ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า - ตอนที่ 425 อ้างว้าง
ตอนที่ 425 อ้างว้าง
ซางเจี้ยนสยงที่กำลังสารภาพความผิดอยู่พลันเลิกคิ้วขึ้น ใบหน้าเปล่งประกายแห่งความหวังแบบแปลกๆ ขึ้นมาในชั่วพริบตา ก้มหัวโขกศีรษะให้ป้ายบรรพชน โขกศีรษะต่อเนื่องสามครั้ง ยกสองมือกางแขนเสื้อออกแล้วลุกขึ้นทันที หันหลังเดินฉับๆ ออกไปนอกศาลบรรพชน
“ฝ่าบาท!” เถียนอวี่และก่าเหมี่ยวสุ่ยที่รออยู่หน้าประตูพากันถวายความเคารพ
ซางเจี้ยนสยงโบกมืออย่างทนไม่ไหว สื่อว่าไม่ต้องมากพิธี เขาจ้องมองเถียนอวี่พลางเอ่ยถาม “แน่ใจหรือว่าเกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้นในหนานโจว”
เถียนอวี่ตอบอย่างนอบน้อม “กระหม่อมได้รับข่าวมาตั้งแต่เมื่อหลายวันก่อนแล้วพ่ะย่ะค่ะ ทำการส่งคนไปตรวจสอบยืนยันซ้ำแล้ว ซางเฉาจงถูกควบคุมตัวไว้จริงๆ ไพร่พลของเขาก็ถูกแบ่งแยกออกไปเพื่อควบคุม เป็นไปตามที่หนิวโหย่วเต้าบอกมา เจตนาของสำนักหยกสวรรค์แน่ชัดแล้วว่าต้องการควบคุมซางเฉาจงแล้วให้การสนับสนุนเฟิ่งหลิงปอพ่ะย่ะค่ะ! เรื่องนี้ได้รับการยืนยันแล้ว ไม่มีทางผิดพลาดแน่พ่ะย่ะค่ะ!”
ก่อนหน้านี้หลังจากที่ก่าเหมี่ยวสุ่ยและพระสนมโจวกุ้ยเฟยนำข่าวกลับมา ทางนี้กังวลมาตลอดว่าจะมีเล่ห์กลอันใดแอบซ่อนอยู่ ข่าวความเปลี่ยนแปลงของทางมณฑลหนานโจวที่ได้รับมาในครั้งนี้ก็ไม่กล้าเชื่อเช่นกัน ดังนั้นจึงตรวจสอบยืนยันซ้ำอยู่หลายครั้งถึงจะกล้ากราบทูลจริงๆ
“ฮ่าๆ!” ซางเจี้ยนสยงพลันเชิดหน้าหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง หัวเราะอย่างปรีดายิ่ง จากนั้นชี้มือออกไป ชี้ไปยังความว่างเปล่าพลางร้องด่าออกมาด้วยสีหน้าถมึงทึง “ซางเฉาจง! เป็นลูกหลานสกุลซางแต่กลับทำลายรากฐานบรรพบุรุษตน ทุ่มเทกำลังไปมากมาย สุดท้ายกลับเป็นผู้อื่นที่ได้ผลประโยชน์ไป น่ารังเกียจนัก แม้แต่สวรรค์ก็ไม่เข้าข้างเจ้าแล้ว นี่ก็คือจุดจบของเจ้า…”
หลังจากด่ากราดระบายอารมณ์กับลมฟ้าอากาศแล้ว เขาก็เดินวนกลับไปกลับมาอยู่หน้าประตูศาลบรรพชน
ผ่านไปสักพักก็มาหยุดอยู่ตรงหน้าคนทั้งสอง ซางเจี้ยนสยงเอ่ยถามอย่างลังเลว่า “หนิวโหย่วเต้าเป็นคนของไอ้หลานทรพีนั่น ไฉนถึงมาช่วยออกความคิดให้ข้าได้ เหตุใดข้าถึงรู้สึกว่ามันค่อนข้างไร้เหตุผล?”
