ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า - ตอนที่ 428 เกิดปัญหาต่อเนื่อง
ตอนที่ 428 เกิดปัญหาต่อเนื่อง
หลัวอันมองตามทิศทางของวิหคไป เอ่ยขึ้นว่า “ท่านแม่ทัพ ดูเหมือนจะเป็นคนจากในวังพ่ะย่ะค่ะ”
ถึงแม้จะมองไม่ชัดว่าคนที่ยืนอยู่บนหลังวิหคเป็นใคร แต่ก็มองเห็นชุดตัวในสีแดงเลือดหมูแลบออกมาจากผ้าคลุมกันลม ดูคุ้นตานัก
แต่ก่อนเขาก็เคยติดตามอยู่ข้างกายซางเจี้ยนสยงเช่นกัน เคยเห็นชุดแต่งกายของคนในวังอยู่บ่อยครั้ง นับว่าคุ้นเคยดี
เหมิงซานหมิงอายุมากแล้ว สายตาดีไม่เท่าเขา จึงมองเห็นไม่ชัดเจน หลังจากได้ฟังก็มีสีหน้าใคร่ครวญ ไม่รู้ว่าคนจากในวังมาทำอะไรที่นี่ในเวลานี้
……
วิหคยักษ์เพิ่งร่อนลงบนที่ว่างผืนหนึ่งภายในเมือง ศิษย์สำนักหยกสวรรค์สิบกว่าคนก็ทะยานมุ่งหน้าเข้ามา
ก่าเหมี่ยวสุ่ยที่สวมชุดข้าราชบริพารในวังกระโดดลงสู่พื้น สะบัดผ้าคลุมกันลม ผ้าคลุมสะบัดตามฝีเท้าของเขา ไม่ได้สนใจเหล่าศิษย์สำนักหยกสวรรค์ที่จ้องเขม็งอยู่แม้แต่น้อย เดินอาดๆ มุ่งตรงไปด้านหน้า
องครักษ์สองคนที่กระโดดลงมาติดตามอยู่สองฝั่งซ้ายขวา ส่วนวิหคยักษ์กระพือปีกขึ้นสู่ฟ้าไป
ศิษย์สำนักหยกสวรรค์ตามประกบอยู่สองฝั่ง ทั้งหมดมุ่งหน้าไปยังศาลาว่าการ
เฟิ่งหลิงปอที่อยู่ในศาลาว่าการได้รับแจ้งข่าว เขาไม่ได้ออกไปนอกประตูใหญ่ หากแต่ยืนรออยู่ในลานด้านในของประตูใหญ่ เหล่าศิษย์สำนักหยกสวรรค์คอยเฝ้าระวังอยู่รอบข้างทั้งในทางลับและทางแจ้ง
เฟิ่งหลิงปอเองก็แปลกใจเช่นกัน ก่าเหมี่ยวสุ่ยมาทำไม? แม้แต่ราชสำนักก็ยังทำอะไรทางนี้ไม่ได้ คิดจะหาเรื่องใส่ตัวหรือ?
