ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า - ตอนที่ 437 สี่ตีนยังรู้พลาดนักปราชญ์ยังรู้พลั้ง
ตอนที่ 437 สี่ตีนยังรู้พลาดนักปราชญ์ยังรู้พลั้ง
สีหน้าโกรธเกรี้ยวของเหมิงซานหมิงทำให้ซางซูชิงค่อนข้างตกใจ ท่านลุงเหมิงในความทรงจำของนางสุขุมเยือกเย็นเสมอมา ไหนเลยจะเคยมีท่าทีเช่นนี้มาก่อน จึงอดไม่ได้ที่จะวิ่งเข้าไปหาพลางร้องเรียก “ท่านลุงเหมิง”
หลานรั่วถิงหันไปมอง พอเห็นว่าเป็นนางก็เผยสีหน้าดีใจออกมา เรื่องเกิดขึ้นกะทันหันไม่ทันได้จัดการอะไร กำลังกังวลอยู่พอดีว่าจะเกิดเหตุร้ายใดขึ้นกับท่านหญิงหรือไม่ พอเห็นว่ายังอยู่ดีย่อมคลายความห่วงกังวลลง
ซางเฉาจงหันไปมองตามเสียง เห็นว่าน้องสาวยังมีชีวิตอยู่ก็ไม่ได้พูดอะไรมากอีก มีเสียงทุบประตูดังมาจากด้านนอก เขาก็ไม่มีเวลามาถามไถ่ใส่ใจน้องสาวเช่นกัน รีบวิ่งไปช่วยองครักษ์กั้นประตูหน้าต่างทางด้านหนึ่งไว้
“สาวน้อย ไอ้พวกชาติชั่ว!” เหมิงซานหมิงเหลือบมองซางซูชิงเล็กน้อย เขาใช้สองมือดันพื้นคืบคลานไปอย่างรวดเร็ว สองแขนอันแก่ชราของเขายังมีกำลังอยู่ไม่น้อยเลย เพียงแต่สองขาพิการที่ลากไปกับพื้นดูเป็นตัวถ่วงอย่างเห็นได้ชัด
เขาไต่คลานไปถึงหน้าชั้นวางอาวุธที่ตั้งอยู่ด้านข้างอย่างรวดเร็ว เอื้อมคว้าทวนยาวเล่มหนึ่งมาถือไว้
ซางซูชิงตาแดงก่ำ น้ำตาร่วงรินทันที ยอดขุนพลคนหนึ่งกลับตกต่ำจนมาคืบคลานอยู่พื้นเช่นนี้เสียแล้ว นางรีบวิ่งเข้าไปหา ย่อตัวลงแล้วพยุงเขา “ท่านลุงเหมิง ให้เป็นหน้าที่ของพวกเราเถอะเจ้าค่ะ ท่านพักอยู่ด้านข้างก็พอ”
เหมิงซานหมิงมองเห็นลูกศรปักอยู่บนแผ่นหลังนาง จึงดึงแขนนางให้ขยับเข้ามาใกล้แล้วตรวจสอบดูเล็กน้อย เห็นว่าไม่โดนจุดสำคัญ จากนั้นจึงเอาคันทวนพาดขวางทับท้ายทอยซางซูชิงไว้แล้วออกแรงกดเล็กน้อย ทำให้ซางซูชิงจำเป็นต้องโน้มตัวก้มหัวลงไป
ครืด! เหมิงซานหมิงเอื้อมมือไปคว้ากระบี่เล่มหนึ่งที่วางอยู่บนชั้นวางอาวุธทางด้านข้างมา คมกระบี่ตวัดผ่านแผ่นหลังของซางซูชิงไป เคลื่อนผ่านเพียงแวบเดียว ลูกศรที่ปักอยู่ในสะบักหลังของซางซูชิงดอกนั้นถูกตัดออกจนแทบไม่เหลือตอ
หัวศรปักลึกมาก ตอนนี้ยังไม่อยู่ในสถานกาณณ์ที่จะรักษาได้ ไม่สะดวกจะฝืนถอนออกมา จึงทำได้เพียงจัดการเช่นนี้ไปก่อนชั่วคราว เหมิงซานหมิงมีประสบการณ์ในการรับมือกับสถานการณ์เช่นนี้ รู้ว่าสถานการณ์ไหนควรจัดการอย่างไรถึงจะดีที่สุด
ซางซูชิงเจ็บจนใบหน้าเหยเก แต่เหมิงซานหมิงลงมือรวดเร็ว ความเจ็บปวดนี้มาอย่างรวดเร็ว แล้วก็ทุเลาไปอย่างรวดเร็ว ยังไม่ทันได้รู้สึกถึงความเจ็บปวดอันรุนแรงอะไร ความเจ็บปวดนี้ก็ผ่านไปเสียแล้ว เหลือเพียงความปวดหนึบเป็นพักๆ
คันทวนที่กดท้ายทอยนางไว้ก็ถูกยกออก นางเงยหน้าขึ้น เหมิงซานหมิงยื่นกระบี่ในมือให้นาง “อย่าทำให้ชื่อเสียงบิดาของพระองค์ต้องเสื่อมเสีย หากเกิดอะไรขึ้นมา อย่าปล่อยให้ศัตรูหยามเกียรติได้!”
