ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า - ตอนที่ 442 เจ้าสำนักกลับมาแล้ว
ตอนที่ 442 เจ้าสำนักกลับมาแล้ว
เรือนที่อยู่ทางด้านหนึ่งคือซากปรักหักพังจากเพลิงไหม้ที่ดับลงไปแล้ว ยังคงมีควันลอยม้วนอ้อยอิ่ง ส่วนเรือนอีกด้านหนึ่งมีศพถูกหามออกมาอย่างต่อเนื่อง
เฟิ่งรั่วหนานยกชายกระโปรงวิ่งลัดผ่านตรอกไปอย่างรวดเร็วดุจเหินบิน ทหารที่เดินสวนผ่านหลบเข้าด้านข้างหลีกทางให้ แต่ละคนหันมองตามหลังนางไป
นางมองซากเรือนฝั่งตรงข้ามที่มีควันม้วนลอยอ้อยอิ่ง จากนั้นก็มองรอยเท้าเปื้อนเลือดที่เหลืออยู่จากการเดินผ่านเข้าออกประตูเรือนอันเป็นที่พักของตน
หลังจากนางถูกคนปลุกให้ฟื้น นางก็ไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้น ไม่รู้ว่ามารดาไปอยู่ที่ไหน แล้วก็ไม่เห็นบิดาเช่นกัน มีผู้บำเพ็ญเพียรของสำนักหยกสวรรค์ขวางนางไว้ ไม่ปล่อยให้นางไปพบ ได้ยินเพียงเสียงร้องไห้คร่ำครวญของบิดาที่แว่วออกมาจากในห้อง
ดังนั้นนางจึงวิ่งมาที่นี่ ไล่ตามรอยเท้าเปื้อนเลือดเข้าไปในเรือน เดินอ้อมผ่านกำแพงไป สุดท้ายหยุดนิ่ง เบื้องหน้ามีซากศพกองเกลื่อนพื้น ห้องโถงหลักพังเสียหายอย่างหนัก ทุกหนทุกแห่งรอบข้างเต็มไปด้วยร่องรอยธนู
พอตื่นมาจากการสลบ เพียงชั่วพริบตาเดียวที่นี่ก็กลายเป็นเช่นนี้ไปเสียแล้ว มองแวบเดียวก็รู้ว่าเคยเกิดการต่อสู้อย่างดุเดือดขึ้น
มีทหารสิ้นชีพอยู่ที่นี่มากมายขนาดนี้ พอนำมาคิดปะติดประต่อกับการที่มารดาจงใจทำให้ตนสลบไป หากนางยังคิดไม่ออกอีกว่าเกิดอะไรขึ้น เช่นนั้นก็เสียทีที่เป็นแม่ทัพมานานหลายปีแล้ว
ทหารที่เก็บกองซากศพภายในเรือนมองนางเงียบๆ โซ่วเหนียนที่มาถึงทางนี้ก่อนหันกลับไปมองนาง สีหน้าของโซ่วเหนียนซับซ้อน
นางวิ่งเข้าไปในห้องโถงที่พังเสียหาย ตามหาไปทั่ว ไม่พบศพของพวกซางเฉาจงเลย
นางวิ่งออกมาอีกครั้ง สายตาเลื่อนไปเห็นไม้กระดานสองแผ่นที่วางพาดอยู่บนแปลงดอกไม้ ด้านบนวางศพไว้สองร่าง มีผ้าขาวคลุมเอาไว้ ดูแปลกแยกแตกต่างและดูสะดุดตาเป็นพิเศษด้วย เห็นได้ชัดว่าได้รับการปฏิบัติที่ต่างไปจากศพอื่นๆ
เฟิ่งรั่วหนานเดินเข้าไปพลางยื่นมือออกไป ละล้าละลังไม่ยอมจับสักที แต่สุดท้ายยังคงเลิกผ้าขาวทั้งสองผืนออก มิใช่ศพของใครอื่น เป็นศพของเฟิ่งรั่วอี้และเฟิ่งรั่วเจี๋ยพี่ชายทั้งสองคนของนาง
น้ำตานางไหลลงมาอย่างเงียบงัน ร้องไห้ด้วยจิตใจที่รู้สึกว่างเปล่าดฮณ๊ฯดฯฌซ,
…….