เถียนอวี่เอ่ยว่า “ก็เข้าใจได้ไม่ยากพ่ะย่ะค่ะ เรื่องราวมาถึงขั้นนี้แล้ว เขาเองก็ไร้กำลังจะกอบกู้สถานการณ์ได้เช่นกัน สำนักหยกสวรรค์ทำลายผลประโยชน์ของเขา ภายหน้าหากมีโอกาสก็ยังไม่แน่ว่าจะยอมปล่อยให้เขารอด หากเขาสบโอกาสที่สามารถล้างแค้นได้ ไหนเลยจะยอมปล่อยสำนักหยกสวรรค์ไปได้พ่ะย่ะค่ะ?”
ก่าเหมี่ยวสุ่ยประสานมือเอ่ยขึ้นว่า “ฝ่าบาทลองไตร่ตรองดูสิพ่ะย่ะค่ะ สำนักหยกสวรรค์ให้การสนับสนุนเฟิ่งหลิงปอ แต่ทางราชสำนักกลับแต่งตั้งซางเฉาจงเป็นผู้ว่าการมณฑลหนานโจว หากเฟิ่งหลิงปอขึ้นปกครองมณฑลหนานโจว ก็จะถูกมองว่าได้ตำแหน่งมาอย่างไม่โปร่งใส ที่สำคัญคือในมณฑลหนานโจวยังมีไพร่พลอีกสองแสนนายที่ขึ้นตรงต่อซางเฉาจง หากประกาศราชโองการนี้ลงไป ก็จะสามารถยั่วยุให้เกิดความขัดแย้งได้ ทันทีที่ทั้งสองฝ่ายขัดแย้งกันขึ้นมา ราชสำนักก็สามารถฉวยโอกาสลอบยุแยงตะแคงรั่ว เสี้ยมให้ความบาดหมางระหว่างทั้งสองฝ่ายขยายใหญ่ขึ้น กระทั่งเกิดความขัดแย้งขึ้นภายใน ราชสำนักก็จะสบโอกาสเหมาะที่จะยึดมณฑลหนานโจวกลับคืนมาอย่างง่ายดาย ถึงแม้แผนการจะมาจากหนิวโหย่วเต้า แต่ก็จำเป็นต้องยอมรับว่าวิธีนี้ยอดเยี่ยมจริงๆ อย่างน้อยก็สามารถก่อกวนให้มณฑลหนานโจวตกอยู่ในความวุ่นวาย ทำให้สำนักหยกสวรรค์ยากจะทำอะไรตามใจตัวเองได้พ่ะย่ะค่ะ!”
….
ลมกระจ่างจันทราส่องสว่าง บนเนินเขามีผีเสื้อจันทราเกาะกิ่งไม้ให้แสงสว่างอยู่
ใต้ต้นไม้มีคนสองคนนั่งตรงข้ามกันบนโต๊ะศิลา หนิวโหย่วเต้าและเซียวเทียนเจิ้นกำลังเดินหมากด้วยกันอยู่ใต้แสงจันทร์ มีหมู่ดาวส่องระยิบระยับอยู่ห่างไกลออกไป艾琳小說
หลังจากวางเบี้ยตัวหนึ่งลงไป ในที่สุดเซียวเทียนเจิ้นก็เอ่ยทำลายความเงียบ “สรุปแล้วท่านจับข้ามาทำไม?”
หนิวโหย่วเต้ายิ้มให้ “ข้าบอกไปแล้วว่าไม่มีทางทำอะไรคุณชายแน่ ท่านอาศัยอยู่ในมหานครอันรุ่งเรืองมายาวนาน ออกมาพักผ่อนสงบใจในธรรมชาติ มีสายลมและแสงจันทร์คลอเคลียเป็นเพื่อน คุณชายไม่คิดว่าเป็นเรื่องที่น่าสุนทรีย์หรอกหรือ?”
