ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า - ตอนที่ 459 หายไปแล้ว
ตอนที่ 459 หายไปแล้ว
อีกอย่างต่อให้เป็นสำนักหมื่นสรรพสัตว์ แต่พวกเขาก็ไม่ได้มีสัตว์ปีกพาหนะที่จะนำมาใช้ขนส่งคนสำหรับปลูกหญ้าขับแสงมากมายขนาดนั้น
หากเกินจากกำหนดระยะเวลาสามวันไป ทางเข้าแดนความฝันผีเสื้อจะปิดตัวลง ตอนนี้ยังไม่มีผู้บำเพ็ญเพียรคนใดสามารถอยู่ในรอดสภาพแวดล้อมเช่นนี้ในระยะเวลาสิบปีได้ อาหารและน้ำดื่มเป็นปัญหาแรกของการอยู่อาศัยในระยะยาว ดังนั้นทันทีที่ครบกำหนดปิดตัวทุกคนต้องล่าถอยออกไปทันที
สภาพดินในบางแห่งก็ไม่เหมาะสำหรับปลูกหญ้าขับแสง หลักการก็เหมือนการเพาะปลูกพืชทั่วๆ ไป
ทุกสิบปีจะเปิดออกเพียงหนึ่งครั้ง แต่ละครั้งมีเวลาสามวันเท่านั้น บางสถานที่ก็ไม่เหมาะสมสำหรับเพาะปลูก ส่วนเขตพื้นที่ที่ทำการเพาะปลูกในช่วงหลายปีมานี้ก็เติบโตขยายตัวออกไปอย่างไร้ระเบียบแบบแผน ไม่ได้ขยายครอบคลุมพื้นที่เป็นวงกว้างอย่างสมบูรณ์นัก
ด้วยเหตุนี้เมื่อเข้าสู่แดนความฝันผีเสื้อ หากอยากรับประกันความปลอดภัย ก็มีแต่ต้องทำกิจกรรมอยู่ในพื้นที่ที่มีหญ้าขับแสงปลูกอยู่เท่านั้น หากพ้นจากอาณาเขตนี้ไปแล้วเกิดเหตุใดขึ้นมา จะไม่มีผู้ใดรับผิดชอบ
พูดอีกอย่างก็คือเมื่อเข้าสู่แดนความฝันผีเสื้อแล้ว จะเป็นหรือตายก็ขึ้นอยู่กับดวงชะตา ไม่มีผู้ใดบังคับให้เจ้าเข้ามา ต้องคิดเอาเองให้ดีก่อนที่จะเข้ามา สำนักหมื่นสรรพสัตว์ไม่รับผิดชอบต่อปัญหาด้านความปลอดภัย
บนนภามีแสงดาวพราวระยับ ทางช้างเผือกส่องแสงวิบวับ ทว่าไร้ซึ่งแสงจันทร์ บริเวณปากทางเข้ามืดมิด มองเห็นหัวคนขยับไหว ไม่มีผีเสื้อจันทราคอยให้แสงสว่าง
แล้วก็ไม่มีผู้ใดนำผีเสื้อจันทราเข้ามาด้วย เนื่องจากผีเสื้อจันทราก็หวาดกลัวกลิ่นของหญ้าขับแสงเช่นกัน เนื่องจากเดิมทีแม่พันธุ์ผีเสื้อจันทราก็ถือกำเนิดขึ้นที่นี่ สำนักหมื่นสรรพสัตว์จับแม่พันธุ์จากที่นี่ออกไป ทุ่มเทความคิดและกำลังไปมากมายถึงคิดหาวิธีปรับปรุงขยายสายพันธุ์ได้
สิ่งมีชีวิตในสถานที่แห่งนี้ประหลาดนัก ดูเหมือนเหมาะจะดำรงอยู่ในดินแดนมืดมิดแห่งนี้เท่านั้น หากออกไปด้านนอกล้วนจะค่อยๆ โรยราสิ้นใจตาย แม่พันธุ์ผีเสื้อจันทราเองก็เช่นกัน ปีศาจผีเสื้อแสนดุร้ายว่องไวดุจมือสังหารก็เป็นเช่นนี้ด้วย ดังนั้นจึงไม่ง่ายเลยกว่าสำนักหมื่นสรรพสัตว์จะเพาะพันธุ์ผีเสื้อจันทราออกมาได้ แต่ก็นับว่าคุ้มค่าเช่นกัน เพราะมันกลายเป็นสิ่งที่จำเป็นต่อทุกคนในโลกบำเพ็ญเพียร แล้วก็กลายเป็นหนึ่งในรายได้หลักของสำนักหมื่นสรรพสัตว์
