ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า - ตอนที่ 457 พบอวิ๋นจีครั้งแรก
ตอนที่ 457 พบอวิ๋นจีครั้งแรก
แต่อิจฉาก็สวนอิจฉา นางยังคงรู้สึกชิงชังหยวนกังอยู่ ท่าทีที่หยวนกังมีต่อนางทำให้นางจำเป็นต้องยอมรับความจริงที่ว่าตนไม่อ่อนเยาว์อีกต่อไปแล้ว เรื่องนี้ทำให้นางที่เป็นโฉมงามมาชั่วชีวิตรู้สึกรับไม่ค่อยได้
สายตาที่มองสอดส่องไปทั่วของก่วนฟางอี๋พลันหยุดนิ่ง จากนั้นไม่นาน พวกหนิวโหย่วเต้าก็มองไปในทิศทางเดียวกัน
พวกเขามองเห็นถังอี๋พาศิษย์สำนักสวรรค์พิสุทธิ์จำนวนสิบคนเหินเข้ามา ร่อนลงด้านข้างพวกหนิวโหย่วเต้า ถังอี๋ผงกหัวทักทายหนิวโหย่วเต้าเล็กน้อย หลัวหยวนกงและซูพั่วก็พากันผงกหัวทักทายหนิวโหย่วเต้าด้วยเช่นกัน
ยังมีคนรู้จักของหนิวโหย่วเต้าอีกสองคน เป็นเว่ยตัวกับถูฮั่นขาเป๋ตาเดียว
หนิวโหย่วเต้าสบตากับถูฮั่นตรงๆ อย่างจริงใจ สำหรับหนิวโหย่วเต้าแล้ว ในช่วงที่ถูกกักบริเวณในสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ คนเดียวที่เขารู้สึกดีด้วยมีเพียงถูฮั่นที่คอยดูแลใส่ใจเขาคนนี้ กระทั่งในตอนที่เขาออกจากสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ไปก็ยังแอบมาแจ้งข่าวต่อเขา
นับตั้งแต่ออกจากสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ จากกันมานานหลายปี นี่เป็นครั้งแรกที่ทั้งสองได้กลับมาพบกันอีกครั้ง
แม้จะไม่ได้พูดจา แต่แววตาหนิวโหย่วเต้าเจือรอยยิ้ม สายตาเคลื่อนไปหยุดที่เว่ยตัวเล็กน้อย จากนั้นมองผ่านไปอย่างรวดเร็ว
คนที่หนิวโหย่วเต้าทนรับไม่ไหวที่สุดก็คือเว่ยตัว ทุกครั้งที่คนผู้นี้พบหน้าเขา อีกฝ่ายล้วนแต่มีท่าทางคาดหวังและ ‘คลั่งไคล้’ อยู่เสมอ
แต่หนิวโหย่วเต้าก็สังเกตเห็นเล็กน้อยเช่นกัน ยังคงไม่เห็นถังซู่ซู่อยู่ในกลุ่มเช่นเคย สตรีนางนั้นดื้อด้านเพียงใด เพียงแค่คิดดูก็รู้แล้ว
ส่วนพวกถังอี๋เองก็ไม่ได้พูดคุยอะไรกับหนิวโหย่วเต้าเช่นกัน เพียงยืนอยู่ตรงนั้นอย่างสงบ ท่าทางคล้ายจะเข้าไปในแดนความฝันผีเสื้อเช่นกัน
อันที่จริงการเข้าสู่แดนความฝันผีเสื้อไม่ใช่เป้าหมายที่พวกเขามาในครั้งนี้ หากแต่คอยจับตามองหนิวโหย่วเต้าอย่างเปิดเผยมาโดยตลอด พอทราบว่าหนิวโหย่วเต้ามาที่นี่ ก็เดาได้ว่าคงต้องการเข้าสู่แดนความฝันผีเสื้อ ด้วยเหตุนี้ทั้งกลุ่มถึงตามมา
แต่พวกเขากลับไม่ได้รู้เลยว่าพฤติกรรมของพวกเขาทำให้หนิวโหย่วเต้าค่อนข้างโมโห
