ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า - ตอนที่ 460 อสูรผีเสื้อ
ตอนที่ 460 อสูรผีเสื้อ
ชายหญิงมิพึงชิดใกล้ นับตั้งแต่เติบโตเป็นผู้ใหญ่ นี่เป็นครั้งแรกที่นางถูกบุรุษคนหนึ่งจับมือถือแขนเช่นนี้
ถังอี๋คิดจะสลัดเขาออกตามสัญชาตญาณ แต่หากว่ากันตามหลักเหตุผลแล้ว ชายคนนี้คือสามีของนาง ชายอื่นไม่อาจแตะต้องนางได้ แต่หากชายผู้นี้แตะต้องนางก็นับเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล จิตใจนางสั่นสะท้านเล็กน้อย แขนเกร็งนิดๆ แต่ไม่ได้ขัดขืนอีก เอ่ยชี้แจงไปว่า “ข้ารู้ดี มิใช่ว่าสำนักสวรรค์พิสุทธิ์เห็นว่าซางเฉาจงขยายอำนาจได้แล้วจึงอยากเข้าร่วมกับเขา ไม่จำเป็นต้องเข้าร่วมกับเขาก็ได้ ขอเพียงเจ้าไม่ทอดทิ้งสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ก็พอ ตอนนี้ข้าหมดหนทางแล้วจริงๆ ถึงได้มาขอร้องเจ้า สำนักสวรรค์พิสุทธิ์ที่บรรพจารย์รุ่นก่อนๆ ทุ่มเทสร้างขึ้นมาไม่อาจปล่อยให้ล่มสลายลงในมือข้าได้”
หนิวโหย่วเต้าเองก็ตระหนักได้ว่าไม่เหมาะสม จึงปล่อยตัวนาง “ใต้หล้านี้ใครบ้างที่ไม่รู้ว่าข้าเป็นพวกเดียวกับซางเฉาจง หากข้ารวมกลุ่มกับพวกเจ้า มันก็ไม่ได้ต่างอะไรกับการอยู่กับซางเฉาจงมิใช่หรือ? ชีวิตข้าหาได้ดีอย่างที่พวกเจ้าเห็นกันไม่ มีหลายเรื่องราวที่พวกเจ้าไม่ได้มีส่วนร่วมรู้เห็น จึงไม่รู้ถึงอันตรายที่แฝงอยู่ ข้าเองก็ไม่มีทางไปอยู่กับพวกเจ้าอีกแล้ว อย่าบีบให้ข้าต้องเสียมารยาทกับพวกเจ้า!”
ถังอี๋ไม่เหลือทางถอยแล้ว นับตั้งแต่ที่ออกจากมณฑลเป่ยโจว นางก็ไม่เหลือทางถอยอีกต่อไป ในสถานที่อื่นไม่มีผู้ใดยินดีรับสำนักสวรรค์พิสุทธิ์เอาไว้ คงไม่อาจพาเหล่าศิษย์ระหกระเหินเร่ร่อนไปทั่วได้กระมัง? ทันทีที่รู้ว่าสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ล้มเหลวในการโน้มน้าวหนิวโหย่วเต้า จิตใจของศิษย์ในสำนักจะแตกแยก สำนักสวรรค์พิสุทธิ์จะล่มสลายไร้ซึ่งอนาคตทันที แม้แต่มณฑลเป่ยโจวก็ไม่อาจกลับไปได้อีก
หนิวโหย่วเต้ายืนกรานเช่นนี้ทำให้ถังอี๋อับจนหนทางนัก ถังอี๋จึงทำได้เพียงกัดฟันเอ่ยไปว่า “เป็นอาจารย์อาจ้าวที่ให้พวกเรามาขอพึ่งพาเจ้า”
“ข้าไม่รู้จักอาจารย์อาอะไรทั้งนั้น ข้าข้อเตือนพวกเจ้า ต่อไปอย่ามาสร้างความรำคาญให้ข้าอีก” หัวใจหนิวโหย่วเต้าเต้นตึกตัก แต่ปากกลับแสร้งเอ่ยเฉไฉไป หันหลังคิดจะเดินหนี
ถังอี๋โพล่งออกไปทันที “อาจารย์อาจ้าวสยงเกอให้ข้ามาหาเจ้า”
หนิวโหย่วเต้าหันกลับมาทันที เผชิญหน้ากับนางพลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เจ้ากำลังยกจ้าวสยงเกอมาข่มขู่ข้าหรือ?”