ซางซูชิงที่รับกระบี่ไปถือไว้เข้าใจความหมายของเขาดี กระบี่นี้ใช้ตอบโต้ศัตรูได้ แล้วก็ใช้ปลิดชีพตัวเองในช่วงเวลาวิกฤตได้ อีกฝ่ายกล่าวเช่นนี้ออกมาในช่วงเวลานี้ เห็นได้ชัดว่าไม่มีความหวังอะไรแล้ว
ซางซูชิงเอ่ยว่า “ท่านลุงเหมิง ท่านวางใจเถิดเจ้าค่ะ เต้าเหยี่ยต้องหาทางช่วยพวกเราได้แน่นอน”
เหมิงซานหมิงกวาดตามองนางด้วยแววตาเย็นชา อยู่ในสถานการณ์เช่นนี้แล้วยังจะเอ่ยถึงเต้าเหยี่ยอันใดอีก แต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไรออกไป ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาพูดเรื่องนี้ เขาวางมือยันพื้นคืบคลานออกไปอย่างรวดเร็วอีกครั้ง คลานมาจนถึงข้างหน้าต่างบานหนึ่งที่มีสิ่งของกั้นไว้เต็มไปหมด
ซางซูชิงถือกระบี่วิ่งตามเข้าไป ช่วยเฝ้าอยู่ที่หน้าต่างอีกทางหนึ่ง
“ท่านอ๋อง!” เหมิงซานหมิงเอ่ยเรียก ชี้นิ้วบอกพวกซางเฉาจง
ซางเฉาจงวิ่งไปหยิบดาบง้าวเล่มหนึ่งมาจากชั้นวางอาวุธ จากนั้นก็วิ่งกลับมาเฝ้าตรงหน้าต่างอีกบานหนึ่งเอาไว้
หลานรั่วถิงหยิบกระบี่มาห้อยเอวไว้ จากนั้นก็หยิบทวนยาวเล่มหนึ่งมาถือ เฝ้าอยู่ข้างๆ ซางเฉาจง
องครักษ์ทั้งห้านายก็วิ่งไปที่ชั้นวางอาวุธ เลือกอาวุธยาวมาถือเพิ่มไว้ มีคนหนึ่งถือทวนเฝ้าอยู่หน้าประตูหลักที่มีข้าวของวางกองกั้นไว้ ส่วนอีกสี่คนที่เหลือไปเฝ้าโถงด้านหลัง
เสียงทุบดังโครมครามอย่างรุนแรงดังต่อเนื่อง ข้าวของที่กองอยู่ถูกกระแทกจนเริ่มเคลื่อนตัวออกเรื่อยๆ
ด้านนอกห้องโถง พลขวานวิ่งเข้ามาเหวี่ยงขวานจามประตูดังโครมๆ บางคนถึงขนาดเหวี่ยงขวานจามผนังเลยด้วยซ้ำ
เมื่อตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าการป้องกันภายในห้องโถงคงสกัดไว้ได้อีกไม่นาน อีกสักพักคงถูกทำลายลง
โครม! ผนังด้านหนึ่งปรากฏช่องโหว่รูหนึ่ง ทหารคนหนึ่งพุ่งตัวเข้ามา
เหมิงซานหมิงที่เฝ้าอยู่ริมหน้าต่างหันไปมองด้วยสายตาเย็นชา ยกทวนในมือเหวี่ยงออกไปทางด้านหลังทันที
ผัวะ! ทหารที่ถูกฟาดเข้าที่หน้าผากจนเลือดอาบหน้าแหงนเซถอยหลังไป ชนกับร่างของคนที่พุ่งตามเข้ามา ในชั่วพริบตาที่คนด้านหลังเสียจังหวะ เหมิงซานหมิงก็ชักทวนกลับแล้วแทงออกไป คมทวนแทงเข้าที่ชายโครงด้านข้างทะลุโดนปอดของคนด้านหลัง เสียงร้องโหยหวนแว่วดังขึ้นมา
….