ได้ยินว่านี่คือสาเหตุสำคัญที่สุดที่ทำให้สำนักหมื่นสรรพสัตว์สามารถควบคุมที่นี่ได้ คนบางส่วนยังคงมีความคาดหวังต่อสำนักหมื่นสรรพสัตว์ว่าจะสามารถพิชิตแดนความฝันผีเสื้อได้
หยวนกังเงยหน้ามองขึ้นไปเหนือหัว เหนืออากาศสูงขึ้นไปดูเหมือนจะมีเงาดำบางอย่างโฉบผ่านใต้ธารดาราไป แต่เห็นไม่ชัดว่าเป็นตัวอะไร
ก่วนฟางอี๋อธิบายเล็กน้อย “เป็นอสูรผีเสื้อ กลางอากาศสูงขึ้นไปกลิ่นหญ้าขับแสงแผ่ไปไม่ถึง ไม่สามารถป้องกันอสูรผีเสื้อที่บินผ่านไปได้ บางครั้งอสูรผีเสื้อก็จะโยนสิ่งของลงมาจากด้านบนเพื่อโจมตี”
หนิวโหย่วเต้าถาม “ได้ยินว่าคนที่เข้ามาเยือนที่นี่สามารถจับอสูรผีเสื้อไปขายให้สำนักหมื่นสรรพสัตว์ได้หรือ?”
ก่วนฟางอี๋ตอบว่า “เงื่อนไขแรกคือต้องจับเป็น อสูรผีเสื้อแบ่งออกเป็นห้าชนิด[CC1] ชนิดที่มีพลังโจมตีอ่อนด้อยที่สุดคือปีกขาว มีราคาตัวละหนึ่งพันเหรียญทอง ปีกน้ำเงินราคาตัวละห้าพันเหรียญทอง ปีกแดงหรือที่เรียกกันว่าอสูรโลหิต สำนักหมื่นสรรพสัตว์รับซื้อในราคาตัวละห้าแสนเหรียญทอง แต่ปีกแดงจัดการได้ยาก ไม่เพียงแต่ดุร้ายเท่านั้น แต่ยังมีนิสัยก้าวร้าวด้วย ยอมตายแต่ไม่ยอมให้จับตัวได้ คาดว่าสำนักหมื่นสรรพสัตว์น่าจะต้องการนำไปขยายพันธุ์เหมือนอย่างผีเสื้อจันทราเพื่อทำอะไรบางอย่าง จนปัญญาที่เจ้าสิ่งนี้ปรับตัวกับโลกภายนอกไม่ได้ จับออกไปก็มีชีวิตอยู่ได้ไม่นาน จึงได้ทุ่มความหวังไปกับแง่ของปริมาณ ดังนั้นขอเพียงเจ้าจับมาได้ สำนักหมื่นสรรพสัตว์ก็จะรับซื้อเอาไว้ทั้งหมด ในช่วงที่แดนความฝันผีเสื้อเปิดตัวขึ้นทุกครั้ง สำนักหมื่นสรรพสัตว์จะทุ่มงบประมาณมหาศาลไปกับส่วนนี้”
นางบุ้ยปากไปทางกลุ่มคนด้านหน้า “ทุกครั้งที่ถึงช่วงนี้จะมีผู้บำเพ็ญเพียรไร้สำนักบางส่วนเข้ามาเสี่ยงภัยที่นี่ นำชีวิตมาเสี่ยงเพื่อแลกกับเงินทอง ดังนั้นหากพบคนพวกนี้เข้า อยู่ห่างจากพวกเขาไว้หน่อยดีกว่า อสูรผีเสื้อมักจะถูกคนเหล่านี้ยั่วโมโห หากเดินใกล้กับพวกเขาเกินไปจะถูกลูกหลงเอาได้ สำนักหมื่นสรรพสัตว์ไม่สนใจเรื่องนี้ เพราะถึงอย่างไรคนเสี่ยงภัยก็มิใช่คนในสำนักหมื่นสรรพสัตว์ของพวกเขาอยู่ พวกเขาเพียงแค่จ่ายเงินก็ทำให้คนอื่นยอมทุ่มชีวิตให้แล้ว”