หนิวโหย่วเต้าตั้งใจขีดเส้นแบ่งความสัมพันธ์กับสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ ทว่าสำนักสวรรค์พิสุทธิ์กลับมายืนรวมตัวกับเขาอย่างอย่างเปิดเผยโจ่งแจ้ง ผู้ใดจะกล้ารับประกันเล่าว่าในบรรดาคนมากมายที่กระจายตัวอยู่ในหุบเขานี้จะไม่มีคนที่รู้จักกับพวกเขาอยู่ด้วย
คิดจะเปลี่ยนข้าวสารให้เป็นข้าวสุกหรือ? หนิวโหย่วเต้าสีหน้าคร่ำเคร่งขึ้นมาเล็กน้อย แค่นเสียงอยู่ในใจ รู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง
คลื่นลูกแรกยังไม่ทันสงบ คลื่นอีกลูกก็ไล่หลังเข้ามา จู่ๆ สตรีชุดขาวที่อยู่ด้านหลังเยื้องไปทางขวาก็มีความเคลื่อนไหว เหินทะยานเข้ามาแล้วร่อนลงด้านข้าง ก่อนจะค่อยๆ เดินเข้ามาหา
การกระทำนี้เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายไม่ได้มีเจตนาจะโจมตี เปิดโอกาสให้ทางนี้ได้เตรียมตัวป้องกันตัว มิเช่นนั้นคงพุ่งเข้ามาหาในทันทีแล้ว
ภายใต้สายตาของคนทั้งกลุ่ม สตรีชุดขาวเดินเข้ามาตามลำพัง จนมาหยุดยืนอยู่เบื้องหน้าหนิวโหย่วเต้า สบตากับหนิวโหย่วเต้า
หลังจากพินิจดูอยู่ครู่หนึ่ง แม้ว่าอีกฝ่ายจะสวมแพรโปร่งบังใบหน้าไว้ แต่หนิวโหย่วเต้าก็ยังแน่ใจว่าตนน่าจะไม่เคยพบสตรีคนนี้มาก่อน จึงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามยิ้มๆ ว่า “สหายท่านนี้มีธุระใดหรือ?”
แม้จะทราบว่าปกติไม่มีใครกล้ามาก่อเรื่องวุ่นวายในอาณาเขตใต้จมูกของสำนักหมื่นสรรพสัตว์อย่างเปิดเผย แต่ก่วนฟางอี๋ยังคงสอดมือเข้าไปในแขนเสื้อ กุมยันต์อาคมเอาไว้ เตรียมพร้อมลงมือเพื่อป้องกันเหตุร้ายตลอดเวลา
พวกถังอี๋ก็จับตามองสตรีนางนี้เช่นกัน ฟังออกจากวาจาของหนิวโหย่วเต้าว่าหนิวโหย่วเต้าน่าจะไม่รู้จักคนผู้นี้
สตรีชุดขาวเอ่ยอย่างเรียบเฉยว่า “ข้าคือสหายของอู๋เสวี่ยจวิน”
ผู้ที่มาก็คืออวิ๋นจี แต่นางกลับไม่ได้เผยฐานะของตนออกมาต่อหน้าคนมากมาย
เดินทีนางคิดว่าหลังจากเข้าไปในแดนความฝันผีเสื้อแล้วจะติดตามสังเกตการณ์ต่อไปสักระยะ แต่หลังจากกลุ่มสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ตามมาสมทบ เห็นว่าจำนวนคนของทางนี้เพิ่มมากขึ้น การจะตามสังเกตการณ์ต่อไปเกรงว่าคงไม่ง่ายแล้ว จึงเข้ามาหาตรงๆ เสียเลย
ในโลกบำเพ็ญเพียร คนที่สามารถพูดในที่สาธารณะได้ว่าตนเป็นสหายของใครบางคน ตามปกติแล้วก็แปลว่าน่าจะเป็นสหายกันจริงๆ มิเช่นนั้นจะเข้าข่ายน่าสงสัยว่าแอบอ้างชื่อคนอื่นมา ซึ่งจะทำให้เกิดปัญหาขึ้นได้ง่ายๆ คนที่ถูกแอบอ้างชื่อไหนเลยจะไม่มาหาเจ้าเพื่อตัดสินความสัมพันธ์ให้กระจ่าง นับเป็นเรื่องคอขาดบาดตายในโลกบำเพ็ญเพียร เพราะหากครั้งต่อไปเจ้าอ้างชื่ออีกฝ่ายไปก่อนเรื่องขึ้นจะทำอย่างไรเล่า?
