ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า - ตอนที่ 470 จำกัดอาณาเขต
ตอนที่ 470 จำกัดอาณาเขต
เมื่อหาอาภรณ์ที่สวมติดกายพบ ข้าวของอย่างอื่นก็คงอยู่ในละแวกเดียวกัน ผ่านไปสักพักหยวนฟางก็ตะโกนขึ้นมาอีกครั้ง “กระบี่!”
ทุกคนหันกลับมา เห็นหยวนฟางดึงเอากระบี่เล่มหนึ่งออกมาจากพงหญ้าที่เลื้อยพันกันอยู่บนพื้น ดึงเศษหญ้าและคราบดินโคลนที่เกาะอยู่ออก
ทุกคนล้อมวงเข้ามาดูอีกครั้ง อวิ๋นจีรับกระบี่ไป ใช้พลังกำจัดคราบสกปรกที่เกาะอยู่บนกระบี่ออก เผยรูปลักษณ์ที่แท้จริงของกระบี่ออกมา
เป็นกระบี่ที่สร้างขึ้นมาอย่างประณีต ลวดลายขนนกงดงามปรากฏเลือนรางอยู่ทั่วกระบี่ เปล่งประกายระยิบระยับอยู่ท่ามกลางทิวทัศน์งดงามน่าอัศจรรย์
“กระบี่พันปักษี! กระบี่ประจำตัวเจ้าสำนักที่ตกทอดกันมารุ่นต่อรุ่น ไม่ผิดแน่ เป็นของจูชื่อเฉิงจริงๆ” อวิ๋นจีรู้สึกตื่นเต้น จากนั้นก็มองเศษผ้าที่ถือไว้ในมืออีกครั้ง
ทั้งกลุ่มมองดูจุดที่พบอาภรณ์เล็กน้อย มันอยู่ห่างจากตำแหน่งของกระบี่สิบกว่าจั้ง น่าจะเกิดเหตุไม่คาดฝันกับกับเจ้าของของสองสิ่งนี้ไปแล้ว อาภรณ์ที่สวมติดกายและกระบี่ถึงได้หล่นแยกจากกัน หากพิจารณาจากอีกแง่หนึ่งแล้ว มีจูชื่อเฉิงมีความเป็นไปได้ที่จะตายอยู่ที่นี่จริงๆ
แล้วมุกวิญญาณหมื่นสรรพสัตว์ล่ะ? ทั้งกลุ่มไม่พูดอะไรมากอีก ดำเนินการค้นหาต่อไป
หาไปหามา ค้นหาทุกพื้นที่ในละแวกนี้อย่างละเอียดแล้ว แต่ก็ยังไม่พบข้าวของอย่างอื่นของจูชื่อเฉิงเลย ไม่มีผู้ใดรู้ว่าในตอนนั้นเกิดอะไรขึ้น
หยวนกังเดินไปยังจุดที่พบเสื้อผ้า ดึงหญ้าที่เลื้อยคลุมออก หยิบดินบนพื้นขึ้นมาตรวจดูเล็กน้อย ก่อนจะยกมาจ่อไว้ตรงจมูกพร้อมสูดดมนิดๆ จากนั้นค่อยๆ ลุกขึ้นยืน จ้องมองผิวทะเลสาบเบื้องหน้า
หนิวโหย่วเต้าเดินเข้ามา ยืนถามอยู่ด้านข้าง “พบอะไรหรือเปล่า?”
