปดแสนคน ทัพใหญ่แปดแสนคนเชียวนะ! เพิ่งผ่านไปไม่กี่วันก็แตกพ่ายยับเยินแล้ว โจวโส่วเสียน ไอตัวโง่งม ทำให้ข้าต้องผิดหวัง เจ้าทำให้ข้าเสียหาย เจ้าทำให้ข้าต้องเสียหาย!”
ภายในตำหนัก เจ้ากรมโยธาถงโม่ ผู้ดูแลหลวงเถียนอวี้และหัวหน้าผู้ดูแลราชยานก่าเหมี่ยวสุ่ยต่างยืนก้มหน้าอย่างเงียบๆ บางคนมีสีหน้าหนักใจ บางคนมีสีหน้าเสียใจ บางคนมีสีหน้าตึงเครียด…
….
ภายในค่ายทหารแห่งหนึ่ง ทหารสวมเกราะเดินลาดตระเวนกลับไปกลับมา มีปีกทองบินเข้าบินออกไม่ขาดสาย
ภายในกระโจมหลัก มีเจ้าหน้าที่เดินเข้าๆ ออกๆ เพื่อรับรายงานข่าวจากเขตต่างๆ และถ่ายทอดคำสั่งกองทัพออกไป โจวโส่วเสียนที่อยู่ด้านหน้าแผนที่ยังคงสวมชุดเกราะเอาไว้ สีหน้าอิดโรย แต่ที่มากกว่านั้นคือความร้อนใจ เขาไม่ได้พักผ่อนมาหลายวันแล้ว เบ้าตาดำคล้ำไปหมด
เขายังคิดจะกอบกู้สถานการณ์อยู่ เพราะว่าในมณฑลหนานโจวก็ยังมีไพร่พลอยู่อีกหลายแสนคน แต่ทัพกบฏที่เข้ายึดครองมณฑลหนานโจวไม่ยอมให้โอกาสเขาเลย บีบคั้นให้ไพร่พลหลายแสนนายของเขาแตกแยกกระจัดกระจาย ติดอยู่ในเขตมณฑลหนานโจวอย่างไร้กำลัง ทัพหลักแตกพ่าย ทัพย่อยไม่สามารถไปรวมกับกลุ่มอื่นๆ ได้ ข่าวที่ส่งเข้ามาเต็มไปด้วยข้อความอ้อนวอนขอกำลังเสริม”ฮณ๊ฯดฯฌซ,
โจวโส่วเสียนก็อยากช่วย แต่เขาจะช่วยอะไรได้เล่า?
การโจมตีของทัพกบฏพุ่งเป้ามาที่ชีวิตของเขาตั้งแต่เริ่ม ดำเนินการโจมตีโดยใช้กลยุทธ์ที่ยอดเยี่ยมสมบูรณ์แบบจนปรากฏผลลัพธ์เป็นสถานการณ์ที่เขากำลังเผชิญอยู่ ทำให้ทัพใหญ่แปดแสนคนของเขาแตกแยกกระจัดกระจายดั่งทรายที่แตกร่วน
มีรายงานข่าวอีกฉบับหนึ่งส่งเข้ามา หลังจากโจวโส่วเสียนได้อ่านก็ส่ายโงนเงนเล็กน้อย คล้ายจะล้มมิล้มแหล่
เซวียเซียวผู้ว่าการมณฑลติ้งโจวที่นั่งใบหน้าคร่ำเคร่งอยู่ข้างๆ ลุกขึ้นยืน หยิบรายงานข่าวจากมือเขาไปอ่านดู
ก็ไม่ถึงกับเป็นรายงานข่าวอันใด เป็นจดหมายจากแม่ทัพคนสนิทของโจวโส่วเสียนที่อยู่ในมณฑลหนานโจว กองทหารกว่าห้าพันนายติดอยู่ในภูเขา สัตว์ป่าล้วนตกใจจนกระเจิงหนีไปหมด เดิมทียังพอหากินผักไม้ใบหญ้าได้ กระหายก็ดื่มน้ำจากลำธารเอา แต่ทัพฝ่ายศัตรูกลับตัดเส้นทางน้ำเสีย ทำให้กระแสน้ำเปลี่ยนทิศทาง ปิดล้อมยึดครองชัยภูมิที่ดีไว้ แต่ไม่โจมตี ทัพฝ่ายเราไม่ได้ดื่มน้ำมาทั้งวัน ขวัญกำลังใจแทบจะย่อยยับแล้ว หากไม่ส่งกำลังเสริมมาช่วย แม่ทัพก็ไม่อาจยับยั้งความปรารถนาจะยอมจำนนของทหารในกองทัพได้ จึงทำได้เพียงยอมจำนน แม้จะผิดต่อราชสำนักก็ตาม
