ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า - ตอนที่ 458 แดนความฝันผีเสื้อ
ตอนที่ 458 แดนความฝันผีเสื้อ
มีคนทยอยมารวมตัวอยู่นอกหุบเขาผีเสื้อมากขึ้นเรื่อยๆ กระจายตัวกันเป็นกลุ่มๆ คาดว่าคงมีจำนวนหลายพันคน บ้างก็มาคนเดียว บ้างก็จับกลุ่มสามคนบ้างห้าคนบ้าง หรือไม่ก็มากันเป็นหมู่คณะหลายสิบคน
หนิวโหย่วเต้าที่คอยมองสำรวจรอบข้างเป็นระยะเงยหน้ามองท้องนภา หากเวลาไม่คาดเคลื่อนไปจากที่สำนักหมื่นสรรพสัตว์คาดการณ์ไว้ เขาเดาว่าน่าจะใกล้ถึงเวลาที่แดนความฝันผีเสื้อจะเปิดออกแล้ว เขาเอ่ยถามไปโดยไม่คิดอะไรว่า “มองจากจำนวนคนในเมืองวั่นเซี่ยงแล้ว คนที่มุ่งหน้ามาเข้าร่วมงานชุมนุมสัตว์วิเศษน่าจะไม่ได้มีเพียงเท่านี้กระมัง?”
ก่วนฟางอี๋เอ่ยว่า “อันที่จริงแดนความฝันผีเสื้อไม่ได้น่าสนใจอะไรนัก คนที่ไม่เคยมาเยือนเท่านั้นที่ต้องการเข้าไปเปิดหูเปิดตา ก็เหมือนเจ้านั่นแหละ คนที่เคยเข้าไปดูแล้วต่อให้เข้าไปอีกก็ไม่มีอะไรน่าสนใจ”
สมัยก่อนนางก็เคยมาเยือนเช่นกัน ก่อนหน้านี้ก็บอกหนิวโหย่วเต้าไปแล้ว
เดิมทีนางไม่คิดจะเข้าไปอีก แต่หนิวโหย่วเต้าอยากเข้าไป นางก็ได้แต่ต้องติดตามไปด้วย
พอเอ่ยมาถึงตรงนี้ หนิวโหย่วเต้าอดไม่ได้ที่จะมองอวิ๋นจีที่อยู่ถัดจากนางไป เอ่ยถามว่า “ผู้อาวุโสเคยมาหรือไม่?”
อวิ๋นจีมีแผนการของตัวเองอยู่ จึงไม่ได้บอกความจริง “ไม่เคย”
หนิวโหย่วเต้าก็ไม่ได้ถามต่ออีก ยืนค้ำกระบี่อยู่ตรงนั้น แต่ในใจกลับคิดใคร่ครวญอยู่ เจ้าเขาท่านนี้อาศัยอยู่ในโลกบำเพ็ญเพียรมานานปานนี้ เพิ่งจะเคยมาเป็นครั้งแรกอย่างนั้นหรือ?
เขากวาดตามองไปรอบๆ อีกครั้ง ยังคงไม่เห็นโหวฉิงเทียนอยู่ดี ในใจฉงนขึ้นกว่าเดิม ปีศาจงูตัวนี้มาเยือนที่นี่เป็นครั้งแรก แต่ไม่พาลูกน้องมาด้วยเลยอย่างนั้นหรือ?