พอเอ่ยประโยคนี้ออกมา คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยเข้าใจว่าอู๋เสวี่ยจวินที่นางเอ่ยถึงเป็นผู้ใด
แต่หนิวโหย่วเต้ากลับตะลึงไปเล็กน้อย จากนั้นก็ตระหนักได้ว่าอีกฝ่ายพุดถึงกุ่ยหมู่อยู่
กุ่ยหมู่ปลีกวิเวกสันโดษในโลกบำเพ็ญเพียร เพราะหยินหยางแบ่งแยกกันจึงไม่กล้าเผยตัวมากเกินไป ชื่อจริงที่มีมาแต่อดีตค่อยๆ ถูกคนหลงลืมไปแล้ว อดีตผ่านไปเนิ่นนาน คนที่ทราบนามจึงมีอยู่ไม่มากแล้ว นามเดิมถูกแทนที่ด้วยสมญานาม ทุกคนเคยชินกับการเรียกขานว่ากุ่ยหมู่ไปแล้ว
ส่วนคนที่กุ่ยหมู่เคยออกปากบอกเขาว่าเป็นสหายกันมีเพียงคนเดียวเท่านั้น หนิวโหย่วเต้าพลันนึกถึงโหวฉิงเทียนที่พบกันก่อนหน้านี้ขึ้นมาทันที รอยยิ้มฝืดเฝื่อนค่อยๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้า เขาพอจะเดาออกแล้วว่าสตรีนางนี้เป็นใคร
เพียงแต่ในชั่วระยะเวลาสั้นๆ ไม่รู้สมควรจะเรียกขานอีกฝ่ายว่าอย่างไรดี ควรจะเรียกว่าพี่หญิงอวิ๋นหรือว่าควรจะอ้างอิงตามลำดับอาวุโสของอวิ๋นฮวนแล้วเรียกว่าท่านป้าอวิ๋นดี?