ฟ้ามืดแล้ว เหล่าศิษย์สามสำนักของสำนักเซียนสถิต สำนักเมฆาล่องและสำนักคีรีพิลาศยังคงเฝ้ารออยู่นอกเมือง พวกเขายังคงถูกปฏิเสธไม่ให้เข้าเมืองเช่นเดิม แต่สามสำนักก็หาได้ร้อนใจไม่ เฝ้ารออยู่นอกเมืองจวบจนตะวันตกดินอย่างอดทน
ภายในเรือนอีกหลังหนึ่งภายในตัวเมือง ลูกศรที่สะบักไหล่ของซางซูชิงถูกถอนออกมาแล้ว ความเจ็บปวดที่ฝังลึกไปถึงกระดูกย่อมไม่ต้องเอ่ยถึงเลย แต่ก็นับว่าได้รับการรักษาอย่างถูกต้องแล้ว
คนที่ได้รับบาดเจ็บทั้งหมดของฝั่งซางเฉาจงล้วนได้รับการรักษาแล้ว เพียงแต่สำนักหยกสวรรค์ไม่ปล่อยให้พวกเขามีอิสระ ควบคุมตัวพวกเขาทั้งหมดไว้ด้วยกัน เฝ้าจับตามองอย่างเข้มงวด ไม่มีทางปล่อยให้เกิดเรื่องซ้ำรอยเดิมขึ้นอีกเป็นครั้งที่สอง
หลังจากอาบน้ำเปลี่ยนอาภรณ์แล้ว ถึงแม้พวกซางเฉาจงจะเหนื่อยล้าเป็นอย่างมาก แต่พวกเขายังคงไม่มีแก่ใจจะพักผ่อนอยู่ดี ในที่สุดก็มีเวลาสอบถามหยวนกังแล้วว่าเรื่องราวเป็นมาอย่างไร พวกเขาไม่เข้าใจว่าเหตุใดจู่ๆ เฟิ่งหลิงปอถึงทำตัวเป็นสุนัขจนตรอกขึ้นมา
พอได้รับคำอธิบายจากหยวนกัง พวกเขาถึงเข้าใจขึ้นมา หลังจากเต้าเหยี่ยหายเงียบไปก็ใช่ว่าเขาจะไม่ทำอะไรเลย รวมถึงไม่ได้ทอดทิ้งพวกเขาด้วย อีกฝ่ายลอบดำเนินการลับหลังอย่างเงียบๆ เปิดฉากเดินเกมครั้งใหญ่กับสำนักหยกสวรรค์อย่างแท้จริง เดินเกมนอกสนามรบ
ด้านหนึ่งก็กระตุ้นให้ราชสำนักแต่งตั้งซางเฉาจงเป็นผู้ว่าการมณฑลหนานโจว อีกด้านหนึ่งก็กระตุ้นให้มณฑลจินโจวระดมทัพใหญ่เข้าโจมตีมณฑลหนานโจว
สามารถขับเคลื่อนให้เกิดสถานการณ์ใหญ่โตขนาดนี้ขึ้นมาได้ พวกซางเฉาจงคิดไม่ออกเลยว่าหนิวโหย่วเต้าที่มีกำลังเพียงเท่านั้นทำได้อย่างไร โดยเฉพาะการนำกำลังทหารของมณฑลจินโจวมากดดันสำนักหยกสวรรค์ ทุกคนยิ่งจินตนาการไม่ออกเลยว่าวังสวรรค์หมื่นวิมานและมณฑลจินโจวยอมตกลงได้อย่างไร?
ทว่าหยวนกังบอกไปเพียงคร่าวๆ เท่านั้น ไม่ได้เผยความจริงออกไปแม้เพียงครึ่งคำ เรื่องบางอย่างแม้แต่ตัวหนิวโหย่วเต้าเองก็ยังไม่แพร่งพรายออกไปเลย หยวนกังที่ร่วมหัวจมท้ายกับหนิวโหย่วเต้าเองก็ไม่มีทางเผยความจริงออกไปเช่นกัน ความจริงบางอย่างไม่อาจปล่อยให้คนรู้มากเกินไปได้
แม้จะเพียงเท่านี้ พวกซางเฉาจงก็ตื่นเต้นและดีใจกันอย่างมากแล้ว ล้วนทราบดีว่าการที่หนิวโหย่วเต้าผลักดันให้เกิดสถานการณ์ใหญ่โตเช่นนี้ขึ้นมันหมายความว่าอย่างไร ในที่สุดก็เข้าใจแล้วว่าเหตุใดหนิวโหย่วเต้าถึงให้พวกเขาคล้อยตามสำนักหยกสวรรค์มาตลอด เต้าเหยี่ยช่างลำบากทุ่มเทมากจริงๆ!
