ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า - ตอนที่ 455 เอ๋ เจ้านี่เอง!
ตอนที่ 455 เอ๋ เจ้านี่เอง!
เมื่อออกจากเรือนเล็กมืดสลัว ลูเซิ่งจงเดินไปตามตรอกมืดๆ พลางใช้พลังขับสุราในร่างออกมา กลิ่นสุราลอยคลุ้งอบอวล
ระหว่างที่เดินอยู่ก็ถอดหน้ากากหนังชั้นหนึ่งทิ้งไปด้วย ด้านล่างยังมีหน้ากากหนังอยู่อีกชั้น จากนั้นก็ถอดเสื้อคลุมตัวนอกออก ด้านในยังมีเสื้อคลุมชั้นนอกสีสดใสอยู่อีกตัว พอถอดออกก็ถือโอกาสโยนทิ้งในน้ำครำที่เดินผ่าน
ขอเพียงเดินออกจากไปที่นี่ เฉาเซิ่งไห่คนนั้นก็ไม่มีทางจำได้ว่าเขาคือผู้ใด รอจนเรื่องราวบานปลายขึ้นมา ต่อให้สำนักหมื่นสรรพสัตว์ออกสืบหาด้วยตัวเอง แต่หากคิดจะควานหาตัวเขาจากผู้คนมากมายทั่วทั้งเมืองวั่นเซี่ยงก็ยากที่จะเป็นไปได้
ส่วนเฉาเซิ่งไหวจะทำสำเร็จหรือไม่ นั่นไม่ใช่เรื่องที่เขาจะต้องกังวล หากเขาทำสำเร็จได้ย่อมเป็นเรื่องดี หากทำไม่สำเร็จ ทว่าทำห้หนิวโหย่วเต้าเกิดความบาดหมางกับสำนักหมื่นสรรพสัตว์ได้ก็นับเป็นเรื่องดีเช่นกัน ตนก็จะมีคำอธิบายมอบให้เซ่าผิงปอเพื่อยืนยันว่าตนทุ่มเทสุดความสามารถแล้ว
เดินอ้อมไปมาอยู่พักหนึ่ง พอมาถึงปากตรอกอีกแห่งก็หยุดลง เมื่อแน่ใจแล้วว่าไม่มีใครเดินผ่านอยู่ด้านนอก เขาถึบจะเลี้ยวออกไป
เขาเดินย่ำไปตามท้องถนนยามราตรี ลัดเลาะผ่านเมืองวั่นเซี่ยงไปครึ่งเมืองจนกลับมาถึงเรือนที่ตนเองเช่าเอาไว้ ขณะที่เปิดประตูก็ถือโอกาสปลดป้ายที่ห้อยอยู่บนประตูลงด้วย บนป้ายเขียนคำว่า ‘ปล่อยเช่า’ เอาไว้
ป้ายนี้เป็นเขาที่เอามาแขวนไว้เอง ถูกต้อง ตัวเขาเช่าเรือนหลังนี้ไว้แล้ว แต่ก็นำมาปล่อยเช่าต่ออีกทอดหนึ่ง
แต่แน่นอน นี่เป็นเพียงแผนการที่เขาวางไว้ก่อนหน้านี้ เป็นแผนการสำหรับตามหาเป้าหมายที่เหมาะสม หลังจากพบเป้าหมายอย่างเฉาเซิ่งไห่แล้ว เขาก็ไม่จำเป็นต้องแขวนป้ายนี้อีกต่อไป
ขณะที่กำลังจะผลักเปิดประตูเข้าไป พลันมีเสียงสอบถามแว่วมาจากด้านหลัง “สหาย เรือนหลังนี้คิดค่าเช่าวันละเท่าไร?”