สุดท้ายก็ประสานมือเอ่ยอย่างสุภาพว่า “คารวะผู้อาวุโส”
อวิ๋นจีถามเสียงเรียบ “ดูเหมือนเจ้าจะรู้แล้วกระมังว่าข้าคือผู้ใด”
หนิวโหย่วเต้าตอบว่า “พอจะเดาออก”
เขายกมือชี้ไปยังเมฆหมอกที่ลอยอยู่ระหว่างภูเขาสองลูก คนนอกอาจจะไม่เข้าใจว่ามีความหมายอย่างไร แต่ทั้งสองรู้แก่ใจดีว่ากำลังคุยเรื่องชื่อแซ่ของแต่ละฝ่ายอยู่
พอเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ต้องการเผยตัวตน เขาก็ไมได้เปิดโปงออกมา เพียงแต่ยังคงเผยช่องไว้ในวาจา
“สมกับที่สามารถพลิกผันเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ได้ เป็นคนฉลาดผู้หนึ่ง” อวิ๋นจีพยักหน้ารับ ยังคงมอบคำชี้แจงสำหรับยืนยันตัวให้อีกฝ่ายเช่นกัน “ดูเหมือนเจ้าจะชอบร่วมสาบานกับคนอื่นมากนะ”
นิ้วมือของหนิวโหย่วเต้าที่กุมก้ามกระบี่ยันพื้นอยู่กระดิกเล็กน้อย ระบายความประดักประเดินภายในใจออกมา “ควบม้าท่องทั่วหล้า บางครั้งก็มีพลั้งพลาดกันไปบ้าง ตัวข้าชมชอบผูกมิตรคบสหาย บางครั้งก็เกิดความเข้าใจผิดไปเล็กน้อย ผูกไมตรีกับผู้คนต่างกันไป หวังว่าผู้อาวุโสจะไม่ถือสา”ดฮณ๊ฯดฯฌซ,
หากเปลี่ยนเป็นคนธรรมดามาพูดจาไม่ยอมรับเช่นนี้ เกรงว่าอวิ๋นจีคงมอบบทเรียนสั่งสอนเข้าให้จริงๆ แต่คนเราแตกต่างกันไป ไม่อาจปฏิบัติต่อทุกคนเหมือนกันหมดได้
ซางเฉาจงกุมอำนาจมณฑลหนานโจวไว้ ครอบครองกำลังทหารหลายแสนนาน มีอิทธิพลต่อการพลิกผันสถานการณ์ในใต้หล้า ดังนั้นตัวหนิวโหย่วเต้าในปัจจุบันนี้ก็ไม่ใช่คนที่ใครนึกจะแตะต้องก็แตะต้องได้ง่ายๆ อีก อย่างน้อยก็ไม่มีผู้ใดกล้าลงมือกับหนิวโหย่วเต้าอย่างโจ่งแจ้ง
หากหนิวโหย่วเต้าเปิดเผยออกไปว่าตนมาถึงที่นี่แล้ว ทางแคว้นซ่งจะต้องส่งเจ้าหน้าที่มาพบเขาเพื่อแสดงไมตรีแน่นอน ช่วยเสริมสร้างอิทธิพลให้แก่มณฑลหนานโจว เมื่อถึงคราวจำเป็นจะได้มีอำนาจถ่วงดุลกับแคว้นเยี่ยนได้ ความสัมพันธ์ระหว่างแว่นแคว้นซับซ้อนโยงใย อย่างน้อยๆ ทางราชสำนักแคว้นซ่งก็ไม่มีปล่อยให้เกิดเรื่องขึ้นกับหนิวโหย่วเต้าได้ง่ายๆ หลักเหตุผลก็ไม่มีอะไรซับซ้อน หากล่วงเกินหนิวโหย่วเต้าก็เท่ากับล่วงเกินซางเฉาจงไปด้วย
เหตุใดสำนักบำเพ็ญเพียรมากมายถึงหวังอยากจะครอบครองพื้นที่ในเขตใดเขตหนึ่งไว้เล่า? เหตุใดสำนักหยกสวรรค์ถึงต้องการได้มณฑลหนานโจวมาครอบครองเล่า? เหตุใดหนิวโหย่วเต้าถึงทุ่มเทความคิดจิตใจช่วยเหลือซางเฉาจงเล่า? สุดท้ายแล้วมันก็ยังเป็นเรื่องการแก่งแย่งอำนาจและผลประโยชน์อยู่ดี
ส่วนการหักเหลี่ยมกันระหว่างสำนักหยกสวรรค์และหนิวโหย่วเต้าก็ทำไปเพื่อสิ่งนี้เช่นกัน ไม่ใช่เพราะทรัพยากรในพื้นที่มณฑลหนานโจวเท่านั้น แต่เป็นการมีสิทธิ์มีเสียงในมณฑลหนานโจวด้วย ในแง่หนึ่งแล้ว การมีสิทธิ์มีเสียงมันก็เท่ากับได้ครอบครองทรัพยากร ไม่ใช่แค่ทรัพยากรในขอบเขตพื้นที่มณฑลหนานโจวเท่านั้น แต่อิทธิพลของแคว้นต่างๆ ก็เป็นทรัพยากรที่สามารถใช้แลกเปลี่ยนได้เช่นกัน
ยามนี้เมื่อศิษย์สำนักหยกสวรรค์เดินทางไปทำภารกิจในแคว้นต่างๆ ย่อมะดวกสบายมากขึ้น แต่ละแคว้นล้วนไว้หน้าและรับประกันด้านความปลอดภัยให้ ความราบรื่นในการปฏิบัติภารกิจก็เป็นทรัพยากรอย่างหนึ่งด้วยมิใช่หรือ? ต่อให้มีเงินก็ยังซื้อหามาไม่ได้ นับเป็นทรัพยากรที่มีค่าเป็นอย่างมาก สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่สำนักบำเพ็ญเพียรมากมายใฝ่ฝันจะได้มาครอบครอง นี่คือรากฐานสำหรับการพัฒนาสำนัก!