สายตาของหยวนกังที่ยืนอยู่ด้านข้างมองไปทางไหล่เขาของภูเขาที่อยู่ทางซ้ายมือระหว่างภูเขาทั้งสองลูกเป็นระยะๆ อยู่ห่างกันค่อนข้างไกล มองเห็นได้ไม่ชัด แต่มักจะรู้สึกว่าศิษย์สำนักหมื่นสรรพสัตว์ที่ยืนอยู่บนไหล่เขาทั้งสามคนกำลังจับตามองทางนี้อยู่
“เบื่อแล้ว ข้าจะไปเดินยืดเส้นยืดสายหน่อย” หยวนกังเอ่ยทิ้งไว้แล้วเดินออกไป สะพายห่อผ้าสีดำที่ห่อดาบสามคำรามไว้บนหลัง
ก่วนฟางอี๋มองหนิวโหย่วเต้าเล็กน้อย ไม่เห็นหนิวโหย่วเต้าว่าอะไร สีหน้าราบเรียบเฉยเมย
หยวนกังคนนั้นไม่ชอบพูดมาก ปกติก็ไม่ค่อยแสดงความรู้สึกอะไรเท่าไร นางจึงมองไม่ค่อยออก แต่พอหยวนกังเปิดปากเอ่ยแล้วหนิวโหย่วเต้าไม่มีท่าทีอะไร นางก็รับรู้ได้ทันทีว่าความผูกพันระหว่างชายสองคนนี้เป็นประเภทที่มองตาก็รู้ใจ นางค่อยๆ เรียนรู้ถึงการประสานงานกันระหว่างคนทั้งสองที่ไม่จำเป็นต้องใช้วาจาใดๆ จึงตระหนักได้ว่าน่าจะมีปัญหาอะไรสักอย่าง อดไม่ได้ที่จะมองตามทิศทางของหยวนกังไป
จากที่เฝ้ามองดูก็ไม่เห็นหยวนกังจะทำอะไร แค่เดินเล่นไปบนภูเขาเท่านั้น มีแวะพูดคุยกับกลุ่มผู้บำเพ็ญเพียรบ้างเป็นครั้งคราว ไม่เข้าใจเลยว่ากำลังทำอะไรอยู่
พอวนครบหนึ่งรอบก็เดินกลับมา ตอนที่กลับมายืนอยู่ข้างกายหนิวโหย่วเต้า หนิวโหย่วเต้าชำเลืองมองเล็กน้อย หยวนกังพยักหน้าเพียงเล็กน้อยอย่างที่ยากจะสังเกตเห็นได้ สื่อสารตอบรับกันแล้ว
หลังจากนั้น หยวนกังกวาดตามองไปทางไหล่เขาลูกนั้นอีกครั้ง หนิวโหย่วเต้ามองตามสายตาของเขาไป มองดูเพียงเล็กน้อยก็เบือนสายตาไป ท่าทางสงบเฉยเมย กระดิกนิ้วกลางที่กุมด้ามกระบี่ขึ้นลงเล็กน้อย สองมือที่กุมด้ามกระบี่อยู่ไม่ได้ขยับเขยื้อนอีก
ก่วนฟางอี๋ที่จับตามองท่าทีของทั้งสองอยู่ก็มองตามไปในทิศทางเดียวกับสายตาของพวกเขา ทางนั้นดูเหมือนจะมีเพียงศิษย์สำนักหมื่นสรรพสัตว์เท่านั้น สองคนนี้ทำอะไรอยู่?
อวิ๋นจีก็เหลือบมองไปทางหยวนกังด้วยสายตาคลุมเครือเป็นครั้งคราวเช่นกัน ไม่ทราบว่าเพราะเหตุใด หลังจากมารวมกับทางนี้ นางรับรู้ได้ว่ามีกลิ่นอายบางอย่างสะกดข่มตนเองอยู่ ทำให้ภายในใจตนรู้สึกค่อนข้างกระวนกระวาย ความหวาดหวั่นอันรุนแรงผุดขึ้นมาในใจอย่างไม่อาจควบคุมได้
พอยืนไปได้สักพักนางก็มั่นใจแล้วว่ากลิ่นอายนั้นมาจากร่างของหยวนกัง เป็นกลิ่นอายที่ทำให้ดวงวิญญาณของนางสั่นสะท้านขึ้นมาได้ ราวกับมีบางสิ่งบางอย่างจากยุคโบราณกาลอันห่างไกลเดินเข้ามา พร้อมจะเหยียบขยี้นางจนแหลกลาญได้ทุกเมื่อ
เวลาที่สายลมโชยพัดพากลิ่นอายนั้นปกคลุมเข้ามาทางด้านนี้ นั่นยิ่งทำให้นางอกสั่นขวัญแขวน ถึงขั้นที่รู้สึกมือไม้อ่อนอยากคุกเข่าก้มหัวให้ด้วยซ้ำ
นางรู้ดีว่าหากตนมิใช่ปีศาจที่บำเพ็ญเพียรจนมีสติปัญญา มีความสามารถในการคิดวิเคราะห์ควบคุมตัวเองได้แล้วล่ะก็ เกรงว่านางคงไปก้มหัวอยู่ตรงแทบเท้าของชายผู้นี้แล้วจริงๆ