ไม่ว่าอย่างไรหนานโจวก็ยังเป็นมณฑลในแคว้นเยี่ยน เขาเองก็ยังเป็นขุนนางของแคว้นเยี่ยน คนจากราชสำนักมาเยือน ในสถานการณ์ที่ไม่มีความจำเป็นก็ยังต้องพบหน้ากันอยู่ อีกทั้งเขาเองก็อยากเห็นเหมือนกันว่าจู่ๆ อีกฝ่ายมาเยือนด้วยเหตุใด
มีเสียงฝีเท้าแว่วมาจากด้านนอก ก่าเหมี่ยวสุ่ยที่สวมหมวกขุนนางตามฉบับขันทีค่อยๆ โผล่หน้าขึ้นมาจากด้านหลังขั้นบันไดนอกประตู มีเสื้อคลุมกันลมโบกสะบัดอยู่ด้านหลัง เดินเข้ามาด้วยท่วงท่าสง่างาม ชุดตัวในสีแดงเลือดหมูแลบออกมาจากใต้เสื้อคลุมกันลมเป็นครั้งคราว
เขาเองก็ไม่ได้กลัวเลยว่าพวกตนที่มาที่นี่ด้วยจำนวนเพียงน้อยนิดจะมีอันตรายอะไร เว้นแต่ทางนี้จะอยากก่อกบฏอย่างเปิดเผย มิเช่นนั้นก็ไม่มีใครกล้าแตะต้องเขา
ก่อนหน้าที่ห้าจังหวัดตอนล่างจะบุกเข้าโจมตีหนานโจว พวกเขายังรู้จักที่จะโยนความผิดใส่หัวโจวโส่วเสียน กล่าวอ้างว่าการบุกโจมตีครั้งนี้เป็นการปราบขุนนางกังฉิน การที่หาข้ออ้างมากล่าวอ้างเช่นนี้ก็เท่ากับว่าทางนี้ยังไม่กล้าก่อกบฏ
สุดท้ายเจ้าบ้านและแขกก็ยืนประจันหน้า สบสายตากัน
เฟิ่งหลิงปอค่อยๆ ยิ้มขึ้นมา ประสานมือเอ่ยไปว่า “หัวหน้าผู้ดูแลราชยานให้เกียรติมาเยือน ไม่ได้ออกไปต้อนรับด้วยตัวเอง ขออภัยด้วย!”
ก่าเหมี่ยวสุ่ยไม่พูดให้มากความ สะบัดเสื้อคลุมกันลม เผยให้เห็นราชโองการฉบับหนึ่ง “มีราชโองการจากฝ่าบาท ไปเชิญยงผิงจวิ้นอ๋องซางเฉาจงออกมารับราชโองการเดี๋ยวนี้”
เฟิ่งหลิงปอผงะไปเล็กน้อย จากนั้นก็ยิ้มแล้วเอ่ยว่า “ยงผิงจวิ้นอ๋องออกไปลาดตระเวน เกรงว่าคงไม่อาจมารับราชโองการได้ในเวลานี้!”
แต่สำหรับก่าเหมี่ยวสุ่ยแล้ว เรื่องนี้หาได้สำคัญไม่ เรื่องที่ซางเฉาจงถูกควบคุมตัวไว้อยู่ในความคาดหมายแต่แรกแล้ว เขาเพียงต้องแสดงราชโองการต่อทางนี้ให้ได้ก็พอ เขาเอ่ยเสียงเย็นชา “ตอนนี้เป็นผู้ใดดูแลที่นี่อยู่?”
เฟิ่งหลิงปอเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ผู้น้อยรับหน้าที่ดูแลชั่วคราว”
ก่าเหมี่ยวสุ่ยกล่าวว่า “ในเมื่อยงผิงจวิ้นอ๋องไม่อยู่ เช่นนั้นผู้ว่าเฟิ่งโปรดเป็นตัวแทนรับราชโองการด้วยแล้วกัน”
เฟิ่งหลิงปอแสร้งยิ้มแล้วเอ่ยไปว่า “มันจะไม่ขัดต่อกฎระเบียบหรือ?”