เซวียเซียวสูดหายใจเขาลึกๆ เฮือกหนึ่ง ตลอดทั้งวันนี้เขาได้อ่านจดหมายด่วนที่มีเนื้อหาทำนองเดียวกันไปสิบกว่าฉบับแล้ว
อยู่ด้วยกันมานานขนาดนี้ โจวโส่วเสียนพ่ายแพ้จนตกอยู่ในสภาพนี้ได้อย่างไร เขาพอจะทราบชัดเจนแล้ว
เซวียเซียวกดจดหมายลงโต๊ะ ถอนหายใจเอ่ยไปว่า “กำหนดกลยุทธ์อย่างเฉียบขาดแม่นยำ มุ่งโจมตีจุดอ่อนของโจวซยง โจมตีด้วยกลยุทธ์อันแสนแปลกประหลาด ไม่ว่าจะรุกหรือถอยล้วนควบคุมจังหวะบนสนามรบเอาไว้ได้อย่างสมบูรณ์ สะกดกองทัพใหญ่แปดแสนนายของโจวซยงจนไม่เหลือที่ให้แผลงฤทธิ์ได้ จำต้องยอมรับเลยว่าแผนโจมตีของทัพกบฏเลิศล้ำยิ่งนัก ทำให้ข้าได้เปิดหูเปิดตาจริงๆ คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าเฟิ่งหลิงปอจะมีความสามารถด้านการศึกถึงเพียงนี้!”
โจวโส่วเสียนพลันเงยหน้าขึ้น เอ่ยคร่ำครวญ “เซวียซยง จนถึงตอนนี้แล้วเจ้ายังคิดว่าผู้บัญชาการทัพกบฏคือเฟิ่งหลิงปออยู่อีกหรือ?”
เซวียเซียวตกตะลึง “ก็ทางราชสำนักแจ้งข่าวมาว่าอำนาจทางการทหารของซางเฉาจงถูกควบคุมโดยเฟิ่งหลิงปอแล้ว ในช่วงออกศึกเฟิ่งหลิงปอจะเป็นผู้บัญชาการสูงสุดของกองกำลังห้าจังหวัดตอนล่างของมณฑลหนานโจวมิใช่หรือ?”
โจวโส่วเสียนเอ่ยด้วยความปวดร้าว “เซวียซยง ราชสำนักทำร้ายข้าเสียแล้ว! เฟิ่งหลิงปอครอบครองจังหวัดกว่างอี้มานานหลายปี ข้าสู้รบปรบมือกับกองกำลังของเขามาหลายปีเช่นกัน เขาเป็นคนประเภทไหน เขามีความสามารถระดับใด ข้ายังไม่ทราบกระจ่างอีกหรือ?”
เซวียเซียวถาม “เป็นซางเฉาจงหรือ?”
โจวโส่วเสียนส่ายหน้า เอ่ยอย่างขื่นขมว่า “สามารถบัญชาการไพร่พลหกแสนนายให้ทำศึกได้อย่างราบรื่นเหมือนสั่งการแขนขาของตัวเองเช่นนี้ เจ้าคิดว่าคนที่ได้บัญชาการทัพใหญ่ขนาดนี้เป็นครั้งแรกจะทำได้หรือ? เจ้าคิดว่าทางนั้นยังจะมีผู้ใดที่มีประสบการณ์การสู้รบเช่นนี้ได้? เฟิ่งหลิงปอจะเคยหรือ? ซางเฉาจงจะเคยหรือไร?”
ความคิดหนึ่งวาบขึ้นมาในสมองของเซวียเซียว เขาพลัดสูดหายใจพลางเอ่ยด้วยความตกใจ “เหมิงซานหมิง!”
โจวโส่วเสียนทุบกำปั้นทั้งสองข้างลงบนโต๊ะ ก้มหน้าสะอื้นไห้ “หากรู้แต่แรกว่าเป็นเหมิงซานหมิง ข้าไหนเลยจะจัดขบวนทัพเช่นนั้น ไหนเลยจะพ่ายแพ้อย่างน่าอนาถถึงเพียงนี้! รายงานข่าวของราชสำนักผิดพลาด! ทำให้ข้าพลาดไปเสียแล้ว!”
