ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า - ตอนที่ 438 เต้าเหยี่ยมาแล้ว
ตอนที่ 438 เต้าเหยี่ยมาแล้ว
แม้ว่าจะถูกทหารลาดตระเวนที่อยู่ในละแวกใกล้เคียงพบเห็น หยวนกังก็เอ่ยเพียงคำเดียวว่า “ไป!”
ทั้งกลุ่มมุ่งหน้าไปต่ออย่างรวดเร็วโดยไม่แยแสอะไรเลย
ทหารลาดตระเวนหลายกลุ่มบุกเข้าไปตรวจสอบสถานการณ์ในบ้านหลังนั้นทันที ผลคือพอไล่ตามไปก็พบเพียงเงาร่างคนปีนข้ามกำแพงไปแล้ว อีกฝ่ายปีนข้ามกำแพงไปอย่างรวดเร็วและเข้าขากันเป็นอย่างดี พอกลุ่มทหารพุ่งไปถึงมุมกำแพงก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว
พอให้คนต่อตัวเหยียบไหล่ชะโงกหน้ามองสถานการณ์จากด้านบนกำแพง ไหนเลยจะมองเห็นเงาคนอีก
เหล่าทหารสลายการต่อตัว แจ้งเตือนภัยทันที ไม่นานทัพรักษาการณ์ที่อยู่ในละแวกใกล้เคียงก็ทราบเรื่อง!
….
ช่องโหว่บนผนังขยายใหญ่ขึ้น ฝุ่นผงปลิวว่อน โลหิตเจิ่งนอง
หนึ่งคนขวางทาง หมื่นคนอย่าได้หมายจะผ่านไป เหมิงซานหมิงที่นั่งอยู่บนพื้นถือทวนไว้ในมือ ไม่มีผู้ใดสามารถบุกเข้าไปได้ มีทหารหลายสิบคนที่สิ้นชีพลงด้วยคมทวนของเขา ตัวเหมิงซานหมิงเองก็นั่งอยู่ท่ามกลางโลหิตที่เจิ่งนอง
ซางซูชิงที่เฝ้าอยู่ตรงรูโหว่กัดฟันคอยประสานงานกับเขา คมกระบี่เปื้อนโลหิต นางซ่อนตัวอยู่ข้างผนัง สังหารทหารไปได้หลายคนเช่นกัน แต่เวลาที่เคลื่อนไหวสะบักไหล่ที่บาดเจ็บจะปวดร้าวอย่างรุนแรง นางได้แต่ต้องกัดฟันสกัดต้านต่อไป
แม้จะรู้ดีว่าคงต้านได้อีกไม่นาน แต่คนทางฝั่งนี้ก็ไม่มีผู้ใดยินยอมก้มหัวให้ ล้วนยืนหยัดอยู่ด้วยความคิดที่ว่าสังหารศัตรูได้เท่าไรก็เท่านั้น
หน้าต่างที่ซางเฉาจงเฝ้าอยู่ถูกพังจนเปิดออกแล้ว โลหิตเปรอะเปื้อนไปทั่วร่าง ดาบง้าวในมือตวัดฟาดฟัน สังหารศัตรูทิ้งไปสิบกว่าคนแล้ว เฝ้าอยู่ตรงหน้าต่างไม่ยอมให้ใครผ่านเข้ามาแม้แต่ก้าวเดียว หลานรั่วถิงติดตามอยู่ด้านหลังเขา บัณฑิตคนหนึ่งกลับต้องมาเข่นฆ่าสังหารจนดวงตาแดงก่ำแล้ว พอสบโอกาสก็จะแทงทวนออกไปเพื่ออุดรูรั่วให้ซางเฉาจง
เฟิ่งรั่วอี้ที่อยู่กลางลานเรือนโมโหโกรธเกรี้ยว มีกันแค่ไม่กี่คน แต่กลับต้านการโจมตีจากทหารจำนวนมากของเขาได้
พอเห็นตรงโพรงแตกบนผนังมีประกายกระบี่เคลื่อนไหวคอยลอบสังหาร เฟิ่งรั่วอี้พลันกระโดดเข้าไป กระโจนเข้าไปที่โพรงแตกแล้วแทงทวนจู่โจม