ก่าเหมี่ยวสุ่ยไม่สนใจเขา กางราชโองการออกทันที ประกาศราชโองการต่อหน้าทุกคน…
เมื่อก่าเหมี่ยวสุ่ยประกาศราชโองการเสร็จก็ไม่เสียเวลาอยู่อีก หันหลังเดินจากไป
สีหน้าเฟิ่งหลิงปอหมองคล้ำลง สายตาที่แฝงด้วยเจตนาสังหารมองตามก่าเหมี่ยวสุ่ยไป แม้แต่การพูดส่งแขกตามมารยาทก็ไม่มี
“หลิงปอ นี่มันเรื่องอะไรกัน?” เผิงอวี้หลานที่อยู่ด้านข้างเอ่ยถาม
“ยังจะมีเรื่องอะไรได้อีก ก็แค่พวกสารเลว คิดจะทำให้เกิดความขัดแย้งขึ้นในหนานโจวเพื่อรอฉวยโอกาส! พวกคนถ่อยในราชสำนักไม่มีความสามารถอื่นแล้ว ถนัดแต่ใช้วิธีการเช่นนี้ แคว้นเยี่ยนต้องล่มลงด้วยน้ำมือคนพวกนี้เนี่ยแหละ!” เฟิ่งหลิงปอแค่นหัวเราะพลางกางราชโองการออกดู หลังจากอ่านจบก็ปาลงพื้นเสียงดัง ‘ผัวะ’ จากนั้นยกเท้าเหยียบขยี้
เจตนาในการเหยียบนี้แสดงให้เห็นชัดเจนแล้วว่าเขาไม่เห็นราชโองการฉบับนี้อยู่ในสายตาเลย และเขาก็ไม่มีทางยกผลประโยชน์ที่ได้มาถึงมือแล้วให้คนอื่นไปเพียงเพราะราชโองการฉบับนี้ด้วย สำหรับเขาแล้ว ราชโองการนี้เป็นเพียงเรื่องน่าขบขันเท่านั้น
แต่ในใจของเขาทราบดี ในเมื่อราชสำนักจงใจทำเช่นนี้ อย่างนั้นเรื่องนี้ก็ไม่มีทางจบลงง่ายๆ ที่ราชโองการเพียงฉบับเดียวแน่นอน
ยังไม่ต้องพูดเรื่องอื่นเลย ทันทีที่ไพร่พลสองแสนนายของซางเฉาจงทราบว่าซางเฉาจงได้รับตำแหน่งผู้ว่าการมณฑล แต่เขากลับออกมากุมอำนาจแทน ไพร่พลของซางเฉาจงจะคิดอย่างไรกับเรื่องนี้? เพื่อผลประโยชน์ของฝ่ายตนเองคนพวกนั้นจะก่อเรื่องเพื่อขอความชัดเจนแน่นอน จากนั้นสถานการณ์ภายในมณฑลหนานโจวย่อมต้องเกิดความวุ่นวายขึ้น พอถึงเวลานั้นเขาคงต้านไม่ไหว
……
ข้างลำธารใต้หน้าผา รองเท้าปักลายงามประณีตคู่หนึ่งวางอย่างเป็นระเบียบ ก่วนฟางอี๋ที่นั่งอยู่บนโขดหินแช่สองเท้างามในลำธารใสกระจ่าง พลางตีเท้าไปมา ท่วงท่าทรงเสน่ห์เย้ายวนใจ
หนิวโหย่วเต้าเดินกลับไปกลับมาอยู่ข้างลำธาร กำลังเก็บหินกรวดอยู่ ก่วนฟางอี๋หันไปมองเขาเป็นระยะ ด้วยสัญชาตญาณของนางแล้ว นางรับรู้ได้ว่าหนิวโหย่วเต้าใจไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัว ไม่รู้ว่ากำลังคิดแผนร้ายอันใดอยู่อีก
แต่ก็มีเรื่องหนึ่งที่นางเข้าใจดี เรื่องของมณฑลหนานโจวในครั้งนี้เกี่ยวพันถึงผลประโยชน์ของคนมากมาย รวมถึงกลุ่มคนจากสวนไม้เลื้อยของนางด้วยว่าภายหน้าจะสามารถตั้งตัวในมณฑลหนานโจวได้หรือไม่ ถึงแม้ท่าทีของเต้าเหยี่ยผู้นี้จะสงบเยือกเย็นแค่ไหน เกรงว่าภายในใจเขาคงจะไม่ได้ผ่อนคลายถึงขนาดนั้น ดังนั้นนางจึงอยู่เงียบๆ ด้วยเช่นกัน ไม่ได้เข้าไปรบกวนการใช้ความคิดของหนิวโหย่วเต้า