หยวนกังแบดินโคลนในมือให้ดู “ไม่พบอะไร เวลาผ่านมานานเกินไป ซ้ำยังเป็นที่โล่งแจ้ง ริมทะเลสาบเปียกชื้น ง่ายต่อการเน่าเปื่อย ต่อให้มีศพอยู่ก็คงจะสลายเป็นธุลีดินไปนานแล้ว ตามหลักแล้ว เสื้อผ้าน่าจะสวมติดตัวไว้ สมมติว่าคนสิ้นใจตายอยู่ที่นี่จริงๆ สิ่งของก็อาจจะหล่นร่วงลงไปในน้ำแล้วก็เป็นได้”
หนิวโหย่วเต้าเพิ่งจะพยักหน้าเล็กน้อย ทางด้านข้างก็มีเงาคนพุ่งผ่านข้างตัวไป อวิ๋นจีทะยานร่างลงสู่น้ำ ไม่มีละอองน้ำกระเซ็นขึ้นมาจากน้ำแม้แต่น้อย
หนิวโหย่วเต้าและหยวนกังสบตากันทันที หยวนฟางกับก่วนฟางอี๋เดินเข้ามาหา ทั้งสี่ยืนเรียงแถวกันอยู่ริมทะเลสาบ
ผิวทะเลสาบทอประกายระยิบระยับ แสงดาวส่องกระทบ หนิวโหย่วเต้าเงยหน้าหันเหสายตาจากทะเลสาบไปยังดวงดาวบนฟากฟ้า คล้ายจะตกอยู่ในห้วงความคิด
ซ่า! ร่างของอวิ๋นจีโผล่ขึ้นมาจากน้ำอีกครั้ง ทุกคนหันกลับไปมองอวิ๋นจีที่ร่อนลงสู่พื้นโดยที่ตัวไม่เปียกน้ำเลย จากนั้นก็มองดูไข่มุกสีทองลูกหนึ่งที่อวิ๋นจีถือไว้ในมือ ไข่มุกมีขนาดเท่าไข่ไก่
หนิวโหย่วเต้าเอ่ยถาม “นี่ก็คือมุกวิญญาณหมื่นสรรพสิ่งอย่างนั้นหรือ?”
อวิ๋นจีควบคุมอารมณ์ไม่อยู่แล้ว ตื่นเต้นจนมือที่ถือสิ่งของอยู่สั่นไหวนิดๆ ไม่ได้ตอบคำถาม หากแต่วางไข่มุกสีทองไว้ในฝ่ามือข้างหนึ่งแล้วยกขึ้นมา เริ่มถ่ายพลังเข้าไปในไข่มุก
ทันใดนั้น มีแสงแผ่ออกมาจากผิวไข่มุก เป็นแสงสีแดงโลหิต ทำให้ทุกคนจับตามองอย่างใกล้ชิด
ภายในแสงสีแดงค่อยๆ มีหมอกสีเลือดสายแล้วสายเล่าลอยวนขึ้นมา ดูเย้ายวนน่าหลงใหลอยู่ท่ามกลางแสงสีแดง เป็นฉากที่น่าอัศจรรย์อย่างยิ่ง
จู่ๆ หยวนฟางก็สะบัดหน้าไปมาแรงๆ ยกสองมือกุมหัว คล้ายจะค่อนข้างทรมาน艾琳小說
หนิวโหย่วเต้าหันกลับไปมองเขาในทันใด มือกุมด้ามกระบี่ไว้ทันที จ้องมองอวิ๋นจีด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความระแวงและเตรียมพร้อมป้องกัน
แต่ดูเหมือนอวิ๋นจีก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน นางหลับตาลงพลางสะบัดหน้าแรงๆ ดึงพลังกลับมาจากไข่มุกอย่างรวดเร็ว แสงสีแดงที่สว่างไสวขึ้นมาและหมอกโลหิตที่เพิ่งจะแผ่ปกคลุมหดตัวกลับไปในทันใด ไข่มุกในฝ่ามือนางหม่นแสงลง กลับมาอยู่ในสภาพเดิมอีกครั้ง
ดวงตาของทุกคนฉายแววประหลาดใจ อวิ๋นจีพลันเชิดหน้าหัวเราะดังฮ่าๆ ประคองไข่มุกด้วยสองมือแล้วกอดแนบอก ราวกับเป็นแก้วตาดวงใจ “ใช่แล้ว ไม่ผิดแน่ เป็นมันจริงๆ ทุ่มเทกำลังมานานถึงเพียงนี้ ในที่สุดข้าก็ได้มันมาครองแล้ว”