ถังอี๋ตอบว่า “ข้าพูดความจริง อาจารย์อาบอกให้ข้ามาจริงๆ มิได้โป้ปดเจ้าแน่นอน”
ตอนนี้หนิวโหย่วเต้าไม่มีแก่ใจมาคุยเรื่องนี้กับนางอยู่ที่นี่ เขาโน้มตัวเข้าไป ถังอี๋ถอยหลังไปก้าวหนึ่งทันที เลี่ยงมิให้ชายหญิงอยู่ใกล้ชิดกันเกินไป
หนิวโหย่วเต้าคว้าแขนนางไว้อีกครั้ง ยื่นหน้าไปกระซิบริมหูนาง “เรื่องบางเรื่องพวกเราค่อยออกไปคุยกันทีหลัง ที่นี่กำลังจะเกิดปัญหาขึ้น ข้ามีธุระต้องจัดการ พวกเจ้าอยู่ที่นี่มีแต่จะเพิ่มปัญหาให้ข้า รีบพาคนของเจ้าออกไปจากแดนแห่งความฝัน ตอนนี้ แล้วก็เดี๋ยวนี้ด้วย เข้าใจหรือไม่?”
ในที่สุดก็บอกเหตุผลที่รีบร้อนอยากจะไล่พวกเขาไป ถูกตามพัวพัวจนหงุดหงิดขึ้นมาจริงๆ แล้ว จะให้ลงมือกับสำนักสวรรค์พิสุทธิ์อย่างโหดเหี้ยมจริงๆ เขาก็ทำไม่ลง
ทั้งสองอยู่ใกล้กันถึงขนาดนี้ ใกล้จนได้ยินเสียงลมหายใจของกันและกัน นี่คือครั้งแรกที่ถังอี๋ได้ใกล้ชิดกับบุรุษโตเต็มวัยขนาดนี้ หัวใจนางเต้นรัว แต่นับว่าเป็นครั้งที่สองที่ได้ใกล้ชิดหนิวโหย่วเต้า ในคืนเข้าหอปีนั้นตอนที่นางกับหนิวโหย่วเต้าในวัยหนุ่มน้อยคล้องแขนดื่มสุรามงคลก็เคยใกล้ชิดกันเช่นนี้
ตูม! มีเสียงต่อสู้แว่วดังเลือนรางมาจากที่ไกลๆ ทั้งสองคนหันมองในทิศทางหนึ่งของทางแยกพร้อมกัน
“จะเกิดอะไรขึ้น?” ถังอี๋หันมาเอ่ยถาม
“ไม่ใช่ธุระของเจ้า รีบพาคนของเจ้าไสหัวออกไปเดี๋ยวนี้” หนิวโหย่วเต้าสะบัดแขนนางออก ชี้นิ้วไปในทิศทางที่เข้ามา จากนั้นก็ส่งสัญญาณเรียกพวกหยวนกังทั้งสาม ทั้งกลุ่มมุ่งหน้าไปในทิศทางที่มีเสียงต่อสู้แว่วมา
พวกหลัวหยวนกงเดินเข้ามาหา ซูพั่วเอ่ยถามถังอี๋ “เจ้าสำนัก เป็นอย่างไรบ้าง?”