กงซุนปู้เหินลงมาจากบนหน้าผา ร่อนลงมาอยู่ข้างกายหนิวโหย่วเต้า รายงานว่า “เต้าเหยี่ย ทางเมืองหลวงมีการปล่อยข่าวแล้วขอรับ กล่าวกันว่าราชสำนักต้องการแต่งตั้งท่านอ๋องเป็นผู้ว่าการมณฑลหนานโจว”
“ดี ราชสำนักลงมือแล้ว” หนิวโหย่วเต้ายิ้มออกมาเล็กน้อย ก่อนหน้านี้เขายังกังวลอยู่ว่าทางราชสำนักจะระแวงจนไม่ยินยอมปฏิบัติตามแผนของเขา เพราะถึงอย่างไรเขาก็ยืนอยู่ฝ่ายเดียวกับซางเฉาจง ตอนนี้ในที่สุดก็ได้รับข่าวที่เฝ้ารอ
เขาถอนหายใจเล็กน้อยด้วยความโล่งอก หันหน้าปาหินก้อนหนึ่งที่อยู่ในมือออกไป ก้อนหินตกลงตรงหน้าของก่วนฟางอี๋ น้ำกระเซ็นมาโดนใบหน้าของนาง
ก่วนฟางอี๋หันมาแยกเขี้ยวด่าทันที “อยากตายหรือ?”
หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “ส่งข่าวไปหาเหล่าปาที่อยู่ทางมณฑลจินโจว ให้กำลังพลทางจินโจวเร่งรวมตัว ตั้งท่าเตรียมออกไปโจมตีมณฑลหนานโจว”
….
ณ จุดพักม้า ปีกทองตัวหนึ่งโฉบเข้ามาในช่วงพลบค่ำ
จดหมายลับฉบับหนึ่งถูกส่งมาจากเมืองหลวง ถูกส่งต่อไปถึงมือผู้อาวุโสสำนักหยกสวรรค์อย่างรวดเร็ว
เหล่าผู้อาวุโสสำนักหยกสวรรค์มารวมตัวกันอยู่ภายในห้องห้องหนึ่ง เวียนกันอ่านจดหมายลับ หลังจากอ่านจบแต่ละคนมีสีหน้าเคร่งเครียด
จู่ๆ ทางเมืองหลวงแคว้นเยี่ยนก็มีข่าวลือแพร่สะพัดไปทั่วเมืองหลวง บอกว่าราชสำนักแต่งตั้งซางเฉาจงเป็นผู้ว่าการมณฑลหนานโจวแล้ว ก่อให้เกิดความปั่นป่วนขึ้นไม่น้อย อีกทั้งราชสำนักก็ไม่ได้ออกมาปฏิเสธข่าวลือดังกล่าวด้วย
เรื่องนี้ผิดปกติอย่างเห็นได้ชัด หากว่าเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นจริงๆ ล่ะก็ ทางมณฑลหนานโจวก็อย่าได้หวังว่าจะได้อยู่กันอย่างอิสระเลย
ในขณะที่ทั้งกลุ่มกำลังใช้ความคิดอยู่ ด้านนอกก็มีปีกทองบินเข้ามาอีกตัว มีจดหมายลับส่งมาอีกฉบับแล้ว
เป็นจดหมายจากเฟิ่งหลิงปอ
พอเผิงโย่วไจ้อ่านจดหมายจบก็มีสีหน้าตึงเครียด มองดูดวงอาทิตย์อัสดงด้านนอกหน้าต่าง
เหล่าผู้อาวุโสที่อยู่ด้านหลังผลัดกันอ่านจดหมายฉบับนั้น เนื้อความในจดหมายเป็นการยืนยันข่าวจากทางเมืองหลวงแล้วว่าเป็นความจริง เฟิ่งหลิงปอได้รับราชโองการจากราชสำนักแล้ว ประกาศแต่งตั้งซางเฉาจงเป็นผู้ว่าการมณฑลหนานโจวอย่างเป็นทางการ!
