ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า - ตอนที่ 465 เจ้าลิง อัดเขาซะ!
ตอนที่ 465 เจ้าลิง อัดเขาซะ!
ปัญหาสำคัญคือรู้ทั้งรู้ว่าสามคนนี้มีเจตนาร้ายแอบแฝง แต่ไอ้สารเลวผู้นี้ก็ยังพาทุกคนกระโจนลงสู่กับดักที่อีกฝ่ายขุดไว้ ผลที่ตามมาคือเกิดเรื่องวุ่นวายใหญ่โตเช่นนี้ขึ้น ก่วนฟางอี๋รู้สึกเหมือนกำลังจะเป็นบ้าแล้ว
หยวนฟางก็รู้สึกเหมือนจะเป็นบ้าไปแล้วเช่นกัน โอดครวญอยู่ในใจ ‘เต้าเหยี่ยของข้า เหตุใดท่านถึงทำเช่นนี้!’
หยวนกังปรายตามองด้วยสายตาเยียบเย็น ตัวเขากลับสงบนิ่งเป็นอย่างยิ่ง เขาอยู่กับเต้าเหยี่ยมานานหลายปี พบเจอจนชินไปแล้ว เต้าเหยี่ยมีจุดที่ทำให้เขายอมรับนับถือจากใจอยู่
สามศิษย์พี่น้องที่ถูกเหยียบไว้บนพื้นตื่นกลัวยิ่งกว่าเดิม เฉาเซิ่งไหวเอ่ยเสียงสั่น “น้องเป่ย ระหว่างพวกเราน่าจะมีเรื่องใดที่เข้าใจผิดกันไปกระมัง?”
หนิวโหย่วเต้าทอดมองจากมุมสูง เพียงยิ้มแต่ไม่ตอบ
เหอโหย่วเจี้ยนถาม “เจ้าเป็นใครกันแน่?”
“พวกเจ้าลงมือไปแล้วเพิ่งจะมาสนใจเอาตอนนี้หรือว่าข้าคือผู้ใด ไม่สายไปหน่อยหรือ?” หนิวโหย่วเต้าหัวเราะฮ่าๆ กวาดตามองไปทางซ้ายทีขวาทีพลางโบกมือสื่อให้พาตัวไปด้วย “รั้งอยู่ที่นี่นานไปคงไม่เหมาะ คนของสำนักหมื่นสรรพสัตว์น่าจะใกล้ตามมาแล้ว ไปเถอะ!”
เพิ่งเอ่ยจบ อสูรโลหิตตัวนั้นก็แผดเสียงร้อง “กี้ด” ไปทางด้านหลังพวกเขา แสดงสีหน้าดุร้าย สองปีกค่อยๆ กางออกมาคล้ายเตรียมจะจู่โจมบางสิ่ง
ทั้งกลุ่มหันขวับกลับไป มองเห็นว่าในซอกก้อนหินด้านหลังมีลิ้นยาวสีแดงแลบออกมา งูเขียวตัวหนึ่งที่มีเกล็ดสีเขียวคล้ำโผล่หัวออกมาอย่างเชื่องข้า หัวใหญ่หนาเท่าต้นขา ดวงตาเรืองแสง ยังไม่ทันได้เห็นชัดๆ ว่าลำตัวอสรพิษนั้นยาวแค่ไหน จู่ๆ ส่วนหัวของงูก็แปรเปลี่ยนกลายเป็นศีรษะมนุษย์อย่างรวดเร็ว มีไอปีศาจเจือปนอยู่
ศีรษะมนุษย์ที่ปรากฏขึ้นรวบผมเกล้าเป็นมวยสูง มีแพรโปร่งสีขาวผืนหนึ่งคาดบังหน้า แต่ไม่อาจปิดบังความงามสง่าได้ เป็นใบหน้าของอวิ๋นจี
ส่วนลำตัวงูที่เลื้อยออกมาก็ค่อยๆ กลายเป็นร่างกายมนุษย์ สุดท้ายอวิ๋นจีในสภาพร่างมนุษย์ก็ปรากฏยืนอยู่บนก้อนหิน
พวกหนิวโหย่วเต้าตะลึงงัน ไม่คิดเลยว่าสตรีนางนี้จะปรากฏตัวขึ้นที่นี่ ออกมานอกเขตแนวป้องกันของหญ้าขับแสงคนเดียวอย่างนั้นหรือ?