เซวียเซียวเงียบงัน เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย หาได้คิดเช่นนั้นไม่ แต่โจวโส่วเสียนตกอยู่ในสภาพเช่นนี้แล้ว คำพูดบางอย่างถึงกล่าวออกไปก็ไม่มีประโยชน์
……
รุ่งเช้าวันต่อมา จู่ๆ โจวโส่วเสียนที่นอนฟุบอยู่บนโต๊ะในกระโจมหลักพลันสะดุ้งตื่นขึ้นมาจากฝันร้าย เพราะถูกเสียงดังอึกทึกจากนอกกระโจมปลุกให้ตื่น
เขาลุกขึ้นมายืดเส้นยืดสาย ผ่อนคลายร่างกายที่เหน็บชาแข็งทื่อเล็กน้อยแล้วรีบเดินออกไป เมื่อแหวกม่านกระโจมมองออกไป เห็นว่าใบหน้าที่ปรากฏอยู่ด้านนอกกระโจมล้วนเป็นใบหน้าที่ไม่คุ้นตา กองทหารอารักขาสามพันนายของตนหายไปอย่างไร้ร่องรอย เปลี่ยนเป็นกองทัพอื่นมาแทนที่
“เกิดอะไรขึ้น?” โจวโส่วเสียนสอบถามเล็กน้อย
ไม่มีผู้ใดเอ่ยตอบ ผ่านไปครู่หนึ่งเซวียเซียวเดินนำคนกลุ่มหนึ่งเข้ามา จินอู๋กวงเจ้าสำนักจิตกระจ่างและเฉาอวี้เอ๋อร์เจ้าสำนักหอบุปผาล่องยืนขนาบอยู่ข้างกายเขา
แววตาที่สองเจ้าสำนักมองโจวโส่วเสียนแฝงด้วยความรู้สึกที่ซับซ้อนยิ่ง
เซวียเซียวเข้ามาหยุดตรงหน้าโจวโส่วเสียน สบตากันเงียบๆ
โจวโส่วเสียนคล้ายจะตระหนักถึงอะไรขึ้นมาได้ เขาเอ่ยด้วยรอยยิ้มน่าเวทนา “เซวียซยง ราชสำนักส่งราชโองการมาแล้วใช่หรือไม่?”
เซวียเซียวเม้มปากเล็กน้อย เอ่ยเนิบๆ ว่า “ฝ่าบาทมีราชโองการให้คุมตัวโจวซยงกลับเมืองหลวง ภาระหน้าที่ของโจวซยงจะส่งมอบให้แซ่เซวียรับช่วงดูแลต่อ!”
โจวโส่วเสียนมองไปที่จินอู๋กวงและเฉาอวี้เอ๋อร์ เมื่อเห็นสีหน้าของทั้งสองเขาก็เดาออกแล้ว นี่คงต้องการจะแยกทางกับเขาแล้ว เขาถามออกไป “เจ้าสำนักทั้งสอง ขอคุยด้วยสักหน่อยได้หรือไม่!”
