ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า - ตอนที่ 434 ลงมือ
ตอนที่ 434 ลงมือ
ขบวนม้าหลายร้อยตัวค่อยๆ ใกล้เข้ามา ความเร็วก็ค่อยๆ ชะลอลง ก่อนจะหยุดนิ่งตรงจุดที่ห่างจากเมืองไปหลายสิบจั้ง ในที่สุดเหล่าศิษย์หัวกะทิของสามสำนักก็มาถึงแล้ว
ประตูเมืองปิดสนิท ไม่ว่าจะเป็นหน้าไม้จำนวนมากที่อยู่บนกำแพงเมือง หรือกลุ่มผู้บำเพ็ญเพียรสำนักหยกสวรรค์ เหล่าศิษย์สามสำนักที่อยู่นอกเมืองล้วนมองเห็นหมดแล้ว
เฟ่ยฉางหลิว เซี่ยฮวาและเจิ้งจิ่วเซียวที่เรียงแถวกันอยู่ด้านหน้าสบตากันเล็กน้อย ไม่มีทีท่าว่าจะรีบร้อนเข้าเมือง
พวกเขาไม่มีทางเปิดศึกกับสำนักหยกสวรรค์เพื่อไปพบซางเฉาจง หากว่าสู้แล้วชนะก็อาจจะทำ แต่ประเด็นสำคัญคือต่อให้ศิษย์สามสำนักร่วมมือกันก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของสำนักหยกสวรรค์
การมาในครั้งนี้ของสามสำนัก มาเพื่อตอบสนองต่อคำสั่งของทางหนิวโหย่วเต้าเท่านั้น มาตามทีหนิวโหย่วเต้าบอก ถ้าสำนักหยกสวรรค์อนุญาตให้พวกเขาได้พบซางเฉาจง พวกเขาก็จะพบ หากว่าไม่ยอมให้พบก็จะไม่พบ ไม่มีทางฝืนเด็ดขาด
หากหลังจากนี้ทางหนิวโหย่วเต้าถามขึ้นมา ฝั่งนี้ก็ตอบว่าเพราะสำนักหยกสวรรค์ขัดขวาง กำลังของพวกเขามีจำกัด ถึงอยากพบก็เข้าไปพบไม่ได้ มิใช่เพราะพวกเราไม่เชื่อฟังเจ้า
หนิวโหย่วเต้าใช้ให้พวกเรามา พวกเราก็ยอมมาตามคำสั่ง สำนักหยกสวรรค์ไม่ให้พวกเราเข้าพบ พวกเราก็ยอมเชื่อฟังเช่นกัน
สรุปแล้วคือไม่อยากล่วงเกินทั้งสองฝ่าย
นี่คือแผนรับมือที่เฟ่ยฉางหลิว เซี่ยฮวาและเจิ้งจิ่วเซียวหารือกันไว้
นับตั้งแต่ที่หนิวโหย่วเต้าส่งข่าวมากดดันพวกเขาอย่างกะทันหัน พวกเขาก็ตระหนักได้ว่าหนิวโหย่วเต้าจะลงมือแล้ว ต้องการปะทะแตกหักกับสำนักหยกสวรรค์ ก่อนที่จะได้เห็นผลแพ้ชนะอย่างชัดเจน พวกเขาไม่มีทางเอนเอียงเข้าหาฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งง่ายๆ
ไม่ใช่ว่าพวกเขาอยากทำตัวเป็นต้นหญ้าริมกำแพงที่ไหวลู่ตามแรงลม แต่ไม่ว่าจะเป็นสำนักหยกสวรรค์หรือหนิวโหย่วเต้า พวกเขาล้วนไม่อยากล่วงเกินทั้งคู่จริงๆ ทั้งหวั่นเกรงต่ออิทธิพลของฝ่ายแรก แล้วก็หวาดหวั่นในความสามารถของฝ่ายหลัง ติดอยู่ตรงกลางระหว่างทั้งสองฝ่าย ทำให้ลำบากใจอย่างมากจริงๆ
และนี่ก็คือชะตาอันน่าเศร้าของสำนักขนาดเล็กอย่างพวกเขาที่ต้องคอยพึ่งพาผู้อื่น เพื่อความอยู่รอด บางครั้งก็ต้องทำตัวไร้ศักดิ์ศรีบ้าง
…..