“กี้ด…” อสูรโลหิตแผดเสียง อสูรปีกน้ำเงินทั้งสามกางปีกออกมาเตรียมเข้าโจมตี
หนิวโหย่วเต้ายกมือขึ้นเล็กน้อย หยวนกังครางฮึมฮัมใส่อสูรโลหิต ระงับโทสะของเหล่าอสูรผีเสื้อที่เริ่มพลุ่งพล่านขึ้นมา
หนิวโหย่วเต้าเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม “ท่านมาได้อย่างไร? อยู่ที่นี่มาตลอดหรือเพิ่งมา?”艾琳小說
อวิ๋นจีตอบว่า “เดิมทีข้าอยู่ในละแวกอยู่แล้ว พวกเจ้าก่อเรื่องครึกโครมขนาดนี้ ข้าจะไม่โผล่มาดูเลยก็คงเป็นไปได้ยาก ขุ่นเคืองที่ข้ามาเห็นเรื่องที่ไม่สมควรเห็นเข้าหรือ? ไม่คิดเลยจริงๆ ว่าพวกเจ้าจะร่วมมือกับอสูรผีเสื้อกลุ่มนี้ได้”
หนิวโหย่วเต้าถาม “ท่านไม่กลัวข้าจะสังหารปิดปากท่านหรือ?”
เขารอยยิ้มละไมยามที่เอ่ยประโยคนี้ออกมา รอยยิ้มสดใส แต่ในใจกลับปรากฏเจตนาสังหารขึ้นมาจริงๆ ปล่อยให้คนนอกทราบว่าทางนี้สามารถสื่อสารกับอสูรผีเสื้อได้นั้นไม่ใช่เรื่องดีอันใดเลย
อวิ๋นจีกล่าวมา “มีกลุ่มอสูรผีเสื้อคอยช่วยเหลืออยู่ ข้าสู้พวกเจ้าไม่ได้จริงๆ แต่หากข้าอยากจะหนีออกไปจากป่าเขาแถบนี้ พวกเจ้าก็ไม่แน่ว่าจะจับตัวข้าได้ หาไม่แล้วข้าคงไม่มาปรากฏตัวที่นี่คนเดียว แล้วก็คงไม่เป็นฝ่ายปรากฏตัวให้เห็นก่อนด้วย พวกเจ้าน่าจะเคยได้ยินเรื่องราวบางอย่างมาแล้ว ผู้บำเพ็ญเพียรแคว้นจ้าวเคยเข้าปิดล้อมข้าอยู่หลายหน ทว่าข้ายังคงตั้งตัวอย่างมั่นคงในแคว้นจ้าวได้ นั่นไม่ใช่ว่าจะไร้สาเหตุ ดังนั้น ข้าขอเตือนพวกเจ้าว่าอย่างได้ก่อเรื่องเลยจะดีกว่า หากแตกหักกันไปล้วนจะไม่เป็นผลดีต่อใครทั้งสิ้น”
หนิวโหย่วเต้าถาม “ผู้อาวุโสเป็นฝ่ายเผยตัวก่อน น่าจะมีเหตุผลอยู่กระมัง?”