เนื่องด้วยเหตุนี้ พวกเขาถึงได้เข้าใจแล้วว่าเหตุใดเฟิ่งหลิงปอถึงทำตัวเป็นสุนัขจนตรอก เต้าเหยี่ยบีบคั้นจนเฟิ่งหลิงปอไร้หนทางแล้ว อีกทั้งต้องการจะเขี่ยเฟิ่งหลิงปอออกไป แล้วเฟิ่งหลิงปอจะไม่ร้อนใจได้อย่างไร!
ภายในดวงตาของซางซูชิงที่รับฟังอยู่ด้านข้างฉายแววดีใจ ภายในใจก็รู้สึกปิติดีใจเช่นกัน นางเชื่อมั่นมาตลอดว่าหนิวโหย่วเต้าไม่มีทางทอดทิ้งพวกนาง และความจริงมันก็ได้พิสูจน์แล้วว่าการวิเคราะห์ของนางถูกต้อง
ก็เหมือนอย่างเฮยหมู่ตานในครานั้น ก่อนตายยังคงเชื่อมั่นอยู่ตลอดว่าเรือไม่มีทางจากไป เชื่อมั่นจนถึงที่สุดว่าหนิวโหย่วเต้าจะรอนาง
ความเชื่อใจเหล่านี้มิใช่เพียงเพราะความรู้สึกฉันท์ชายหญิงอันใดเท่านั้น แต่ทุกคนอยู่ร่วมกับหนิวโหย่วเต้ามานาน ไว้วางใจในอุปนิสัยของหนิวโหย่วเต้า แม้นหนิวโหย่วเต้าจะไม่นับว่าเป็นคนดีอันใดก็ตาม แต่คนที่อยู่ร่วมกับเขามานานล้วนรู้สึกไว้วางใจในตัวเขาทั้งสิ้น
“เต้าเหยี่ยจะกลับมาเมื่อไร?”
สุดท้ายซางซูชิงที่คอยฟังอยู่ด้านข้างก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามขึ้นมา
แล้วก็นับว่าเป็นการพูดสิ่งที่อยู่ในใจของพวกเหมิงซานหมิงออกมาเช่นกัน ทุกคนล้วนอยากพบหนิวโหย่วเต้าเพื่อแสดงความขอบคุณ เต้าเหยี่ยช่วยพลิกสถานการณ์ให้ทางนี้ จะขอบคุณเช่นไรก็ล้วนไม่มากไปเลย
หยวนกังมองไปที่ซางเฉาจง “เรื่องนั้นก็ขึ้นอยู่กับว่าท่านอ๋องจะควบคุมหนานโจวได้เมื่อไร!”艾琳小說
ซางเฉาจงเงียบไป เหมิงซานหมิงตกอยู่ในห้วงความคิด หลานรั่วถิงพยักหน้าเล็กน้อย ล้วนเข้าใจความหมายในวาจานี้
ก่อนที่ทางนี้จะเข้าควบคุมหนานโจวได้อย่างสมบูรณ์ คาดว่าหนิวโหย่วเต้าคงไม่เผยตัวออกมา ผลักดันจนสถานการณ์พลิกไปเช่นนี้ คาดว่าสำนักหยกสวรรค์โดยเฉพาะผิงโย่วไจ้คงอย่างบดขยี้เต้าเหยี่ยให้แหลกเป็นเถ้าธุลีใจแทบขาดแล้ว
คาดว่าสำนักหยกสวรรค์คงกำลังเฝ้ารอให้หนิวโหย่วเต้าปรากฏตัวเพื่อจะกำจัดหนิวโหย่วเต้า ทางนี้มีแต่ต้องเข้าคุมอำนาจในมณฑลหนานโจวให้ได้ ถึงจะมอบหลักประกันความปลอดภัยที่มากพอสำหรับหนิวโหย่วเต้าได้ ต้องมีอำนาจมากพอจะข่มขวัญสำนักหยกสวรรค์ได้ ถึงจะทำให้สำนักหยกสวรรค์แบกรับความเสียหายด้านผลประโยชน์ไม่ไหว จนไม่กล้าผลีผลามลงมือกับเต้าเหยี่ย
…..