ทั้งสองสบตากัน จากนั้นหันไปมองเซวียเซียว เมื่อเห็นว่าเซวียเซียวไม่คัดค้านถึงได้พยักหน้าให้เล็กน้อย
ทั้งสามเดินตามกันไป มุดกลับเข้าไปในกระโจม
พอม่านกระโจมปิดลง โจวโส่วเสียนประสานมือโค้งคำนับให้ทั้งสอง “แซ่โจวไร้ความสามารถ ทำให้สำนักจิตกระจ่างและหอบุปผาล่องพลอยเดือดร้อนไปด้วย”
เฉาอวี้เอ๋อร์ยิ้มขื่น “เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ย้อนกลับไปแก้ไขไม่ได้อีก ใต้เท้าไม่จำเป็นต้องโทษตัวเอง ล้วนเป็นอดีตไปหมดแล้ว หวังว่าใต้เท้าจะเข้าใจถึงความลำบากของพวกเราเช่นกันว่าคงไม่อาจปกป้องใต้เท้าต่อไปได้แล้ว”
โจวโส่วเสียนย่อมเข้าใจดี เรื่องราวมาถึงขั้นนี้แล้ว สองสำนักไม่มีทางทำเรื่องทำนองว่าช่วยเขาหลบหนีจากการคุมตัวหรือยอมขัดแย้งกับราชสำนักเพื่อพาเขาหลบหนี อีกฝ่ายทำได้เพียงเลือกที่จะทอดทิ้งเขาไป
โจวโส่วเสียนประสานมือเอ่ยขึ้นอีกครั้ง “หากว่าเป็นไปได้และอยู่ในสถานการณ์ที่เอื้ออำนวย หวังว่าทั้งสองท่านจะเห็นแก่ไมตรีที่คบค้ากันมาหลายปี ช่วยดูแลครอบครัวของแซ่โจวด้วย”
จินอู๋กวงเอ่ยว่า “ตอนนี้ยังไม่ถึงขั้นนั้นหรอก ใต้เท้าได้รับความไว้วางพระทัยจากฝ่าบาทอย่างลึกซึ้ง บางทีอาจจะยังพอมีช่องให้พลิกสถานการณ์กลับมาได้”
โจวโส่วเสียนส่ายหน้าพลางถอนใจ “ข้าคงไม่รอดแล้ว จำเป็นต้องมีคนรับผิดชอบในเรื่องนี้ หลังถูกไต่สวนแล้วก็มีเพียงความตายที่รอข้าอยู่ ทั้งสองท่านโปรดคอยสักครู่!” กล่าวจบก็เดินกลับไปที่หลังโต๊ะ จรดพู่กันเขียนอะไรบางอย่างขึ้นมาอย่างเร่งด่วน มีการลงนามประทับตราด้วย
จากนั้นก็พับกระดาษเดินกลับไปหาคนทั้งสอง “รบกวนทั้งสองท่านช่วยส่งมอบให้ใต้เท้าเซวียที่อยู่ด้านนอกเป็นตัวแทนยื่นต่อราชสำนักแทนข้าได้หรือไม่”
ทั้งสองรับกระดาษไปแล้วเปิดอ่านทันที หลังจากอ่านจบ สีหน้าพลันแปรเปลี่ยนอย่างรุนแรง เฉาอวี้เอ๋อร์เอ่ยด้วยน้ำเสียงร้อนใจ “ใต้เท้าโจว อย่าทำถึงขนาดนี้เลย!”
โจวโส่วเสียนโบกมือเล็กน้อย “หลังถูกคุมตัวไปไต่สวนที่เมืองหลวงก็ยากจะหลบเลี่ยงโทษทัณฑ์ได้ ข้าต้องตายอย่างแน่นอน ซ้ำจะเดือดร้อนไปถึงครอบครัวด้วย แต่ถ้าหากปลิดชีพตนหลังพ่ายศึกก็ยังได้ชื่อว่าเป็นผู้ภักดีอยู่ ราชสำนักคงไม่ถึงขั้นจะเข้าไปยุ่งกับครอบครัวข้า มิเช่นนั้นจะทำให้เหล่าแม่ทัพในราชสำนักนึกหวั่นใจได้ ไม่ว่าทางไหนก็ต้องตายทั้งนั้น เจ้าสำนักทั้งสองไม่จำเป็นต้องเกลี้ยกล่อมแซ่โจวอีก โปรดรักษาตัวด้วย!” เขาผายมือเชิญให้ออกไป
แล้วทั้งสองจะทำอย่างไรได้ พวกเขาเองก็ทราบดีเช่นกันว่าการติดสินใจของอีกฝ่ายคือทางเลือกที่ดีที่สุดแล้ว
ขณะที่ทั้งสองแหวกม่านกระโจมเดินออกไปพร้อมหนังสือยอมรับผิดของโจวโส่วเสียน ด้านหลังมีเสียงกระบี่ถูกชักออกจากฝักดัง ‘ชิ้ง’ แว่วมา ทั้งสองต่างเหลียวกลับไปมอง
เซวียเซียวที่ยืนอยู่นอกกระโจมก็มองเห็นสภาพของโจวโส่วเสียนที่อยู่ด้านในผ่านม่านกระโจมที่เปิดอยู่ สีหน้าเขาแปรเปลี่ยนอย่างรุนแรง ยื่นมืออกไปพลางร้องว่า “โจวซยง!”
โจวโส่วเสียนยิ้มเล็กน้อย สีหน้าเจือความเด็ดเดี่ยวไว้ ลากคมกระบี่ผ่านลำคอ โลหิตสดๆ พลันพุ่งกระฉูดออกมาจากรอยบาดบนลำคอ
……………………………………………………………