ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า - ตอนที่ 422 เขาคิดจะทำอะไร
ตอนที่ 422 เขาคิดจะทำอะไร?
ผู้บำเพ็ญเพียรที่อยู่ในมณฑลจินโจวต่างทราบกันว่าสถานที่แห่งนี้ถูกขนานนามว่า ‘เขตอากาศพิษ’ อากาศพิษที่ถือกำเนิดขึ้นที่นี่รุนแรงกว่าอากาศพิษทั่วไป สังหารคนได้อย่างไร้ร่องรอย ไม่มีผู้ใดกล้าฝ่าเข้าไป พวกเขาไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลยว่าโจรลักพาตัวกลุ่มนั้นจะกล้าหนีเข้าไป โจรพวกนั้นไม่รู้ถึงเรื่องนี้หรือว่าไม่กลัวกันแน่?
อย่างไรก็ตามเหล่า ผู้บำเพ็ญเพียรจากวังสวรรค์หมื่นวิมานทำได้เพียงหยุดฝีเท้าแล้วเบิกตามอง จากนั้นก็มองกันไปมองกันมา
พวกเขาไม่ได้จากไปในทันที หากแต่กระจายกำลังคนปิดล้อมอยู่รอบนอกเขตอากาศพิษ ป้องกันไม่ให้กลุ่มโจรลักพาตัวเล็ดรอดหนีออกไปในจากตำแหน่งอื่นได้
ผ่านไปไม่ถึงครึ่งชั่วยาม หลีอู๋ฮวาก็พากำลังเสริมหลายสิบคนมุ่งหน้ามาถึงอย่างรวดเร็ว พอเห็นสถานการณ์ก็ตะคอกถาม “เกิดอะไรขึ้น? คุณชายล่ะ?”
ใครคนหนึ่งรายงานว่า “อาจารย์อา คุณชายถูกลักพาตัวเข้าไปในเขตอากาศพิษขอรับ…”
หลังจากทราบรายละเอียดของสถานการณ์ รวมถึงลาดตระเวนรอบนอกเขตอากาศพิษไปรอบหนึ่ง สุดท้ายก็ไม่พบร่องรอยที่กลุ่มโจรลักพาตัวออกมาเขตอากาศพิษอีกเลย หลีอู๋ฮวาจึงทำได้เพียงพาเหล่าศิษย์จากไปด้วยความคับแค้นใจ
…..
ในหุบเขาที่อยู่ห่างจากที่นี่ไปไม่นับว่าไกล อูเซ่าฮวนตลอดจนเหล่าศิษย์ของสามสำนักยังคงกบดานอยู่อย่างเงียบเชียบ ทั้งหมดล้วนไม่ทราบว่าสรุปแล้วตนต้องมาทำอะไรที่นี่กันแน่
ความจริงคือหนิวโหย่วเต้ากลัวว่าจะเกิดปัญหาขึ้นกับทางหยวนกัง เผื่อว่าสถานการณ์ไม่ราบรื่นแล้วเกิดการปะทะต่อสู้กันขึ้นมา เขาจึงช่วยจัดเตรียมกำลังเสริมไว้ให้หยวนกัง
แต่ตอนนี้ดูเหมือนทุกอย่างจะดำเนินไปอย่างราบรื่น หยวนกังจึงไม่ได้ส่งข่าวมาขอกำลังเสริมจากพวกเขาเลย คงไม่จำเป็นต้องต่อสู้แล้ว
ส่วนหยวนกังที่มาในครานี้ก็ไม่คาดคิดเช่นกันว่าสถานการณ์จะราบรื่นถึงเพียงนี้ เดิมทีหลงนึกว่าคงต้องสิ้นเปลืองเวลาเป็นอย่างมากถึงจะพาคนออกมาจากจวนผู้ว่าการมณฑลได้ ใครจะไปรู้ว่าจะไม่จำเป็นต้องสิ้นเปลืองความคิดอันใดเลย เซียวเทียนเจิ้นกลับเป็นฝ่ายสร้างโอกาสพาตัวเองออกจากจวนผู้ว่าการมณฑล ส่งตัวเองมาหาเขาถึงที่
……
กลุ่มผู้บำเพ็ญเพียรของวังสวรรค์หมื่นวิมานเดินทางกลับไปยังตัวเมืองมณฑลจินโจว ระหว่างทางไม่พบเห็นความผิดปกติอันใดเลย หลีอู๋ฮวารู้สึกว่าค่อนข้างผิดปกติ จึงมุ่งหน้าตรงกลับไปที่จวนผู้ว่าการมณฑล
พอเห็นเขากลับมา ทันทีที่เจอหน้ากัน ไห่หรูเยวี่ยที่เดินวนกลับไปกลับมาอยู่ในห้องโถงก็ปราดเข้ามาสอบถามเขาทันที “ผู้อาวุโส ช่วยเทียนเจิ้นกลับมาได้หรือไม่?”