กลางดึกเงียบสงัดไร้ผู้คน ภายในห้องพักชั่วคราวของหยวนกัง
หยวนกังที่เนื้อตัวเต็มไปด้วยผ้าพันแผลอยู่ในท่านั่งม้า หมอกสีแดงวนเวียนอยู่ระหว่างปากและจมูก ก้อนกลมที่ปูดออกมาตรงหน้าท้องกลิ้งขึ้นๆ ลงๆ อยู่ภายในร่าง
อาการเจ็บปวดคันคะเยอจากบาดแผลทำให้หยวนกังยากจะทนรับไหว กล้ามเนื้อบนร่างพลันเกร็งตัวขึ้นมา ผ้าพันแผลทั่วร่างพลันดีดตัวฉีกขาดในชั่วพริบตา บ้างก็ร่วงลงบนพื้น บ้างก็ห้อยร่องแร่งอยู่บนตัว
ปากแผลปริแตกออกมาอีกครั้ง เลือดสดๆ ไหลทะลักอออกมา เพียงแต่ความเจ็บปวดเช่นนี้สบายกว่าความรู้สึกคันคะเยอรุนแรงก่อนหน้านี้มากนัก ทำให้หยวนกังสงบใจลงได้อีกครั้ง
หยวนกังที่หลับตาอยู่มองไม่เห็นความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นบนผิวกาย
ปากแผลที่ปริแยก ความเสียหายต่อเส้นเลือดปราณเล็กๆ บางส่วนเป็นอุปสรรคต่อการไหลเวียนของเลือดลมตามปกติภายในร่างกายเขา ภายใต้ผิวหนังบริเวณปากแผลมองเห็นเลือดลมมากมายหลายสายที่ดูราวกับงูตัวเล็กจิ๋วว่ายเคลื่อนเข้าหาปากแผลอย่างต่อเนื่อง
ภายในบาดแผลเกิดความเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย เนื้อเยื่อเล็กๆ กำลังเคลื่อนตัวเข้าหากัน บาดแผลเชื่อมสมานกันด้วยความเร็วที่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า
กระทั่งหยวนกังสูดหายใจนำหมอกแดงเข้าสู่ปอดจนหมด ขณะที่เขากำลังเก็บพลังแล้วลุกขึ้นยืนพลางจัดการผ้าพันแผลที่ฉีกขาดบนร่าง ตัวเขาก็ผงะไปเล็กน้อย ยกสองมือขึ้นลูบคลำไปตามร่างกายของตนอย่างรวดเร็ว
เขาหลงนึกว่าตนตาฝาดไป แต่ความจริงมันได้ยืนยันแล้วว่าเขาไม่ได้ตาฝาด บาดแผลน้อยใหญ่บนร่างกายหายไปหมดแล้ว บนร่างกายนอกจากคราบเลือดบางส่วนบนผิวหนังแล้ว ผิวหนังล้วนกลับมาสมบูรณ์เหมือนเดิม
….