โซ่วเหนียนเข้าไปเอ่ยแจ้งในห้องก่อน แล้วจึงออกมาเอ่ยกับเฟิ่งรั่วหนานที่รออยู่หน้าประตูว่า “คุณหนู ฮูหยินรอท่านอยู่ด้านในขอรับ” พลางผายมือเชิญ ส่วนตัวเขาก็ขอตัวออกไปก่อน
เฟิ่งรั่วหนานยกเท้าก้าวข้ามธรณีประตู เดินเข้าไปในห้อง ตรงมุมหนึ่งภายในห้องที่อยู่ด้านหลังม่านลูกปัดที่ไหวแกว่งไกว นางมองเห็นเงาร่างของผู้เป็นมารดาที่ยืนรออยู่ในห้อง
“รั่วหนาน เข้ามาสิ” น้ำเสียงของเผิงอวี้หลานอ่อนโยนเจือความรักความเอ็นดู
เฟิ่งรั่วหนานเดินมาที่หน้าม่านลูกปัด ยกสองมือแหวกม่านแล้วเดินผ่านเข้าไป สบสายตากับผู้เป็นมารดา
สีหน้าของเฟิ่งรั่วหนานซูบเซียวอย่างเห็นได้ชัด เผิงอวี้หลานใจหายวาบขึ้นมา นี่ยังใช่บุตรีผู้องอาจหาญกล้าคนนั้นของนางอยู่หรือไม่? เหตุใดถึงว้าเหว่ หม่นหมองและซูบเซียวถึงเพียงนี้
นางรู้สึกโทษตัวเองขึ้นมาในทันใด แต่ไม่นานนักก็โยนความผิดไปให้ซางเฉาจงอย่างรวดเร็ว
ออกจากเมืองซั่งผิงไปดีๆ ก็ดีอยู่แล้ว ทางนี้พยายามอย่างเต็มที่แล้วที่จะปกป้องพวกเจ้าสามีภรรยาให้ปลอดภัย วันหน้าสามารถให้ชีวิตที่สงบปลอดภัย ห่างไกลจากการต่อสู้แย่งชิงได้ อยู่สุขสบายไร้กังวลมิใช่เรื่องดีที่สุดหรอกหรือ? ไยถึงไม่ยอมแพ้ ไยต้องกลับมาแย่งชิงตำแหน่งอีก? ไม่เพียงแต่ทำลายชีวิตตัวเองเท่านั้น แต่ยังมาทำลายชีวิตของลูกสาวข้าด้วย!
เฟิ่งรั่วหนานมองมารดาเงียบๆ ไม่พูดไม่จา
“สีหน้าไม่ดีเลย พักผ่อนไม่เพียงพอหรือ?” เผิงอวี้หลานเดินเข้ามา ยื่นสองมือประคองใบหน้าของบุตรสาว เอ่ยถามด้วยความรักใคร่
เฟิ่งรั่วหนานยกมือขึ้น แกะสองมือที่เปี่ยมรักของมารดาออก “บิดามารดาข้าทำกับข้าเช่นนี้ สามีของข้าขุ่นเคืองข้าเพราะเหตุนี้ ข้าจะยังพักผ่อนได้อีกหรือ? ท่านแม่ ท่านรู้หรือไม่ว่าความรู้สึกที่หนึ่งวันยาวนานเหมือนหนึ่งปีมันเป็นเช่นไร?”
เผิงอวี้หลานฝืนยิ้มออกมา “รั่วหนาน เจ้าคิดมากไปเองกระมัง?”