ลู่เซิ่งจงหันกลับไปมอง เห็นชายชุดดำร่างผอมเพรียวคนหนึ่งยืนอยู่ข้างถนน เขาตอบไปว่า “วันละร้อยเหรียญทอง”
อันที่จริงตอนเขามาเช่า เจ้าของบ้านตัวจริงคิดค่าเช่าเพียงวันละสิบเหรียญทองเท่านั้น
วันละสิบเหรียญทองนับเป็นราคาที่สูงลิ่วแล้ว แต่นี่คือราคาตามท้องตลาดในช่วงนี้เท่านั้น ยามปกติเมืองวั่นเซี่ยงจะเงียบเหงาวังเวง มีเพียงช่วงที่จัดงานชุมนุมสัตว์วิเศษถึงจะมีคนจำนวนมากมาชุมนุมกัน ทุกครั้งที่มีงานชุมนุมสัตว์วิเศษล้วนเป็นโอกาสดีในการหารายได้ของชาวเมืองวั่นเซี่ยง บ้านไหนที่มีคุณสมบัติพร้อมล้วนไม่มีทางยอมพลาดโอกาสไป
แน่นอน หากเป็นยามปกติ เรือนธรรมดาๆ ไม่มีทางปล่อยเช่าในราคาสิบเหรียญทองต่อวันได้ แต่เรือนหลังนี้ตั้งอยู่ในทำเลที่เงียบสงบเป็นส่วนตัวจริงๆ ถึงแม้ตัวเรือนจะไม่ใหญ่มากนัก แต่สภาพแวดล้อมการตกแต่งภายในก็นับว่ายอดเยี่ยม ถึงปล่อยเช่าในราคาสูงเช่นนี้ได้
เขาไม่ได้คิดจะฉวยโอกาสนี้เก็งกำไรจากส่วนต่างของราคาปล่อยเช่า แต่เหตุผลที่เขาตั้งใจหาเรือนที่ตั้งอยู่ในทำเลที่ไม่เลวหลังนี้เพื่อปลอยเช่าต่อนั้นก็ง่ายมาก เพราะคนที่สามารถจ่ายเงินเช่าในราคาร้อยเหรียญทองต่อวันได้ย่อมมิใช่คนทั่วไป น่าจะมีอำนาจมากพอจะสร้างปัญหายุ่งยากให้หนิวโหย่วเต้าได้
การเป็นฝ่ายออกตามหาเป้าหมายไปทั่วมีความเสี่ยงที่ข้อมูลจะรั่วไหลออกไป ชวนให้คนนึกสงสัยได้ง่ายๆ แต่การปล่อยข้อมูลออกไปในฐานะเจ้าของบ้านเช่ากลับสะดวกปลอดภัยกว่ามาก
ส่วนเรื่องที่ว่าทำเช่นนี้จะส่งผลให้เจ้าของบ้านตัวจริงไม่พอใจหรือไม่ เขาไม่จำเป็นต้องกังวลเลย ข้าเช่ามาแล้ว จะทำอย่างไรก็เป็นเรื่องของข้า อีกอย่างข้าก็ไม่ได้ยึดเรือนของเจ้าไปเสียหน่อย แล้วก็ไม่ได้ทำลายเรือนของเจ้าด้วย ยังไม่ได้ขโมยไปไหน ไม่นับว่ามีความผิดใด
เรื่องเดียวที่ต้องกังวลคือจะปล่อยเช่าออกไปได้หรือไม่
“ตกลง!” ชายชุดดำพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม “หนึ่งร้อยก็หนึ่งร้อย”
พอได้ยินคำตอบนี้ ลู่เซิ่งจงหันหน้ากลับมาด้วยท่าทางจริงจัง พินิจดูอีกฝ่ายอย่างจริงจังครู่หนึ่ง ตนเพียงคิดจะลองทดสอบดูเท่านั้น ไม่คิดเลยว่าจะมีคนมั่งคั่งมาเช่าจริงๆ
เขาไม่รังเกียจที่จะสร้างปัญหาเพิ่มให้หนิวโหย่วเต้าอยู่แล้ว
ลู่เซิ่งจงยืนอยู่ข้างประตู ผายเมือเชื้อเชิญ
ชายชุดดำกลับหันหลังไปกวักมือเล็กน้อย ในความมืดที่ไกลออกไปมีเสียงฝีเท้าม้าแว่วออกมา เงาร่างสีขาวมุ่งหน้าเข้ามาทางด้านนี้
พอค่อยๆ เข้ามาใกล้เงาร่างสีขาวก็ชัดเจนขึ้น เป็นสตรีในชุดขาวพิสุทธิ์นางหนึ่ง ใช้แพรโปร่งสีขาวผืนหนึ่งผูกบังหน้าไว้กึ่งหนึ่ง รูปร่างบุคลิกดูสง่างามแช่มช้อย มองทรงเสน่ห์อย่างยิ่ง มีอาชาสี่ตัวติดตามมาด้านหลังของนาง ม้าตัวหนึ่งว่างไร้คน ส่วนที่เหลือมีคนนั่งอยู่สามคนล้วนแต่งกายเช่นคนที่อยู่ตรงหน้า สวมชุดดำเหมือนกัน
ม้าทั้งสี่ตัวหยุดอยู่หน้าประตู ภายใต้แสงโคมที่แขวนอยู่หน้าประตูสตรีชุดขาวที่มีแพรโปร่งบดบังดวงหน้างามอยู่ครึ่งหนึ่งกวาดสายตามองประตูทางเข้าคฤหาสน์อย่างเย็นชา จากนั้นก็พาเหล่าผู้ติดตามลงจากหลังม้า
หลังจากลู่เซิ่งจงนำทางทั้งกลุ่มเข้าไปด้านใน เขาก็พาทั้งกลุ่มไปชมสภาพแวดล้อมของตัวเรือนก่อนเป็นอันดับแรก
ผีเสื้อจันทราหลายตัวบินล่องลอย พอตรวจสอบเบื้องต้นเรียบร้อย สตรีชุดขาวก็เอ่ยถามเสียงเรียบ “ไม่ทราบว่าท่านมีนามว่าอะไร?”