ยามที่แสงอรุณเริ่มส่องสลัวบนท้องนภา ขบวนม้ากลุ่มหนึ่งมุ่งหน้าเข้ามายังประตูเมืองทิศตะวันตก เป็นคณะของเผิงโย่วไจ้ที่เดินทางกลับมาจากมณฑลจินโจว
ประตูเมืองทิศตะวันตกถูกเปิดออกทันที ปล่อยให้ทั้งคณะผ่านเข้าไป เฉินถิงซิ่วปรากฏตัวออกมาต้อนรับด้วยตัวเอง ขณะที่ร่วมขบวนกลับเข้าเมืองมาด้วยกัน เขาเอ่ยเตือนว่า “เจ้าสำนัก คนของสามสำนักยังรออยู่นอกประตูเมืองทิศใต้ขอรับ”
“ให้พวกเขารอต่อไป!” เผิงโย่วไจ้ที่มีสีหน้าคร่ำเคร่งเอ่ยด้วยน้ำเสียงเยียบเย็น
เขาอารมณ์ไม่ดีอย่างยิ่ง เกิดเรื่องใหญ่ถึงขนาดนั้นขึ้น สำนักหยกสวรรค์ไม่มีทางจะปิดบังเรื่องนั้นจากเขา ส่งข่าวไปแจ้งเขาทันที เขาได้รับข่าวจากสำนักระหว่างที่เดินทางอยู่ ทราบแล้วว่าเกิดเรื่องเช่นไรขึ้น ครอบครัวของบุตรสาวและลูกเขยของตนทำเรื่องที่ขัดต่อคำสั่งสำนักหยกสวรรค์ ตัวเขาที่มีฐานะเป็นเจ้าสำนักหยกสวรรค์จะให้เขารู้สึกอย่างไร จะให้เขาอารมณ์ดีได้อย่างไรกัน
ตลอดทางมานี้ เขาเฝ้าทบทวนอยู่ตลอดว่าจะจัดการเรื่องนี้อย่างไร
เมื่อกลับมาถึงนอกศาลาว่าการ ทั้งคณะกระโดดลงจากหลังม้า เฟิงเอินไท่โผล่หน้าออกมาต้อนรับ
เผิงโย่วไจ้หยุดอยู่ตรงหน้าเขา กัดฟันเอ่ยถาม “แม้แต่ป้ายคำสั่งผู้อาวุโสของตัวเองก็ยังดูแลไม่ได้ แล้วเจ้าจะทำอะไรกินได้?”
เฟิงเอินไท่อ้าปากพะงาบๆ ไร้คำพูด หากจะว่ากันแบบนี้ล่ะก็ เขาเองก็มีส่วนต้องรับผิดชอบจริงๆ เป็นความรับผิดชอบที่เขาต้องแบกรับไว้ เพราะหากว่ากันในอีกแง่หนึ่งแล้ว ถ้าเผิงอวี้หลานไม่ได้ป้ายคำสั่งผู้อาวุโสของเขาไปก็คงไม่เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นมา
พอเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น เฟิงเอินไท่ก็ทราบเช่นกันว่าสำหรับศิษย์พี่เจ้าสำนักแล้ว นี่นับเป็นเรื่องที่จัดการได้ลำบากมาก หากลงโทษหนัก นั่นก็คือบุตรสาวของตน หากลงโทษเบา ต่อให้ศิษย์สำนักหยกสวรรค์ทั้งบนล่างไม่พูด แต่ภายในใจย่อมรู้สึกไม่ยอมรับแน่ ข้อครหาว่าจัดการเรื่องราวไม่โปร่งใสจะตกอยู่ที่ตัวศิษย์พี่เจ้าสำนักแน่นอน
เผิงโย่วไจ้เองก็ไม่ได้คุยอะไรที่หน้าประตูต่อ เขาสะบัดแขนเสื้อแค่นเสียงเหอะ เดิดอาดๆ เข้าไปด้านใน เรียกรวมตัวผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องอย่างรวดเร็ว สอบถามสถานการณ์ให้แน่ชัดก่อน เรื่องบางอย่างไม่อาจอธิบายรายละเอียดผ่านจดหมายสั้นๆ ได้ ต้องทำความเข้าใจสถานการณ์ก่อนถึงจะสามารถตัดสินได้
ขณะเดียวกัน เขาได้แจ้งผลลัพธ์การเจรจากับวังสวรรค์หมื่นวิมานต่อผู้อาวุโสระดับสูงของสำนักหยกสวรรค์ด้วย เรื่องนี้เป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด เหตุวุ่นวายบางอย่างภายในเมืองล้วนนับเป็นเรื่องเล็ก เพราะหากจัดการล่าช้าไม่ทันเวลาแล้วล่ะก็ เกิดทางมณฑลจินโจวลงมือขึ้นมา พวกเขาคงจะรักษามณฑลหนานโจวที่เพิ่งได้มาไว้ไม่อยู่ ทั้งสำนักหยกสวรรค์อาจจะต้องจบสิ้นลง