เซียวเทียนเจิ้นเอ่ยขึ้นว่า “เต้าเหยี่ยมีสุนทรีย์นัก แต่การลักพาตัวคนผู้หนึ่งมาเกรงว่าจะไม่น่าสุนทรีย์สักเท่าไร ข้าเคยแสดงความจริงใจต่อหยวนกังไปอย่างเปิดเผย คาดว่าหยวนกังคงรายงานต่อเต้าเหยี่ยแล้วกระมัง?” พอได้ยินทุกคนที่นี่ล้วนเรียกขานหนิวโหย่วเต้าว่าเต้าเหยี่ย เขาก็ปฏิบัติตามอย่างมีมารยาท
หนิวโหย่วเต้าวางเบี้ยตัวหนึ่งลงบนกระดานหมาก จากนั้นชักมือกลับพลางกล่าวว่า “บอกแล้ว”
เซียวเทียนเจิ้นพลันจับตามองปฏิกิริยาของเขาทันที “ไม่ทราบว่าเต้าเหยี่ยมีความเห็นเช่นไร?”
หนิวโหย่วเต้ายิ้มละไม “ข้าไม่มีอำนาจตัดสินใจในเรื่องนี้”
เซียวเทียนเจิ้นส่ายหน้า “เต้าเหยี่ยมีอิทธิพลต่อซางเฉาจงเพียงใดยังต้องให้ข้าพูดอีกหรือ?”
หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “อายุยังน้อย อย่าได้ทำเรื่องโง่ๆ เลย แม่ลูกร่วมใจกันไม่ดีหรือ?”
เซียวเทียนเจิ้นเอ่ยว่า “เรื่องอายุใช่ปัญหาหรือ? เต้าเหยี่ยอายุได้สิบกว่าปีก็ถูกสำนักสวรรค์พิสุทธิ์กักบริเวณไว้ห้าปี อายุเพิ่งย่างยี่สิบต้นๆ ก็มาโน้มน้าวให้ท่านแม่ข้าช่วยซางเฉาจงยึดจังหวัดชิงซาน ทั้งยังแบกรับอันตรายจากการสังหารราชทูตแคว้นเยี่ยนไว้ จากนั้นก็ก่อวีรกรรมต่างๆ ขึ้นในแคว้นฉี จัดหาม้าศึกให้ซางเฉาจงได้สามหมื่นตัว ทุกอย่างที่เต้าเหยี่ยกระทำลงไปสามารถนำเรื่องอายุมาประเมินตัดสินได้หรือ? เต้าเหยี่ยถูกสำนักสวรรค์พิสุทธิ์กักบริเวณมาห้าปี แต่ข้าถูกผู้อื่นใช้เป็นหุ่นเชิดมาสิบกว่าปีแล้ว ท่านกับข้าหัวอกเดียวกัน!”
ถึงแม้ตอนอยู่ในมณฑลจินโจวเขาจะถูกควบคุมไว้ตลอด แต่พ่อบ้านจูซุ่นยังคงแอบเปิดเผยข่าวและสถานการณ์บางส่วนให้เขาทราบ
หนิวโหย่วเต้ายกยิ้มมุมปาก ถามออกไปว่า “ท่านอยากจะเจรจาเรื่องการร่วมมือกับข้าหรือ?”
เซียวเทียนเจิ้นรวบรวมความกล้าเอ่ยไปว่า “ในเมื่อเป็นเรื่องที่จะได้ประโยชน์กันทั้งสองฝ่าย เจรจากันหน่อยคงไม่มีอะไรเสียหายกระมัง?”