ลู่เซิ่งจงเอ่ยตอบ “จูเจียง!”
ชื่อที่เขาตอบเป็นของเจ้าของบ้านเช่า เขาไม่มีทางแจ้งนามของตนออกไป
หลังจากเดินวนทั่วตัวเรือนรอบหนึ่ง สตรีชุดขาวก็ไม่ได้คัดค้านอันใด ลูกน้องของนางเป็นตัวแทนร่างสัญญาเช่าแทน พร้อมชำระเงินส่งมอบสถานที่ทันที
ลู่เซิ่งจงมองชายชุดดำที่กำลังร่างสัญญาอยู่พลางยิ้มแล้วเอ่ยถาม “ทุกท่านมาที่เมืองวั่นเซี่ยงเพื่อทำธุรกิจกระมัง?”
ชายผอมเพรียวที่เป็นหัวหน้ากลุ่มคนชุดดำทั้งสี่ถามกลับด้วยรอยยิ้ม “มองออกได้อย่างไร?”
ลู่เซิ่งจงหัวเราะตอบไปว่า “แขกจากภายนอกมักจะมาขายสิงสาราสัตว์หายากให้แก่สำนักหมื่นสรรพสัตว์ของพวกเราอยู่เสมอ มีคนมากมายที่อาศัยช่องทางนี้หารายได้ เมื่อครู่ข้ายังได้ยินเรื่องน่าสนใจบางอย่างมาด้วย ได้ยินว่าในห้องหมายเลขสามของโรงเตี๊ยมชะตาสวรรค์ที่อยู่ในเมืองมีปีศาจหมีตัวหนึ่งอยู่”
“น่าสนใจหรือ?” ชายผอมเพรียวแปลกใจ “ปีศาจหมีเกี่ยวอะไรกับเรื่องน่าสนใจกัน?”
ลู่เซิ่งจงกล่าวว่า “ได้ยินว่านั่นมิใช่ปีศาจหมีธรรมดา หากแต่เป็นราชาหมีขนทองใน ‘บันทึกสัตว์ประหลาด’ ลือกันว่าถูกเพื่อนร่วมกลุ่มหลอกมา ปีศาจหมีตัวนั้นก็น่าสงสารนัก ถูกมนุษย์หลอกมาโดยไม่รู้ตัว แต่เกรงว่าคนผู้นั้นคงจะไม่ได้สมหวังแล้ว แขกผู้มีเกียรติที่แท้จริงที่ได้รับเชิญมาอย่างเป็นทางการจะได้รับการเชื้อเชิญจากสำนักหมื่นสรรพสัตว์เราให้เข้าพักในคฤหาสน์บนเขาโดยเฉพาะ ไหนเลยจะมาพักอยู่ในเมืองวั่นเซี่ยงได้ ยิ่งไม่มีทางมาเช่าโรงเตี๊ยมธรรมดาอยู่ พวกท่านลองคิดดูสิ แม้แต่ข้าก็ยังทราบข่าวนี้ได้ เกรงว่าคงมีคนที่สนใจอยากจะสอดมือเข้าไปยุ่งเป็นแน่ เพราะถึงอย่างไรหากเอาไปเสนอขายให้แก่สำนักหมื่นสรรพสัตว์ของเราก็คงได้ราคาอย่างน้อยหลักล้านเหรียญทอง! ทรัพย์ก้อนใหญ่ขนาดนี้ จะไม่มีคนหวั่นไหวได้เหรอ”
เขากำลังลอบเผยให้ทางนี้ทราบว่าทางฝั่งหนิวโหย่วเต้าไม่ได้มีอำนาจอันใดเลย สามารถไปปล้นได้อย่างสบายๆ
ชายผอมเพรียวมองไปทางสตรีชุดขาวเล็กน้อย เห็นว่านางก็กำลังรับฟังอยู่เช่นกัน จึงเอ่ยถามต่อ “อยู่ในอาณาเขตของสำนักหมื่นสรรพสัตว์ ยังจะมีผู้ใดแย่งสำนักหมื่นสรรพสัตว์ได้อีกหรือ?”