ถังอี๋ขบริมฝีปากไม่พูดจา เป็นครั้งแรกที่นางทำเรื่องหน้าหนาไร้ยางอายเช่นนี้…
พวกหนิวโหย่วเต้าที่ตามเสียงต่อสู้ไปพลันหยุดลงในทันใด ร่อนลงบนเนินเขาแห่งหนึ่ง ทอดมองสถานการณ์ต่อสู้จากมุมสูง
หลงนึกว่าเกิดเหตุใดขึ้นกับทางอวิ๋นจี ใครจะไปรู้ว่าเรื่องราวมิได้เป็นเช่นนั้น ผู้บำเพ็ญเพียรสิบกว่าคนกำลังต่อสู้กับอสูรผีเสื้อกลุ่มหนึ่งอยู่
เป็นครั้งแรกที่หนิวโหย่วเต้าได้เห็นอสูรผีเสื้อที่กระพือปีกบินลัดเลาะอยู่ท่ามกลางป่าผืนนั้น
โครงร่างส่วนใหญ่คล้ายกับมนุษย์ ขนาดตัวไล่เลี่ยกับมนุษย์ มีทั้งเพศผู้และเพศเมีย มีปีกผีเสื้องอกยาวแผ่แสงสีขาวนวลออกมา ด้านในปีกมีโครงกระดูกที่ดูราวกับหยกขาวสานไขว้กันเหมือนตาข่าย บริเวณขอบปีกมีเดือยหนามแหลมหลายคู่ ใบหน้าและร่างกายของมนุษย์ผีเสื้อมีเปลือกแข็งห่อหุ้มอยู่ทั่วร่าง ตรงส่วนหัว สันจมูกและทรวงอกล้วนมีเกราะแข็งหุ้มอยู่ ใบหน้าดุร้าย มีเขี้ยวงอกยาว ที่มือเท้าล้วนมีกรงเล็บแหลมคม
ท่ามกลางผืนป่าที่กิ่งก้านใบพืชพรรณล้วนเปล่งแสงเหมือนดั่งหยก มนุษย์หลายคนถือโซ่เหล็กไว้ ฉุดดึงอสูรปีกขาวสามตัวที่ถูกรัดตรึงไว้ เร่งมุ่งหน้ามาทางด้านนี้ ส่วนคนอื่นๆ กวัดแกว่งอาวุธในมือเพื่อสกัดปัดป้องกลุ่มอสูรปีกขาวที่ล้อมโจมตีเข้ามาจากทั่วทิศ
ผู้บำเพ็ญเพียรคนหนึ่งที่ล่าถอยมาพร้อมคนอื่นๆ พลันพลาดท่า ถูกอสูรปีกขาวตัวหนึ่งคว้าข้อมือแล้วกระชากออกไปจากกลุ่ม ผู้บำเพ็ญเพียรคนนั้นตวัดกระบี่ในมือฟันคออสูรปีกขาวตัวนั้น แต่อสูรปีกขาวที่หัวขาดไปแล้วกลับกางแขนกางขากอดรัดตัวผู้บำเพ็ญเพียรคนนั้นเอาไว้แน่น หนึ่งคนหนึ่งปีศาจร่วงดิ่งลงมาจากอากาศด้วยกัน
ผู้บำเพ็ญเพียรที่ถูกพันธนาการไว้พลันโคจรพลังแล้วสะบัดแขนให้หลุดจากพันธนาการ แต่กรงเล็บแหลมคมข้างหนึ่งได้โจมตีมาจากทางด้านหลัง เจาะทะลวงเข้าที่ตำแหน่งหัวใจของเขา
อสูรปีกขาวที่ลอบโจมตีจากทางด้านหลังโฉบเอาร่างผู้บำเพ็ญเพียรคนนั้นโผขึ้นสู่อากาศอีกครั้ง ก่อนจะกดร่างเขาเข้ากับกิ่งไม้บนต้นไม้ต้นหนึ่ง มันอ้าปากออก ลิ้นที่เรียวแหลมพุ่งออกมา สอดตรงเข้าไปในปากของผู้บำเพ็ญเพียรแล้วดูดอย่างรุนแรง ลิ้นที่เรียวแหลมเป็นเหมือนดั่งท่อสูบที่ดูดเลือดออกมาจากร่างผู้บำเพ็ญเพียรรายนั้น艾琳小說
ผู้บำเพ็ญเพียรที่ถูกกดร่างไว้บนกิ่งไม้ชักกระตุก ผิวกายที่เต่งตึงเหี่ยวแห้งลงอย่างรวดเร็ว