หนิวโหย่วเต้าเอ่ยเนิบๆ ว่า “ท่านจะเอาอันใดมาเจรจากับข้าล่ะ? แล้วท่านทำอะไรในมณฑลจินโจวได้บ้าง? เอาไว้ท่านมีคุณสมบัติพอจะเจรจากับข้าได้แล้วค่อยมาคุยกันเถอะ!” น้ำเสียงเต็มไปด้วยความหมิ่นหยาม เขาเลิกคิ้วเล็กน้อย ดวงตาฉายแววยั่วยุอย่างจงใจ
เซียวเทียนเจิ้นกำสองมือแน่น ใบหน้าแดงก่ำเล็กน้อย รู้สึกเสียหน้าและอับอาย
เห็นได้ชัดว่าเขาไม่มีอารมณ์จะเดินหมากต่อแล้ว
กระทั่งเซียวเทียนเจิ้นจากไป หนิวโหย่วเต้าถึงเดินไปที่ริมผา แขนเสื้อกว้างปลิวสะบัดไปด้านหลังตามแรงลม เขายกมือไพล่หลังทอดสายตามองเดือนดาว แววตาลุ่มลึก
ท่ามกลางสายลมยามราตรี เงาร่างอ้อนแอ่นของก่วนฟางอี๋ปรากฏขึ้นข้างกาย นางยกมือกอดอก เอ่ยอย่างสบายๆ ว่า “รูปการณ์ของมณฑลหนานโจวแน่ชัดแล้ว ทางนั้นอาจมีภัยถึงชีวิตได้ตลอดเวลา หากรอเช่นนี้ต่อไป ระวังพวกซางเฉาจงจะตายเอาได้นะ”
อาภรณ์ปลิวไสวไปตามแรงลม หนิวโหย่วเต้าหลับตาฟังเสียงลมอยู่ใต้จันทรา เอ่ยเนิบๆ ว่า “ไม่จำเป็นต้องรีบร้อน รอต่อไปอีกหน่อย เอาไว้สถานการณ์สุกงอมเต็มที่ถึงจะลงมือได้! ข้าทิ้งวิธีแก้ไขภัยคุกคามชีวิตไว้ให้พวกเขาแล้ว พวกเขาคงไม่ถึงขนาดที่ว่ามีภัยร้ายแรงถึงชีวิตคืบคลานมาใกล้แล้วยังไม่รู้สึกตัว”
ก่วนฟางอี๋เอ่ยถาม “เจ้าทำตัวมีลับลมคมนัยไม่เปิดเผยมาตลอด หากเกิดเหตุเหนือความคาดหมายอันใดขึ้นจะจัดการอย่างไร?”
หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “หากเผยออกไปจนหมด พวกเขาคงไม่รอให้ถึงตอนสุดท้าย มีโอกาสที่พวกเขาจะเปิดถุงแพรเพื่อหลีกเลี่ยงอันตรายตั้งแต่เนิ่นๆ ถ้าเกิดสำนักหยกสวรรค์ติดต่อไปหาวังสวรรค์หมื่นวิมานก่อนล่วงหน้า…สรุปคือเราต้องยื้อเวลาให้พวกหยวนกังได้มีเวลาลงมือในมณฑลจินโจวมากพอ หากเกิดเหตุเหนือความคาดหมายขึ้นจริงๆ เช่นนั้นก็กล่าวได้เพียงว่าพวกเขาโชคไม่ดีเท่านั้น”
ก่วนฟางอี๋เอ่ยว่า “ตอนนี้พวกเขาถูกสำนักหยกสวรรค์ควบคุมไว้อย่างเข้มงวด คิดจะติดต่อคงทำได้ยาก สรุปแล้วในถุงแพรใบนั้นของเจ้าใส่อะไรไว้กันแน่?”
หนิวโหย่วเต้าเพียงหัวเราะหึหึ
….