ตะวันแผดแสงจ้า ในร่มไม้ใต้พฤกษาเก่าแก่บนหน้าผา หนิวโหย่วเต้านั่งหลับตาทำสมาธิอย่างสงบ
ชายกระโปรงพลิ้วร่อนแตะหน้าผา ก่วนฟางอี๋เดินเข้ามาหยุดอยู่ข้างกายเขา “หอจันทร์กระจ่างตอบกลับมาแล้ว”
หนิวโหย่วเต้าเก็บลมปราณค่อยๆ ยกสองมือขึ้นแล้วปล่อยลง เอ่ยถามเนิบๆ ว่า “ทำไมถึงเพิ่งตอบเอาป่านนี้?”
ก่วนฟางอี๋กล่าวว่า “หลังจากทางหอจันทร์กระจ่างได้รับข่าวจากเจ้าก็รีบติดต่อไปทางเมืองซั่งผิงทันที ให้คนที่อยู่ในแถบนั้นตรวจสอบยืนยันอีกครั้ง บอกว่าเรื่องนี้ค่อนข้างลำบาก”
หนิวโหย่วเต้าถามต่อ “คงอยากจะต่อรองกับข้ากระมัง?”
ก่วนฟางอี๋ตอบว่า “เหตุผลที่ทางนั้นให้มาก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นการต่อรองไปเสียทั้งหมด หอจันทร์กระจ่างบอกว่าตอนนี้มีทหารเฝ้าอยู่ทั่วเมืองซั่งผิง มีผู้บำเพ็ญเพียรของสำนักหยกสวรรค์ชุมนุมอยู่เป็นจำนวนมาก ทั่วทั้งเมืองซั่งผิงตกอยู่ภายใต้การควบคุมของสำนักหยกสวรรค์และกองทหาร เรียกได้ว่ามีการตรวจคัดกรองทั่วทั้งเมืองซั่งผิงแล้ว ผู้บำเพ็ญเพียรทั้งหมดที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องล้วนถูกขับออกจากเมืองซั่งผิง”
“หอจันทร์กระจ่างบอกว่าเดิมทีในเมืองซั่งผิงมีคนของพวกเขาอยู่จริงๆ แต่ก็รู้เช่นกันว่าสถานการณ์เช่นนี้ย่อมไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ก่อนที่สถานการณ์จะมั่นคง เป็นเรื่องปกติที่ทางฝั่งผู้ยึดเมืองจะวางกำลังป้องกันไว้ ดังนั้นจึงทำการอพยพออกมาก่อนที่จะเกิดการตรวจสอบคัดกรองขึ้น ตอนนี้ในเมืองซั่งผิงไม่เหลือคนของพวกเขาแล้ว หลังจากที่ได้รับคำไหว้วานจากเจ้า พวกเขาก็ส่งคนไปตรวจสอบดู พบว่าแนวป้องกันหนาแน่นอย่างยิ่ง ไม่มีทางแทรกซึมเข้าไปได้เลย”
หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “นี่คือข้ออ้าง ในมือพวกเขามีวิหคยักษ์อยู่ไม่น้อย สามารถแทรกซึมผ่านเข้าไปในยามวิกาลได้แน่นอน”
ก่วนฟางอี๋เอ่ยว่า “ด้วยเหตุนี้ทางนั้นจึงตอบกลับมาว่าหากต้องการส่งคนแทรกซึมเข้าไปในเมืองซั่งผิงก็ใช่ว่าจะทำไม่ได้ แต่ในเมืองมีผู้บำเพ็ญเพียรของสำนักหยกสวรรค์อยู่มากมาย แม้ว่าจะลงไปในเมืองทางอากาศ มันก็เสี่ยงจะถูกพบเห็นได้ง่ายๆ เช่นกัน แบบนั้นจะเกิดการปะทะกับสำนักหยกสวรรค์ได้ง่ายๆ หอจันทร์กระจ่างจำเป็นต้องแบกรับความเสี่ยงมหาศาล นี่มิใช่เพียงความช่วยเหลือเล็กน้อยอย่างที่เจ้าว่าไว้ หอจันทร์กระจ่างถามว่าเจ้าจะมอบประโยชน์ใดตอบแทนพวกเขาเล่า”