ปัจจุบันนี้หากว่าหนิวโหย่วเต้าต้องการยืมเงินแคว้นซ่งสักหนึ่งล้านเหรียญทอง แคว้นซ่งจะไม่ให้ได้หรือ? ย่อมไม่ใช่เรื่องลำบากอะไร ถึงจะไม่คืนก็ไม่เป็นไร ขอเพียงเจ้ากล้าหยิบยืมเท่านั้น!
แต่สำหรับสำนักหยกสวรรค์อาจจะไม่ได้รับผลอย่างสมบูรณ์ เนื่องจากเฟิ่งหลิงปอที่ทางสำนักให้การสนับสนุนอยู่พ่ายแพ้ ส่วนหนิวโหย่วเต้าก็สนับสนุนซางเฉาจงได้สำเร็จ อำนาจในการออกเสียงในมณฑลหนานโจวจึงถูกหนิวโหย่วเต้าแบ่งไปครึ่งหนึ่ง
แต่สำหรับหนิวโหย่วเต้าแล้ว ด้วยกำลังของเขาในตอนนี้ การที่สามารถชิงผลประโยชน์เหล่านี้มาครองได้ แล้วก็ยังสามารถกุมไว้ให้แน่นต่อไปได้ล่ะก็ เท่านี้เขาก็พึงพอใจมากแล้ว ต้องยึดสิ่งที่มีอยู่ในปัจจุบันไว้ให้แน่นถึงจะพัฒนาไปอย่างยั่งยืนได้
แล้วเมื่อต้องเผชิญหน้ากับคนประเภทนี้ ลำพังเจ้าเขาข้ามเมฆาจะกล้าทำตัวโอหังอย่างเปิดเผยได้อย่างไร? อวิ๋นจีเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “จะเข้าสู่แดนความฝันผีเสื้อหรือ?”
หนิวโหย่วเต้าตอบรับ “ใช่แล้ว!”
อวิ๋นจีเอ่ยสั้นๆ “ไปด้วยกันสิ”
หนิวโหย่วเต้าเห็นด้วย “เอาสิ!” จากนั้นเอียงหัวส่งสัญญาณให้เปิดทางให้อวิ๋นจี
ก่วนฟางอี๋ผายมือออกไปทันที เชิญให้อวิ๋นจีมายืนข้างๆ ตน ส่วนตัวนางก็ยืนคั้นอยู่ระหว่างทั้งสองเล็กน้อย ป้องกันไม่ให้สตรีนางนี้ลงมือปองร้ายหนิวโหย่วเต้า
สตรีนางนี้คือผู้ใด? คนส่วนใหญ่ยังคงไม่เข้าใจอยู่ดี พวกถังอี๋ก็ไม่ทราบอะไรเลย ไม่เข้าใจบทสนทนาคลุมเครือระหว่างคนทั้งสอง
…….