ยามรุ่งสาง หลัวอันเข็นเหมิงซานหมิงที่นั่งบนรถเข็นออกจากคฤหาสน์ไป มุ่งหน้าไปยังศาลาว่าการที่เฟิ่งหลิงปอพำนักอยู่
ล้อรถเข็นที่เคลื่อนผ่านก้อนอิฐบนพื้นถนนที่ขรุขระไม่เสมอกันส่งเสียงดัง ‘ครึ่กๆ’ เหมิงซานหมิงที่ภายใต้แสงอรุณมีสีหน้าราบเรียบ
ตะวันค่อยๆ โผล่ขึ้นมา ภายในลานเรือน พวกซางเฉาจงที่เก็บข้าวของเรียบร้อยแล้วทยอยปรากฏตัวขึ้น เตรียมติดตามสำนักหยกสวรรค์มุ่งหน้ากลับไปยังมหานครหนานโจวก่อน
พอทุกคนมารวมตัวกันก็พบว่ามีคนหายไป เหมิงซานหมิงไม่อยู่
ทุกคนย่อมต้องอยู่รอเขา ซางเฉาจงโบกมือสั่งการให้องครักษ์นายหนึ่งไปดูที่เรือนพำนักของเหมิงซานหมิง
องครักษ์ออกไปได้สักพักหนึ่งก็วิ่งกระหืดกระหอบกลับมารายงานว่า “ท่านอ๋อง แม่ทัพเหมิงไม่อยู่พ่ะย่ะค่ะ สอบถามยามเฝ้าประตูแล้ว ยามแจ้งว่าแม่ทัพเหมิงออกไปแล้ว แล้วก็ยังฝากจดหมายไว้ให้พระองค์ด้วยพ่ะย่ะค่ะ” เขาประคองจดหมายยื่นส่งด้วยสองมือ
คนอื่นๆ มองหน้ากัน ซางเฉาจงรับจดหมายไปอย่างรวดเร็ว พอเปิดอ่านเนื้อความในจดหมายก็ขมวดคิ้วขึ้นมา
สรุปความคร่าวๆ จากจดหมายคือไม่อาจนั่งรอความตายได้ เพราะการทางนี้ฝากความหวังไว้กับหนิวโหย่วเต้าเพียงคนเดียวนั้นไม่ได้ต่างอะไรกับการเอาไข่ไก่ใส่รวมไว้ในตะกร้าใบเดียว ทำแบบนั้นมีความเสี่ยง เหมิงซานหมิงจะไปหาผู้อื่นเพื่อหาทางคลี่คลายวิกฤติ ขอให้พวกเขาไม่ต้องกังวล เขามีวิธีการของตนอยู่ ให้พวกเขาจากไปก่อนได้เลย แล้วก็เนื่องจากกลัวว่าพวกเขาจะไม่ยินยอม ดังนั้นจึงทิ้งจดหมายไว้แล้วจากไปอย่างเงียบๆ เพื่อที่พวกเขาจะได้ไม่ทำให้สำนักหยกสวรรค์รู้ตัว
จดหมายถูกส่งต่อให้หลานรั่วถิงและซางซูชิงได้อ่าน ทั้งสองก็ขมวดคิ้วขึ้นมาเช่นเดียวกัน เมื่อดูจากลายมือแล้ว นี่เป็นลักษณะการเขียนของเหมิงซานหมิงจริงๆ เพียงแต่การตัดสินใจนี้ค่อนข้างไร้ต้นสายปลายเหตุ
ซางเฉาจงสงสัย “จะไปหาใครมาช่วยคลี่คลายวิกฤต? ด้านนอกมีศิษย์ของสำนักหยกสวรรค์เฝ้าระวังอย่างเข้มงวด ท่านลุงเหมิงจะออกไปได้หรือ?”