“ราชสำนักมีเจตนาแอบแฝง เห็นได้ชัดว่าต้องการทำให้หนานโจววุ่นวายเพื่อรอฉวยโอกาส!”
“ทางเมืองหลวงตั้งใจปล่อยข่าวลือออกมา คงกลัวว่าข่าวจะครึกโครมไม่มากพอ ไม่ช้าก็เร็วข่าวต้องแพร่ไปถึงหูไพร่พลของซางเฉาจงแน่นอน ย่อมไม่อาจปิดข่าวจากไพร่พลถึงสองแสนนายได้ เจ้าสำนัก จะลังเลต่อไปไม่ได้แล้ว จำเป็นต้องรีบลงมือ จะปล่อยให้ไพร่พลสองแสนนายนั้นก่อปัญหาไม่ได้!”
“ลงมือ? จะลงมืออย่างไร? นี่มันไพร่พลสองแสนคนนะ หาใช่ผักกาดขาวสองแสนหัวไม่ เจ้าบอกว่าจะฆ่าก็ฆ่าทิ้งทั้งหมดได้เลยอย่างนั้นหรือ? ต่อให้จะกวาดล้างทั้งหมดมันก็ไม่ใช่เรื่องที่สามารถทำในระยะเวลาสั้นๆ ได้”
“เช่นนั้นเราก็กำจัดซางเฉาจงทิ้งก่อน คนตายไปแล้ว ก็ให้พวกเขาไปแต่งตั้งวิญญาณแทนแล้วกัน”
“กำจัดเขา? หากว่าทางจินโจวต้องการโจมตีขึ้นมาจริงๆ จะทำอย่างไร?”
“เรื่องนี้ไม่มีทางเป็นไปได้ จินโจวไม่มีทางโจมตีทางฝั่งนี้”艾琳小說
เหล่าผู้อาวุโสสำนักหยกสวรรค์โต้แย้งถกเถียงกัน ไม่อาจหาวิธีจัดการที่เหมาะสมได้ สุดท้ายก็มีคนหันไปเอ่ยกับเผิงโย่วไจ้ที่ยืนหันหลังอยู่ตรงหน้าต่าง “เจ้าสำนัก ท่านตัดสินใจเถิดขอรับ”
เผิงโย่วไจ้ค่อยๆ หันกลับมา จ้องมองไปที่เฉินถิงซิ่ว “การตรวจสอบคนของจุดพักม้าพบพิรุธใดบ้างหรือไม่?”
เฉินถิงซิ่วตอบว่า “ยังอยู่ระหว่างสอบสวนขอรับ ตอนนี้ยังไม่พบพิรุธใดๆ เจ้าสำนัก เรื่องนี้สามารถตรวจสอบไปพลางๆ ได้ แต่เรื่องการแต่งตั้งจากทางราชสำนักจำเป็นต้องหาวิธีรับมือให้ได้ก่อน มิเช่นนั้นจะเกิดปัญหาตามมาไม่รู้จบขอรับ”
เผิงโย่วไจ้เดินกลับมา “หากสองเรื่องนี้ไม่มีความเกี่ยวข้องกันก็ยังพอว่า กลัวก็แต่ว่าสองเรื่องนี้มันจะเกี่ยวข้องกันน่ะสิ”
เฉินถิงซิ่วถาม “หรือเจ้าสำนักสงสัยว่าเรื่องของราชสำนักในครั้งนี้ก็เป็นฝีมือของหนิวโหย่วเต้าเช่นกัน?”