กลุ่มผู้บำเพ็ญเพียรที่เร่งล่าถอยไม่มีใครสนใจผู้บำเพ็ญเพียรที่หลุดจากกลุ่มไปคนนั้น คล้ายว่าไม่มีเวลาพอให้ไปสนใจเช่นกัน คิดเพียงแต่จะล่าถอยออกไปโดยเร็ว
แต่กลุ่มอสูรปีกขาวที่บินลัดเลาะเข้ามาปิดล้อมโจมตีมีเปลือกห่อหุ้มที่แข็งแกร่งเป็นอย่างมาก มันสามารถต้านการโจมตีจากคมดาบคมกระบี่ได้ แต่ก็ไม่อาจต้านทานแรงฟาดฟันโจมตีอย่างหนักหน่วงได้ มีอสูรหลายตัวถูกฟันร่วงหล่นลงสู่พื้นอย่างต่อเนื่อง ดิ้นรนพลางส่งเสียงกรีดร้อง “กี๊ดๆ” ที่เสียดแก้วหู
พวกหนิวโหย่วเต้ามองหน้ากัน ไม่คิดจะลงมือช่วยเหลือแต่อย่างใด เพียงมาชมสถานการณ์เท่านั้น ในป่าเรืองแสงสว่างไสว แม้จะยืนอยู่ไกลๆ ก็ยังมองเห็นได้อย่างชัดเจน
เรื่องราวแจ่มแจ้งชัดเจน เห็นได้ชัดว่าผู้บำเพ็ญเพียรเหล่านี้ก็คือคนประเภทที่ก่วนฟางอี๋เอ่ยถึงก่อนหน้านี้ว่ามาเพื่อจับอสูรผีเสื้อไปแลกเงิน ไม่ใช่อสูรผีเสื้อที่เป็นฝ่ายเข้าโจมตีก่อน แต่คนกลุ่มนี้เป็นฝ่ายวิ่งออกไปนอกเขตคุ้มกันของหญ้าขับแสงเพื่อไล่จับอสูรผีเสื้อ
“คนพวกนี้แกว่งเท้าหาเสี้ยนกันเสียจริง ไยไม่คิดกันบ้างว่าหากหาเงินได้ง่ายปานนั้นจริง สำนักหมื่นสรรพสัตว์ยังจะให้คนนอกมาทำอีกหรือ? ใช่ว่าจะมีเงินมากมายจนใช้ไม่หมดเสียหน่อย” ก่วนฟางอี๋ถอนหายใจพลางส่ายหน้า
หนิวโหย่วเต้าก็อดส่ายหน้าไม่ได้เช่นกัน นี่คือความน่าเศร้าใจของผู้บำเพ็ญเพียรระดับต่ำ หากทำอะไรวุ่นวายอยู่ในโลกภายนอกก็มีเพียงความตายเท่านั้นที่รออยู่ หากมาลองเสี่ยงที่นี่ดูอย่างน้อยก็ได้เงินตอบแทน ไม่มีใครมาว่าอะไร คุ้มค่าพอให้พวกเขาเอาชีวิตไปเสี่ยง
ทันใดนั้นก่วนฟางอี๋พลันเอ่ยขึ้นมาอีกครั้ง “เจ้าพวกรนหาที่ตายกลุ่มนี้มีปัญหาแล้ว”
ทั้งกลุ่มมองตามไปในทิศทางเดียวกับสายตาของนาง เห็นเพียงว่าไกลออกไปมีจุดแสงสีน้ำเงินบินลัดผ่านป่าเข้ามา ด้านหลังยังมีจุดแสงสีขาวตามมาอีกเป็นกลุ่มก้อน
มุ่งหน้าเข้ามาด้วยความเร็วสูง ใช้เวลาเพียงไม่นานก็เข้ามาใกล้ทางนี้ ทำให้ทั้งกลุ่มมองเห็นชัดเจนว่าเป็นสิ่งใดกันแน่ นั่นคืออสูรผีเสื้ออีกสีหนึ่ง อสูรผีเสื้อปีกน้ำเงินพุ่งเข้ามา ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นเพราะถูกเสียงกรีดร้อง ‘กี๊ดๆ’ แหลมเสียดหูก่อนหน้านี้ดึงดูดมาหรือไม่
“หนี!” ใครบางคนในกลุ่มผู้บำเพ็ญเพียรที่เร่งหลบหนีอยู่สังเกตเห็นอันตรายแล้ว จึงรีบตะโกนขึ้นมาทันที
