ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า - ตอนที่ 430 จำเป็นต้องตั้งกฎเกณฑ์นี้ขึ้นสำหรับพวกเขา!
ตอนที่ 430 จำเป็นต้องตั้งกฎเกณฑ์นี้ขึ้นสำหรับพวกเขา!
เหตุผลนี้ทำให้มุมปากของเผิงโย่วไจ้กระตุกขึ้นมาเล็กน้อย เขาเอ่ยเนิบๆ ว่า “ข้าไม่สนใจเรื่องรักใคร่ชายหญิงอันใดของไห่หรูเยวี่ย ซือถูซยง ข้าเพียงอยากทราบว่าการที่จินโจวระดมทัพใหญ่ไปรวมตัวที่ชายแดนหนานโจวมันหมายความว่าอย่างไร?”
ซือถูเย่ายกไห่หรูเยวี่ยมาอ้างอีกครั้ง “ก็อย่างที่ข้ากล่าวไปเมื่อครู่ ไห่หรูเยวี่ยไม่ยอมทนเห็นซางเฉาจงได้รับความอยุติธรรม การเรียกระดมทัพใหญ่เป็นความประสงค์ของไห่หรูเยวี่ย”
ถึงแม้ตัวเขาจะทราบดีว่าข้ออ้างนี้ฟังดูปัญญาอ่อน แต่มันก็ช่วยไม่ได้จริงๆ ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องหาข้ออ้างสักอย่างมาให้ได้ มิเช่นนั้นจะให้เขาพูดอย่างไรเล่า? จะให้บอกเผิงโย่วไจ้ไปว่า ‘ถูกต้อง วังสรรค์หมื่นวิมานของข้าอยากโจมตีเจ้า’ อย่างนั้นหรือ?
หากกล่าวไปเช่นนี้จริงๆ มันก็ออกจะข่มเหงกันเกินไปหน่อย เป็นใครก็ต้องโมโหทั้งสิ้น ไม่จำเป็นต้องบีบให้อีกฝ่ายกลายเป็นสุนัขจนตรอกเลย อีกทั้งนี่ก็มิใช่จุดประสงค์ของทางนี้ด้วย
เผิงโย่วไจ้กล่าวว่า “ซือถูซยงกำลังจะบอกว่าไห่หรูเยวี่ยต้องการระดมกำลังพลของจินโจวเข้าโจมตีหนานโจวของข้า เพื่อทวงความเป็นธรรมให้ซางเฉาจงอย่างนั้นหรือ?”
ซือถูเย่าเอ่ยว่า “สุนัขที่เห่ามักไม่กัด ส่วนสุนัขที่กัดมักจะไม่เห่า สตรีนางนี้เรียกระดมกำลังครั้งนี้อย่างเงียบๆ มีความเป็นไปได้สูงที่จะก่อเรื่องวุ่นวายขึ้นมาจริงๆ สตรีเนี่ยน้า มักจะชอบใช้อารมณ์นำหน้าเสมอ”
เผิงโย่วไจ้กล่าวว่า “หากข้าตีความไม่ผิดล่ะก็ ซือถูซยงกำลังจะบอกข้าว่าวังสวรรค์หมื่นวิมานควบคุมไห่หรูเยวี่ยไม่อยู่แล้ว แล้วก็จะนั่งเฉยปล่อยให้ไห่หรูเยวี่ยทำลายพันธมิตรระหว่างพวกเราสองฝ่ายอย่างนั้นหรือ?”