อวิ๋นจีกวาดตามองอสูรผีเสื้อที่อยู่ด้านหลังเขา “ข้ามีเรื่องอยากขอความช่วยเหลือจากพวกเจ้า เจ้าวางใจเถอะ ไม่ให้เจ้าช่วยเปล่าๆ แน่นอน จะมีของตอบแทนให้”
“เป็นสิ่งใด?” หนิวโหย่วเต้าอดถามไม่ได้
อวิ๋นจีถามกลับ “เจ้าคิดจะเสียเวลาอยู่ที่นี่จนสำนักหมื่นสรรพสัตว์ขนกันมาเป็นพรวนหรือ?” ความหมายในวาจาคือที่นี่ไม่ควรรั้งอยู่นาน
“คำพูดของผู้อาวุโสมีเหตุผล” หนิวโหย่วเต้าหันกลับไปโบกมือเล็กน้อย พวกเฉาเซิ่งไหวทั้งสามถูกทำให้สลบไป เพื่อไม่ให้ได้ยินในสิ่งที่ไม่สมควรได้ยินเข้า
เมื่อมีหยวนกังเป็นตัวกลางสื่อสาร อสูรปีกน้ำเงินทั้งสามตัวคว้าตัวพวกเฉาเซิ่งไหวทั้งสามบินขึ้นมาอีกครั้ง อสูรโลหิตบินลัดเลาะนำหน้าไป หยวนกังจับข้อเท้าอสูรโลหิตเอาไว้ห้อยตามไปด้วย ส่วนที่เหลือทะยานตามมาด้านหลัง มุดหายเข้าสู่ส่วนลึกของป่าเขา
ระหว่างทางเต็มไปด้วยพฤกษาที่สูงใหญ่จนน่าเหลือเชื่อ ต้นไม้เก่าแก่ยืนต้นสูงชะลูดนับร้อยจั้ง เรืองแสงพร่างพราววาววับ กลุ่มมนุษย์ที่เหินทะยานอยู่ดูเล็กจ้อยดั่งมดปลวก เถาวัลย์แก่ที่แผ่แสงสีเขียวหยกหนายิ่งกว่าลำตัวคน ตะไคร่น้ำเรืองแสงสีเขียว ช่อดอกที่ส่องแสงสีขาวใหญ่ราวกับถังอาบน้ำสามารถยัดคนเข้าไปได้ บุปผาแปลกตาหลากสีสันแผ่แสงที่แตกต่างกัน สิ่งมีชีวิตโปร่งใสเรืองแสงได้ที่ดูคล้ายกับแมงกะพรุนล่องลอยอยู่เงียบๆดฮณ๊ฯดฯฌซ,
สิ่งที่มีมากมายที่สุดยังคงเป็นผีเสื้อเรืองแสงที่กระพือปีกขนาดใหญ่หนึ่งจั้งกว่า พวกมันจับกลุ่มบินร่อนอยู่เหนือผืนป่า มองจากที่ไกลๆ แล้วดูราวกับทางช้างเผือก
ผีเสื้อชนิดนี้คือแม่พันธุ์ของผีเสื้อจันทรา ถูกตั้งชื่อว่าจันทรมาศเพื่อจำแนกแบ่งแยกจากผีเสื้อจันทรา และเป็นเหตุผลที่ว่าเหตุใดคนถึงเรียกผีเสื้อจันทราว่าจันทร์ดวงน้อย
ขณะที่ข้ามผ่านลำธารสายหนึ่งไปก็มองเห็นสิ่งมีชีวิตประหลาดหลากหลายชนิดในสายน้ำด้วย
ฉากงดงามน่าอัศจรรย์สารพัดอย่างช่างงดงามเกินพรรณนาโดยแท้
ระหว่างทางหนิวโหย่วเต้าอดไม่ได้ที่จะรำพันออกมา “งามดั่งแดนเซียน เป็นสถานที่ที่ยอดเยี่ยมจริงๆ!”
อวิ๋นจีที่มาด้วยกันเอ่ยว่า “แน่นอนอยู่แล้ว หาไม่แล้วในอดีตซางซ่งคงไม่มาสร้างพระราชวังอยู่ที่นี่”
หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “ข้าเห็นว่าสำนักหมื่นสรรพสัตว์เริ่มเข้ามาปลูกหญ้าขับแสงในแถบนี้แล้ว หากหญ้าขับแสงเข้าครอบคลุมพื้นที่นี้ เกรงว่าสถานที่งดงามดั่งแดนเซียนแห่งนี้คงถูกทำลายลง น่าเสียดายถ้าหากว่าทิวทัศน์งดงามนี้ต้องถูกความมืดมิดเข้ากลืนกิน”
อวิ๋นจีเอ่ยว่า “ทำลายหรือ? เจ้าคิดว่าสำนักหมื่นสรรพสัตว์เพิ่งจะเข้ามาปลูกหญ้าขับแสงในแถบนี้หรือ? ตั้งแต่สามร้อยกว่าปีก่อนที่ค้นพบว่าหญ้าขับแสงสามารถปราบสิ่งมีชีวิตของที่นี่ได้ พวกเขาก็เริ่มนำมาปลูกที่นี่แล้ว เพียงแต่ยังมีความลับอย่างอื่นที่ไม่ได้ประกาศให้ภายนอกทราบเท่านั้น จะว่าไปแล้วก็แปลก หญ้าขับแสงที่ปลูกในบริเวณอื่นล้วนปกติไม่มีปัญหา แต่มีเพียงป่าโบราณผืนนี้เท่านั้นที่พอนำหญ้าขับแสงมาปลูก พวกอสูรผีเสื้อก็จะคิดหาทางกำจัดทำลายทิ้งไปจนหมด”