ก่วนฟางอี๋ใช้ศอกถองหนิวโหย่วเต้าเล็กน้อย ล้วงมือเข้าไปแตะยันต์ในแขนเสื้อพร้อมกับส่งสายตาให้หนิวโหย่วเต้าไปด้วย
หนิวโหย่วเต้าเข้าใจเจตนาของนาง สมบัติล้ำค่าอยู่ตรงหน้าแล้ว ต้องการจะแย่งชิงหรือไม่
แต่หนิวโหย่วเต้ายังคงส่ายหน้าเล็กน้อย ก่วนฟางอี๋กลอกตาทีหนึ่ง ปล่อยมือออกมาจากแขนเสื้อ
หลังจากอวิ๋นจีหยุดหัวเราะ จู่ๆ นางก็เลิกผ้าแพรที่บดบังใบหน้าขึ้น แล้วยัดไข่มุกสีทองเข้าไปในปาก กลืนเข้าไปเพื่อเก็บซ่อนไว้ จากนั้นเหลือบมองก่วนฟางอี๋เล็กน้อย เหลือบมองแขนเสื้อของก่วนฟางอี๋เป็นการเฉพาะ ดวงตาฉายแววลุ่มลึกนิดๆ
จากนั้นหันเหสายตามองไปที่ใบหน้าของหนิวโหย่วเต้า “ขอบคุณสำหรับความช่วยเหลือ ข้าหาของเจอแล้ว เจ้าวางใจได้ ข้าพูดคำไหนย่อมเป็นคำนั้น ไม่มีทางแพร่งพรายเรื่องของเจ้ากับสำนักหมื่นสรรพสัตว์ต่อภายนอกแน่นอน”
หนิวโหย่วเต้าเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ผู้อาวุโสกล่าวเช่นนี้ไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย ท่านนำยอดสมบัติของสำนักหมื่นสรรพสัตว์ไปแล้ว ท่านยังจะกล้าพูดอะไรเหลวไหลได้หรือ?”
อวิ๋นจีกล่าวว่า “เช่นนั้นก็อย่าพูดถึงเลย รีบออกจากไปสถานที่บ้าบอแห่งนี้เถอะ”
หนิวโหย่วเต้ากวาดสายตามองรอบข้างเล็กน้อย “การที่มีคนมาติดตั้งค่ายกลไว้ที่นี่นับว่าค่อนข้างแปลกประหลาด มีความเป็นไปได้สูงว่าพระราชวังของซางซ่งอาจจะอยู่ในบริเวณนี้ ผู้อาวุโสไม่อยากลองหาดูหน่อยหรือ?”
อวิ๋นจีกล่าวว่า “เวลาไม่รอใคร มีค่ายกลเป็นอุปสรรคขัดขวาง ไม่มีผู้ใดรู้ว่าจะหาพบเมื่อไรกันแน่ ต่อให้หาพบแล้วยังไง? ยังไม่ทันเจอพระราชวังก็เจอค่ายกลขนาดใหญ่แล้ว ลองตรองดูสิว่าภายในวังจะเป็นสถานที่ที่ดีอันใดได้หรือ พวกเราไม่ทราบรายละเอียดใดๆ ของพระราชวังที่เล่าขานกันมาแห่งนั้นเลย บุ่มบ่ามบุกเข้าไปก็ยังไม่แน่ว่าจะเป็นเรื่องดี หากถึงเวลาที่แดนความฝันปิดตัวลง อย่างนั้นพวกเราก็ออกไปไม่ได้แล้ว ในเมื่อทราบสถานที่แล้ว ขอเพียงจดจำตำแหน่งเอาไว้ก็พอ ไม่จำเป็นต้องรีบร้อนลงมือ รอให้มีกำลังพอ จะเข้ามาตอนไหนก็ไม่ต่างกันเลย เจ้าคงไม่อยากติดอยู่ที่นี่ไปอีกสิบปีกระมัง”
เมื่อได้ของที่ตนต้องการ นางก็พอใจมากแล้ว ไม่คิดจะไปเสี่ยงอันตรายอีก
หนิวโหย่วเต้าเอ่ยว่า “พวกเราติดอยู่ในค่ายกลนี้แล้ว จะออกไปได้อย่างไรเล่า?”