แม้นางจะรู้ดีว่าในเมื่อทางหนิวโหย่วเต้ากล้าลงมือลักพาตัว อีกฝ่ายก็จะต้องเตรียมตัวมาแล้วแน่นอน แต่ถึงกระนั้นก็ยังคาดหวังว่าหลีอู๋ฮวาออกโรงด้วยตัวเองก็น่าจะมีความคืบหน้าอะไรบ้าง
จูซุ่นก็มองหลีอู๋ฮวาด้วยสีหน้าคาดหวังเช่นกัน เขารับใช้ตระกูลเซียวมาสามชั่วอายุคนแล้ว ตระกูลเซียวหลงเหลือทายาทอยู่เพียงคนเดียว เขาย่อมกังวลใจไม่น้อยไปกว่าไห่หรูเยวี่ยเลย
หลีอู๋ฮวากล่าวว่า “ไม่ได้ ตอนที่ข้าไปถึง อีกฝ่ายพาตัวคุณชายหนีเข้าไปในเขตอากาศพิษแล้ว”
“เขตอากาศพิษหรือ?” ไห่หรูเยวี่ยอุทานด้วยความตกใจ พอรู้ว่าบุตรชายถูกพาเข้าไปในสถานที่ที่ทำให้คนตายอย่างเงียบๆ ได้ หนังศีรษะของนางพลันชาวาบทันที รีบเอ่ยถามไปว่า “เทียนเจิ้นจะทนรับไหวหรือ? จะเกิดปัญหาขึ้นหรือไม่?”
หลีอู๋ฮวากล่าวว่า “อีกฝ่ายจับตัวคุณชายไป แสดงว่าจะต้องมีแผนการอยู่แน่นอน ก่อนจะบรรลุเป้าหมาย พวกเขาไม่น่าจะลงมือทำอะไรคุณชาย ดูแล้วน่าจะไม่เกิดเหตุอันใดขึ้น ทางฝั่งเจ้าต่างหาก ไม่ใช่ว่าระดมกำลังคนไปดักตามเส้นทางต่างๆ หรอกหรือ? ตลอดเส้นทางขากลับมา ไยข้าจึงไม่เห็นว่ามีการระดมกำลังคนอะไรเลย?” เขาว่าพลางเดินไปยังที่นั่งตำแหน่งประธาน จากนั้นหันหลังนั่งลงช้าๆ สายตาจับจ้องสีหน้าท่าทางของไห่หรูเยวี่ย
ยังไม่ต้องเอ่ยถึงเรื่องอื่นเลย ยามนี้เกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้ขึ้นมา ทว่ากระทั่งภายในตัวเมืองจินโจวก็ยังไม่มีความผิดปกติใดๆ ขึ้นทั้งสิ้น ไม่มีทีท่าว่าจะยกระดับการเฝ้าระวังให้เข้มงวดขึ้นด้วยซ้ำ นี่มันออกจะผิดปกติเกินไปหน่อย
ไห่หรูเยวี่ยพยายามสงบสติอารมณ์เพื่อไม่ให้เผยพิรุธออกไป “ก็อย่างที่ท่านว่ามา ข้าก็คิดว่าอีกฝ่ายลักพาตัวเทียนเจิ้นไปจะต้องมีแผนการอยู่แน่ ยังไม่น่าจะทำอะไรเทียนเจิ้น ข้ากลัวว่าหากกดดันจนทำให้อีกฝ่ายตกอยู่สภาพสุนัขจนตรอก แบบนั้นจะทำให้เทียนเจิ้นมีอันตรายได้”