ถ้าลงมือในตอนที่มีกลิ่นอายนี้ปกคลุมอยู่ล่ะก็ นางคิดได้ว่าพลังของตนคงต้องลดทอนลงอย่างมากแน่นอน
เป็นครั้งแรกที่นางมีความรู้สึกหวาดกลัวเช่นนี้ นางทั้งรู้สึกประหลาดใจและสับสน ไม่ทราบว่าชายคนนี้เป็นมาอย่างไร เหตุใดถึงทำให้นางเกิดความรู้สึกกดดันอย่างรุนแรงถึงขนาดนี้ได้…
ครืน! กลุ่มคนที่เฝ้ารออยู่ในหุบเขาพลันโซเซกันเล็กน้อย ล้วนรับรู้ได้ว่าแผ่นดินสั่นไหวขึ้นมานิดๆ คล้ายว่าเกิดแผ่นดินไหวขึ้น แต่มันดันไม่มีลม บรรยากาศก็คล้ายจะหยุดนิ่งไป วิหคตื่นตระหนกกรีดร้องบินหนีห่าง
สายตาของกลุ่มคนในหุบเขาทยอยมองไปยังช่องเขาระหว่างภูเขาทั้งสองที่หันหน้าประชันกันดั่งคมกระบี่ มองเห็นหมอกหนาทึบที่อบอวลอยู่ในช่องเขาค่อยๆ ไหวกระเพื่อมขึ้นมา ราวกับมีสัตว์ตัวใหญ่ยักษ์อันใดขยับอยู่ด้านในนั้น แม้นทุกคนจะเปิดเนตรทิพย์แล้ว แต่ก็ยังมองไม่เห็นว่าเป็นสิ่งใดที่ก่อให้เกิดความเคลื่อนไหวนี้ขึ้น
ผ่านไปไม่นาน ทุกคนเงยหน้ามองขึ้นไปบนท้องฟ้าต่อ แสงแดดเจิดจ้าแยงตาจนพากันหรี่ตาลง จ้องมองดวงตะวันบนท้องนภา
หยวนกังเหลือบมองบนฟ้าแค่แวบเดียว จากนั้นพลันมองสำรวจรอบข้างอย่างระมัดระวังต่อ
ดวงตะวันที่ลอยอยู่กลางนภาปรากฏรอยเว้าขึ้นมา ค่อยๆ ถูกเงาดำที่ไม่รู้ว่าคืบคลานมาจากไหนค่อยๆ กลืนกิน เงาดำขยายตัวใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ
เมื่อเวลาผ่านไปสักพัก ฟ้าดินค่อยๆ ตกอยู่ในความมืดสลัว ทำให้ทุกคนที่เงยหน้ามองอยู่รู้สึกว่าตนเองช่างเล็กจ้อยนัก
เงาดำกลมเกลี้ยงวงหนึ่งเข้าแทนที่ดวงตะวัน ดูราวกับดวงตาของปีศาจร้ายที่จ้องมองเหล่ามนุษย์จากบนท้องนภาอันห่างไกล ตรงขอบของรูม่านตาอันดำมืดมีแสงสีทอดเจิดจ้าสาดประกายออกมา
ในเวลานี้เอง ภายในเมฆหมอกที่ไหวกระเพื่อมอยู่ในช่องเขามีแสงสว่างปรากฏขึ้นมาเล็กน้อย แสงสว่างเล็กน้อยนั้นคล้ายว่าพุ่งออกมาจากความว่างเปล่าอันห่างไกลก็มิปาน จากนั้นขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ คล้ายใยแมงมุมที่กางออกใยแล้วใยเล่า แล้วก็คล้ายผลึกแก้วชิ้นหนึ่ง ตั้งอยู่ระหว่างช่องเขาทั้งสองลูก
ม่านแสงขยับไหวอยู่ระหว่างเขาสองลูกคล้ายระลอกคลื่น เมื่ออยู่ท่ามกลางโลกที่ถูกความมืดกลืนกินก็ยิ่งดูเด่นชัดสะดุดตาเป็นอย่างมาก ทั้งงดงามและดูคล้ายดั่งภาพมายา
ภาพนี้ทำให้หยวนกังที่กวาดตามองดูรอบข้างอย่างใจเย็นอดไม่ได้ที่จะเหลือบไปมองดูเล็กน้อย หากจะพูดโดยใช้คำพูดของเขาล่ะก็ นี่มันไม่เป็นวิทยาศาสตร์เอาเสียเลยดฮณ๊ฯดฯฌซ,
ฉากน่าอัศจรรย์เช่นนี้นับว่าทำให้หนิวโหย่วเต้าได้เปิดหูเปิดตาเป็นอย่างมาก แอบรู้สึกอยู่ลึกๆ ว่าไม่เสียทีที่มา อดไม่ได้ที่จะทอดถอนใจชื่นชม “โลกนี้ช่างมีเรื่องมหัศจรรย์หลายหลากนัก!”