หยวนกังที่อยู่ด้านข้างเอ่ยสอดว่า “เพิ่งมีสี่ชนิด อีกหนึ่งชนิดล่ะ”
ก่วนฟางอี๋หันไปมองเขา “อีกหนึ่งชนิดที่เหลือเป็นตำนานเล่าขาน เรียกกันว่าอสูรศักดิ์สิทธิ์ ร่ำลือกันว่าเป็นราชาแห่งมวลอสูรผีเสื้อ พิเศษกว่าอสูรผีเสื้อตัวอื่นๆ ไม่เพียงแต่จะมีพลังแกร่งกล้ากว่าเท่านั้น แต่ยังสามารถออกไปใช้ชีวิตอยู่นอกสถานที่แห่งนี้ได้ด้วย ได้ยินว่าขอเพียงสยบได้สักตัวก็สามารถควบคุมอสูรผีเสื้อทั่วแดนความฝันผีเสื้อแห่งนี้ได้แล้ว สามารถท่องไปในแดนผีเสื้อได้อย่างไรซึ่งอุปสรรค แต่นั่นก็เป็นเพียงสิ่งที่ในตำนานเล่าขานเท่านั้น ในโลกบำเพ็ญเพียร ณ ปัจจุบันนี้ดูเหมือนจะยังไม่มีใครเคยพบเห็นมัน ร่ำลือกันว่าฮองเฮาหลีเกอแห่งแคว้นอู่มีอสูรศักดิ์สิทธิ์ตัวหนึ่งเป็นสัตว์เลี้ยงติดตามข้างกาย นี่จึงเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้ซางซ่งสยบแดนความฝันผีเสื้อได้ และสามารถสร้างตำหนักขึ้นภายในแดนความฝันผีเสื้อได้ หากผู้ใดจับอสูรศักดิ์สิทธิ์ได้ เรื่องเงินจะมิใช่ปัญหาเลย เรียกราคาได้ไม่จำกัด! ไม่ว่าต้องจ่ายเงินมากแค่ไหนก็จะมีคนมาซื้อกับเจ้า เกรงว่าแม้แต่ยอดคนทั้งเก้าแห่งโลกบำเพ็ญเพียรก็คงสนใจเช่นเดียวกัน นับจากนั้นเจ้าจะกลายเป็นคนร่ำรวยรุ่งโรจน์”
นางยักคิ้วเล็กน้อยคล้ายหยอกเย้า “ลองคิดดูสิ วาสนาเช่นนี้ใช่ว่าผู้ใดก็มีกันได้นะ ได้ยินว่าพลังของอสูรศักดิ์สิทธิ์เทียบเท่ากับผู้บำเพ็ญเพียรระดับจิตทารกเชียวนะ หากเจ้าพบเข้าจริงๆ พยายามหนีเอาชีวิตรอดให้ได้จะดีที่สุด หากหนีรอดได้ก็นับว่าเจ้าโชคดีมากแล้ว ไม่จำเป็นต้องคิดเรื่องอื่นให้มากความอีก” สุ้มเสียงเจือแววเย้ยหยันเอาไว้
หนิวโหย่วเต้าอมยิ้ม สองคนนี้ไม่ถูกชะตากันมาตลอด
วันนี้หยวนกังไม่มีแก่ใจมาต่อปากต่อคำกับก่วนฟางอี๋ เพราะวันนี้ความสนใจของเขาไม่ได้อยู่ตรงนี้
กลุ่มคนที่รวมตัวกันอยู่สักพักเริ่มแยกย้ายกระจายตัวออกไปสำรวจดู ส่วนใหญ่ล้วนเพิ่งเคยมาเป็นครั้งแรก
“ในเมื่อเข้ามาแล้ว พวกเราก็ไปเดินดูกันหน่อยเถอะ” หนิวโหย่วเต้ายิ้มพลางโบกมือเล็กน้อย
ผู้ใดจะทราบว่าจู่ๆ อวิ๋นจีที่อยู่ด้านข้างกลับเอ่ยขึ้นว่า “แยกกันเดินดีกว่า”
“….” หนิวโหย่วเต้ามึนงง ขณะที่กำลังจะเอ่ยถามเหตุผล อวิ๋นจีก็ทะยานออกไปแล้ว ไม่มีแม้แต่คำอธิบาย
ทุกคนอดสงสัยไม่ได้ ก่อนหน้านี้อวิ๋นจีบอกว่าจะไปด้วยกันมิใช่หรือ?