กลางเนินเขาลูกหนึ่งที่อยู่ทางซ้ายของภูเขาทั้งสองลุก มีคนสามคนยืนอยู่บนลานที่ถูกกวาดถางสร้างขึ้นมา หนึ่งในนั้นคือศิษย์สำนักหมื่นสรรพสิ่งที่รับหน้าที่เฝ้าคุ้มกันทางเข้าหุบเขาผีเสื้อ
ทั้งสามคนยืนเรียงแถว ทอดสายตามองไปยังตำแหน่งที่พวกหนิวโหย่วเต้ายืนอยู่เป็นระยะๆ เฉาเซิ่งไหวหลานชายของผู้อาวุโสเฉาจิ้งคนนั้นยืนอยู่ทางซ้าย คนที่ยืนอยู่ตรงกลางคือเหอโหย่วเจี้ยนศิษย์พี่ของเฉาเซิ่งไหว ส่วนคนที่อยู่ทางขวาคือก็คือเหอโหย่วฉางน้องชายแท้ๆ ของเหอโหย่วเจี้ยน เป็นศิษย์พี่ของเขาเช่นกัน
เหอโหย่วฉางมีสีหน้ากังวลเล็กน้อย “ศิษย์น้อง เหตุใดจู่ๆ ถึงมีคนมากมายขนาดนั้นปรากฏขึ้นรอบตัวเขาเล่า? สรุปแล้วคนผู้นี้เป็นใครกันแน่ แม้แต่อีกฝ่ายเป็นใครก็ยังไม่ทราบแน่ชัด บุ่มบ่ามลงมือไปจะเหมาะหรือ?”
เมื่อกลุ่มสำนักสวรรค์พิสุทธิ์และอวิ๋นจีเข้ามาสมทบ ทำให้ทางนี้ระแวดระวังขึ้นมากกว่าเดิม
เฉาเซิ่งไหวเอ่ยว่า “ไม่ถูกทางสำนักเชิญขึ้นเขา ได้แค่พำนักอยู่ในเมืองที่ตีนเขา แค่คิดดูก็รู้แล้วว่าไม่ได้เป็นคนมีหน้ามีตาอันใดนัก ศิษย์พี่ทั้งสอง หากให้คนอื่นนำมาขายแก่ทางสำนัก นั่นมันสองล้านเหรียญทองเชียวนะ แต่ละเดือนพวกเราได้เบี้ยหวัดน้อยปานนั้น ต้องเก็บหอมรอมริบกันนานเท่าไรกว่าจะได้เงินมากขนาดนี้? มากพอจะให้พวกเราได้เสวยสุขกันหลายปีทีเดียว เหตุใดพอจะลงมือก็เกิดกลัวเป็นเรื่องขึ้นมาเสียเล่า?”
แม้จะบอกว่าเป็นศิษย์สำนักหมื่นสรรพสัตว์ที่มีกำลังทรัพย์มั่งคั่ง แต่อันที่จริงศิษย์ระดับล่างกลับไม่ได้มีเงินทองมากมายนัก อย่างมากก็ได้โอสถวิญญาณสำหรับบำเพ็ญเพียรมากหน่อยเท่านั้น ส่วนเบี้ยหวัดเงินทองที่ได้รับยังคงมีจำกัดอยู่ ถึงแม้เฉาเซิ่งไหวจะเป็นหลานชายของผู้อาวุโสเฉา แต่ก็เพียงได้รับส่วนแบ่งโอสถวิญญาณเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น ไม่มีทางมอบเงินทองให้เขามากเกินไป หากทำอะไรประเจิดประเจ้อจะทำให้คนอื่นไม่พอใจได้ง่าย ในฐานะผู้อาวุโส เขายังคงต้องใส่ใจในผลกระทบที่จะตามมาจากบางเรื่องราวอยู่