คำแก้ตัวนี้ดูค่อนข้างฝืดฝืนเกินไป จูซุ่นหลุบตาลงเล็กน้อย เขาทราบถึงการเปลี่ยนแปลงของไห่หรูเยวี่ยดีที่สุด หลังจากได้รับจดหมายฉบับนั้น ไห่รหูเยวี่ยก็สั่งระงับการเคลื่อนพลทันที สาเหตุจะต้องเกี่ยวข้องกับจดหมายฉบับนั้นอย่างแน่นอน
หลีอู๋ฮวาจ้องมองไห่หรูเยวี่ยอย่างเย็นชา โบกมือไปทางจูซุ่น “เจ้าถอยออกไปก่อน”
จูซุ่นมองไห่หรูเยวี่ยเล็กน้อย เห็นนางพยักหน้าให้นิดๆ จึงทำได้เพียงถอยออกไปอย่างนอบน้อม
หลีอู๋ฮวาลุกขึ้นมาอีกครั้ง ค่อยๆ เดินเข้าไปหาไห่หรูเยวี่ย รุกคืบเข้าไปใกล้ ทำให้ไห่หรูถอยหลังไปก้าวหนึ่งโดยไม่รู้ตัว
หลีอู๋ฮวายื่นมือเข้าไปบีบคางไห่หรูเยวี่ย “เจ้ามีเรื่องปิดบังข้าอยู่”
ไห่หรูเยวี่ยกุมมือเขาไว้ด้วยสองมือ เอ่ยฉอเลาะอ่อนหวาน “ข้าจะปิดบังอะไรท่านได้?”
หลีอู๋ฮวาสะบัดสองมือของนางออก จากนั้นยื่นมือเข้าไปอีกครั้ง “อย่ามาใช้ไม้นี้กับข้า จดหมาย่ละ?”
ไห่หรูเยวี่ยใจเต้นแรง ถามกลับไปว่า “จดหมายอะไร?”
“อย่ามาทำไขสือกับข้า ก่อนหน้านี้พอข้าออกไปก็มีคนนำจดหมายฉบับหนึ่งมาส่งให้เจ้า เอาออกมา!” หลีอู๋ฮวาตวาดด้วยสีหน้าถมึงทึง ทันทีที่เข้ากลับมา ศิษย์ของวังสวรรค์หมื่นวิมานที่เฝ้าอยู่ก็มารายงานเรื่องจดหมายต่อเขาแล้ว
ไห่หรูเยวี่ยอกสั่นขวัญแขวน ถูกบีบให้ถอยหลังไปเรื่อยๆ จากนั้นหลีอู๋ฮวาก็ลงมือในทันใด คว้าลำคอของนางไว้
“กระทำการลับหลังวังสวรรค์หมื่นวิมาน เจ้าหน่ายจะมีชีวิตอยู่แล้วกระมัง?” หลีอู๋ฮวาพลันยกมือขึ้น สองเท้าของไห่หรูเยวี่ยสะบัดอยู่เหนือพื้น ถูกบีบคอแล้วยกชูขึ้นมา สองมือปัดป่ายตบตีออกไป ดวงตาเบิกกว้างใบหน้าแดงเถือก
ขณะที่เฉียดเข้าใกล้ความตายแล้ว ไห่หรูเยวี่ยออกแรงบีบมือเขาพร้อมพยักหน้าสื่อว่ายินยอมจะสารภาพแล้ว
หลีอู๋ฮวาคลายมือออก ไห่หรูเยวี่ยร่วงลงมา พอสองเท้าสัมผัสพื้นก็ทรุดนั่งลงไปกับพื้น กุมลำคอพลางไอดัง ‘แค่กๆ’ ไม่หยุด ผ่านไปสักพักลมหายใจถึงได้เป็นปกติ นางเงยหน้ามองหลีอู๋ฮวาอย่างหวาดผวา
หลีอู๋ฮวาสะบัดชายเสื้อ ย่อตัวลงไปตรงหน้านาง “จดหมายล่ะ?”