เผิงโย่วไจ้เงียบไป ก้มหน้าลงเล็กน้อย มองดูพื้นด้านล่าง เขาสงสัยอยู่จริงๆ ว่าจะเป็นเล่ห์กลของหนิวโหย่วเต้า เป้าหมายน่าสงสัยที่ต้องคอยระแวงอยู่ตลอดมักจะทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะคิดเชื่อมโยงไปถึงอีกฝ่ายก่อนเป็นอันดับแรก
ตอนนี้เขาค่อนข้างสงสัย มีความเป็นไปได้สูงว่าหนิวโหย่วเต้าที่หายตัวไปอย่างเงียบๆ จะลงมือแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นคือตอนยังไม่เกิดเรื่องยังพอว่า แต่พอเกิดเรื่องขึ้นก็มีเรื่องปรากฏขึ้นมาพร้อมกัน นี่เป็นเรื่องบังเอิญอย่างนั้นหรือ?
เฉินถิงซิ่วเอ่ยเสริมอีกประโยคว่า “เขาจะมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจของราชสำนักได้หรือขอรับ?”
“จินโจว รอข่าวที่แน่ชัดจากทางจินโจวก่อน!” เผิงโย่วไจ้เงยหน้าขึ้นแล้วกล่าวประโยคหนึ่ง คำพูดของเฉินถิงซิ่วเตือนสติเขา ตอนนี้เขาไม่เพียงแต่กังวลว่าหนิวโหย่วเต้าจะมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจของราชสำนักเท่านั้น แต่เขายังกังวลว่าอีกฝ่ายจะมีอิทธิพลต่อทางมณฑลจินโจวด้วยดฮณ๊ฯดฯฌซ,
…..
รุ่งเช้าวันต่อมา ปีกทองตัวหนึ่งร่อนฝ่าแสงอรุณเข้ามา ข่าวจากมณฑลจินโจวมาแล้ว
เรื่องที่เผิงโย่วไจ้กังวลได้เกิดขึ้นแล้ว ทางมณฑลจินโจวเกิดความผิดปกติขึ้นจริงๆ หลังจากสายสืบทางฝั่งนั้นได้รับข่าวจากทางนี้ก็รีบดำเนินการตรวจสอบทันที ผลคือพบว่าเมื่อหลายวันก่อน ทางมณฑลจินโจวมีการเรียกระดมกำลังอย่างเงียบๆ
“ทำไมถึงเป็นแบบนี้ไปได้?”
“หรือว่าทางจินโจวจะสมองกลับจริงๆ ถึงได้มาโจมตีหนานโจว?”
เมื่อเหล่าผู้อาวุโสสำนักหยกสวรรค์ได้อ่านจดหมายก็พากันแตกตื่น ข่าวนี้ทำให้จิตใจของทุกคนตึงเครียดขึ้นมาในทันที
เผิงโย่วไจ้ที่มีสีหน้าคร่ำเคร่งนิ่งเงียบอยู่ท่ามกลางเสียงโวยวายจอแจ จู่ๆ ก็เอ่ยเสียงเข้มว่า “ส่งข่าวไปสอบถามวังสวรรค์หมื่นวิมานเดี๋ยวนี้ว่าสถานการณ์เป็นอย่างไรกันแน่!”
หลังจากส่งข่าวออกไป ผลสุดท้ายก็ไม่ได้รับคำตอบใดๆ จากทางวังสวรรค์หมื่นวิมาน ติดต่อสอบถามไปหลายครั้งก็ไม่มีประโยชน์อะไร วังสวรรค์หมื่นวิมานไม่เคยตอบกลับมาเลย เรื่องนี้ผิดปกติเป็นอย่างยิ่ง
กลับเป็นสายข่าวของทางมณฑลจินโจวที่ส่งข่าวกลับมาอีกครั้ง จู่ๆ มณฑลจินโจวก็เร่งระดมกำลังทหารขึ้นมา จากที่เคยระดมพลเงียบๆ ก็กลายเป็นเรียกระดมพลอย่างเปิดเผย ยิ่งไปกว่านั้นคือกองทัพใหญ่มุ่งหน้าไปรวมตัวกันที่เขตพรมแดนระหว่างมณฑลจินโจวและมณฑลหนานโจว ไม่ทราบเจตนาที่แน่ชัด…
ขบวนม้าสิบกว่าตัวควบทะยานออกจากจุดพักม้า
“เผิงโย่วไจ้ไปแล้วหรือ? จะไปไหนกัน?”