เคร้ง! แขนซางซูชิงถูกกระแทกจนชาหนึบขึ้นมา กุมกระบี่ไว้ไม่อยู่จนกระบี่ลอยละลิ่วออกไป
เฟิ่งรั่วอี้เหวี่ยงทวนพาดออกไปในแนวขวาง คมทวนวาดไปที่ลำคอของซางซูชิงที่เอียงโซเซจนเผยตัวออกมา
เงาทวนเล่มหนึ่งพุ่งสวนเข้ามาขวางการโจมตีจากคมทวนไว้ คันทวนกระดอนเข้าใส่ไหล่ซางซูชิงเล็กน้อย ผลักตัวซางซูชิงให้พ้นไปจากปากโพรง ผลักไปอยู่ด้านหลังกำแพง ทำให้ซางซูชิงพ้นเคราะห์ไปได้
ในช่วงเวลาวิกฤตนี้ เป็นเหมิงซานหมิงที่ลงมือช่วยชีวิตนางไว้
เฟิ่งรั่วอี้ที่อยู่นอกโพรงพลันควงทวนประหนึ่งกงจักรเพลิง หมุนเหวี่ยงไปทั่วทิศ ด้วยคิดจะสร้างโอกาสบุกเข้าไป
ทวนเล่มหนึ่งโผล่ออกมาดั่งมังกรลอดถ้ำ แทงสกัดต่อเนื่อง หยุดกระบวนท่าของเฟิ่งรั่วอี้เอาไว้อย่างมีชั้นเชิง
ปลายทวนตวัดฟันไปตามคันทวนของเฟิ่งรั่วอี้ จู่โจมมือของเฟิ่งรั่วอี้ข้างที่ถือทวนอยู่
เฟิ่งรั่วอี้ตวัดทวนย่างรวดเร็วเพื่อสะกดการโจมตีของอีกฝ่ายไว้ แต่ชั่วพริบตานั้นทวนของอีกฝ่ายกลับหดเข้าไปแล้วแทงออกมาอีกครั้ง แทงเข้าใส่หน้าอกเขาอย่างรวดเร็วปานสายฟ้าแลบ
เฟิ่งรั่วอี้ตกใจมาก เขาเบี่ยงตัวกระโดดขึ้น ร่างกายหมุนควงอยู่กลางอากาศ หลบการโจมตีนี้ไปได้ คมทวนเฉียดไหล่ไป กรีดเกราะตรงไหล่ของเขาจนขาดออก
เฟิ่งรั่วอี้ที่กระโดดตีลังกากลางอากาศกลับมายืนอยู่ในลานเลือนด้านนอกห้องโถงอีกครั้งมองดูเกราะไหล่ที่ยังคงห้อยร่องแร่งอยู่ตรงหน้าอกเพราะด้ายไม่กี่เส้น เสื้อผ้าบริเวณไหล่ฉีกขาด โลหิตผุดซึมเป็นทาง ทว่ามิได้บาดเจ็บร้ายแรง แต่กระบวนท่าทวนที่ดุดันแม่นยำนั้นยังคงทำให้เขารู้สึกหวาดกลัวอยู่
เขาทราบดีว่าหากมิใช่เพราะเขาตอบสนองได้ทันท่วงที กระบวนท่าเมื่อครู่คงปลิดชีพเขาไปแล้ว
เขาไม่คิดเลยว่าตาเฒ่าพิการที่นั่งกองอยู่บนพื้นคนนี้จะยังสำแดงวิชาทวนอันเลิศล้ำเช่นนี้ออกมาได้ ไม่ได้อืดอาดยืดยาดเลยแม้แต่น้อย ใช้ทวนโจมตีเพื่อปลิดชีพ เป็นกระบวนท่าที่มุ่งสังหารในสนามรบอย่างแท้จริง ไม่มีลีลาน่ามองใดๆ ทั้งสิ้น
ตอนนี้เขาเข้าใจขึ้นมาเล็กน้อยแล้ว ไม่แปลกเลยที่พอมีตาเฒ่าคนนี้เฝ้าอยู่ด้านใน กลุ่มคนด้านนอกจึงไม่สามารถบุกเข้าไปได้
เขาหารู้ไม่ว่าตอนนี้เหมิงซานหมิงชราวัยแล้ว หากเป็นเหมิงซานหมิงในช่วงสมบูรณ์แข็งแรงดี เกรงว่าเขาอาจจะหลบไม่พ้นก็เป็นได้
เฟิ่งรั่วอี้เหลือบมองไปที่ปากโพรง พลันชี้นิ้วออกไป “ยิงธนู!”