ไห่หรูเยวี่ยส่ายหน้า “อ่านจบก็เผาทิ้งไปแล้ว”
หลีอู๋ฮวาโมโหขึ้นมา พลันบีบปลายคางนางไว้ ไห่หรูเยวี่ยรีบเอ่ยชี้แจงอย่างกระท่อนกระแท่นว่า “เผาไปแล้วจริงๆ อ่านจบก็เผาเลย”
หลีอู๋ฮวาถาม “จดหมายจากผู้ใด?”
ไห่หรูเยวี่ยตอบด้วยเสียงอู้อี้ “หนิวโหย่วเต้า”
หลีอู๋ฮวาคลายมือจากปลายคางนาง เอ่ยด้วยความฉงน “หนิวโหย่วเต้า?”
ไห่หรูเยวี่ยถูกเขาบีบจนเจ็บขึ้นมาจริงๆ เจ็บจนร้องไห้ออกมา ในเวลานี้เองความคิดหนึ่งได้ผุดวาบขึ้นมาในสมองของนาง คล้ายจะเข้าใจแล้วว่าเหตุใดหนิวโหย่วเต้าต้องลักพาตัวบุตรชายนางไป หากว่าไม่ลักพาตัวไปล่ะก็ เกรงว่าพวกนางสองแม่ลูกยากจะรอดชีวิตไปได้ หนิวโหย่วเต้าทำการลักพาตัวอย่างเปิดเผยโจ่งแจ้งเช่นนี้ แปลว่าครั้งนี้ไม่คิดจะปกปิดวังสวรรค์หมื่นวิมานอีกต่อไปแล้ว
หลังจากเข้าใจเจตนาที่แฝงอยู่แล้วก็รีบกล่าวไปว่า “เป็นจดหมายจากหนิวโหย่วเต้า เป็นหนิวโหย่วเต้าที่ลักพาตัวเทียนเจิ้นไป”
หลีอู๋ฮวาประหลาดใจ “เจ้านั่นจะจับตัวบุตรชายของเจ้าไปทำไม?”
ไห่หรูเยวี่ยเอ่ยว่า “น่าจะเพื่อข่มขู่ให้ข้าทำอะไรสักอย่าง”
หลีอู๋ฮวาหัวเราะหยันพลางกล่าวว่า “น่าขัน เขานึกจะข่มขู่ก็ข่มขู่ได้อย่างนั้นเหรอ? คิดจริงๆ น่ะหรือว่าหากจับเซียวเทียนเจิ้นเป็นตัวประกันแล้วจะทำอะไรตามต้องการได้?”
ไห่หรูเยวี่ยเข้าใจความหมายของดี ทักทีที่คุกคามถึงผลประโยชน์ของวังสวรรค์หมื่นวิมาน มันก็มีความเป็นไปได้ที่วังสวรรค์หมื่นวิมานจะยอมสละเซียวเทียนเจิ้นทิ้ง นางอึกอักลังเลคล้ายอยากจะพูดอะไร สุดท้ายก็กัดริมฝีปากเล็กน้อยแล้วเอ่ยออกไป “หมอหมิงศิษย์หมอผีที่มารักษาเทียนเจิ้นในครั้งนั้นถูกหนิวโหย่วเต้าส่งตัวมา เพียงแต่เขาปกปิดเอาไว้”
“……” หลีอู๋ฮวาตกใจ สมองยังปะติดปะต่อเรื่องราวไม่ได้ “รักษาโรคหายนับเป็นเรื่องดี พวกเราย่อมต้องติดค้างน้ำใจเขา แล้วไยต้องปิดบังด้วย?”