หลานรั่วถิงที่ยืนอยู่ตรงหน้าต่างเอ่ยด้วยความแปลกใจ
ซางเฉาจงที่อยู่ด้านข้างก็มองเห็นแล้วเช่นกัน เห็นกับตาว่าเผิงโย่วไจ้พาคนสิบกว่าคนขึ้นม้าจากไปอย่างเร่งร้อน ทิ้งกลุ่มคนที่อยู่ทางนี้ไว้แล้วจากไปก่อน
พวกเขาหารู้ไม่ว่าเผิงโย่วไจ้กำลังรีบร้อนพาคนมุ่งหน้าไปยังวังสวรรค์หมื่นวิมานทางฝั่งมณฑลจินโจวด้วยตัวเอง ด้วยต้องการไปพบวังสวรรค์หมื่นวิมานเพื่อสอบถามให้ชัดเจน ถ้าไม่สอบถามให้ชัดเจนว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ล่ะก็ ความรู้สึกอึดอัดนั้นมันยากจะทนรับไหวจริง เพราะเรื่องราวมันเกี่ยวพันถึงความเป็นความตายของทั้งสำนักหยกสวรรค์
ก๊อกๆๆ! พลันมีเสียงเคาะประตูแว่วมาจากด้านนอก
ประตูเปิดออก ไป๋เหยาเดินเข้ามาแจ้งให้ทราบว่า “ท่านอ๋อง โปรดเก็บสัมภาระ เตรียมตัวออกเดินทางพ่ะย่ะค่ะ”
ทางนี้ก็กำลังอกสั่นขวัญแขวนอยู่เช่นกัน หลานรั่วถิงเอ่ยถามทันที “ไปไหน?”
ไป๋เหยาตอบ “กลับไปที่เมืองซั่งผิง!”
กลับไปหาเฟิ่งหลิงปอหรือ? ทั้งสามคนในห้องสบตากัน หลานรั่วถิงถามต่อ “ทำไมถึงกลับไปที่นั่น?”
ไป๋เหยาตอบว่า “ไม่รู้! อย่ามัวชักช้าเลย” สื่อว่าให้เร่งเก็บของโดยเร็ว จากนั้นก็หันหลังจากไปโดยไม่พูดอะไรอีก
เขาไม่มีคุณสมบัติพอจะได้เข้าร่วมการหารือของเหล่าผู้อาวุโส จึงไม่รู้ว่าตอนนี้สำนักหยกสวรรค์ต้องเตรียมตัวรับมือสองทาง ทางหนึ่งคือเจ้าสำนักอย่างเผิงโย่วไจ้นำกำลังคนมุ่งหน้าไปเจรจาที่วังสวรรค์หมื่นวิมานด้วยตัวเอง อีกทางหนึ่งก็ต้องเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับเหตุฉุกเฉิน หากว่ามณฑลจินโจวบุกเข้าโจมตีจริงๆ ทางนี้ทำได้เพียงต้องตอบโต้กลับไปเพื่อป้องกันตัวเท่านั้น!
ถึงแม้เขาจะไม่ทราบแน่ชัดว่าเกิดเรื่องใดขึ้น แต่เขาก็มองออกว่าสีหน้าของเหล่าผู้อาวุโสสำนักหยกสวรรค์ล้วนไม่สู้ดีทั้งสิ้น จะต้องเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแล้วแน่นอน
……………………………………………………