เฟิ่งรั่วหนานกล่าวว่า “ข้ามิใช่คุณหนูผู้ดีที่ถูกขังให้อยู่แต่ภายในเรือน ถึงจะไม่รู้เรื่องราวในโลกภายนอกว่าเป็นอย่างไร ข้ารู้ทุกอย่างดี พวกท่านกำลังทำอะไรพวกท่านย่อมรู้อยู่แก่ใจ บิดามารดาและสามีข้าแย่งชิงสิ่งใดอยู่ข้ารู้ดี เป็นเพราะอยู่ในโลกอันโกลาหลวุ่นวายข้าพอจะเข้าใจได้ แต่สิ่งที่ข้าไม่เข้าใจคือพวกท่านเป็นบิดามารดาข้านะเจ้าคะ เหตุใดถึงทำกับข้าเช่นนี้?”艾琳小說
เผิงอวี้หลานเอ่ยว่า “ในเมื่อเจ้ารู้ เช่นนั้นแม่ก็จะไม่อธิบายแล้ว สามีของเจ้าใช้ตระกูลเฟิ่งของเราเป็นหินรองเท้า ซ้ำยังมายึดอำนาจในจังหวัดกว่างอี้ไปจากตระกูลเฟิ่งอีก เขาเริ่มก่อน พวกเราสนองคืนเป็นเท่าตัว ไม่มีใครโทษใครได้”
เฟิ่งรั่วหนานส่ายหน้าเอ่ยด้วยความโศกเศร้า “เขายึดอำนาจจังหวัดกว่างอี้ไป แต่เคยทำร้ายผู้ใดในตระกูลเฟิ่งหรือ? ไม่ว่าจะเป็นเพราะเห็นแก่เป็นญาติเกี่ยวดอง หรือเป็นเพราะเห็นแก่หน้าสำนักหยกสวรรค์ เขาก็ไม่ได้แตะต้องใครในตระกูลเฟิ่งเลย ไม่ว่าจะเบื้องบนหรือเบื้องล่าง ข้านึกว่าพอพวกท่านได้ชัยชนะแล้วจะปฏิบัติต่อเขาเหมือนที่เขาปฏิบัติต่อตระกูลเฟิ่ง เขาไม่ล่วงเกินตระกูลเฟิ่ง ตระกูลเฟิ่งไม่ล่วงเกินเขา อย่างน้อยทุกคนก็อยู่กันอย่างสงบได้ ดังนั้นข้าจึงนิ่งเงียบไม่ปริปาก แต่เหตุใดพวกท่านถึงต้องการสังหารเหมิงซานหมิงเล่า? ท่านอย่าได้พูดเชียวนะว่าไม่รู้ถึงความผูกพันและสายใยระหว่างเหมิงซานหมิงกับพวกเขาสองพี่น้อง ท่านอย่าได้พูดเชียวนะว่าที่พวกท่านรั้งตัวเหมิงซานหมิงไว้ ไม่ได้มีเจตนาจะสังหารเขา หากพวกท่านสังหารเหมิงซานหมิง สำหรับพวกเขาสองพี่น้องแล้วนับเป็นความแค้นเทียบได้กับการสังหารบิดา พวกเขาจะจัดการข้าอย่างไร พวกท่านเคยคิดบ้างหรือไม่?”
พอเอ่ยมาถึงตรงนี้ น้ำตานางก็ร่วงพรูลงมาไม่ขาดสาย
“อย่าร้อง แม่เข้าใจถึงความทุกข์ของเจ้าแล้ว” ดวงตาเผิงอวี้หลานเองก็แดงเรื่อขึ้นมาแล้วเช่นกัน ถือผ้าเช็ดหน้าคอยเช็ดน้ำตาให้บุตรสาวพลางเอ่ยปลอบว่า “เจ้าเข้าใจผิดแล้ว เรื่องสังหารเหมิงซานหมิงมิใช่ความตั้งใจของพวกเรา เป็นความตั้งใจของสำนักหยกสวรรค์ พ่อกับแม่ก็ทำอะไรไม่ได้ เจ้าน่าจะเข้าใจดี”
เฟิ่งรั่วหนานถาม “เช่นนั้นตอนนี้เกิดอะไรขึ้นอีก? พาพวกเรากลับมากักบริเวณอีกเพราะอะไร? หรือว่าสำนักหยกสวรรค์เกิดเปลี่ยนใจขึ้นมา แม้แต่ซางเฉาจงก็ไม่ยอมปล่อยให้รอดเช่นกันหรือ?”