ซือถูเย่ากล่าวว่า “จะพูดแบบนั้นก็ไม่ถูก อันที่จริงยังพอหลีกเลี่ยงสถานการณ์ได้อยู่”
เผิงโย่วไจ้เอ่ยว่า “ข้าเดินทางมาด้วยตัวเอง มาพร้อมกับความจริงใจ หากสามารถแก้ไขปัญหาได้ย่อมเป็นเรื่องน่ายินดี เช่นนั้นข้าขอฟังความเห็นดีๆ จากซือถูซยงหน่อยแล้วกัน”
ซือถูเย่ากล่าวว่า “ข้าคิดว่าเผิงซยงคงทราบเจตนาที่ราชสำนักแต่งตั้งซางเฉาจงเป็นผู้ว่าการมณฑลหนานโจวแน่นอน ที่ทำเช่นนี้ก็เพื่อให้เกิดความขัดแย้งขึ้นภายในมณฑลหนานโจว เพื่อปูทางสำหรับยึดหนานโจวกลับไปในภายหลัง ดังนั้น ข้าเองก็ไม่มีความเห็นดีๆ อันใด อันที่จริงปัญหานี้แก้ได้ไม่ยาก ก็แค่ยกหน้าที่ปกครองมณฑลหนานโจวให้ซางเฉาจงไป ปัญหาทุกอย่างก็คลี่คลายแล้ว เมื่อถึงเวลานั้นไห่หรูเยวี่ยก็จะถอนทัพ มณฑลหนานโจวก็จะหลีกเลี่ยงความกระอักกระอ่วนฐานขัดราชโองการอย่างเปิดเผย แล้วก็จะคลี่คลายแผนร้ายของทางราชสำนักไปได้ด้วย ส่วนมณฑลหนานโจวก็ยังเป็นของสำนักหยกสวรรค์อยู่ ทางข้าก็ไม่จำเป็นต้องกังวลอีกว่ามณฑลหนานโจวจะเกิดการปะทะกับราชสำนักแคว้นเยี่ยนขึ้นมาอีก จัดการเพียงเรื่องเดียวแต่ได้ประโยชน์หลายทาง เป็นประโยชน์ต่อพวกเราสองฝ่าย นี่ก็ขึ้นอยู่กับสำนักหยกสวรรค์แล้วว่าจะยอมละวางความยึดติดหรือไม่ เผิงซยง ให้เฟิ่งหลิงปอปกครองมณฑลหนานโจวแล้วมีปัญหาตามมามากมายขนาดนี้ มันคุ้มกันแล้วหรือ?”
เผิงโย่วไจ้เอ่ยว่า “ความหวังดีของซือถูซยง แซ่เผิงขอรับไว้ด้วยใจ แต่เรื่องภายในสำนักหยกสวรรค์ สำนักหยกสวรรค์ย่อมจัดการกันเองได้ ตอนนี้ปัญหาอยู่ที่ทางฝั่งจินโจว จินโจวกำลังจะบุกโจมตีหนานโจวของข้า วังสวรรค์หมื่นวิมานโปรดควบคุมไห่หรูเยวี่ยคนนั้นเอาไว้ให้ดีด้วย!”
อันที่จริงเขารู้แก่ใจดี หากไม่ได้รับความเห็นชอบจากวังสวรรค์หมื่นวิมาน ไห่หรูเยวี่ยไม่มีทางทำเช่นนี้ได้ เพียงแต่ไม่อาจพูดออกไปตรงๆ ได้ จำเป็นต้องอดทนเอาไว้
ซือถูเย่ากล่าวว่า “เผิงซยง ความลำบากใจของข้า ท่านก็ต้องเข้าใจเหมือนกันนะ ตระกูลเซียวปักหลักอยู่ในจินโจวมานาน อำนาจและอิทธิพลหยั่งรากฝังลึก สตรีนางนี้ยืนกรานจะใช้อารมณ์ตัดสินเรื่องราว หากฝืนบังคับขึ้นมา จิวโจวของข้าอาจจะเกิดความวุ่นวายขึ้นง่ายๆ ได้เช่นกัน”
เผิงโย่วไจ้เอ่ยไปว่า “ซือถูซยง ท่านเคยใคร่ครวญถึงผลลัพธ์ที่จะตามมาหลังจากพวกเราสองมณฑลเปิดศึกกันหรือไม่? ทางข้าไม่ขอเอ่ยถึงแล้วกัน แต่ทางจินโจว ฮ่องเต้ไห่อู๋จี๋ต้องฉวยโอกาสเข้าโจมตีแน่นอน ผลลัพธ์ที่จะตามมานั้น วังสวรรค์หมื่นวิมานไม่มีทางแบกรับไหว!”
ซือถูเย่าก้มหน้าหลุบตาลงแล้วกล่าวว่า “เผิงซยง ปมปัญหาวุ่นวายมาจากซางเฉาจง ยกมณฑลหนานโจวให้ซางเฉาจงดูแลเถอะ!”
เผิงโย่วไจ้ถาม “ท่านไม่รู้สึกว่าการตัดสินใจที่วังสวรรค์หมื่นวิมานแสดงออกมามันไร้สาระจนน่าขบขันบ้างหรือ?”
ซือถูเย่ายืนกรานไม่เปลี่ยนความคิด ยังคงยืนยันประโยคเดิม “มอบหนานโจวให้เขาไปเถอะ!”