ทั้งกลุ่มละทิ้งอสูรผีเสื้อสามตัวที่ฉุดลากมา หลบหนีเอาชีวิตรอด แต่กลุ่มอสูรปีกขาวที่เข้าปิดล้อมโจมตีกลับไม่ยอมปล่อยพวกเขาไป เร่งความเร็วพร้อมปรับจังหวะเข้าล้อมพัวพัน ไม่ยอมให้พวกเขารอดไปได้
ไม่นานนัก อสูรปีกน้ำเงินสิบกว่าตัวก็พุ่งทะยานเข้าร่วมวงต่อสู้ เข้าปิดล้อมโจมตีผู้บำเพ็ญเพียรกลุ่มนั้นด้วย
เรื่องที่พวกหนิวโหย่วเต้าคาดไม่ถึงก็คือ มีอสูรปีกน้ำเงินอีกสามตัวพุ่งเข้ามาหาพวกเขาที่มารับชมเหตุการณ์ พุ่งตรงฝ่าแนวป้องกันของหญ้าขับแสงเข้ามา
ทั้งกลุ่มพลันตระหนักได้ในทันใด ถึงแม้หญ้าขับแสงจะสะกดอสูรผีเสื้อได้ แล้วก็จริงอยู่ที่อสูรผีเสื้อทนรับกลิ่นของหญ้าขับแสงไม่ไหว แต่พวกเขาอยู่ใกล้เขตชายขอบมากเกินไป อสูรผีเสื้อพุ่งเข้ามาสังหารเพียงครู่เดียวก็น่าจะไม่เป็นปัญหาแน่นอน
พวกเขาอยู่ใกล้เกินไป ไม่รู้ว่าถูกอสูรผีเสื้อพวกนั้นเข้าใจผิดว่าเป็นพวกเดียวกับกลุ่มคนในป่าหรือเปล่า
ความเร็วของพวกเขาสู้การบินของสัตว์ประหลาดพวกนี้ไม่ได้ คิดจะหลบเอาตอนนี้มันก็สายไปเสียแล้ว
หยวนกังเอื้อมมือไปด้านหลัง ชักดาบสามคำรามที่สะพายไว้ด้านหลังออกมาจากห่อผ้าสีดำ กุมด้ามดาบไว้แน่น สีหน้าราบเรียบ
ก่วนฟางอี๋คีบยันต์อาคมไว้ในมือ
หยวนฟางสะบัดแขนเสื้อสองข้างลงด้านล่าง มีดพระคู่หนึ่งร่วงออกมาจากแขนเสื้อ คว้าเอาไว้ในมือ
หนิวโหย่วเต้ายืนค้ำกระบี่อยู่ตรงนั้น ไร้ซึ่งความเคลื่อนไหวใดๆ
ที่น่าแปลกคือ ทันทีที่อสูรปีกน้ำเงินสามตัวนั้นแยกเขี้ยวกางเล็บโฉบเข้ามาหมายจะโจมตี จู่ๆ พวกมันก็กระพือปีกเปลี่ยนทิศทาง บินอ้อมผ่านกายทั้งสี่คนไป ท่าทางคล้ายหวาดกลัวจนแทบจะหลบหนีไม่ทัน
หลังจากอ้อมผ่านไปแล้ว อสูรปีกน้ำเงินยังคงวกกลับมาบินวนรอบพวกเขาอีกครั้ง สายตาที่จ้องมองทั้งกลุ่มคล้ายจะเจือความหวาดกลัวเอาไว้ด้วย จากนั้นทั้งหมดก็พากันบ่ายหน้าจากไป โผบินเข้าสู่ป่าอีกครั้ง เข้าร่วมปิดล้อมโจมตีผู้บำเพ็ญเพียรกลุ่มนั้น
สถานการณ์นี้คล้ายคลึงกับในอดีต หนิวโหย่วเต้าค่อยๆ หันไปมองหยวนกัง
หยวนกังก็ยกดาบในมือขึ้นมาช้าๆ จ้องมองแขนของตนที่ถือดาบอยู่ เผยสีหน้าใช้ความคิดเล็กน้อย
หยวนกังหันหน้ามา สบสายตาเข้ากับหนิวโหย่วเต้า
ปลอดภัยก็ดีแล้ว หยวนฟางที่ถือมีดพระสองเล่มโล่งใจ
ก่วนฟางอี๋ที่อยู่ด้านข้างเอ่ยอย่างแปลกใจ “น่าแปลก อสูรผีเสื้อไม่หวั่นเกรงความตาย ต่อให้เผชิญหน้ากับผู้บำเพ็ญเพียรที่แข็งแกร่งเพียงใดก็ไม่มีทางหวาดกลัว แต่กลับไม่เข้ามาโจมตีพวกเรา เหตุใดถึงรู้สึกว่ามันค่อนข้างผิดปกติ?”