อวิ๋นจีกล่าวว่า “ข้าดำดินได้ ในเมื่อเดินบนพื้นไม่ได้ก็ดำลึกลงไปใต้ดินมุดออกจากที่นี่ แต่สภาวะของข้ามีจำกัด พาคนดำดินลงไปได้เพียงครั้งละหนึ่งคน ข้าคงต้องเทียวไปเทียวมาหลายรอบหน่อย พวกเจ้าเลือกมาว่าผู้ใดจะออกไปกับข้าก่อน”
หนิวโหย่วเต้าเหลียวมองซ้ายขวา ถามไปด้วยรอยยิ้ม “พวกเจ้ามีใครอยากออกไปกับผู้อาวุโสหรือไม่?”
หยวนกังไม่ปริปาก ก่วนฟางอี๋กับหยวนฟางก็ส่ายหน้าเช่นกัน
หนิวโหย่วเต้ามองไปที่อวิ๋นจีอีกครั้ง เอ่ยด้วยรอยยิ้มน้อยๆ “ไม่ปลอดภัยเลย! หากดำลงไปใต้ดินแล้วผู้อาวุโสเล่นลูกไม้อันใดขึ้นมาล่ะก็ พวกเราคงลำบากแน่”
อวิ๋นจีเอ่ยถาม “เช่นนั้นจะให้ข้าเสียเวลาอยู่กับพวกเจ้าที่นี่ไปตลอดหรือไร?”
หนิวโหย่วเต้ายืนค้ำกระบี่ด้วยมือเดียว ส่วนมืออีกข้างผายออกเพื่อสื่อว่าเชิญตามสบาย “ถึงข้าอยากรั้งก็คงรั้งไม่อยู่ ผู้อาวุโสจากไปเพียงลำพังได้เลย”
“เรื่องนี้ถือว่าพวกเจ้ารนหาที่เองนะ อย่ามาโทษข้าแล้วกัน” อวิ๋นจีสะบัดหน้าจากไป เก็บกระบี่กับเศษอาภรณ์ขาดๆ ขึ้นมาจากพื้น เสาะหาสถานที่แห่งหนึ่งแล้วซัดฝ่ามือลงไป ปรากฏหลุมแห่งหนึ่งขึ้นบนพื้นดิน นางนำของสองสิ่งฝังลงไป
เมื่อสร้างสุสานเรียบง่ายที่ไม่สลักชื่อแซ่ให้รู้ว่าเป็นผู้ใดเสร็จสิ้น อวิ๋นจีคุกเข่าลงหน้าหลุมศพ ขอบตาแดงเรื่อขึ้นมา เอ่ยพึมพำกับตัวเอง “ชิงเอ๋อร์มาช้าไป…” เนื่องจากทั้งกลุ่มอยู่ไกลออกไป จึงได้ยินไม่ชัดว่านางพูดอะไร เห็นเพียงว่านางคุกเข่าโขกศีรษะสามครั้งแล้วลุกขึ้นมา หันหลังเดินออกไป จากนั้นจู่ๆ ร่างกายพลันหมุนขึ้นมา ร่างคนหายลับลงไปใต้ดินที่ราบเรียบ พื้นดินปูดนูนขึ้นมาเล็กน้อย จากนั้นก็ยุบลงเหมือนเดิม น่ามหัศจรรย์นัก
“กระบี่เล่มนั้นน่าจะมีราคาอยู่ พวกเราไปขุดมันออกมาดีหรือไม่?” จู่ๆ หยวนฟางเอ่ยเตือนทุกคนเบาๆ
ก่วนฟางอี๋โมโหขึ้นมา ในที่สุดก็เข้าใจแล้วว่าเหตุใดเจ้าปีศาจหมีตัวนี้ถึงควรโดนทุบตี “เจ้าคิดอะไรอยู่? ในเมื่อนางคำนึงถึงไมตรีแต่เก่าก่อน แล้วเหตุใดนางถึงไม่นำออกไปสร้างสุสานเล่า? ก็เพราะไม่สะดวกจะเอาออกไปอย่างไรเล่า ปากทางเข้าออกมีคนของสำนักหมื่นสรรพสัตว์คอยเฝ้าอยู่ หากนำกระบี่ที่เป็นสมบัติตกทอดในสำนักหมื่นสรรพสัตว์ออกไปด้วยย่อมต้องโดนจับได้ง่ายๆ คิดละโมบในสิ่งนี้ เจ้าหน่ายจะมีชีวิตอยู่แล้วหรือ? อีกอย่าง ตอนนี้จะออกไปได้หรือเปล่าก็ยังไม่รู้เลย เจ้ายังมาพะวงถึงสิ่งนี้อีกหรือ?”