เผิงโย่วไจ้จ้องมองเขา ซือถูเย่าเงียบงันไม่เปล่งเสียง ทั้งสองเงียบงันอยู่ใต้เดือนดาราอยู่พักใหญ่
“ไอ้สารเลวหนิวโหย่วเต้าคนนั้นมันใช้ลูกไม้อะไรกันแน่ ถึงได้ทำให้วังสวรรค์หมื่นวิมานเลือกทำเช่นนี้โดยไม่คำนึงถึงความเสียหายที่จะตามมาเลย?” จู่ๆ เผิงโย่วไจ้ก็เอ่ยประโยคนี้ขึ้นมา เขาไม่เข้าใจจริงๆ ว่าเหตุใดวังสวรรค์หมื่นวิมานถึงทำเช่นนี้ เขาจึงนึกเชื่อมโยงไปถึงหนิวโหย่วเต้าก่อนเป็นอันดับแรก
อันที่จริงตั้งแต่ตอนที่เขาได้รับแจ้งว่าทางมณฑลจินโจวระดมกำลังทหาร เขาก็นึกสงสัยในตัวหนิวโหย่วเต้าแล้ว จะไม่ให้สงสัยเลยคงเป็นไปไม่ได้ จดหมายที่ซางเฉาจงมอบให้เขาฉบับนั้นคือหลักฐานยืนยัน
แต่ซือถูเย่าไม่มีทางยอมบอกความจริงกับเขา แล้วก็ไม่สามารถบอกความจริงกับเขาได้ ไม่เพียงแต่บอกไม่ได้เท่านั้น ยังต้องปกปิดเอาไว้ด้วย เรื่องบางอย่างไม่อาจปล่อยให้คนนอกทราบเรื่องได้ เขาเอ่ยเนิบๆ ว่า “หนิวโหย่วเต้าหรือ? อยู่ดีๆ ไยจึงโยงไปหาหนิวโหย่วเต้าได้เล่า? ท่านคิดมากไปแล้ว เรื่องนี้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับหนิวโหย่วเต้าเลย!”
….
บนหน้าผาที่ตั้งอยู่ท่ามกลางขุนเขา หนิวโหย่วเต้าปล่อยผมสยายคลุมบ่า นั่งขัดสมาธิหันหน้าเข้าหาพระอาทิตย์ที่กำลังโผล่ขึ้นมา
ชายกระโปรงโบกสะบัด ก่วนฟางอี๋ทะยานลงมา เดินไปหยุดข้างกายหนิวโหย่วเต้า เอ่ยขึ้นว่า “เหล่าปาส่งข่าวมาแล้ว เผิงโย่วไจ้ไม่ได้รั้งอยู่ที่วังสวรรค์หมื่นวิมานนานนัก จากไปภายในคืนนั้นเลย”
สีหน้าหนิวโหย่วเต้าสงบราบเรียบ เอ่ยเนิบๆ ขึ้นมาทั้งที่หลับตาอยู่ “การเจรจาเป็นอย่างไรบ้าง?”
ก่วนฟางอี๋ตอบว่า “เจ้าเดินหมากเหนือกว่า เผิงโย่วไจ้กลับไปมือเปล่า!”
ยามที่เอ่ยประโยคนี้ออกมา นางมองไปที่หนิวโหย่วเต้าพลางกะพริบตาปริบๆ ดวงตาฉายแววสับสน
นางสงสัยมากจริงๆ ไม่รู้ว่าคนผู้นี้ใช้วิธีการใดถึงสามารถบังคับให้วังสวรรค์หมื่นวิมานอนุญาตให้จินโจวเคลื่อนกำลังพลได้ ต่อให้นางจะไม่รู้เรื่องเพียงใด นางก็ยังรู้ว่าเรื่องการเมืองและการทหารของมณฑลจินโจวอยู่ในความรับผิดชอบของไห่หรูเยวี่ย จับตัวเซียวเทียนเจิ้นมาเพียงคนเดียวไม่มีทางข่มขู่วังสวรรค์หมื่นวิมานได้ ยิ่งไปกว่านั้นคือทำให้วังสวรรค์หมื่นวิมานยอมเผชิญหน้ากับแรงกดดันและความเสี่ยงที่จะสูญเสียผลประโยชน์มากมายขนาดนั้นได้
แต่ไม่ว่านางจะถามอย่างไร หนิวโหน่วเต้าไม่ก็ยอมบอกสาเหตุต่อนาง
“เออใช่ ไห่หรูเยวี่ยฝากข้อความมาทางเหล่าปา บอกว่าหากเจ้ากล้าแตะต้องบุตรชายนางแม้แต่ปลายนิ้ว นางจะไม่ยอมปล่อยเจ้าแน่!” ก่วนฟางอี๋เอ่ยเสริมขึ้นมาอีกประโยค
หนิวโหย่วเต้าไม่สนใจคำพูดนี้เลย เอ่ยเนิบๆ ว่า “แจ้งไปหาเฟ่ยฉางหลิว เจิ้งจิ่วเซียวและเซี่ยฮวา ให้พวกเขานำศิษย์หัวกะทิในสำนักเร่งเดินทางไปหาซางเฉาจงที่เมืองซั่งผิงเพื่อคุ้มกัน!”