“แรกเริ่มข้าก็ไม่เข้าใจเช่นกัน ต่อมาถึงได้ทราบว่าคนผู้นั้นหาใช่ศิษย์หมอผีอันใดไม่ ยาที่ใช้รักษาเทียนเจิ้นน่าจะเป็นผลตะวันชาดที่ขโมยมาจากหอหิมะเหมันต์…” ไห่หรูเยวี่ยบอกต้นสายปลายเหตุของเรื่องราวออกมา
ดวงตาของหลีอู๋ฮวาค่อยๆ เบิกกว้าง เพิ่งจะตระหนักได้ว่าเจอปัญหาใหญ่เข้าแล้ว ขโมยของของแม่เฒ่าเสวี่ยมาอย่างนั้นหรือ? สำหรับแม่เฒ่าเสวี่ยแล้ว วังสวรรค์หมื่นวิมานก็เป็นเพียงมดปลวกเท่านั้น นางสั่งประโยคเดียวก็สามารถลบวังสวรรค์หมื่นวิมานออกจากโลกบำเพ็ญเพียรได้อย่างสิ้นเชิงแล้ว
เขาพลันลุกขึ้นยืนแล้วเดินออกไป ความคิดแรกที่ปรากฏขึ้นมาก็คือต้องฆ่าเซียวเทียนเจิ้นทิ้งเสีย ขอเพียงเซียวเทียนเจิ้นหายไปจากโลกนี้ เช่นนั้นก็ไร้พยานหลักฐานแล้ว
ทว่าพอเดินไปถึงประตูก็ชะงักฝีเท้าทันที เพิ่งจะรู้สึกตัวว่าไม่สามารถฆ่าปิดปากได้แล้ว อีกฝ่ายหาทางป้องกันแผนการนี้ของวังสวรรค์หมื่นวิมานไว้ล่วงหน้า ลักพาตัวเป้าหมายที่จะฆ่าปิดปากไปแล้ว
ไห่หรูเยวี่ยเพิ่งจะคลานลุกขึ้นมา พอหันกลับไปก็เห็นหลีอู๋ฮวาพุ่งตัวเข้ามา ตวัดมือตบหน้านางดัง ‘เพียะ!’
ไห่หรูเยวี่ยล้มลงบนพื้นในทันที มีเลือดไหลออกมาจากปากและจมูก รู้สึกสะเทือนไปทั้งศีรษะ ถูกตบจนมึนงง
หลีอู๋ฮวาก้าวเข้ามา โน้มตัวลงคว้าสาบเสื้อตรงอกของนาง จากนั้นลากไห่หรูเยวี่ยที่ยังมึนงงอยู่ขึ้นมา เอ่ยเสียงกร้าว “นังแพศยา! ทำไมเพิ่งมาบอกเอาวันนี้ ทำไมถึงไม่บอกแต่แรก? เจ้าพูดมา ทำไมถึงไม่บอกแต่แรก?”
ไห่หรูเยวี่ยได้สติกลับมา นางยิ้มด้วยใบหน้าขมขื่น มีโลหิตไหลซึมมุมปาก บอกแต่แรกอย่างนั้นหรือ? นางจะบอกแต่แรกได้อย่างไร? หากบอกออกไป เกรงว่าวังสวรรค์หมื่นวิมานคงฆ่าปิดปากพวกนางสองแม่ลูกทันที
“เจ้าพูดออกมาสิ!” หลีอู๋ฮวาเขย่าตัวนางพลางตวาดอย่างโกรธเกรี้ยว เขาประจำการอยู่ที่นี่ เมื่อเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นมา แล้วจะให้เขาไปรายงานต่อทางสำนักอย่างไร? ตอนนี้ไม่ใช่แค่เรื่องที่ว่าจะอธิบายหรือไม่อธิบายอันใดแล้ว เผลอๆ อาจจะกลายเป็นหายนะที่ทำให้สำนักล่มสลายก็เป็นได้
ไห่หรูเยวี่ยเอ่ยอย่างเศร้าสร้อย “เขาไม่กล้าเปิดเผยออกไปง่ายๆ หรอก มิเช่นนั้นคงไม่รอมาจนถึงวันนี้ หาไม่แล้วตัวเขาก็อย่าหมายจะอยู่รอดเช่นกัน”
หลีอู๋ฮวาถามเสียงกร้าว “เขาทำเช่นนี้ แสดงว่าจะต้องมีเรื่องเรียกร้องอันใดแน่ เขาคิดจะทำอะไร? ต้องการอะไรกันแน่? ได้บอกอะไรเจ้าผ่านทางจดหมายหรือไม่?”