หนิวโหย่วเต้าลืมตาลุกขึ้นมา สีหน้าค่อยข้างเคร่งเครียด พบว่าตนยังคงเข้าใจกฏเกณฑ์ของโลกใบนี้น้อยเกินไป ยกตัวอย่างเช่นการตรวจสอบคัดกรองเมืองซั่งผิงของฝ่ายผู้เข้ายึดครองเมืองที่หอจันทร์กระจ่างบอกมา
มิใช่เพียงเรื่องพวกนี้ที่ทำให้เขามีสีหน้าเคร่งเครียด
เขาให้อู๋เหล่าเอ้อร์พายอดฝีมือกลุ่มหนึ่งของสวนไม้เลื้อยมุ่งหน้าไปยังเมืองซั่งผิง แต่สุดท้ายก็เข้าเมืองไม่ได้เช่นกัน
จากนั้นก็สั่งให้คนของสามสำนักมุ่งหน้าไปยังเมืองซั่งผิงอีก แต่ความจริงเขาไม่ได้ตั้งความหวังไว้กับสามสำนักสักเท่าไร
ตอนนี้หอจันทร์กระจ่างก็มาบอกว่ายากจะเข้าเมืองได้เช่นกัน
ในมุมมองของผู้บำเพ็ญเพียรอย่างเขา เขาไม่เคยคิดเลยว่าการแทรกซึมเข้าสู่เมืองเมืองหนึ่งมันจะยากลำบากถึงเพียงนี้ เขาเพิ่งจะตระหนักได้ในตอนนี้ว่าเมืองซั่งผิงกลายเป็นช่องโหว่ในแผนการของเขาไปเสียแล้ว หากเฟิ่งหลิงปอทำตัวเป็นสุนัขจนตรอกขึ้นมาจริงๆ ล่ะ?
แม้เขาจะเชื่อว่าหากอยู่ภายใต้การควบคุมของสำนักหยกสวรรค์ เฟิ่งหลิงปอจะไม่มีทางทำสำเร็จก็ตาม แต่ถึงอย่างไรเมืองซั่งผิงก็กลายเป็นจุดอ่อนที่ยากจะควบคุมได้มากที่สุดในแผนการของเขาไปแล้ว ทำให้ความกังวลในใจเขาค่อยๆ เพิ่มขึ้นมา
เขาเองก็มิใช่เทพเซียนที่ทำนายทายทักได้ ก่อนจะเกิดเรื่องเขาไม่เคยคิดเลยว่าศูนย์บัญชาการกลางของกองทัพจะตั้งอยู่ที่เมืองซั่งผิง ทำให้เขาไม่ทันเตรียมการไว้ในเมืองซั่งผิงล่วงหน้า เรื่องราวบางอย่างที่อยู่ในความเปลี่ยนแปลงไม่ใช่สิ่งที่จะสามารถคาดการณ์ได้
เป็นไปไม่ได้ที่ทุกอย่างจะอยู่ในการควบคุมไปเสียหมด การที่เกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้นกับรายละเอียดปลีกย่อยนับเป็นเรื่องปกติอย่างมาก ขอเพียงความคุมทิศทางของสถานการณ์โดยรวมได้ก็พอ ดังนั้นในช่วงแรกเริ่มเขาจึงไม่ได้ให้ความสำคัญกับการเปลี่ยนแปลงในส่วนนี้เลย ทว่าตอนนี้เรียกใช้ผู้บำเพ็ญเพียรมากขนาดนี้แล้วก็ยังไม่สามารถเข้าเมืองได้ ทำให้จิตใจเขาหนักอึ้งขึ้นมาแล้ว รู้ซึ้งแล้วว่าสิ่งใดคือสี่ตีนยังรู้พลาดนักปราชญ์ยังรู้พลั้ง
“จะตอบหอจันทร์กระจ่างไปว่าอย่างไร?” ก่วนฟางอี๋เอ่ยถาม
หนิวโหย่วเต้าตอบว่า “หากต้องรอข่าวจากหอจันทร์กระจ่างอีกแล้วค่อยดำเนินการ เผิงโย่วไจ้ก็คงกลับไปถึงเมืองซั่งผิงแล้ว เจ้าคิดว่ายังมีความจำเป็นต้องตอบกลับอีกอย่างนั้นหรือ?”