พลธนูที่อยู่ด้านหลังดาหน้าเข้ามา น้าวสายขึ้นศร ห่าธนูโถมผ่านเข้าไปด้านในโพรงผนัง
เหมิงซานหมิงที่อยู่ด้านในเหวี่ยงทวนออกไปเกี่ยวศพร่างหนึ่งขึ้นมาบังด้านหน้า มองเห็นศพนั้นถูกปักทิ่มแทงจนดูราวกับเม่นไปในทันที
หลังจากยิงธนูออกไปห่าหนึ่งก็มีคนบุกเข้าไปด้านในอีก เหมิงซานหมิงชักทวนออกมาจากศพ คมทวนพุ่งออกมาอีกครั้ง มาหนึ่งสังหารหนึ่ง มาสองสังหารสอง ดวงตาภายใต้เส้นผมสีดอกเลาฉายแววเย็นชา แต่ก็ดูเศร้าหมองและอ้างว้างอย่างเห็นได้ชัด
ซางซูชิงกัดฟันหยิบกระบี่ขึ้นมาอีกครั้ง ช่วยสกัดประสาน
ครืน! เกิดเสียงดังมาจากโถงด้านหลัง ตามมาด้วยเสียงฝีเท้าจำนวนมากที่กรูเข้ามา
ทุกคนในโถงด้านหน้าหวาดหวั่นใจ รู้ดีว่าด้านหลังถูกตีแตกแล้ว
“ถอย!” ซางเฉาจงหันกลับไปลากหลานรั่วถิงให้วิ่งไปหาเหมิงซานหมิงที่อยู่ทางนั้น คนที่พุ่งผ่านหน้าต่างเข้ามาฉวยโอกาสไล่ตามสังหารทันที ซางเฉาจงตวัดดาบฟันตอบโต้ไปหลายครั้ง
องครักษ์ทั้งสี่ในโถงด้านหลังตายหมดแล้ว องครักษ์เพียงคนเดียวที่เหลืออยู่ในโถงด้านหน้าก็มาสมทบกับพวกซางเฉาจงแล้ว
ทหารกลุ่มใหญ่พุ่งเข้ามา ไล่ต้อนพวกซางเฉาจงไปอยู่ตรงมุมกำแพง
ซางเฉาจงถือดาบขวางอยู่ด้านหน้า คอยป้องกันประสานอยู่คนละมุมกับเหมิงซานหมิง ต้านรับกลุ่มศัตรูด้วยกัน ซางซูชิง หลานรั่วถิงรวมถึงองครักษ์คนนั้นคอยช่วยต้านรับอยู่ด้านหลัง
เฟิ่งรั่วอี้มุ่งหน้าเข้ามาพลางตะโกนว่า “ถอยไป พลธนูประจำที่!”
กลุ่มทหารที่ปิดล้อมอยู่ถอยไปทันที พลธนูชุดหนึ่งเดินเข้ามา น้าวสายจ่อเล็งไปยังกลุ่มคนที่อยู่ในมุมผนัง
เหมิงซานหมิงตวัดทวนเกี่ยวโต๊ะหักพังตัวหนึ่งเข้ามา ตั้งขวางไว้ด้านหน้า ซางเฉาจงพลิกตัวหมุนกลิ้งไปลากโต๊ะยาวตัวหนึ่งมาแล้วตั้งโต๊ะยาวกำบังด้านหน้าไว้
ทั้งห้าคนหดตัวเข้าไปอยู่หลังโต๊ะ จากนั้นหน้าโต๊ะก็เต็มไปด้วยลูกธนูเนืองแน่น
พอเห็นพลธนูไม่อาจทำอะไรทางนี้ได้ ทหารกลุ่มหนึ่งก็กรูกันเข้ามาอีกครั้ง ลากโต๊ะของทางนี้ออกไป เหมิงซานหมิงและซางเฉาจงร่วมมือกันต่อสู้สกัดกั้นอีกครั้ง
กระบี่ในมือซางซูชิงสั้นเกินไป ออกไปสู้ด้านหน้าไม่ได้ นางมองซ้ายมองขวา พลันลากข้าวของจำพวกโต๊ะน้ำชาตู้เก้าอี้หลายชิ้นที่ล้มระเนระนาดอยู่เข้ามาทางนี้ เตรียมไว้เผื่อใช้ป้องกันคลื่นธนูระลอกต่อไป อาจจะได้ใช้ประโยชน์
เฟิ่งรั่วเจี๋ยหันไปสั่งการลูกน้อง “ให้ทหารด้านนอกปีนขึ้นหลังคา ถอดกระเบื้องออกแล้วยิงธนูลงมาจากด้านบน!”