ก่วนฟางอี๋ตะลึงไปเล็กน้อย “เมืองซั่งผิงมียอดฝีมือของสำนักหยกสวรรค์อยู่มากมาย หากสำนักหยกสวรรค์ไม่จนตรอกจริงๆ พวกเขาย่อมไม่มีทางแตะต้องซางเฉาจง หากต้องการปองร้ายซางเฉาจงจริงๆ ต่อให้พวกเขาตามไปที่นั่นก็ปกป้องไว้ไม่ได้ พวกเขาเองก็ยังไม่รู้ถึงสถานการณ์ในตอนนี้ เจ้าให้พวกเขาตามไปปกป้องตอนนี้ นั่นเท่ากับเป็นการบีบให้พวกเขาเลือกข้างอย่างไม่ต้องสงสัย แบบนี้มิใช่จงใจสร้างความลำบากให้ให้พวกเขาหรอกหรือ? ในเมื่อก่อนหน้านี้เจ้ายอมปล่อยไปแล้ว เหตุใดตอนนี้ต้องไปสร้างปัญหาให้พวกเขาอีก จะเป็นคนดีทั้งทีก็ต้องเป็นให้ถึงที่สุดมิใช่หรือ?”
หนิวโหย่วเต้าที่หลับตาอยู่เอ่ยเสียงเรียบ “มีกลยุทธ์หนึ่งที่เรียกว่าแสร้งปล่อยเพื่อจับ เวลาใดสมควรปล่อย เวลาใดสมควรมัดไว้ข้ารู้แก่ใจดี เมื่อถึงเวลาที่ต้องกดดันก็จำเป็นต้องกดดัน หรือว่าต้องปล่อยให้สามสำนักอยู่ร่วมกลมเกลียวกับสำนักหยกสวรรค์ไปตลอด? เจ้าคิดว่าแบบนั้นมันดีแล้วหรือ? พวกเขาต้องเข้าใจแน่นอน ภายในหนานโจว อำนาจที่จะต่อรองกับสำนักหยกสวรรค์ไม่ได้อยู่ในมือพวกเขา พวกเขาทำได้เพียงต้องยืนอยู่ด้านหลังข้าเท่านั้น ก่อนหน้านี้ไปติดต่อกับสำนักหยกสวรรค์ลับหลังข้า ข้าไม่ถือสาหาความได้ แต่ขอเพียงเป็นคำพูดของข้า พวกเขาจำเป็นต้องปฏิบัติตาม จำเป็นต้องตั้งกฎเกณฑ์นี้ขึ้นมาสำหรับพวกเขา!”
ก่วนฟางอี๋ใคร่ครวญตาม ก่อนจะเอ่ยเตือนว่า “สำนักหยกสวรรค์แข็งแกร่ง พวกเขาไม่ทราบเหตุผลที่แฝงในเรื่องราว ก่อนที่เรื่องราวจะปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจน เกรงว่าพวกเขาคงไม่มีทางเชื่อฟังเจ้า หากพวกเขาไม่ยอมทำตามที่เจ้าบอกจะทำอย่างไร? เจ้าถ่ายทอดคำสั่งนี้ออกไป มิเท่ากับตัดทางถอยของตัวเองทิ้งหรอกหรือ?”