หนิวโหย่วเต้ายกยิ้มมุมปากนิดๆ รอยยิ้มลึกลับและแปลกพิกล ท่าทางคล้ายว่ารู้แจ้งแก่ใจดี
มีเสียงโหยหวนแว่วมาจากในป่าเป็นระลอก ไม่ว่าจะเป็นในแง่ของพลังโจมตีหรือว่าความเร็วในการจู่โจม ซ้ำยังมีพลังป้องกันอันแข็งแกร่งจากเปลือกหุ้มอีก อสูรปีกน้ำเงินทรงพลังกว่าอสูรปีกขาวมากนัก เพียงพริบตาเดียวก็บีบต้อนให้ผู้บำเพ็ญเพียรที่มาเสี่ยงดวงเหล่านั้นตกอยู่ในความสิ้นหวังได้
“ช่วยด้วย!” ผู้บำเพ็ญเพียรคนหนึ่งฝ่าออกมา พอมองเห็นพวกหนิวโหย่วเต้าก็ตะโกนขอความช่วยเหลือ ทะยานเข้ามาทางนี้อย่างเร่งร้อน
หยวนกังยกดาบขึ้นมาหมายจะพุ่งออกไปช่วย ทว่าหนิวโหย่วเต้ารั้งแขนเขาไว้ ห้ามเขาไว้อย่างเย็นชาไร้เมตตา
ผู้บำเพ็ญเพียรคนนั้นไม่สามารถหลบหนีมาถึงทางนี้อย่างราบรื่นได้ อสูรปีกน้ำเงินหลายตัวพุ่งเข้ามาพร้อมกัน ดูราวกับลูกไฟวิญญาณสีน้ำเงินที่ลอยฉวัดเฉวียนอยู่กลางอากาศ เข้าคว้าจับผู้บำเพ็ญเพียร แต่ละตัวจับแขนขาไว้ตัวละข้าง ลากให้ลอยกลับขึ้นไปบนอากาศเหนือป่าเรืองแสง
อสูรปีกน้ำเงินตัวหนึ่งโผลงมา เข้ากุมศีรษะของผู้บำเพ็ญเพียรคนนั้นกลางอากาศ อ้าปากงับเข้าไป เขี้ยวยาวโง้งสองข้างจมลึกลงไปในกะโหลกของผู้บำเพ็ญเพียร ปีกหลายคู่ไหวกระพือฉุดลากผู้บำเพ็ญเพียรที่ดิ้นทุรนทุรายคนนั้นกดลงไปกับพื้นดินกลางผืนป่า รุมทึ้งฉีกกระชากจนเลือดเนื้อสาดกระจาย
พวกหนิวโหย่วเต้าหันกลับมา มองเห็นศิษย์สำนักหมื่นสรรพสัตว์กลุ่มหนึ่งทะยานเข้ามาแล้วร่อนลงมา มีหลายคนที่หามสัมภาระห่อเล็กห่อใหญ่มาด้วย มองจากต้นกล้าหญ้าขับแสงที่โผล่แลบออกมาจากห่อสัมภาระแล้ว คงกำลังจะนำไปปลูกลงที่ไหนสักแห่ง
ป่าหวนคืนสู่ความเงียบสงบอีกครั้ง อสูรผีเสื้อที่มีเลือดเปื้อนริมฝีปากและกรงเล็บโผบินขึ้นไปยืนอยู่บนคาคบไม้ ปีกขยับกระพือเบาๆ มีทั้งสีขาวสีน้ำเงิน จ้องมองกลุ่มคนทางด้านนี้ด้วยแววตาคมกล้าดุร้าย รออยู่ครู่หนึ่งก็พากันหันหลังบินหายลับไปในส่วนลึกของป่า
เมื่อเห็นซากศพที่เหลืออยู่ในป่า ศิษย์สำนักหมื่นสรรพสัตว์หลายคนเผยสีหน้าเย้ยหยัน อีกทั้งไม่สนใจพวกหนิวโหย่วเต้า มุ่งหน้าไปจัดการภารกิจของตนต่อ
…………………………………………………………….