พวกเขาหารู้ไม่ว่าแรกเริ่มอวิ๋นจีอยากติดตามสังเกตดูหนิวโหย่วเต้าจริงๆ แต่นางกลับคิดไม่ถึงว่าจะมาพบหยวนกังเข้า อยู่กับหยวนกังแล้วนางรู้สึกอึดอัดเป็นอย่างมาก ความรู้สึกกดดันจนมือเท้าอ่อนแรงเช่นนี้ทำให้นางทนรับไม่ไหว จึงรีบแยกตัวจากไป
อันที่จริงช่วงแรกๆ หยวนฟางก็มีความรู้สึกเช่นนี้เหมือนกัน ดังนั้นจึงมักจะถูกหยวนกังทุบตีโดยไม่กล้าตอบโต้มาโดยตลอด แต่ตอนนี้กลับไม่รู้สึกถึงแล้ว เนื่องจากพออยู่กับหยวนกังนานวันเข้าก็เคยชินไปเอง พอเคยชินแล้วก็ย่อมรู้สึกเป็นธรรมชาติ ผ่านการหล่อหลอมมาแล้วจึงสามารถยิ้มทะเล้นพูดจาไร้ยางอายกับหยวนกังได้สบายๆ
หยวนฟางจะหวาดกลัวขึ้นมาแค่ในยามที่หยวนกังโมโหเท่านั้น
แต่ปัจจุบันนี้หยวนกังไม่ค่อยโมโหใส่หยวนฟางแล้ว อีกอย่างตอนนี้หยวนฟางก็ไม่คิดจะหลบหนีแล้วเช่นกัน ซ้ำยังเชื่อฟังเขาอย่างมากด้วย
กับหนิวโหย่วเต้าหยวนฟางยังพอจะเอ่ยสอบถามแสดงความสงสัยได้บ้าง แต่ขอเพียงเป็นคำพูดของหยวนกัง หยวนฟางก็จะไม่พูดอะไรทั้งสิ้น สั่งให้ไปทางซ้ายย่อมไม่ไปทางขวา ถ้าบอกว่าห้ามถามจู้จี้ เขาก็จะหุบปากทันที
เรื่องบางอย่างคนที่อยู่ในสถานการณ์จะมองไม่ออก ทั้งหยวนกังและหยวนฟางล้วนไม่เคยตระหนักถึงเหตุผลที่แท้จริงเลย หยวนฟางคิดเพียงว่าเป็นเพราะหยวนกังค่อนข้างดุร้าย เอะอะก็ลงไม้ลงมือ ถึงได้ทำให้เขารู้สึกหวาดกลัว
ยังมีอีกสาเหตุ นั่นคือในช่วงแรกที่หยวนฟางได้รู้จักใกล้ชิดหยวนกัง กลิ่นอายบนร่างหยวนกังยังไม่กดดันน่าครั่นคร้ามเหมือนอย่างที่อวิ๋นจีสัมผัสได้ในตอนนี้ หยวนฟางผ่านกระบวนการปรับตัวมาอย่างค่อยเป็นค่อยไป
หนิวโหย่วเต้ามองทิศทางที่อวิ๋นจีจากไป พบว่าอวิ๋นจีเหมือนจะจับตำแหน่งในการเหินร่อนขึ้นลงในพื้นที่มืดมิดแถบนี้ได้อย่างแม่นยำ ตรงไหนเป็นเนินตรงไหนเป็นพื้นราบดูเหมือนจะแยกออกแต่แรกแล้ว ไม่เหมือนคนที่เพิ่งเคยมาครั้งแรกเลย เขาอดไม่ได้ที่จะหรี่ตาลง จากนั้นพยักเพยิดไปในทิศทางนั้นเล็กน้อย พาคนมุ่งหน้าไปในทางเดียวกับอวิ๋นจี
อันที่จริงข้างกายเขามีคนติดตามมาไม่มาก มีเพียงก่วนฟางอี๋ หยวนกังและหยวนฟางเท่านั้น