หนิวโหย่วเต้าตอบว่า “หากไม่ยอมเชื่อฟัง เช่นนั้นก็แปลว่าหลายปีมานี้ข้าจัดการเรื่องราวไม่ถูกจุด อิทธิพลที่มีต่อพวกเขายังไม่มากพอ เป็นความผิดของข้า หาใช่พวกเขาไม่ เพียงแต่พวกเขาเปลี่ยนแลงผลลัพธ์ไม่ได้แล้ว เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ไม่ว่าการแบ่งปันผลประโยชน์ที่พวกเขาตกลงเอาไว้กับสำนักหยกสวรรค์จะเกิดขึ้นจริงหรือไม่ พวกเขาก็ต้องมาถามความเห็นข้าก่อนว่ายินยอมหรือไม่ พวกเขาจะได้อยู่ในหนานโจวต่อหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับความต้องการของข้า หากข้าต้องการไล่พวกเขาออกไป ก็ไม่มีใครในหนานโจวจะคุ้มกะลาหัวพวกเขาได้ พวกเขาจะต้องมาขอร้องข้าแน่นอน”
ก่วนฟางอี๋เข้าใจอะไรขึ้นมาแล้ว สีหน้าบูดบึ้งขึ้นมาเล็กน้อย เอ่ยเสียดสีว่า “ตอนแรกข้าหลงนึกว่าเจ้าช่างใจกว้างนักที่ยอมปล่อยให้สามสำนักเป็นอิสระ ที่แท้ก็ซ้อนแผนดักพวกเขาไว้ล่วงหน้าแล้ว อายุยังน้อย แต่เจ้าเล่ห์ขนาดนี้ ข้าชักรู้สึกกลัวขึ้นมาแล้วสิเนี่ย ข้าขอถามเจ้าหน่อย หากวันไหนข้าอยากไปจากเจ้าขึ้นมา เจ้าจะทำกับข้าแบบนี้ด้วยหรือเปล่า?”
หนิวโหย่วเต้าตอบอย่างสบายๆ ว่า “ผู้ที่ควรไปย่อมรั้งไม่อยู่ ผู้สมควรอยู่ย่อมไม่จากไป ข้าไม่มีทางขวางเจ้า เจ้าตัดสินใจได้เองเลยว่าจะอยู่หรือไป ขอเพียงตัวเจ้าไม่นึกเสียใจภายหลังก็พอ”
ก่วนฟางอี๋ถ่มน้ำลายไปทีหนึ่ง “พูดก็เหมือนไม่ได้พูดเลย”
….
ริมฝั่งแม่น้ำ เฟ่ยฉางหลิวและเจิ้งจิ่วเซียวกำลังยืนมองกระแสน้ำไหลซัดสาด ต่างนิ่งเงียบไม่พูดอะไร
เงาร่างคนผู้หนึ่งเหินทะยานเข้ามา เซี่ยฮวามาถึงเป็นคนสุดท้าย ร่อนลงใกล้ๆ คนทั้งสอง เดินเข้ามายืนเรียงแถวต่อจากทั้งสองคน
“เจ้าสำนักเซี่ยปล่อยให้พวกเราคอยเสียนาน” เจิ้งจิ่วเซียวเอ่ยเรียบๆ ประโยคหนึ่ง หันไปมองนางเล็กน้อย
“เฮ้อ!” เซี่ยฮวาอดถอนหายใจไม่ได้
เฟ่ยฉางหลิงถาม “ไยจึงถอนหายใจเล่า?”
เซี่ยฮวาตอบว่า “ไยต้องแสร้งถามทั้งที่รู้ เรียกข้ามาพบหน้าก็แปลว่าในใจไม่มีความมั่นใจมิใช่หรือ”
ทั้งสามคนรวมถึงศิษย์ของสามสำนักถูกสำนักหยกสวรรค์จับแยกให้ไปประจำอยู่ตามพื้นที่ต่างๆ ในมณฑลหนานโจว ช่วยกองทัพในแต่ละพื้นที่ควบคุมมณฑลหนานโจวเอาไว้艾琳小說
เฟ่ยฉางหลิวเอ่ยว่า “ไพร่พลของซางเฉาจงถูกแบ่งแยกเพื่อควบคุม ดูจากสถานการณ์แล้ว เกรงว่าสำนักหยกสวรรค์คงต้องการลงมือกับซางเฉาจงจริงๆ ไม่รู้เหมือนกันว่าจะยอมไว้ชีวิตซางเฉาจงหรือไม่”
เซี่ยฮวาแค่นเสียงเหอะ “พวกท่านกังวลกับเรื่องนี้ด้วยหรือ? กำลังลังเลอยู่กระมังว่าควรจะเลือกฝั่งไหนดี?”