“ทุกครั้งที่แดนแห่งความฝันเปิดตัวออก สำนักหมื่นสรรพสัตว์จะเข้ามาปลูกหญ้าที่นี่เสมอ กระทั่งแดนแห่งความฝันปิดตัวลง สำนักหมื่นสรรพสัตว์ล่าถอยออกไป พวกอสูรผีเสื้อก็จะเข้ามาทำลายทิ้ง วนเวียนซ้ำไปซ้ำมาเช่นนี้มาสามสิบกว่าครั้งแล้ว สำนักหมื่นสรรพสัตว์ยืนหยัดไม่ยอมแพ้ พยายามทดลองทุกวิถีทางซ้ำไปซ้ำมา ต้องการจะพิชิตพื้นที่แห่งนี่มาโดยตลอด แต่ไม่ได้เคยพบหนทางที่จะทำได้เลย”
“ในอดีตมียอดคนของโลกบำเพ็ญเพียรกลุ่มหนึ่งต้องการจะพิชิตที่นี่ให้ได้ ถึงขั้นที่เคยลองโจมตีที่ด้วยเพลิงจำนวนมหาศาลแล้ว อีกทั้งคิดจะทำลายพืชพรรณของที่นี่เพื่อตัดรากถอนโคนแหล่งที่อยู่ของอสูรผีเสื้อ เพื่อที่จะได้ไม่ให้มาขวางมือขวางเท้าอีก จนปัญญาที่พืชพรรณในโลกนี้มีความทนทานต่อการโจมตีและแผดเผา เป็นไปไม่ได้เลยที่จะถูกทำลายด้วยการใช้เพลิงเผา การโจมตีด้วยเพลิงไม่อาจทำอะไรได้ ด้วยสาเหตุเหล่านี้จึงทำให้ป่าโบราณผืนนี้ยังคงอยู่รอดมาจนถึงตอนนี้ได้ แล้วก็อาจกล่าวได้ว่าที่มันอยู่รอดมาได้ ก็เป็นเพราะมีปัจจัยมาจากตัวมันเอง”
เป็นครั้งแรกที่ทุกคนได้ยินเรื่องนี้ แม้แต่ก่วนฟางอี๋ที่มีเครือข่ายข่าวสารกว้างขวางก็เพิ่งเคยได้ยินเป็นครั้งแรกเช่นกัน
หนิวโหย่วเต้าถามด้วยความอยากรู้ “แล้วเหตุใดอสูรผีเสื้อถึงไม่ทำลายหญ้าขับแสงในพื้นที่อื่นๆ ด้วย ไยจึงทำลายเพียงเขตนี้?”
อวิ๋นจีกล่าวว่า “เรื่องรายละเอียดข้าเองก็ไม่รู้ แต่มีการคาดเดาไว้สองกรณี ข้อหนึ่งคืออสูรผีเสื้ออาศัยดูดน้ำหวานต่างๆ ในสถานที่แห่งนี้เพื่อหล่อเลี้ยงชีพ ที่นี่อาจจะเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยหลักของอสูรผีเสื้อ ดังนั้นอสูรผีเสื้อจึงคอยพิทักษ์รักษาสถานที่แห่งนี้ ส่วนข้อที่สองอาจจะเกี่ยวข้องกับตำนานฮ่องเต้ซางซ่งแห่งราชวงศ์อู่ ตำนานเล่าขานว่าสัตว์วิเศษของซางซ่งคืออสูรศักดิ์สิทธิ์ที่สามารถสั่งการอสูรผีเสื้อทั้งหมดในแดนแห่งความฝันได้ ร่ำลือกันว่าก่อนที่พวกซางซ่งสามีภรรยาจะหายตัวไป พวกเขาได้ส่งอสูรศักดิ์สิทธิ์กลับมายังแดนแห่งความฝัน ทำให้ผู้ที่ต้องการจะพิชิตสถานที่แห่งนี้สงสัยว่าอสูรศักดิ์สิทธิ์อาจจะอยู่ในพระราชวังของซางซ่งก็เป็นได้ ส่วนพระราชวังของซางซ่งก็อาจจะอยู่ในป่าโบราณผืนนี้ มีการตั้งข้อสงสัยว่าอสูรผีเสื้ออาจจะได้รับคำสั่งจากอสูรศักดิ์สิทธิ์ให้คอยพิทักษ์รักษาพระราชวังของซางซ่งไว้”
“แดนแห่งความฝันแห่งนี้งดงามมาก แต่ความจริงมันไม่เหมาะกับการดำรงชีวิตของมนุษย์เลย ส่วนโลกภายนอกก็ไม่เหมาะสมกับการดำรงชีวิตของอสูรผีเสื้อ ทุกคนต่างใช้ชีวิตกันคนละโลก อันที่จริงไม่ควรมีความขัดแย้งอันใดกันเลย ดังนั้นสาเหตุที่อยากจะทำลายอสูรผีเสื้อในสถานที่แห่งนี้ก็ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่าการอยากจะค้นหาพระราชวังของซางซ่งเท่านั้น อยากจะตามหาตำแหน่งที่ซางซ่งทะลวงฟ้าที่ยังหาไม่เจอกันมาโดยตลอดก็เท่านั้น เหอะๆ เป็นความละโมบอันไร้ที่สิ้นสุด บางคนผงาดอยู่เหนือใต้หล้าแล้วก็ยังคงไม่พอใจ ยังต้องการแสวงหาเส้นทางแห่งความเป็นอมตะอีก!”