หลานรั่วถิงเอ่ยด้วยความลังเล “แม่ทัพเหมิงมิใช่คนประมาท เขาทำเช่นนี้แปลว่าจะต้องมีความมั่นใจแน่นอน”
ทั้งสามคนมองหน้ากัน จดหมายนี้ทำให้ทั้งสามไม่รู้ว่าควรจะว่าอย่างไรดี แจ้งทางสำนักหยกสวรรค์ให้ช่วยตามหาอย่างนั้นหรือ? ถ้าทำเช่นนั้นก็จะขัดต่อคำสั่งของเหมิงซานหมิงที่กำชับให้พึงระวัง
จู่ๆก็เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น จิตใจของคนทั้งกลุ่มกระสับกระส่ายว้าวุ่น
จากนั้นไม่นาน ไป๋เหยาก็มาหา เร่งให้ออกเดินทาง
ทางนี้ไม่รู้จะทำอย่างไร ทำได้เพียงออกไปรวมตัวกับพวกเผิงโย่วไจ้ที่สำนักหยกสวรรค์ ทั้งหมดควบม้าทะยานออกไปนอกเมือง
ระหว่างทาง เนื่องจากการกระทำนี้ของเหมิงซานหมิง ทำให้พวกซางเฉาจงต่างรู้สึกไม่สบายใจ
……
ณ ประตูเมือง เฟิ่งหลิงปอที่มาส่งพวกเผิงโย่วไจ้ออกจากเมืองด้วยตัวเองเงยหน้ามองฟ้าพลางถอนหายใจออกมา เหม่อมองนภาคราม ทราบดีว่ายุคสมัยที่มณฑลหนานโจวจะอยู่ใต้การปกครองของตนกำลังจะมาถึงแล้ว
“กลับกันเถอะ” เผิงอวี้หลานที่มาด้วยกันเอ่ยเร่ง
“อืม!” เฟิ่งหลิงปอพยักหน้ารับ หันหลังพากององครักษ์กลับเข้าเมือง
เมื่อมาถึงศาลาว่าการ เฟิ่งหลิงปอสาวเท้ามุ่งหน้าไปยังเรือนปีกส่วนใน มองเห็นเหมิงซานหมิงนั่งนิ่งบนรถเข็นอยู่ข้างศาลาริมน้ำ หลัวอันที่เข็นรถให้ก็ยังอยู่เช่นกัน ไม่ได้หลบหนีไปไหน เขาจึงโล่งใจขึ้นมา
ก่อนจากไปเผิงโย่วไจ้ได้กำชับอยู่หลายครั้งว่าฝ่ายนั้นมิใช่คนที่จะจัดการกันได้ง่ายๆ จำเป็นต้องระวังเอาไว้ อย่าได้ปล่อยให้เกิดพิรุธอันใดขึ้น โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่ไม่รู้ว่าหนิวโหย่วเต้าหายไปไหน ไม่รู้ว่าจะเล่นเล่ห์กลอันใดขึ้นหรือไม่ จำเป็นต้องระมัดระวังเอาไว้ให้ดี
การหายตัวไปอย่างกะทันหันของหนิวโหย่วเต้ากลายเป็นปมในใจของเผิงโย่วไจ้ เขากังวลว่าหนิวโหย่วเต้าจะสอดมือเข้าแทรกแซง แต่ก็คิดไม่ออกว่าหนิวโหย่วเต้าจะลงมือจากตรงไหน นั่นคือคนที่สามารถเอาม้าศึกสามหมื่นตัวออกมาจากแคว้นฉีได้เชียวนะ!
รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเฟิ่งหลิงปอ เขาเร่งเดินไปที่ศาลาริมน้ำ ประสานมือเอ่ยกับเหมิงซานหมิงว่า “แม่ทัพเหมิง ได้ท่านมาคอยช่วยกำหนดรูปการณ์ของมณฑลหนานโจวให้มั่นคง นับเป็นวาสนาของผู้เยาว์ วันหน้าคงต้องขอคำชี้แนะจากแม่ทัพเหมิงอีกมาก”
เหมิงซานหมิงพยักหน้านิดๆ “ท่านผู้ว่าการให้เกียรติกันเกินไปแล้ว ข้าย่อมต้องพยายามอย่างเต็มกำลัง!”