กลุ่มผู้อาวุโสของสำนักหยกสวรรค์มารวมตัวกันในห้องโถง หลังจากบอกเล่ารายละเอียดของเหตุการณ์ในครั้งนี้จนชัดเจนแล้ว ในส่วนที่ว่าจะจัดการกันอย่างไร ทุกคนล้วนปิดปากเงียบไป เรื่องราวเกี่ยวพันถึงลูกสาวและลูกเขยของเจ้าสำนัก ไม่สะดวกจะพูดอะไรออกไป อย่างมากก็แค่เฝ้ามองด้วยสายตาเยือกเย็น รอดูว่าตัวเผิงโย่วไจ้จะจัดการอย่างไร
เผิงโย่วไจ้เองก็ไม่ได้พูดอะไรมากเช่นกัน เข้าประเด็นสำคัญเรื่องมณฑลจินโจวยกทัพใหญ่มาประชิดเลย
หลังจากแจ้งเรื่องเสร็จ ผู้อาวุโสคนหนึ่งเอ่ยด้วยความตกใจ “สรุปแล้ววังสวรรค์หมื่นวิมานกินยาผิดสำแดงอันใดไป ต้องการจะแตกหักกับสำนักหยกสวรรค์เราอย่างนั้นหรือ? เจ้าสำนัก พวกเขาคิดจะฉวยโอกาสตีชิงตามไฟเรียกร้องเอาผลประโยชน์อันใดใช่หรือไม่? ลองต่อรองเงื่อนไขดูเถิด! ”
ผู้อาวุโสคนหนึ่งที่ติดตามไปยังมณฑลจินโจวด้วยถอนหายใจเอ่ยขึ้นว่า “วังสวรรค์หมื่นวิมานไม่ต้องการผลประโยชน์ใดๆ ทั้งสิ้น ยืนยันเพียงประโยคเดียวว่าต้องยกอำนาจปกครองหนานโจวให้ซางเฉาจง หากเราไม่ตกลง พวกเขาก็จะเข้าโจมตี ไม่เหลือช่องให้เจรจาใดๆ ทั้งสิ้น!”
“เป็นเช่นนี้ไปได้อย่างไร?”
เกิดความอลหม่านขึ้นมาทันที เกิดการพูดคุยหารือ คิดไม่ออกและไม่เข้าใจจริงๆ ว่าวังสวรรค์หมื่นวิมานทำไปเพื่อสิ่งใดกันแน่ ผิดปกติเกินไปแล้ว เพื่อคนนอกอย่างซางเฉาจงแล้วถึงขั้นที่ไม่แยแสถึงผลประโยชน์ของตนเลย เช่นนี้ปกติงั้นหรือ?
เผิงโย่วไจ้เอ่ยอย่างเคร่งขรึมว่า “ทุกคนออกความเห็นมาเถิด จะยอมรับเงื่อนไขของวังสวรรค์หมื่นวิมานหรือไม่?”
“เจ้าสำนัก หนิวโหย่วเต้ามีอิทธิพลต่อซางเฉาจงมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะเมื่อเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น หากปล่อยให้ซางเฉาจงได้กุมอำนาจจะไม่เป็นผลดีต่อพวกเรา จะเกิดปัญหาตามมาได้ง่ายๆ”
“ไม่ดีเลย! ที่สำคัญคือวังสวรรค์หมื่นวิมานยืนกรานจะทำสงครามใหญ่ด้วยเหตุนี้อย่างไม่ลังเลย หากทั้งสองฝ่ายปะทะกันขึ้นมา ทุกคนก็ทราบผลลัพธ์ดี พวกเราจะยังได้ครอบครองมณฑลหนานโจวอยู่อีกหรือ?”
ทั้งกลุ่มต่างแสดงความเห็นที่ตนมีต่อเรื่องนี้ หารือกันตั้งแต่รุ่งเช้าจรดเที่ยง ในที่สุดก็หารือจนได้ข้อสรุปสุดท้ายของเรื่องราวออกมา
หลังจากได้ข้อตัดสินสำหรับเรื่องนี้แล้ว เผิงโย่วไจ้ที่นั่งในตำแหน่งประธานนิ่งเงียบไปพักหนึ่ง เอ่ยเนิบๆ ขึ้นมา “คุมตัวเฟิ่งหลิงปอและเผิงอวี้หลานมา!”
ภายในห้องเงียบสงัด ทุกคนมองกันไปกันมา ไม่มีผู้ใดปริปาก แต่ล้วนทราบดีว่าเช่นนี้คือเจ้าสำนักกำลังจะมอบคำตัดสินให้ทุกคนแล้ว
……………………………………………………………………