ลู่เซิ่งจงโบกมือเอ่ยไปว่า “สำนักหมื่นสรรพสัตว์เราไหนเลยจะทำเรื่องปล้นชิงแบบนั้นได้ หากว่าทำเช่นนั้นจริงแล้วเกิดเสื่อมเสียชื่อเสียงขึ้นมา วันหน้าจะยังมีผู้ใดกล้านำสัตว์หายากมาขายให้สำนักหมื่นสรรพสัตว์อีกหรือ?”
สัญญาร่างเสร็จเรียบร้อย ลู่เซิ่งจงกวาดตาอ่าน เมื่อแน่ใจว่าไม่มีอะไรผิดพลาดก็รับเงินมัดจำไป ทั้งสองฝ่ายต่างลงนามในสัญญา พันธะสัญญานับว่าเสร็จสมบูรณ์
หลังจากแสร้งทำตัวเป็นเจ้าของบ้านเช่าด้วยการเอ่ยกำชับตักเตือนสองสามประโยค ลู่เซิ่งจงก็เชิญให้กลุ่มผู้มาเช่าเข้าพักผ่อนโดยเร็ว จากนั้นตัวเองขอตัวลาจากไป
เขาจากไปครานี้ก็ไม่คิดจะหวนกลับมาอีก มัดจำที่มอบให้เจ้าของบ้านเช่าไว้ก็ไม่ต้องการคืนแล้ว
ชายร่างผอมเพรียวออกไปส่งลู่เซิ่งจงที่ประตู หลังจากปิดประตูเดินกลับมาก็เห็นสตรีชุดขาวยืนเงยหน้ามองจันทราอยู่ใต้ชายคาเรือน เขาประสานมือเอ่ยว่า “ท่านเจ้าเขา เข้าพักผ่อนเร็วหน่อยเถิดขอรับ”
สตรีชุดขาวเอ่ยเนิบๆ “เขาไม่ใช่จูเจียง!”
ชายร่างผอมแปลกใจ “เหตุใดท่านเจ้าเขาถึงมั่นใจว่าเขาไม่ใช่หรือขอรับ?”
สตรีชุดขาวไม่ได้อธิบายเหตุผล เพียงเอ่ยว่า “เรื่องนี้มีเงื่อนงำ ส่งคนไปจับตามองสองคน”
ชายร่างผอมก็ไม่ถามอะไรมากอีก กวักมือเรียกลูกน้องคนหนึ่งมา จากนั้นทั้งสองก็จากไปอย่างรวดเร็ว
สตรีชุดขาวเดินลงบันไดมา เดินนวยนาดอยู่ภายใต้แสงจันทร์ พินิจดูเรือนหลังนี้ แววตาเลื่อนลอยคะนึงถึงอดีต
หากถามว่าเหตุใดนางถึงทราบว่าคนผู้นั้นมิใช่จูเจียง เพราะว่านางรู้จักกับบรรพบุรุษของจูเจียง
บรรพบุรุษของจูเจียงก็คือจูชื่อเฉิงอดีตเจ้าสำนักรุ่นก่อนของสำนักหมื่นสรรพสัตว์ ในอดีตตัวนางเป็นสัตว์วิเศษของจูชื่อเฉิง จูชื่อเฉิงก็คือเจ้านายของนาง
นั่นคือเรื่องเมื่อร้อยกว่าปีก่อน จูชื่อเฉิงออกไปสำรวจ ‘แดนผีเสื้อฝันมายา’ ไปแล้วไม่ย้อนหวนกลับมาอีก ไม่เคยกลับมาอีกเลยจนกระทั่งแดนผีเสื้อฝันมายาปิดลง กระทั่งแดนผีเสื้อฝันมายาเปิดออกอีกครั้ง สำนักหมื่นสรรพสัตว์ได้ส่งคนจำนวนมากเข้าไปค้นหา สูญเสียทั้งคนและทรัพยากรไปมากมาย แต่ก็ยังหาตัวจูชื่อเฉิงไม่พบ