ก่วนฟางอี๋เอ่ยไปว่า “ทางเข้าแดนความฝันผีเสื้อเปิดออกแล้ว!”
ด้านหนึ่งของวงแหวนสีทองบนท้องนภาเลือนหายไป แสงเจิดจ้าอีกด้านหนึ่งขยายใหญ่ขึ้น เห็นได้ชัดว่าเงาดำที่บดบังดวงตะวันอยู่กำลังเคลื่อนตัวออกไป
เมื่อแสงสว่างดั่งอรุณยามเช้าฉายค่อยๆ สาดส่องไปทุกแห่งหนในโลกหล้า ม่านแสงที่ห้อยอยู่ระหว่างช่องเขาก็ค่อยๆ สูญสิ้นสีสันอันงดงามไป กลายเป็นม่านโปร่งใสดั่งม่านน้ำธรรมดาที่ไม่มีสีสันพิเศษอันใดอีก ขยับไหวอยู่ตรงนั้น
เมื่อเงาดำที่บดบังดวงตะวันสลายหายไปจากท้องนภาอย่างสมบูรณ์ ทั้งโลกเสมือนตื่นขึ้นมาจากความฝัน ราวกับทุกคนตกอยู่ในความฝันฉากหนึ่ง คนส่วนใหญ่ที่เพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรกต่างรู้สึกโล่งอก การเปลี่ยนแปลงก่อนหน้านี้ทำให้พวกเขากังวลว่าโลกจะจมอยู่ในความมืดมิดไปตลอดกาล
วิหคยักษ์ไม่ต่ำกว่าหนึ่งร้อยตัวที่บรรทุกคนไว้บินร่อนวนเป็นวง
ศิษย์สำนักหมื่นสรรพสัตว์ที่เฝ้าอยู่นอกม่านแสงพลันพุ่งผ่านม่านแสงเข้าไป เสมือนหายวับไปในอากาศ
จากนั้นครู่หนึ่งก็มีคนโผล่ออกมาจากด้านในอีกครั้งเพื่อแจ้งให้ทราบว่าสามารถเข้าสู่ด้านในได้แล้ว ด้วยเหตุนี้ศิษย์สำนักหมื่นสรรพสัตว์จำนวนมากจึงนำหน้าเข้าไปก่อน
หลังจากนั้นแขกผู้มาเยือนที่รออยู่นอกหุบเขาผีเสื้อก็เริ่มทยอยผ่านเข้าไป หายลับเข้าไปในม่านวารีนั้นอย่างต่อเนื่อง
กลุ่มคนรวมตัวกันอยู่หน้าม่านวารีระหว่างช่องเขา ทยอยผ่านเข้าไปตามลำดับ มีบางคนที่ก่อนจะผ่านเข้าไปดูค่อนข้างลังเลอย่างเห็นได้ชัด
หนิวโหย่วเต้ามองไปที่หยวนกัง “เจ้าอยากรอด้านนอกหรือไม่?” เขาห่วงว่าด้านในจะไม่ค่อยปลอดภัย
หยวนกังตอบว่า “ไปเปิดหูเปิดหน่อย”
หนิวโหย่วเต้าเองก็ไม่ได้บังคับอะไร โบกมือส่งสัญญาณเล็กน้อย คนในกลุ่มเดินตามกันไปเป็นขบวน มุ่งหน้าไปยังทิศทางของหุบเขาผีเสื้อ
เมื่อเดินมาถึงหน้าม่านวารีที่ไหวกระเพื่อมไหว เขาถึงสังเกตเห็นว่าพื้นที่ของม่านวารีน่าจะขนาดราวสิบตารางจั้ง ทางเข้าดินแดนความฝันผีเสื้อที่เปิดออกมีขนาดค่อนข้างใหญ่ สามารถรองรับคนจำนวนมากให้ผ่านเข้าไปพร้อมกันได้
ถังอี๋โบกมือเล็กน้อย ซูพั่วนำศิษย์จำนวนหนึ่งนำหน้าหายลับเข้าไปในม่านวารีก่อน ดูเหมือนจะทำเพื่อปกป้องความปลอดภัยให้ทางนี้ ทว่าหนิวโหย่วเต้ากลับไม่แน่ใจว่าจะรับน้ำใจนี้เอาไว้
อวิ๋นจีเองก็ตามเข้าไป หยวนกังตามหลังเข้าไปติดๆ