ทหารคนนั้นรับคำสั่งแล้วออกไปทันที พาคนปีนขึ้นสู่หลังคา
“พวกไร้ประโยชน์ หลีกไป!”
พอเห็นว่าขนาดนี้แล้วก็ยังโจมตีไม่สำเร็จ เถาเหยี่ยนพลันโมโหขึ้นมา ตวาดกร้าวออกไป ถือดาบใหญ่เล่มยาวพุ่งเข้ามา กวัดแกว่งฟาดฟันมุ่งหน้าเข้าไป ฟันดาบใส่เหมิงซานหมิงอย่างดุดัน คิดจะใช้กำลังเอาชนะความสามารถ ต้องการใช้กำลังเข้ารังแกชายชราขาพิการที่อยู่ตรงหน้า
“แม่ทัพเถา กลับมา!” เฟิ่งรั่วอี้ตกใจอย่างยิ่ง ตะโกนเรียกออกไป เขาเคยพลาดท่าให้เหมิงซานหมิงมาก่อน รู้ถึงความร้ายกาจของเหมิงซานหมิงดี แต่ก็สายไปเสียแล้ว เถาเหยี่ยนลงมือแล้ว
ในสายตาของเหมิงซานหมิงที่นั่งอยู่บนพื้นสาดประกายเย็นยะเยือก เขาไม่ได้กริ่งเกรงเลยสักนิด บิดทวนตั้งรับสะบัดทวนโจมตีต่อเนื่องสองครั้ง ดีดไปบนใบดาบที่ฟันเข้ามา ดาบที่ฟันเข้ามาถูกเบี่ยงทิศทางออกไปในทันใด คมทวนเปลี่ยนทิศทาง จ้วงแทงออกไปด้วยแขนเดียวดฮณ๊ฯดฯฌซ,
เถ้าเหยี่ยนพลันเบิกตากว้าง รับมือไม่ทัน ได้แต่เบิกตามองคมทวนแทงทะลุลำคอตน โลหิตไหลทะลักอออกมาจากท้ายทอยของเขา
เถาเหยี่ยนที่ถูกแทงจนลอยขึ้นจากพื้นร่วงตกลงมา เหมิงซานหมิงกระชากทวนกลับมาด้วยมือเดียวแล้วจ้วงแทงออกไปอีกครั้ง มืออีกข้างกำปลายทวนพลางตวัดทีหนึ่ง ด้ามทวนฟาดเข้าไปที่ใบหน้าด้านข้างของเถาเหยี่ยน
เถาเหยี่ยนร่วงลงพื้นดังโครม ชักกระตุกอยู่ท่ามกลางกองโลหิต
เหมิงซานหมิงไม่ปรายตามองเขาแม้แต่นิดเดียว ตวัดทวนต่อสู้กับศัตรูคนอื่นที่โจมตีเข้ามาต่อ
เฟิ่งรั่วอี้ยังดีหน่อย เขาได้เตรียมใจไว้ก่อนแล้ว
แต่เฟิ่งรั่วเจี๋ยและหนงฉางกว่างกลับตกตะลึงตาค้าง ต่างตะลึงงังกันทั้งคู่ แม่ทัพห้าวหาญอย่างเถาเหยี่ยนกลับถูกชายชราขาพิการคนนี้สังหารได้ในกระบวนท่าเดียวอย่างนั้นหรือ?
ต้องสูญเสียแม่ทัพใหญ่คนหนึ่งของตระกูลเฟิ่งไปในสถานการณ์ที่ต้องเอาชนะให้ได้แบบนี้อย่างนั้นหรือ? เฟิ่งรั่วอี้เองก็พูดไม่ออกเช่นกัน!
ภายในเรือนหลังหนึ่งที่อยู่ใกล้ๆ กัน หยวนกังปีนขึ้นไปบนหลังคาเพื่อสังเกตสถาณการณ์ของทางนี้ บังเอิญเห็นทหารปีนขึ้นไปบนหลังคาพอดี เขาตระหนักได้ในทันใดว่าเฟิ่งหลิงปออาจจะยังทำไม่สำเร็จ แล้วก็ตระหนักได้ว่าเมื่อมีทหารปีนขึ้นบนหลังคา แปลว่าคนที่อยู่ในเรือนน่าจะกำลังดิ้นรนต่อสู้อย่างสุดชีวิตอยู่ เขาหันกลับไปเอ่ยสั่งทันที “จุดไฟ…”
หากรอจนบุกไปถึงฝั่งตรงข้ามแล้วค่อยจุดไฟคงไม่ทันการแล้ว จุดไฟขึ้นในละแวกนี้ก็น่าจะได้ผลเหมือนกัน หวังว่าพอสำนักหยกสวรรค์เห็นแล้วจะตามมาถึงทันเวลา
“ลูกพี่!”