นางไม่ทราบถึงความเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์ด้านนอก นางเองก็ถูกปิดกั้นข่าวสารไว้เช่นกัน
ในเวลานี้เอง มีเสียงรายงานแว่วมาจากด้านนอก “ฮูหยิน นายท่านเรียนเชิญขอรับ!”
เผิงอวี้หลานที่คอยเงี่ยหูฟังอยู่ตลอดดวงตาพลันส่องประกาย อ้าแขนโอบกอดเฟิ่งรั่วหนานที่ร่ำไห้อยู่ เอ่ยปลอบว่า “เรื่องราวหาได้เป็นอย่างที่เจ้าคิดไม่ อีกไม่นานเรื่องก็จะจบลงแล้ว ต่อไปจะไม่ปล่อยให้เจ้าต้องลำบากแล้ว เดี๋ยวก็จบลงแล้วนะ”
มือที่ลูบไล้แผ่นหลังของเฟิ่งรั่วหนานอยู่เลื่อนขึ้นไปยังตำแหน่งท้ายทอยของเฟิ่งรั่วหนาน จากนั้นโคจรพลังจี้จุดตรงท้ายทอยเฟิ่งรั่วหนานในทันใด
เฟิ่งรั่วหนานที่ร้องห่มร้องไห้อยู่ดวงตาพลันเหลือกขึ้นไป หมดสติไปในอ้อมแขนของมารดาทันที
เผิงอวี้หลานพาตัวนางขึ้นไปวางไว้บนเตียง จัดท่าทางของนางให้เรียบร้อยแล้วเช็ดคราบน้ำตาบนใบหน้าของนาง เอ่ยไปว่า “รั่วหนาน ครั้งนี้ตระกูลเฟิ่งผิดต่อเจ้า แต่หลังจากนี้ไปเจ้าสบายใจได้ แม่จะไม่ปล่อยให้เจ้าได้รับความคับข้องหมองใจใดๆ อีก แม่ขอรับประกันกับเจ้าเลย ทุกอย่างกำลังจะจบแล้ว!”
ยามที่เลิกม่านลูกปัดจะออกไป นางเหลียวมองเฟิ่งรั่วหนานที่นอนบนเตียงอย่างสงบอีกครั้ง จากนั้นก็ปล่อยม่านลง พลางยกแขนเสื้อขึ้นซับน้ำตาที่เอ่อล้นออกมาจากดวงตาตน จัดแจงเสื้อผ้าเล็กน้อยแล้วรีบเดินออกไป
พอมาถึงโถงว่าการ เฟิ่งหลิงปอที่อยู่ในโถงก็รีบเดินเข้ามาหา กระซิบถาม “ทางรั่วหนานล่ะ?”
เผิงอวี้หลานพยักหน้าเล็กน้อย “จัดการเรียบร้อยแล้ว ไม่มีทางปล่อยให้นางเข้าไปเสี่ยงอันตรายกับทางนั้น”
“เช่นนั้นก็ดี” เฟิ่งหลิงปอวางใจ เอ่ยต่อไปว่า “คนของสามสำนักมาถึงแล้ว กำลังติดอยู่นอกเมือง ต้องลงมือทันที มีเวลาอยู่ไม่มาก ทางเจ้าต้องรีบลงมือโดยเร็ว!”
“ได้! ทันทีที่ได้ข่าวจากข้า พวกท่านก็ต้องลงมือโดยเร็วเช่นกัน”
“เจ้าวางใจเถอะ ฝั่งข้าเตรียมตัวพร้อมหมดแล้ว ขอเพียงได้รับข่าวจากเจ้าก็ลงมือให้สำเร็จได้ในม้วนเดียว!”