หนิวโหย่วเต้าอดไม่ได้ที่จะมองไปยังอสูรผีเสื้อที่บินนำอยู่ด้านหน้า ลองถามหยั่งเชิงออกไป “ที่ท่านบอกว่าต้องการความช่วยเหลือจากพวกเรา ก็เพราะอยากค้นหาพระราชวังของซางซ่งอย่างนั้นหรือ?”
อวิ๋นจีตอบว่า “ข้าไม่สนใจสิ่งของในตำนานเล่าขานที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีอยู่จริงหรือไม่ หากคิดจะมีชีวิตนิรันดร์ก็ต้องมีคุณสมบัติที่จะเป็นนิรันด์เสียก่อน ตั้งเป้าสูงเกินตัวไปก็ไม่มีประโยชน์ เจ้าว่าใช่หรือไม่?”
หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “เช่นนั้นท่านต้องการให้ข้าช่วยอะไร? หรือเป็นเพราะเห็นว่าทางเราสามารถควบคุมอสูรผีเสื้อได้ จึงอยากจะเข้ามาตามหาบางสิ่งในป่าแห่งนี้ มิเช่นนั้นไยท่านต้องเสี่ยงอันตรายเข้ามาถึงป่าโบราณแห่งนี้ด้วย?”
อวิ๋นจีเอ่ยตอบ “ตามหาคนผู้หนึ่ง”
ทุกคนที่ตั้งใจฟังมาตลอดล้วนแปลกใจ หนิวโหย่วเต้าก็เช่นกัน “ตามหาคนหรือ? ที่นี่มีคนที่ท่านต้องการตามหาด้วยหรือ?”
อวิ๋นจีเอ่ยว่า “อย่าเข้าใจผิด คนที่ข้าต้องการตามหาต่อให้ไม่ตายด้วยน้ำมืออสูรผีเสื้อก็คงสิ้นอายุขัยไปนานแล้ว เขาน่าจะตายไปนานมากแล้ว ข้าเพียงอยากตามหาศพของเขาเท่านั้น”
หนิวโหย่วเต้าถาม “สามีของท่านหรือ?”