ไห่หรูเยวี่ยส่ายหน้า “ไม่ได้บอก ในจดหมายเขาบอกเพียงว่าอย่าได้แพร่งพรายออกไป”
“เจ้ายังกล้าปกปิดข้าอยู่อีกหรือ? หากเขาไม่มีความประสงค์อะไร ไหนเลยจะทำเรื่องเช่นนี้ได้?” หลีอู๋ฮวาโกรธเกรี้ยวขึ้นมา
“เขาไม่ได้บอกอะไรผ่านทางจดหมายจริงๆ!” ไห่หรูเยวี่ยแก้ตัวอย่างเศร้าหมอง ก่อนหน้าไม่กระจ่างในเจตนาของหนิวโหย่วเต้าจึงทำลายจดหมายทิ้งไป มิเช่นนั้นคงนำมาเป็นหลักฐานให้อีกฝ่ายตรวจสอบดูได้ เวลานี้พอได้เห็นอีกฝ่ายโกรธเกรี้ยวจนเกิดเจตนาสังหารขึ้นมาจริงๆ นางพลันโผตัวเข้าหา กางแขนโอบกอดเขาไว้ พยายามจุมพิตใบหน้าของเขา เอ่ยสะอื้นริมหูเขาว่า “อู๋ฮวา ท่านเคยบอกว่าท่านคือที่พึ่งของข้า ขอเพียงมีท่านอยู่จะไม่เกิดเหตุร้ายขึ้นกับข้าแน่นอน..”
….
ณ วังหลวงแคว้นฉี หลังจบการว่าราชการยามเช้า เหล่าขุนนางก็แยกย้ายกันออกไป พอพ้นจากประตูวังหลวง อิงอ๋องเฮ่าเจินมุดขึ้นไปบนรถม้าแล้วจากไป
เมื่อกลับไปถึงจวนอิงอ๋องก็ลงจากรถม้าแล้วเดินเข้าจวนไป จากนั้นมีเสียงไหวกระทบของเครื่องประดับที่คุ้นหูแว่วเข้ามา พระชายาเซ่าหลิ่วเอ๋อร์ที่สวมอาภรณ์งดงาม บุคลิกท่าทางดูงามสง่าสูงศักดิ์ออกมาต้อนรับ ดวงหน้างามงดดั่งภาพวาด นางแย้มยิ้มเล็กน้อย ย่อเข่าข้างหนึ่งลงเพื่อทำความเคารพ “ท่านอ๋องกลับมาแล้วหรือเพคะ”
เฮ่าเจินอมยิ้มพลางยื่นมือไปประคองแขนนาง ทั้งสองเดินเคียงกันเข้าไปด้านใน
หลังจากแต่งเข้าจวนอิงอ๋อง ทุกครั้งที่เฮ่าเจินไปเข้าเฝ้าในยามเช้า ไม่ว่าเช้าแค่ไหน เซ่าหลิ่วเอ๋อร์ก็จะออกมาส่งสามีถึงหน้าประตูด้วยตัวเอง อีกทั้งไม่ว่าจะกลับมาช้าขนาดไหน เซ่าหลิ่วเอ๋อร์ก็จะออกมาต้อนรับที่ประตูเสมอ
นางกลับมายังห้องหนังสือเป็นเพื่อนเฮ่าเจิน ช่วยเฮ่าเจินเปลี่ยนเสื้อตัวนอก หลังสอบถามดูแล้วว่าเขาไม่ต้องการสิ่งอื่นใดอีก เซ่าหลิ่วเอ๋อร์ก็คำนับอำลาไป
เฮ่าเจินเองก็เดินตามออกไปด้านนอกประตูด้วย ยืนอยู่หน้าประตูห้องหนังสือ เฝ้ามองเงาร่างอ้อนแอ้นที่เดินนวยนาดจากไป ดวงตาทั้งสองข้างหรี่ลงเล็กน้อย
ขันทีผู้ดูแลมู่จิ่ว เชอปู้ฉือแห่งสำนักมหาบรรพต เซี่ยหลงเฟยแห่งสำนักศาสตราลึกล้ำและเกาเจี้ยนโฮ่วจากสำนักเพลิงนภาเดินมาหยุดอยู่ข้างกายเฮ่าเจิน เมื่อเห็นปฏิกิริยาของเฮ่าเจิน ทุกคนต่างก็มองตามสายตาเขาไปจนเห็นพระชายาที่เดินออกไป
จู่ๆ เฮ่าเจินก็ถามว่า “พระชายาปฏิบัติต่อองค์ชายทั้งสองอย่างไรบ้าง?”