สองสามีภรรยาพบกันเพียงครู่เดียวก็รีบแยกย้ายกันไปอีกครั้ง เฟิ่งหลิงปอเรียกรวมตัวเฟิ่งรั่วอี้ เฟิ่งรั่วเจี๋ย เถาเหยี่ยนและหนงฉางกว่างมารวมตัวกันอีกครั้ง วางแผนกันในขั้นสุดท้าย
เผิงอวี้หลานที่ออกมาจากโถงว่าการมุ่งหน้าไปยังเรือนข้างเคียง ไปพบเฟิงเอินไท่
พอเห็นเผิงอวี้หลานเดินกระวีกระวาดเข้ามาอย่างเร่งร้อน เฟิงเอินไท่ที่ยืนอยู่ในศาลาจึงเอ่ยถาม “เหตุใดถึงดูร้อนรนขนาดนี้เล่า?”
เผิงอวี้หลานเอ่ยว่า “หลิงปอเพิ่งได้รับรายงานด่วนจากลูกน้องมาว่ามีคนของสามสำนักลอบปะปนเข้ามาอย่างลับๆ กลุ่มที่ประตูเมืองทิศใต้อาจจะเป็นเพียงตัวล่อความสนใจของสำนักหยกสวรรค์เท่านั้น ไม่ทราบเจตนาของสามสำนัก…”
ผ่านไปสักพักหนึ่ง เฟิงเอินไท่พาผู้บำเพ็ญเพียรกลุ่มใหญ่ออกไปอย่างรีบร้อนอีกครั้ง รีบพาคนไปวางกำลังป้องกันที่ประตูเมืองทิศเหนือและประตูเมืองทิศตะวันออก
เผิงอวี้หลานอ้างเรื่องปกป้องความปลอดภัยของเฟิ่งหลิงปอ ขอป้ายคำสั่งผู้อาวุโสจากเฟิ่งเอินไท่ไป เพื่อให้นางสามารถควบคุมสั่งการศิษย์สำนักหยกสวรรค์ที่เหลืออยู่ได้ เฟิงเอินไท่เองก็เชื่อว่านางจะทุ่มเทกำลังเพื่อปกป้องเฟิ่งหลิงปอจึงมอบป้ายคำสั่งให้โดยไม่สงสัยอะไรเลย
…..
ภายในเรือนที่อยู่ใกล้ๆ กัน ไป๋เหยาทะยานขึ้นไปบนหลังคา ทางนี้ก็รับรู้ถึงความเคลื่อนไหวจากทางฝั่งเฟิงเอินไท่แล้ว
เมื่อได้รับรายงานจากศิษย์ในสำนัก ไป๋เหยาจึงกระโดนขึ้นไปบนหลังคา เฝ้ามองพวกเฟิงเอินไท่จากไปด้วยสีหน้าสงสัย
ไม่นานนักเผิงอวี้หลานก็รีบมาหาทางนี้ ใช้ข้ออ้างเดียวกันหลอกลวงไป๋เหยา ไม่เพียงแต่เล่าถึงสถานการณ์เร่งด่วนเท่านั้น แต่ยังนำป้ายคำสั่งของเฟิงเอินไท่ออกมาสั่งการด้วย บอกว่าเป็นคำสั่งของเฟิงเอินไท่ ทำให้ไป๋เหยาไม่มีทางเลือก รีบเรียกระดมกำลังมุ่งหน้าไปป้องกันที่ประตูเมืองทิศตะวันตก
จากนั้น เผิงอวี้หลานก็ใช้ป้ายคำสั่งของเฟิงเอินไท่ออกคำสั่งต่อ เรียกระดมกำลังผู้บำเพ็ญเพียรที่เฝ้าอยู่ในเรือนทั้งสองแห่ง ก่อนจะพาออกไปโดยอ้างว่าพาออกไปลาดตระเวน รวมถึงพ่อบ้านโซ่วเหนียนด้วย เผิงอวี้หลานรู้ดีว่าความจริงแล้วพ่อบ้านคนนี้คือคนสนิทของบิดาตน
ระหว่างทาง มีบางคนถามด้วยความสงสัยว่าพวกเราออกมาเช่นนี้จะเกิดปัญหาขึ้นกับความปลอดภัยของเฟิ่งหลิงปอหรือไม่?