เดิมทีครั้งนี้คนของสวนไม้เลื้อยก็ตามมาแค่ไม่กี่คนอยู่แล้ว ซ้ำยังมาเกิดเรื่องสายลับขึ้นอีก ก่อนที่จะสืบทราบตื้นลึกหนาบางของลุงเฉิน เขาไม่มีทางกล้าพาลุงเฉินติดตามมาในสถานที่เช่นนี้ด้วย ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดจากคนในน่ากลัวยิ่งว่าอะไรทั้งนั้น หากปล่อยลุงเฉินทิ้งไว้คนเดียวก็กลัวว่าจะทำให้ลุงเฉินเกิดความสงสัยขึ้นมา ดังนั้นจึงให้สวี่เหล่าลิ่วรั้งอยู่ด้านนอกด้วย อ้างว่าหากเกิดเหตุฉุกเฉินหรือว่าหากพวกเขาไม่กลับออกไป ด้านนอกก็จะได้มีคนที่ทราบเรื่องเฝ้าอยู่แล้วก็จะได้ติดต่อกลับไปแจ้งข่าวต่อทางบ้านได้ จะได้รับมือต่อสถานการณ์ได้ทัน นับว่ารับหน้าที่คอยติดต่อสื่อสาร
ส่วนเหล่าสือซานเดิมทีก็รับผิดชอบเฝ้าดูแลปีกทองอยู่แล้ว จึงให้เขาอยู่ที่เมืองวั่นเซี่ยง ไม่ได้พามาทางนี้ด้วย
ส่วนคนจากทางฝั่งสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ที่ติดตามเข้ามาสิบคน หนิวโหย่วเต้าไม่ได้มองเป็นคนของตนอยู่แล้ว แต่ถังอี๋ก็ยังพาคนติดตามไปด้วย
แต่เป็นเพราะไม่คุ้นเคยกับภูมิประเทศของที่แห่งนี้ ตามไปได้ไม่นานก็คลาดกับอวิ๋นจีไป
ทั้งกลุ่มยืนอยู่ตรงทางแยกจุดหนึ่ง กวาดตามองไปรอบๆ มีผู้บำเพ็ญเพียรเดินผ่านไปบ้างประปราย
อันที่จริงก็ไม่นับว่าเป็นทางแยกอันใด เพียงแค่หญ้าขับแสงในพื้นที่แถบนี้ได้รับผลกระทบจากสภาพภูมิประเทศ มันจึงอ้อมพื้นที่สูงชันไป แผ่ขยายออกไปเหมือนกิ่งของต้นไม้ แยกออกเป็นสามทิศทาง
ไม่รู้ว่าอวิ๋นจีไปในทิศทางใดกันแน่ ยากจะทำการเลือกจากเส้นทางทั้งสามสายได้ดฮณ๊ฯดฯฌซ,
หนิวโหย่วเต้ามองไปที่หยวนกัง หยวนกังเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการแกะรอย เขาเชี่ยวชาญถึงขนาดที่ว่าสามารถจำแนกรอยเท้าได้ว่าเป้าหมายเป็นชายหรือหญิง รวมถึงวิเคราะห์น้ำหนักส่วนสูงคร่าวๆ ได้ด้วย แต่หยวนกังส่ายหน้าให้ ที่นี่มีแสงสว่างไม่พอ อีกทั้งอวิ๋นจีใช้วิธีเหินทะยาน คิดจะสืบหารอยเท้าของอวิ๋นจีภายในระยะเวลาสั้นๆ นั้นค่อนข้างยากลำบาก
ก่วนฟางอี๋เอ่ยถาม “ตามนางเพราะเหตุใด? สตรีที่ดูลึกลับนางนั้นเป็นใครกันแน่?”
มีพวกถังอี๋ติดตามมาด้วย หนิวโหย่วเต้าจึงไม่ได้เอ่ยตอบ หากแต่กวาดตามองไปรอบๆ เมื่อหาอวิ๋นจีไม่พบ เขาจึงคิดจะเลือกเส้นทางสักเส้นหนึ่ง
หลังจากตัดสินใจได้แล้ว หนิวโหย่วเต้าหันไปมองถังอี๋ เอ่ยถามไปว่า “พวกเจ้าตามข้ามาทำไม?”