สำนักหมื่นสรรพสัตว์ไม่อาจไร้เจ้าสำนักไปตลอดได้ ภายหลังจึงมีคนเข้ารับตำแหน่งแทน ในช่วงเวลานั้นตัวนางที่ยังเป็นเด็กหญิงตัวน้อยไม่พอใจอย่างยิ่ง อาละวาดวุ่นวายใหญ่โต ไม่เข้าใจความรู้สึกของผู้มารับช่วงต่อ แต่ด้วยเห็นแก่หน้าของจูชื่อเฉิง ถึงแม้จะไม่ได้ทำอะไรนาง แต่เขากลับขับนางออกจากสำนักหมื่นสรรพสัตว์ไป
ต่อมาภายหลัง นางเติบใหญ่ขึ้น บำเพ็ญเพียรจนสำเร็จ ทุกครั้งพอถึงกำหนดที่แดนผีเสื้อฝันมายาเปิดออก นางจะเดินทางกลับมาตามหาเหมือนในครั้งนี้
ส่วนเหล่าทายาทรุ่นหลังของจูชื่อเฉิง เห็นได้ชัดว่าไม่ได้มีเกียรติรุ่งโรจน์เช่นเดียวกับในสมัยที่จูชื่อเฉิงดำรงตำแหน่งเจ้าสำนักแล้ว แต่ทุกครั้งที่นางมาเยือน พวกเขาจะช่วยเหลืออย่างเงียบๆ มอบเงินให้จำนวนหนึ่งอะไรทำนองนั้น ครั้งนี้ก็เช่นกัน ดังนั้นต่อให้คิดค่าเช่าร้อยเหรียญทองต่อวันก็ยังเลือกเช่าอยู่ดี แล้วนางจะไม่รู้จักจูเจียงผู้เป็นเจ้าของบ้านคนปัจจุบันได้อย่างไร?
แล้วก็ไม่รู้ว่านางหวนระลึกถึงอดีตอยู่ใต้จันทรานานเพียงใด จันทราค่อยๆ เอียงตัวลงไปเรื่อยๆ
ชายร่างผอมกลับมาในยามที่จันทร์ยังสาดแสงอยู่ พอพบหน้าก็ประสานมือรายงาน “ท่านเจ้าเขา ‘จูเจียง’ คนนั้นมีปัญหาจริงๆ ขอรับ เขาเปลี่ยนแปลงเส้นทางและรูปโฉมหลายครั้ง สุดท้ายก็ไปเช่าโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง หูจื่อกำลังจับตามองทางนั้นอยู่ ต้องการให้ลงมือหรือไม่ขอรับ?”
สตรีชุดขาวเอ่ยด้วยแววตาเย็นชา “คิดจะหาเรื่องใส่ตัวหรือไร? เมืองวั่นเซี่ยงใช่สถานที่ที่จะลงมือส่งเดชได้หรือ? เรื่องราวยังไม่กระจ่างชัด จะหลับหูหลับตาก่อเรื่องได้หรือ? จับตามองไปก่อน รอดูสถานการณ์แล้วค่อยว่ากันอีกที”
ชายร่างผอมรีบตอบรับ “ขอรับ!”
สตรีชุดขาวเอ่ยว่า “เขาจงใจเอ่ยเรื่องราชาหมีขนทองตัวนั้น เห็นทีคงจะมีแผนการแอบแฝงอยู่ เจ้าไปสืบสถานการณ์มาหน่อย ต้องป้องกันเอาไว้ก่อน เผื่อเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น”
….
ช่วงรุ่งสาง ก่วนฟางอี๋ผลักประตูเดินเข้ามา หนิวโหย่วเต้ากำลังถือผ้าขนหนูเปียกหมาดเช็ดหน้าอยู่
ก่วนฟางอี๋รวบกระโปรงเล็กน้อย นั่งลงบนเก้าอี้ด้านข้างแล้วนั่งไขว้ขามองเขา
ผ้าขนหนูที่เปียกหมาดถูกโยนกลับเข้าไปในอ่างน้ำ หยวนฟางยกอ่างออกไป
หนิวโหย่วเต้าเอ่ยถามขณะที่หันซ้ายหันขวามองภาพสะท้อนของตนในบานคันฉ่อง “ทางสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ยังไม่มาอีกหรือ?”