หนิวโหย่วเต้ามองซ้ายมองขวา สายตากวาดผ่านร่างเฉาเซิ่งไหวที่เฝ้าอยู่ตรงทางเข้าไป คล้ายจะไม่ได้หยุดมองแต่อย่างใด
หนิวโหย่วเต้าแผ่เกราะปราณคุ้มกายออกมา จากนั้นยกเท้าก้าวผ่านม่านวารีไป
ในม่านวารีมีแรงต้านที่ค่อนข้างรุนแรงอยู่สายหนึ่ง เห็นได้ชัดว่าคนธรรมดาไม่สามารถฝ่าเข้าไปได้
เมื่อทะลวงผ่านแรงต้านนี้ไป ทันทีที่ก้าวเท้าเข้าไปก็คล้ายว่าได้ข้ามไปยังโลกอีกใบหนึ่ง เป็นโลกที่มืดมนไปทั่ว ม่านวารีเป็นเสมือนม่านคั่นระหว่างทิวาและราตรี
หมู่ดาวพราวพร่างทั่วนภา ธารดาราส่องระยับวับวาวน่าหลงใหล
เบื้องหน้ามืดมน แต่บนพื้นดินที่อยู่ไกลออกไปกลับดูไม่ต่างจากท้องนภาที่ดาษไปด้วยหมู่ดาวเลย มีแสงส่องระยิบระยับไปทั่วทุกแห่งหน
“รีบเดิน อย่าขวางทางคนที่ตามหลังเข้ามา”
คนที่เพิ่งเข้ามาเป็นครั้งแรกย่อมต้องหยุดเท้ายืนมองสภาพแวดล้อมรอบข้างด้วยความตื่นตาตื่นตาเป็นธรรมดา ศิษย์สำนักหมื่นสรรพสัตว์ที่ล่วงหน้าเข้ามาเฝ้าปากทางเข้าจึงส่งเสียเอ่ยเตือนซ้ำไปซ้ำมา
พวกหนิวโหย่วเต้าที่ทยอยผ่านเข้ามาพลันออกห่างจากบริเวณปากทางเข้าเล็กน้อย เลี่ยงไม่ให้ถูกผู้ที่ผ่านตามหลังเข้ามาชนเข้า
คนส่วนใหญ่ที่เพิ่งมาเป็นครั้งแรกก็ไม่ต่างไปจากพวกเขาเลย ล้วนหยุดมองสำรวจสภาพรอบข้างอยู่ในบริเวณนี้
ภายในแดนแห่งความฝันไร้ซึ่งสายลม เงียบสงัดวังเวง อบอวลไปด้วยกลิ่นหอมเข้มข้นที่ยากจะบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้สายหนึ่งที่ทำให้รู้สึกหอมจนเอียน
หนิวโหย่วเต้าก้มมองต้นหญ้าสีดำเมื่อมที่อยู่บนพื้น มันคือต้นตอของกลิ่นหอมที่ชวนให้คนอึดอัด
ถึงแม้จะเพิ่งเคยเข้าสู่โลกความฝันผีเสื้อเป็นครั้งแรก แล้วก็เพิ่งเคยเห็นต้นหญ้านี้เป็นครั้งแรก ทว่าเขาเคยอ่านพบเกร็ดข้อมูลของโลกความฝันผีเสื้อจากใน ‘บันทึกสวรรค์พิสุทธิ์’ มาแล้ว ต้นหญ้าชนิดนี้มีชื่อว่า ‘ขับแสง’ เติบโตในความมืดแผ่กลิ่นหอมประหลาดออกมา กลิ่นหอมสามารถสังหารสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นได้ เป็นต้นหญ้าที่สำนักหมื่นสรรพสัตว์นำเข้ามาปลูกจากโลกภายนอก
การที่นำต้นหญ้านี้ปลูกที่มีก็มีเหตุผลอยู่ เพราะที่นี่คือโลกที่มืดมิด แต่พืชที่เติบโตขึ้นที่นี่ส่วนใหญ่กลับสามารถเปล่งแสงได้ ‘ขับแสง’ สามารถควบคุมพืชที่อยู่ในนี้ได้ ได้ยินว่าเดิมทีพื้นที่ตรงนี้เต็มไปด้วยพืชเรืองแสงเหมือนอย่างที่เห็นอยู่ไกลๆ แต่ปัจจุบันนี้พืชเรืองแสงถูก ‘ขับแสง’ ทำลายจนตายหมดแล้ว