ทางเขาข้ามเมฆามีเพียงสองแม่ลูก ไร้ซึ่งผู้เป็นสามี ดังนั้นเขาจึงคิดเชื่อมโยงไปเช่นนี้
อวิ๋นจีตอบว่า “เจ้าคิดมากไปแล้ว สามีของข้าตายด้วยน้ำมือของผู้บำเพ็ญเพียรของโลกภายนอกไปนานแล้ว อย่าถามให้มากเลย หากตามหาพบ พวกเจ้าย่อมได้รู้เอง”
ตลอดการเดินทาง อสูรโลหิตที่นำอยู่ด้านหน้าตัวนั้นคอยสื่อสารกับเพื่อนร่วมเผ่าพันธุ์เปิดทางให้ อสูรผีเสื้อตัวอื่นๆ ที่โผล่ออกมาก็ไม่ได้มารบกวนอะไรอีกเช่นกัน ผ่านเข้าไปได้อย่างราบรื่นปลอดภัย
ผ่านไปหนึ่งชั่วยาม ยามที่เห็นป้อมปราการต้นไม้ที่มีรากไม้ชอนไชโผล่ขึ้นมาปรากฏอยู่เบื้องหน้า อวิ๋นจีก็เอ่ยขึ้นมาอีกครั้ง “น่าจะใช้ได้แล้ว ต่อให้คนของสำนักหมื่นสรรพสัตว์มากันมากแค่ไหนก็ไม่มีทางเข้ามาลึกจนเกินไป ต่อให้เข้ามาลึกถึงแถบนี้ก็ไม่มีทางกระจายกำลังคนออกค้นหาแน่ หากกระตุ้นอสูรผีเสื้อขึ้นมาอีก ต่อให้สำนักหมื่นสรรพสัตว์ขนกันมาทั้งสำนักก็ต้านไม่อยู่ ตอนนี้น่าจะปลอดภัยแล้ว”
หนิวโหย่วเต้ามองไปที่นางอีกครั้ง สังเกตได้รางๆ ว่าสตรีนางนี้คล้ายจะเข้าใจเรื่องในสำนักหมื่นสรรพสัตว์ดี อย่างน้อยก็ค่อนข้างแน่ใจแล้วว่าสตรีนางนี้ไม่ได้เพิ่งจะมาที่นี่เป็นครั้งแรก
หนิวโหย่วเต้ามีธุระต้องจัดการ จึงต้องให้หยุดลงชั่วคราว
หลังจากทั้งกลุ่มเข้าไปซ่อนตัวอยู่ใต้รากไม้แล้ว หนิวโหย่วเต้าพยักเพยิดหน้าไปทางคนทั้งสามที่สลบอยู่บนพื้น เอ่ยกับหยวนกังว่า “แยกตัวไปสอบสวน ง้างปากพวกเขาให้ได้ สืบเรื่องมาให้แน่ชัด”
หยวนกังสื่อสารให้อสูรโลหิตพาทั้งสามคนตามมา
ผ่านไปราวครึ่งชั่วยาม หยวนกังพาทั้งสามกลับมาอีกครั้ง เขาพยักหน้าให้หนิวโหย่วเต้านิดๆ สื่อว่าสืบเรื่องกระจ่างแล้ว
หนิวโหย่วเต้าถือกระบี่ต่างไม้เท้าเดินออกไปด้านข้าง หยวนกังเดินตามไปเอ่ยกระซิบอยู่ข้างหูเขาพักหนึ่ง
พอได้ฟังรายงานจากหยวนกัง แววตาหนิวโหย่วเต้าวูบไหวค่อยๆ มองไปยังหยวนฟางที่อยู่ด้านใน
หลังจากทั้งสองเดินกลับมา หยวนฟางเห็นว่าหนิวโหย่วเต้าเอาแต่มองตนด้วยสายตาที่ดูเหมือนจะแปลกพิกลไปในใจจึงหวาดระแวงขึ้นมา ทุกครั้งที่ถูกมองด้วยสายตาแบบนี้ดูเหมือนจะไม่เคยเป็นเรื่องดีอันใดเลย เขารีบตีสีหน้าละห้อยในทันใด
พอเห็นเขาทำตัวใสซื่อ หนิวโหย่วเต้ารู้สึกปวดประสาทขึ้นมาทันที คิดในใจว่า ‘ไม่อยากให้เจ้าตามมาก็ยังจะมาให้ได้ ตอนนี้ หากเทียบกันแล้วทุกคนในที่นี่เป็นผู้บริสุทธิ์ยิ่งกว่าเจ้ากันทั้งนั้น ต้องมาพลอยเดือดร้อนก็เพราะเจ้ามิใช่หรือ?’ เขาชี้นิ้วไปทันที “เหตุใดวันนี้ตาเฒ่าคนนี้ถึงดูขวางหูขวางตาข้านัก เจ้าลิง อัดเขาซะ!”
“ว้าก…”
หยวนฟางร้องโหยหวน ถูกหยวนกังถีบกระเด็นออกไปในทันใด
วันนี้หยวนกังก็เห็นว่าท่าทางใสซื่อของเขาดูขัดตาเช่นกัน จึงพุ่งตามไปแล้วเตะต่อยเป็นพัลวัน ทุบตีจนหยวนฟางขดตัวร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวด
………………………………………………………………….