มู่จิ่วค้อมกายเอ่ยไปว่า “เท่าที่เห็นตอนนี้ ปฏิบัติเสมือนบุตรแท้ๆ ของตน คอยใส่ใจดูแล ทว่าองค์ชายน้อยทั้งสองยังไม่ค่อยยอมรับพระชายาเท่าไรพ่ะย่ะค่ะ ทำให้พระชายาได้รับความคับข้องหมองใจไม่น้อยพ่ะย่ะค่ะ”
เฮ่าเจินไม่พูดอะไรมากอีก หันหลังเดินเข้าห้องหนังสือไป
ทั้งสี่คนตามเข้าไป กระทั่งเฮ่าเจินนั่งลงด้านหลังโต๊ะแล้ว เกาเจี้ยนโฮ่วจึงเอ่ยถามว่า “เข้าเฝ้าเช้านี้มีเรื่องใดเกิดขึ้นหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”
เฮ่าเจินตอบว่า “ก็ไม่มีอะไร ล้วนเป็นการหารือเรื่องมณฑลหนานโจวในแคว้นเยี่ยนแทบทั้งสิ้น”
ทั้งสี่คนสบตากัน เซี่ยหลงเฟยถามด้วยความแปลกใจ “รูปการณ์แน่ชัดแล้วว่าซางเฉาจงจะได้หนานโจวมาครอบครองแน่นอน เรื่องนี้ยังมีอะไรต้องหารืออีกหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
เฮ่าเจินตอบว่า “เกิดเหตุเปลี่ยนแปลงขึ้นนิดหน่อย ตามรายงานข่าวที่ส่งกลับมาจากหนานโจวแจ้งว่าสำนักหยกสวรรค์กำลังแบ่งแยกไพร่พลในบังคับบัญชาของซางเฉาจงให้กระจายตัวออกไป จากสัญญาณต่างๆ ที่ปรากฏขึ้นบ่งชี้ว่าสำนักหยกสวรรค์อาจจะทำการควบคุมซางเฉาจงเอาไว้แล้ว มีความเป็นไปได้สูงว่าต้องการยึดอำนาจของซางเฉาจงและอาจจะให้การสนับสนุนเฟิ่งหลิงปอแทน”
ทั้งสี่คนเงียบไป เชอปู้ฉือใคร่ครวญแล้วเอ่ยเนิบๆ ขึ้นว่า “การที่สำนักหยกสวรรค์ทำเช่นนี้มันก็พอจะเข้าใจได้ไม่ยากเช่นกัน กำลังของพวกเขามีจำกัด การปล่อยให้ซางเฉาจงที่มีจิตใจทะเยอทะยานปกครองหนานโจวนั้นไม่สอดคล้องรูปการณ์และผลประโยชน์ของพวกเขา พวกเขาคงกังวลว่าจะเกิดปัญหาตามมาในภายหลัง”
“ผลจากการวิเคราะห์ในท้องพระโรงก็เป็นเช่นนี้เหมือนกัน” เฮ่าเจินพยักหน้า แต่จู่ๆ ก็หัวเราะหึหึพลางส่ายศีรษะ เอ่ยไปว่า “แต่ถ้าหากหนิวโหย่วเต้ายังยืนหยัดจะอยู่เคียงข้างฝั่งซางเฉาจง เกรงว่าสำนักหยกสวรรค์คงยากจะสมปรารถนาได้”
…………………………………………………………………