ที่ปลูกต้นหญ้านี้ขึ้นมิใช่เพื่อทำลายพืชเรืองแสงเหล่านั้น หากแต่ปลูกเพื่อจัดการกับผีเสื้ออสูรจำนวนนับไม่ถ้วนในสถานที่แห่งนี้ ซึ่งนับว่าเป็นเจ้าถิ่นของสถานที่แห่งนี้ด้วย เป็นปีศาจผีเสื้อชนิดหนึ่งที่โบยบินอยู่ทั่วดินแดนนี้ ปีศาจเหล่านี้ต่อต้านสิ่งมีชีวิตจากโลกภายนอก พอเห็นสิ่งมีชีวิตจะเข้ามาสังหาร รวมถึงผู้บำเพ็ญเพียรที่เข้ามายังสถานที่แห่งนี้ด้วย
ด้วยเหตุนี้ที่นี่ถึงถูกขนานนามว่าแดนความฝันผีเสื้อ
กลิ่นหอมของหญ้าขับแสงสามารถสะกดผีเสื้ออสูรได้ เมื่อผีเสื้ออสูรได้กลิ่นหอมชนิดนี้จะทนไม่ไหว ต้องหลีกลี้หนีห่างไม่กล้าเข้าใกล้
ดังนั้นสถานที่แห่งนี้จึงปลอดภัย แต่ก็แฝงอันตรายเอาไว้เช่นกัน ขอเพียงอยู่ในเขตพื้นที่ที่มีหญ้าขับแสงเติบโตอยู่ก็จะปลอดภัย แต่ถ้าหากเข้าสู่พื้นที่ที่มีพืชเรืองแสงเติบโตก็จะอันตรายอย่างยิ่ง ต้องเผชิญหน้ากับผีเสื้ออสูรที่กรูกันเข้ามาปิดล้อมสังหารไม่ขาดสาย พลังโจมตีของสัตว์ประหลาดเหล่านั้นรวดเร็วดุดัน ซ้ำยังบินโฉบได้อย่างว่องไว ทำให้รับมือได้ยาก
และเนื่องด้วยสาเหตุนี้เอง ถึงแม้สถานที่ลึกลับหลายแห่งที่ซางซ่งแห่งราชวงศ์อู่เหลือทิ้งไว้จะถูกยอดคนแห่งใต้หล้าจำนวนหนึ่งยึดครองไปแล้ว แต่มีเพียงแดนความฝันผีเสื้อแห่งนี้ที่ไม่ถูกยึดครอง หลงเหลือให้คนอื่นได้เข้ามาบริหารจัดการ
ตอนนี้ได้รับการบริหารโดยสำนักหมื่นสรรพสัตว์ หญ้าขับแสงที่อยู่เบื้องหน้าก็เป็นสำนักหมื่นสรรพสัตว์ที่นำเข้ามาปลูก
แต่จวบจนถึงตอนนี้ เมื่อเทียบกับขนาดพื้นที่อันกว้างใหญ่ไพศาลของแดนความฝันผีเสื้อแล้ว พื้นที่ที่ทำการปลูกต้นหญ้าขับแสงยังคงน้อยนิดอย่างเห็นได้ชัด ไม่สามารถขยับขยายไปทั่วแดนความฝันผีเสื้อได้ เมื่อหญ้าขับแสงไม่สามารถขยับขยายจนครอบคลุมพื้นที่ทั้งหมดได้ ก็หมายความว่าคนจากโลกภายนอกไม่สามารถเข้ามายึดครองสถานที่แห่งนี้ได้ สำหรับคนจากโลกภายนอกแล้ว แดนความฝันผีเสื้อยังคงเป็นสถานที่ที่เต็มไปด้วยปริศนาที่ไม่อาจรู้ได้
สาเหตุที่ทำให้เป็นเช่นนี้ก็เข้าใจได้ง่ายนัก
อย่างแรกคือหญ้าขับแสงไม่ใช่ว่าโยนลงพื้นแล้วจะเติบโตรอดชีวิตได้ อีกทั้งช่วงเวลาที่แดนความฝันผีเสื้อเปิดออกก็มีจำกัด มีเวลาแค่สามวันเท่านั้น นี่ก็หมายความว่าต่อให้สำนักหมื่นสรรพสัตว์จะมีสัตว์ปีกพาหนะ แต่พื้นที่ที่ทำการปลูกหญ้าขับแสงจะต้องอยู่ในระยะเวลาหนึ่งวันครึ่งเท่านั้น เพราะต้องเผื่อเวลาสำหรับถอนกำลังกลับด้วย
…………………………………………………………………….