เจิ้งจิ่วเซียวเอ่ยว่า “หนิวโหย่วเต้าไปอยู่ที่ไหน? กำลังทำอะไรอยู่? นี่มันจะเงียบเกินไปหน่อยแล้ว เขาจะเอารากฐานที่สร้างขึ้นมาอย่างยากลำบากมอบให้ผู้อื่นไปจริงๆ น่ะหรือ? แล้วที่ราชสำนักแต่งตั้งซางเฉาจงเป็นผู้ว่าการมณฑลมันหมายความว่าอย่างไร? เพียงแค่ยุแยงให้ร้าวฉานภายในหรือ? เรื่องนี้จะเกี่ยวข้องกับหนิวโหย่วเต้าด้วยหรือเปล่า?”
ภายในบริเวณนั้นเงียบสงัดไปพักใหญ่ มีเพียงเสียงลมและเสียงคลื่น
ตอนนี้พวกเขากำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออก แต่อันที่จริงมันก็ไม่ถึงกับกลืนไม่เข้าคายไม่ออกอะไร เพราะพวกเขาได้แจ้งเรื่องที่จะปฏิบัติตามคำสั่งของสำนักหยกสวรรค์ต่อหนิวโหย่วเต้าไว้ก่อนแล้ว หนิวโหย่วเต้าเองก็มิได้ขัดขวาง แล้วก็เห็นด้วยแล้ว เพียงแต่ยามนี้สำนักหยกสวรรค์เผยเจตนาที่แท้จริงออกมาแล้ว หากรากฐานของหนิวโหย่วเต้าถูกทำลายลงจริงๆ วันหน้าหนิวโหย่วเต้าก็จะไม่มีที่ยืนในมณฑลหนานโจวอีกต่อไป หนิวโหย่วเต้าจะยอมกล้ำกลืนโทสะนี้ได้หรือ?
หนิวโหย่วเต้าเห็นด้วยที่พวกเขาจะร่วมมือกับสำนักหยกสวรรค์เพื่อไขว้คว้าผลประโยชน์ในมณฑลหนานโจว แต่ไม่มีทางเห็นด้วยหากพวกเขาจะไปแตะต้องผลประโยชน์ของตัวหนิวโหย่วเต้า หากยังให้ความร่วมมือกับสำนักหยกสวรรค์ต่อไปเช่นนี้ล่ะก็ แบบนั้นเท่ากับเป็นการแตกหักกับหนิวโหย่วเต้าแล้ว
เรื่องบางอย่างพวกเขาเองก็คาดการณ์เอาไว้ล่วงหน้าแล้ว รู้ดีว่าสุดท้ายผลลัพธ์อาจจะกลายเป็นเช่นนี้ แต่พวกเขาก็ต้องคิดเผื่อผลประโยชน์ของสำนักตนเองเอาไว้ด้วย พวกเขาอยากจะค่อยๆ ตัดสินใจไปตามสถานการณ์
ว่ากันตามตรงแล้ว พวกเขาก็อยากเห็นสำนักหยกสวรรค์จัดการหนิวโหย่วเต้าในระหว่างนี้เช่นกัน แต่ใครจะไปรู้ว่าภายหลังสำนักหยกสวรรค์กลับมาถามพวกเขาว่ารู้หรือไม่ว่าหนิวโหย่วเต้าไปไหน?
สำนักหยกสวรรค์ทำพลาด หนิวโหย่วเต้าหายตัวไปแล้วอย่างนั้นหรือ?
หลังจากได้ทราบข่าวนี้ พวกเขาก็สับสนวุ่นวาย เมื่อมาถึงขั้นนี้ก็ยิ่งกระสับกระส่ายร้อนรนว่าควรจะร่วมมือกับสำนักหยกสวรรค์ต่อไปหรือไม่?
ที่สำคัญคือหนิวโหย่วเต้าคนนั้นมิใช่คนที่จะไปหาเรื่องได้ง่ายๆ ประสบการณ์ในหลายปีมานี้ทำให้พวกเขาไม่กล้าหุนหันพลันแล่น
เซี่ยฮวาเอ่ยด้วยรอยยิ้มขมขื่น “ไม่รู้ว่าเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไรกัน คิดไม่ถึงว่าพวกเราสามสำนักจะกริ่งเกรงหนิวโหย่วเต้าถึงเพียงนี้ พวกท่านว่าเราควรจะทำอย่างไรดี?”
…………………………………………………………………….