พวกหยวนเฟิงตกใจ เพราะหลังจากหยวนกังมอบหมายหน้าที่ให้หัวหน้าหน่วยย่อยอย่างพวกเขาสี่คนแล้ว ตัวเขาก็พุ่งทะยานนำหน้าออกไปก่อน
พวกหยวนเฟิงทิ้งพวกพ้องสามสี่คนไว้ลงมือจุดไฟเผาบ้านเรือน จากนั้นก็พาคนที่เหลือรีบไล่ตามไปสมทบ艾琳小說
ครอบครัวเจ้าของบ้านอยากร้องไห้แต่ก็ร้องไม่ออก ต้องทนมองคนอื่นจุดไฟวางเพลิงภายในบ้านตน เมื่อต้องเผชิญหน้ากับผู้บุกรุกที่แข็งแกร่งเช่นนี้ พวกเขาไม่กล้าร้องขอความช่วยเหลือเลย
อีกทั้งไม่จำเป็นต้องร้องขอความช่วยเหลือเลยด้วย เพราะการจู่โจมอย่างอุกอาจไร้ความกริ่งเกรงของคนกลุ่มนี้ทำให้ทัพรักษาการณ์รู้ตัวแล้ว ทหารกลุ่มใหญ่กำลังลัดเลาะไปตามตรอกอันคดเคี้ยวเพื่อตามล่าตัว
ภายในศาลาว่าการ
เหตุใดถึงยังไม่ได้รับสัญญาณแจ้งว่าทำสำเร็จอีก? ขณะเฟิ่งหลิงปอเดินวนกลับไปกลับมาด้วยความร้อนใจ จู่ๆ ก็ทราบข่าวเรื่องที่ทัพรักษาการณ์ได้รับแจ้งเตือน กำลังระดมพลไปตรวจค้นพิกัดเป้าหมาย เขาพลันเอ่ยตำหนิลูกน้องที่มารายงานข่าวด้วยความโกรธว่า “ใครใช้ให้ลงมือวู่วาม?”
หยวนกังที่กระโดดลงไปในตรอกพุ่งตรงไปยังประตูใหญ่ ทหารที่เฝ้าประตูยังไม่ทันรู้ตัวว่าเกิดอะไรขึ้นก็ถูกหยวนกังตวัดดาบฟันจนกระจัดกระจายแล้ว
โครม! หยวนกังตวัดดาบฟันทลายประตูใหญ่ จากนั้นลากประตูครึ่งบานติดไปด้วยแล้วรีบมุ่งหน้าไป เพราะตอนที่อยู่บนหลังคาก่อนหน้านี้ เขามองเห็นว่าในกลุ่มคนที่ปีนป่ายขึ้นไปบนหลังคามีพลธนูอยู่ด้วย
เขารีบมุ่งหน้าไปทางห้องโถงหลัก รวดเร็วเป็นอย่างยิ่ง ทำให้ทหารตั้งรับไม่ทัน
“ยิงธนู!”
ทันทีที่มีเสียงสั่งการดังขึ้น พลธนูกลุ่มหนึ่งที่เข้ามาขวางไว้กระหน่ำยิงธนูออกไปอย่างพร้อมเพรียง
บานประตูครึ่งบานถูกตั้งขวางไว้ด้านหน้า ห่าธนูปักเข้าที่บานประตูจนเกิดเสียงดังปึกๆ
เมื่อคลื่นธนูผ่านพ้นไป บานประตูถูกยกออก หยวนกังกระโดดขึ้นสู่อากาศกระโจนเข้าหากลุ่มทหาร ตวัดดาบฟันสังหารจนเลือดเนื้อสาดกระจาย เสียงโหยหวนแว่วระงม
ภายในห้องโถง พวกซางเฉาจงที่อยู่ในมุมหนึ่งตกใจนัก มีแผ่นกระเบื้องจำนวนมากร่วงกราวลงมาจากด้านบน บนหลังคามีคนใช้เท้าเตะกวาดแผ่นกระเบื้องออกจากหลังคาอย่างเร่งร้อน มองเห็นได้อย่างชัดเจนว่าพลธนูที่อยู่ด้านบนล้วงลูกศรออกมาจากกระบอกและน้าวสายขึ้นศรแล้ว เป้าหมายเป็นใครยังต้องให้พูดอีกหรือ?