หยวนฟางหดคอพลางหัวเราะแห้งๆ
ก่วนฟางอี๋หันกลับมาตำหนิหนิวโหย่วเต้าต่อ “นางมีวิธีพาพวกเราออกไป เหตุใดถึงปล่อยนางจากไปง่ายๆ เช่นนี้? เจ้าเชี่ยวชาญด้านกลอุบายมิใช่หรือ? ไยจึงไม่คิดหาวิธีหนี่ยวรั้งนางไว้?”
หนิวโหย่วเต้าเอ่ยเสียงเรียบ “ถึงอย่างไรอวิ๋นฮวนก็เป็นพี่น้องร่วมสาบานของข้า นางยังไม่ทำตัวไร้เมตตา แล้วข้าจะทำตัวไร้ปรานีได้อย่างไร ปล่อยนางไปเถอะ”
“ไม่คิดเลยว่าเจ้าจะมีช่วงเวลาที่ทำตัวคร่ำครึกับเขาด้วย” ก่วนฟางอี๋ดูแคลน พร่ำบ่นไม่หยุด “ตอนนี้พวกเราติดอยู่ที่นี่แล้ว จะทำอย่างไรกันล่ะ? พอถึงเวลาแดนความฝันปิดลง ข้าคงต้องตายเพราะเจ้าด้วย”
นางเป็นคนรักสวยรักงาม พอนึกถึงว่าตนจะต้องตกอยู่ในสภาพกระเซอะกระเซิงเกรอะกรังก็รู้สึกรับไม่ค่อยได้
สภาพเกรอะกรังกระเซอะกระเซิงเป็นเรื่องรอง สิ่งสำคัญคือคุณลักษณะของสิ่งต่างๆ ในสถานที่แห่งนี้แตกต่างจากโลกภายนอก อาหารการกินไม่เหมาะสมกับมนุษย์จากโลกภายนอก ก็เหมือนที่สิ่งมีชีวิตในที่แห่งนี้ยากจะดำรงชีวิตอยู่ในโลกภายนอกได้ ระดับสภาวะของทุกคนยังไม่บรรลุถึงขั้นที่สามารถละสังขารได้แบบในตำนานเล่าขาน คนเป็นๆ จะอยู่โดยไม่กินไม่ดื่มนานสิบปีไหวหรือ?