ก่วนฟางอี๋เอ่ยว่า “ความกังวลของเจ้าออกจะมากไปหน่อยหรือเปล่า เจ้าสร้างแรงกดดันเพิ่มให้สำนักหยกสวรรค์ถึงเพียงนั้น เมื่อตกอยู่ภายใต้ความกดดันอันหนักหน่วงที่เกี่ยวพันถึงผลประโยชน์ของทั้งสำนัก พวกเขาไม่มีทางปล่อยให้เกิดเรื่องกับซางเฉาจงแน่ มิเช่นนั้นพวกเขาคงแบกรับผลที่จะตามมาไม่ไหว เมืองซั่งผิงมีศิษย์สำนักหยกสวรรค์อยู่มากมายขนาดนั้น ต่อให้เฟิ่งหลิงปออยากลงมือก็คงไม่มีโอกาส คนของสำนักหยกสวรรค์หาใช่คนไร้ฝีมือไม่”
หนิวโหย่วเต้าเอ่ยเนือยๆ ว่า “ได้แต่หวังว่าจะเป็นเช่นนั้น!”
ว่ากันตามตรงแล้ว เขาเองก็คิดไม่ออกเช่นกันว่าเฟิ่งหลิงปอจะหาโอกาสลงมือได้อย่างไร แต่เมื่อรับรู้ได้ถึงช่องโหว่ที่มี สุดท้ายในใจก็ยังรู้สึกไม่สบายใจอยู่ดี ความรู้สึกนี้ทำให้เขาอึดอัดนัก
….
บริเวณปากตรอกมีทหารสองนายคอยเฝ้าอยู่ ด้านหลังยังมีทหารอีกสามคนเดินลอยชายไปมา นับเป็นด่านคัดกรองที่จัดตั้งขึ้นชั่วคราวเพื่อใช้ตรวจสอบผู้คนที่สัญจรไปมาในแถบนี้
หยวนกังหาบซุงเดินเข้ามา เดินมุ่งตรงเข้าไปหาทหารยามสองนายที่เฝ้าอยู่
“จะทำอะไร? อาศัยอยู่ในตรอกนี้หรือ?”
ทหารทั้งสองนายยกทวนขวางเขาไว้ อีกสามคนที่เดินลาดตระเวนอยู่ด้านหลังก็ค่อยๆ เดินเข้ามาเช่นกัน ทหารคนหนึ่งในกลุ่มนั้นที่ดูเหมือนจะเป็นหัวหน้ากลุ่มตะโกนถามพลางโบกมือส่งสัญญาณ “ค้นตัว!”