ถังอี๋เดินเข้าไป “อย่าเข้าใจผิดไป พวกเราไม่ได้มีเจตนาร้าย ถึงอย่างไรที่นี่ก็ค่อนข้างอันตราย เจ้าก็คิดเสียว่าพวกเรามาเพื่อคุ้มกันเจ้าก็แล้วกัน”
“คุ้มกันข้าหรือ?” หนิวโหย่วเต้าพลันเผยสีหน้าขบขัน เอ่ยถากถางนาง “แม้แต่พวกเจ้าเองก็ยังเอาตัวเองไม่รอด คิดจะมาคุ้มกันข้าอย่างนั้นหรือ? ในเมื่อข้ากล้ามาที่นี่ย่อมมีวิธีปกป้องตัวเอง ไม่จำเป็นต้องรบกวนพวกเจ้า ข้ารับเจตนาดีไว้ด้วยใจแล้วกัน แต่อย่าตามข้ามาอีก ออกไปเสีย ไปจากแดนแห่งความฝันซะ”
เว่ยตัวเอ่ยตะกุกตะกัก “ต…เต้าเหยี่ย…”
“เจ้าหุบปากซะ!” หนิวโหย่วเต้าชี้มือออกไป “แค่เห็นเจ้าข้าก็หงุดหงิดแล้ว ไสหัวไปให้พ้นหน้าข้าเดี๋ยวนี้!”
เว่ยตัวอ้าปากค้างทันที
ถังอี๋มองเขาอย่างไม่สะทกสะท้าน เหล่าศิษย์สำนักสวรรค์พิสุทธิ์ก็ไม่ขยับเขยื้อนเช่นกัน ท่าทางเหมือนจะตามติดไม่ยอมปล่อย
น่ารำคาญ! หนิวโหย่วเต้าเดินย้อนกลับมาเล็กน้อย ค่อนข้างจนใจกับคนเหล่านี้ สุดท้ายก็กวักมือเรียกถังอี๋เข้ามา
ถังอี๋เดินเข้ามาหา จากนั้นก็เดินตามหนิวโหย่วเต้าออกไปอีกด้านหนึ่งท่ามกลางสายตาของทุกคน
หลังจากทั้งสองแยกห่างจากทุกคนมาเล็กน้อยก็หยุดลง หนิวโหย่วเต้าหันไปถาม “เจ้าคิดจะทำอะไรกันแน่?”
ถังอี๋กล่าวว่า “สำนักสวรรค์พิสุทธิ์ผิดต่อเจ้าจริงๆ แต่สำนักสวรรค์พิสุทธิ์ยังมิได้ขับไล่เจ้าออกจากสำนัก เจ้ายังคงเป็นศิษย์ของสำนักสวรรค์พิสุทธิ์อยู่ ความผิดที่สำนักสวรรค์พิสุทธิ์กระทำลงไป ข้าขอรับไว้แต่เพียงผู้เดียว เจ้าอยากจะทำอย่างไรก็ได้ทั้งสิ้น ขอร้องเจ้าได้โปรดเห็นแก่อาจารย์อาตงกัว อย่าได้ทอดทิ้งสำนักสวรรค์พิสุทธิ์เลย ถือว่าข้าขอร้องเจ้า…” ว่าจบก็ย่อตัวลงต้องการจะคุกเข่าให้เขา
หนิวโหย่วเต้ารั้งแขนนางไว้ ลากนางขึ้นมา “อย่ามาเล่นไม้นี้! เจ้าสำนักถัง ข้าไปก่อความแค้นอันใดกับเจ้าไว้กันแน่ เจ้าถึงได้ตามราวีข้าไม่ยอมเลิกรา เจ้าอยากเล่นงานข้าให้ตายหรือ? เจ้าเลอะเลือนจริงๆ หรือว่าแสร้งเลอะเลือนอยู่กันแน่? ตอนนั้นพวกเจ้ายังรู้จักโยนข้าไปให้ซางเฉาจงเพื่อตัดสัมพันธ์กับซางเฉาจงอยู่เลย แล้วตอนนี้เจ้าไม่รู้หรือว่าสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ไม่อาจมาอยู่ร่วมกับซางเฉาจงได้? เจ้าตั้งใจจะเล่นงานข้าใช่หรือไม่?”
กลุ่มคนที่อยู่ไกลออกไปมองเห็นเพียงฉากที่คนทั้งสองยื้อยุดฉุดดึงกัน ก่วนฟางอี๋เบะปากเล็กน้อย เผยสีหน้าดูแคลน
…………………………………………………………..
[CC1]เนื้อหาจีนเขียนหกแต่อธิบายจริงๆ มีแค่ห้าค่ะ