เหอโหย่วเจี้ยนเอ่ยเสียงขรึม “ศิษย์น้องเฉา พวกเราพี่น้องไม่ใช่ว่าจะนึกกลัวขึ้นมา แต่จู่ๆ อีกฝ่ายก็มีคนเพิ่มขึ้นมา มันจะทำให้เกิดความผิดพลาดได้ง่าย หากว่ามีข่าวหลุดรอดไปแล้วทางสำนักรู้ว่าพวกเราทำเรื่องเช่นนี้ให้สำนักเสื่อมเสียชื่อเสียง ผลลัพธ์ที่ตามมามันรุนแรงเป็นอย่างมาก ดีไม่ดีอาจจะถูกขับออกจากสำนักก็เป็นได้”
‘อยากได้ผลประโยชน์แต่ไม่อยากแบกรับความเสี่ยง!’ เฉาเซิ่งไหวนึกดูแคลนอยู่ในใจ หากไม่ใช่เพราะทำคนเดียวไม่ไหว เขาไม่มีทางไปหาคนอื่นมาร่วมแน่ “ศิษย์พี่ทั้งสอง พวกท่านออกจะเป็นกังวลเกินไปหน่อยแล้ว ฝั่งเขามีคนแล้วฝั่งพวกเราไม่มีคนหรือไร? พวกท่านวางใจเถอะ เรื่องเช่นนี้หากไม่มีความมั่นใจข้าไม่ทำแน่ ข้าไปชักชวนศิษย์พี่บางส่วนที่ไว้ใจได้มาเข้าร่วมแล้ว บอกว่ามีศัตรูคนหนึ่งที่อยากจัดการ หากเกิดเรื่องขึ้นสามารถเรียกพวกเขามาให้ความช่วยเหลือได้ทุกเมื่อ หลังจบเรื่องพวกเราก็หักเงินออกมาจ่ายค่าแรงไปสองแสนเหรียญทอง เงินส่วนที่เหลือพวกเราแบ่งกันคนละหกแสนเหรียญทอง”
พี่น้องสกุลเหอสบตาหันเล็กน้อย ทราบแก่ใจดีว่าเหล่าศิษย์พี่ที่ไว้ใจได้ที่เขากล่าวถึงน่าจะเป็นศิษย์ในสายผู้อาวุโสเฉา ศิษย์ในสายผู้อาวุโสเฉาย่อมไม่กล้าเล่าเรื่องเลวร้ายของคนผู้นี้ออกไปให้ผู้อาวุโสเฉาต้องลำบากใจแน่นอน อีกทั้งคนผู้นี้ก็ไม่มีทางเผยเรื่องราวใดๆ ต่อคนอื่นๆ เช่นกัน เกรงว่าคงไม่อยากจะแบ่งปันเงินกับคนจำนวนมาก
เฉาเซิ่งไหวเอ่ยโน้มน้าวต่อไปว่า “หากว่าอยู่ด้านนอก พวกเราก็คงจะไม่กล้าก่อเรื่องวุ่นวายจริงๆ แต่ที่นี่คือที่ใดกันเล่า ที่นี่คือแดนความฝันผีเสื้อ พวกเราได้เปรียบด้านโอกาสและชัยภูมิ ขอเพียงสถานการณ์ด้านในเอื้ออำนวยเหมาะสม บางทีอาจจะสำเร็จโดยที่พวกเขาไม่จำเป็นต้องลงมือก็เป็นได้ อีกอย่าง ทุกเรื่องล้วนต้องตัดสินใจไปตามสถานการณ์ หากมีโอกาสค่อยลงมือก็ยังไม่สาย หากว่าไม่ได้จริงๆ ล่ะก็ พวกเราก็รามือ ไม่มีความเสี่ยงใดๆ แน่นอน ไม่มีอะไรต้องกลัวเลย”
พอกล่าวมาเช่นนี้ สองพี่น้องสกุลเหอก็เบาใจลงไม่น้อย ทั้งสองพยักหน้ารับ ทำการตัดสินใจอีกครั้ง
………………………………………………..