จู่ๆ พลันมีเสียงคนไอดัง “แค่กๆ” แว่วมาจากด้านนอกตรอก
นี่คือสัญญาณจากพรรคพวกที่เฝ้าสังเกตการณ์อยู่ด้านนอก เป็นสัญญาณบอกให้ลงมือได้ แปลว่าตอนนี้ไม่มีใครผ่านเข้าออกในตรอกแห่งนี้อีกแล้ว ไม่มีทางถูกคนพบเห็นแน่นอน
ท่อนซุงบนไหล่หยวนกังพลันไถลลงไปพาดขวางอยู่ในวงแขนเขา จากนั้นก็ผลักกระแทกออกไปในทันใด กระแทกใส่หน้าอกของทหารสองนายที่ขวางอยู่ด้านหน้า ทำเอาทหารทั้งสองนายกระเด็นออกไปพร้อมสำรอกโลหิตออกมา
หยวนกังยกเท้าเตะออกไปทีหนึ่ง เตะเสริมแรงให้ท่อนซุงที่ถูกผลักออกไป ไม้ซุงพุ่งฉิวไป
เกิดเสียงดังพลั่กๆ สองสามครั้ง ทหารสามคนที่อยู่ด้านหลังยังไม่ทันได้ส่งเสียงร้องแจ้งเตือนก็ล้มกองลงไปบนพื้นจนหมด
หยวนเฟิงที่อยู่ด้านนอกตรอกได้ยินเสียงความเคลื่อนไหว จึงโผล่หน้ามองเข้าไปในตรอก จากนั้นก็กวักมือส่งสัญญาณให้คนอื่นตามเข้าไป
จากนั้นก็มีคนทยอยผ่านเข้าไปในตรอกอย่างรวดเร็ว
หยวนกังยกท่อนซุงขึ้นมาแบกแล้ววิ่งต่อไป คนกลุ่มหนึ่งรีบวิ่งตามหลังเข้ามาในตรอก
คนที่วิ่งตามหลังเข้ามาถือโอกาสลากทหารทั้งห้าคนที่ล้มกองอยู่บนพื้นไปด้วย พอลากไปถึงบ้านหลังหนึ่งที่ถูกปล่อยร้างไว้ก็โยนคนเข้าไปด้านใน
ทั้งกลุ่มวิ่งไปพร้อมกับล้วงข้าวของออกมาจากห่อสัมภาระที่พกติดตัวมา ทำการประกอบหน้าไม้เก้าส่วนขึ้นอย่างรวดเร็วในขณะที่วิ่งอยู่ นำสายรัดที่มีมีดสั้นเสียบอยู่มาคาดไว้ตรงช่วงเอว ต้นแขนและต้นขา
พอวิ่งมาถึงตำแหน่งที่กำหนดไว้ หยวนกังยกท่อนซุงมาหนีบในวงแขน ท่อนซุงปริแตกออก ดาบสามคำรามร่วงลงสู่มือเขา
ทั้งกลุ่มปีนข้ามกำแพงไปอย่างคล่องแคล่วปราดเปรียว หยวนกังปีนข้ามกำแพงไปเป็นคนสุดท้าย
ทั้งกลุ่มมุ่งตรงเข้าไปในบ้านเรือนของคนอื่น ทำให้เจ้าของบ้านแตกตื่นตกใจขึ้นมาทันที
“กองทัพตามจับคนร้ายอยู่ หุบปากให้หมด!”
เพียงประโยคเดียวก็ทำให้ทั้งครอบครัวหุบปากตัวสั่นงันงก
เจ้าของบ้านสังเกตเห็นว่าคนกลุ่มนี้มาเร็วไปเร็วนัก ข้ามกำแพงเข้ามาฝั่งนี้ จากนั้นก็ปีนกำแพงข้ามไปฝั่งนั้นต่ออย่างรวดเร็ว
ทั้งกลุ่มปีนกำแพงข้ามผ่านไปอย่างต่อเนื่อง บางครั้งก็วิ่งลัดผ่านระหว่างประตูหน้าบ้านและหลังบ้านไปเลย
หากเปิดประตูหรือปีนข้ามไปแล้วพบว่ามีทหารลาดตระเวนอยู่ด้านนอก ก็จะมีการยิงหน้าไม้โจมตีเข้าที่จุดตายของทหารทันที เมื่อทั้งกลุ่มผ่านไปแล้วก็จะนำศพไปโยนไว้ในบ้านหลังถัดไป
ทั้งกลุ่มลัดผ่านบ้านเรือนมากมายไปอย่างไม่แยแส เดินทางตัดตรงมุ่งสู่ตำแหน่งของเป้าหมาย ไม่กล้าชักช้าแม้เต่น้อย เดินทางอย่างเร่งรีบไปตลอดทาง
……………………………………………………….