แต่ในเวลานี้เอง จู่ๆ พลธนูบนหลังคาก็เกิดความปั่นป่วนวุ่นวายขึ้นมา เสียงร้องโหยหวนแว่วขึ้นเป็นพักๆ มีคนพลัดตกทะลุหลังคาลงมาภายในห้องโถง มีศรโลหะแวววาวหลายดอกปักอยู่บนร่างคนที่ร่วงลงมา
บนกำแพงเรือนด้านนอก มีขบวนคนสองแถววิ่งไต่กำแพงเรือนสองฝั่งซ้ายขวาเข้ามาอย่างรวดเร็ว ราวกับวิ่งไต่สะพานท่อนไม้อย่างไรอย่างนั้น ลูกศรที่ถูกยิงออกมาจากหน้าไม้ประกอบเก้าชิ้นที่อยู่ในมือพวกเขาพุ่งเป้าโจมตีไปที่พลธนูที่กำลังปีนป่ายอยู่บนหลังคา แม้จะยิงสังหารจากระยะไกล แต่ยังคงแม่นยำนัก!
เหล่าทหารที่ถูกหยวนกังที่พุ่งเข้ามาโจมตีดึงดูดความสนใจเพิ่งจะสังเกตเห็นความเคลื่อนไหวบนกำแพงเรือน มีคนตะโกนขึ้นว่า “พลธนู บนกำแพงซ้ายขวา!”
หลังจัดการพลธนูที่อยู่บนหลังคาเสร็จ กลุ่มคนที่อยู่บนกำแพงทั้งสองฝั่งก็กระโดดลงมาอย่างรวดเร็ว ต่างอาศัยศาลาพลับพลาแปลงดอกไม้หรือไม่ก็กำแพงเรือนหลบเลี่ยงการโจมตี สลับสับเปลี่ยนที่กำบังกัน
“เต้าเหยี่ยมาแล้ว เต้าเหยี่ยมาแล้ว!” จู่ๆ เสียงหวีดร้องด้วยความดีใจของซานซูชิงก็แว่วดังขึ้นภายในห้องโถงที่พังพินาศ
นางจำลูกศรโลหะที่ปักอยู่บนร่างทหารที่ร่วงลงมาได้ นางเคยเห็นลูกศรโลหะนี้มาก่อน ทราบว่านี่คือลูกศรที่ถูกสร้างขึ้นเป็นพิเศษสำหรับให้พวกหยวนกังใช้งาน ยิ่งไปกว่านั้น ในช่วงเวลาแบบนี้คนในกองทัพไม่มีทางเข่นฆ่ากันเองแน่ หากมิใช่เต้าเหยี่ยแล้วจะเป็นผู้ใดไปได้?
เมื่อมีเสียงต่อสู้ร้องโหยหวนจากด้านนอกแว่วดังเข้ามา พวกซางเฉาจงพลันมีสีหน้าตื่นตัวขึ้นมา
ซางซูชิงหลั่งน้ำตาด้วยความดีใจ ความรู้สึกที่จู่ๆ ก็มีกำลังเสริมมาช่วยเหลือในตอนที่ตกอยู่สถานการณ์สิ้นหวังเช่นนี้ คนนอกยากจะเข้าใจได้ นางคิดอยู่แล้วว่าหนิวโหย่วเต้าไม่มีทางทอดทิ้งพวกนางแน่ นางเชื่อมั่นมาโดยตลอด!
เฟิ่งรั่วอี้ตกใจ หนิวโหย่วเต้ามาแล้วอย่างนั้นหรือ? หนิวโหย่วเต้าจะเข้าเมืองมาได้อย่างไร?
มาถึงตอนนี้แล้ว ตระกูลเฟิ่งไม่อาจแพ้ได้แล้ว เฟิ่งรั่วอี้ตวัดทวนประกาศกร้าว “บุกเข้าไปจับตวคนมาให้ข้า ผู้ใดล่าถอย สังหารได้ไม่มีเว้น!”
เฟิ่งรั่วเจี๋ยก็ตะโกนกร้าวขึ้นมา “บุกเข้าไป!”
สองพี่น้องต้องทุ่มสุดตัวแล้ว ต้องสังหารอีกฝ่ายให้ได้แม้จะต้องแลกด้วยชีวิตทหารของจนก็ตาม
…………………………………………………………….