เผิงอวี้หลานนำป้ายคำสั่งออกมายับยั้ง ไม่ให้ถามมากไปกว่านี้ คอยจับตามองศิษย์สำนักหยกสวรรค์ด้วยตัวเอง ไม่อนุญาตให้ผู้ใดซักถาม
ด้วยเหตุนี้ ศิษย์สำนักหยกสวรรค์ทั้งหมดที่เฝ้าประจำการอยู่ในศูนย์กลางเมืองซั่งผิงจึงถูกเผิงอวี้หลานดึงตัวออกมาจนหมด…
“ลงมือ!”
เมื่อเฟิ่งหลิงปอที่อยู่ในศูนย์บัญชาการกลางออกคำสั่ง กองทหารส่วนหนึ่งภายในเมืองก็เคลื่อนขบวนทันที ทหารสี่กองเคลื่อนพลบีบเข้ามายังเรือนที่กักบริเวณซางเฉาจงไว้จากทั้งสี่ทิศทางดฮณ๊ฯดฯฌซ,
“หลีกไป!”
เฟิ่งรั่วอี้ที่นำขบวนทหารกองหนึ่งมาถึงปากถนนที่มีการตั้งรั้วหนามกั้นทางไว้แล้วออกคำสั่งกับนายกองรักษาการณ์ทันที
นายกองคนนั้นตกตะลึง “ท่านแม่ทัพ ผู้ว่าการมีคำสั่งว่าห้ามปล่อยให้ผู้ใดล่วงล้ำผ่านถนนสายนี้ไป เพื่อไม่ให้ไปรบกวนความสงบของเหล่าฝ่าซือขอรับ” เขาเหลือบมองไพร่พลด้านหลังเฟิ่งรั่วอี้อยู่หลายครั้งทันที พบว่ามีการติดอาวุธพรั่งพร้อม ทุกคนล้วนมีธนูมาด้วย
เฟิ่งรั่วอี้แสดงตราคำสั่งของเฟิ่งหลิงปอ เอ่ยเสียงกร้าว “เจ้าคิดจะขัดขืนคำสั่งหรือ?”
นายกองเหงื่อตก ประสานมือขานรับ “รับทราบ!” พลันหันไปโบกมือคราหนึ่ง ให้คนยกรั้วหนามออกเพื่อเปิดทาง
….
หยวนกังปีนขึ้นไปบนกำแพงอีกครั้ง มองเห็นผู้บำเพ็ญเพียรสองกลุ่มทยอยออกมาจากที่พักของเป้าหมายในเวลาไล่เลี่ยกัน พบว่ามุ่งหน้าไปในทิศทางที่ต่างกัน รู้สึกสงสัยขึ้นมาเล็กน้อยแล้วว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น
ประตูเรือนเปิดออก หยวนเฟิงที่แบกคานหาบเอาไว้วิ่งเข้ามาอีกครั้ง “ลูกพี่ กองทหารของเฟิ่งหลิงปอมีความเคลื่อนไหวผิดปกติขอรับ”
หยวนกังเพิ่งจะกระโดดลงมาจากกำแพง ประตูเรือนก็เปิดออกอีกครั้ง เป็นหนิวหลินที่แบกคานหาบวิ่งเข้ามา รายงานอย่างเร่งร้อน “กองทหารมีความเคลื่อนไหวผิดปกติขอรับ”
ไม่นานนัก หยวนหั่วและหนิวซานก็วิ่งเข้ามารายงานติดๆ กัน สถานการณ์เป็นแบบเดียวกัน
หยวนกังรีบเดินเข้าไปเรือน กางแผนที่ออกอย่างรวดเร็ว สอบถามทิศทางความเคลื่อนไหวของกองทหารจากทั้งสี่คน
หลังจากวาดเส้นทางอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดหยวนกังก็ใช้แท่งถ่านวาดวงกลมล้อมตำแหน่งที่กักบริเวณซางเฉาจงเอาไว้ เอ่ยด้วยสีหน้าตึงเครียดเป็นพิเศษว่า “ความกังวลของเต้าเหยี่ยถูกต้องแล้ว เฟิ่งหลิงปอกำลังจะลงมือกับท่านอ๋อง ทำตัวเป็นสุนัขจนตรอกจริงๆ ด้วย!”
…………………………………………………………………