“ดี!” เฟิ่งหลิงปอเองก็ไม่ว่างพอจะมาเสียเวลาอยู่ที่นี่ได้ เขาเอ่ยอย่างสุภาพว่า “ผู้เยาว์ยังมีธุระยิบย่อยอีกมาก ขอตัวลาก่อน หากท่านแม่ทัพเหมิงต้องการสิ่งใด ก็สามารถสั่งการลูกน้องได้เต็มที่”
เหมิงซานหมิงตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ท่านผู้ว่าการไม่จำเป็นต้องสนใจข้าหรอก รีบไปเถิด!”
เฟิ่งหลิงปอจึงจากไป แต่พอเดินไปถึงหน้าประตูวงเดือน เขาก็เหลียวมองชายชราบนรถเข็นข้างศาลาริมน้ำอีกครั้ง ดวงตาฉายแววมีเลสนัย จากนั้นสาวเท้าเดินผ่านออกไปนอกประตูวงเดือน
“หลัวอัน เจ้ากลัวตายหรือไม่?” เหมิงซานหมิงที่จ้องมองมัจฉาแหวกว่ายในวารีพลันเอ่ยถามเสียงเรียบ
หลัวอันฉีกยิ้มเอ่ยไปว่า “ท่านแม่ทัพ ข้ามาจากกององครักษ์เลิศล้ำห้าวหาญนะขอรับ ยามที่ต้องเข้าสู่สนามรบ ตัวข้าหลัวอันเคยหวาดกลัวความตายตั้งแต่เมื่อไรกัน?”
น้ำเสียงของเหมิงซานหมิงไม่ดัง ทว่าชัดถ้อยชัดคำ “ลูกชายของเจ้าคงโตไม่น้อยแล้วใช่ไหม?”
หลัวอันหัวเราะแหะๆ เอ่ยตอบว่า “คนโตอายุสิบสอง คนเล็กเจ็ดขวบขอรับ” ว่าจบก็โคลงศีรษะคล้ายจะค่อนข้างเขินอาย เอ่ยออกมาอย่างกระอักกระอ่วนเล็กน้อยว่า “ท่านแม่ทัพ ภรรยาข้าบอกว่ารอให้เจ้าคนโตโตกว่านี้อีกหน่อยอยากจะเชิญท่านแม่ทัพไปช่วยอบรมสั่งสอนขอรับ”
เหมิงซานหมิงที่นั่งบนรถเข็นยิ้มจางๆ “ภรรยาเจ้าไม่อยากให้ลูกชายเข้ากองทัพ นี่เป็นความคิดของเจ้ามากกว่ากระมัง?”
“แหะๆ ก็เหมือนกันนั่นแหละขอรับ” หลัวอันยิ้มแห้งๆ ค่อนข้างกระอักกระอ่วน นี่เป็นความคิดส่วนตัวของเขาจริงๆ
เหมิงซานหมิงหันไปมองเขา ยื่นมือไปด้านหลัง ตบหลังมือเขาเบาๆ “ภรรยาเจ้าเคยบอกว่าอยากให้บุตรชายของเจ้าได้ศึกษาเล่าเรียนกับหลานรั่วถิง นางเอ่ยปากแล้ว เสี่ยวหลานไม่มีทางปฏิเสธแน่ ทำตามความเห็นของนางเถิด ให้บุตรชายของบ้านเจ้าติดตามท่านอ๋องไปก่อน ท่านอ๋องจะช่วยดูแลพวกเขาเป็นอย่างดีแน่นอน เจ้าวางใจได้!”
หลัวอันซึมไปเล็กน้อย แต่ด้วยการตบหลังมือเบาๆ ของเหมิงซานหมิง ทำให้เขาไม่ได้เอ่ยโต้แย้งอันใดเช่นกัน
เหมิงซานหมิงหันกลับมาเอนหลังพิงพนักเก้าอี้แล้วหลับตาลง ฝ่ามือตบลงบนพนักวางแขนเบาๆ เสียงฮัมเพลงที่มีท่วงทำนองซับซ้อนค่อยๆ แว่วออกมาจากปาก ร่างกายที่ซูบผอมดูอ้างว้าง
…………………………………………………….