ก่วนฟางอี๋ตอบสั้นๆ “ยังไม่มา!”
หนิวโหย่วเต้าหัวเราะหยัน “ดูเหมือนผู้อาวุโสถังคนนั้นจะยอมหักไม่ยอมงอ ฮ่าๆ หากยอมตายดีกว่ายอมสยบได้จะดีที่สุด”
เขาคิดว่าที่ผ่านมาพวกถังอี๋คงไม่อาจโน้มน้าวถังซู่ซู่ได้ มิเช่นนั้นคงมาหาเขาตั้งนานแล้ว
“บุรุษตัวโตคนหนึ่งเอาแต่ส่องคันฉ่องไม่จบไม่สิ้น ทำตัวราวกับสตรี น่ารำคาญนัก”
“เข้าใจผิดแล้ว ข้าแค่ไม่ชำนาญการหวีผมเกล้ามวยเท่านั้น”
ก่วนฟางอี๋วางขาข้างหนึ่งลง ลุกขึ้นเดินเข้ามาหา “ในเมืองมีการติดประกาศไว้ ยืนยันแล้วว่าแดนผีเสื้อฝันมายาจะเปิดออกประมาณช่วงบ่ายนี้ เจ้าอยากเข้าไปเปิดหูเปิดตาดูหรือไม่?”
เมื่อแน่ใจว่ามวยผมตั้งตรงดีแล้ว หนิวโหย่วเต้าถึงได้ลุกออกจากหน้าคันฉ่อง เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “หากพลาดโอกาสนี้ไปก็ต้องรอจนครบสิบปีอีกครั้ง ไหนๆ ก็มาถึงแล้ว จะไม่ถือโอกาสเข้าไปเปิดหูเปิดตาได้อย่างไร”
แดนผีเสื้อฝันมายา ได้ยินว่าในอดีตกาลนานมาแล้วเคยเป็นตำหนักประทับของซางซ่งปฐมจักรพรรดิราชวงศ์อู่ หลังจากซางซ่งหายตัวไป ก่อนที่ฮองเฮาหลีเกอจะหายตัวไป พระองค์ได้ลงผนึกสะกดแดนผีเสื้อฝันมายาเอาไว้ แต่อาจมีจุดหนึ่งที่อยู่เหนือความคาดหมายของหลีเกอไป ในช่วงสุริยุปราคาที่จะเกิดขึ้นทุกสิบปีจะส่งผลกระทบต่อค่ายกลดวงดาว ทำให้ค่ายกลของผนึกปรากฏช่องโหว่ขึ้น ทางเข้าของแดนผีเสื้อฝันมายาจะเปิดออกเป็นเวลาสามวัน
ทางเข้านั้นอยู่ภายในเขตของสำนักหมื่นสรรพสัตว์ งานชุมนุมสัตว์วิเศษจะจัดขึ้นในช่วงเวลานี้ นับว่าเป็นกิจกรรมบันเทิงอย่างหนึ่งที่สำนักหมื่นสรรพสัตว์ใช้รับรองแขกที่มาเยือนจากทั่วสารทิศ ให้แขกที่มาเยือนได้เข้าไปเปิดหูเปิดตา
“ผู้ใดมาทำตัวลับๆ ล่อๆ”
พลันมีเสียงตลาดของหยวนกังแว่วมาจากด้านนอก
หนิวโหย่วเต้าเลิกคิ้วเล็กน้อย ส่งสายตาให้ก่วนฟางอี๋
ในเวลานี้เอง มีเสียงของหยวนฟางแว่วตามขึ้นมา “เอ๋ เจ้าเองเหรอ!”
หนิวโหย่วเต้าได้ฟังก็หันหลังไปทันที ต้องการออกไปดูว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ อยากเห็นว่าเป็นผู้ใดกัน หยวนฟางถึงรู้จักได้
บนเฉลียงทางเดินด้านนอก ชายร่างผอมเพรียวคนหนึ่งถูกหยวนกังสกัดไว้ หยวนฟางที่โผล่มาจากด้านหลังเบิกตาจ้องเขม็งอยู่
คล้ายว่าหยวนฟางจะนึกชื่อของอีกฝ่ายไม่ออก เขาตบหน้าผากพลางบ่นอย่างเลอะเลือนว่า “เจ้าคือไอคนที่มาจากเขาข้ามเมฆาที่มาดักปล้นพวกเราในตอนนั้นนี่”
……………………………………………………………