หนิวโหย่วเต้าไม่สนใจคำบ่นของนาง ยังคงพิจารณาดูสภาพแวดล้อมรอบข้างอยู่
หยวนกังเอ่ยขึ้นว่า “เต้าเหยี่ย ท่านเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านทำเลชัยภูมิ แค่ลูกไม้จำกัดอาณาเขตน่าจะไม่ใช่ปัญหาสำหรับท่าน ท่านมีแผนการอยู่ในใจแล้วใช่หรือไม่?” ความหมายที่จะสื่อคือคุณตั้งใจปล่อยอวิ๋นจีออกไป
ก่วนฟางอี๋ได้ยินก็หูผึ่งขึ้นมา หยวนฟางก็เกิดความหวังขึ้นมาในทันใด
หนิวโหย่วเต้าส่ายหน้า “ถึงอย่างไรสถานที่ก็ต่างกัน ข้าไม่กล้ารับประกัน แต่ก็พอมีเค้าอยู่บ้าง ข้ายังต้องดูอีก”
ก่วนฟางอี๋ตื่นตัวขึ้นมาอีกครั้ง “เช่นนั้นก็รีบดูสิ เจ้าคิดจะอยู่รอจนแดนความฝันปิดลงจริงๆ หรือไง?”
“ภูมิประเทศต่ำเกินไป ไม่สามารถมองดูภาพรวมได้” หนิวโหย่วเต้าชี้ภูเขาลูกหนึ่งที่อยู่ริมทะเลสาบ “ขึ้นไปดูกัน”
ไม่มีอะไรให้คุยกันแล้ว ทั้งกลุ่มเดินตามเขาไปทันที หลังจากเดินข้ามเนินขึ้นๆ ลงๆ ก็ทั้งสี่ก็มาถึงยอดเขาลูกนั้น พอจะมองเห็นภาพรวมของเทือกเขาในบริเวณใกล้เคียงได้แล้ว
หลังจากมองสำรวจรอบข้างอยู่สักพัก หนิวโหย่วเต้าที่ยืนค้ำกระบี่อยู่ก็เงยหน้ามองฟากฟ้าที่ดาษไปด้วยหมู่ดาว ขมวดคิ้วเล็กน้อย คล้ายจะไม่เข้าใจ
ก่วนฟางอี๋และหยวนฟางมองไปรอบๆ แต่ก็มองไม่เห็นความผิดปกติอันใดเช่นกัน ด้วยเหตุนี้จึงพากันมองดูท่าทีของเขา สีหน้าที่แปรเปลี่ยนไปของเขาส่งผลต่อสภาพจิตใจของทั้งสอง
มองท้องฟ้าแล้วก็ไม่เห็นความผิดปกติอันใด สายตาของหนิวโหย่วเต้าจ้องมองผิวทะเลสาบต่ออีกสักพัก ผ่านไปไม่นาน คิ้วที่ขมวดอยู่ค่อยๆ คลายตัวออก ใคร่ครวญพลางท่องประโยคบางอย่างออกมา “หยินหยางเคลื่อนคล้อยสอดประสาน สองวิถีหวนสู่เก้าวัง หากเข้าใจในหลักแห่งหยินหยาง ฟ้าดินย่อมอยู่ในกำมือ” ว่าจบก็หันไปถามหยวนกัง “ที่เคยให้เจ้าท่องยังจำได้หรือเปล่า?”
หยวนกังพยักหน้ารับ “จำได้ ‘โคลงตกปลาในเกลียวหมอก[1]’”
ก่วนฟางอี๋และหยวนฟางมองหน้ากันเหลอหลา ฟังไม่รู้เรื่องว่าทั้งสองคุยอะไรอยู่
หนิวโหย่วเต้าปล่อยมือข้างหนึ่งจากกระบี่ชี้ออกไปทางผิวทะเลสาบ “สังเกตดูให้ดี บนผิวทะเลสาบปรากฏจุดแสงหกจุดหรือไม่”
ทั้งสามคนพลันเบิกตากว้างแล้วมองออกไป ใต้น้ำมีพืชเรืองแสงอยู่ ส่องสว่างไปทั่วทุกแห่งหน ไหนเลยจะมีจุดแสงเพียงหกจุดได้
แต่พอได้รับคำชี้แนะ หลังจากพินิจดูอย่างละเอียด ทั้งสามต่างก็ค้นพบความแตกต่างแล้ว ในทะเลสาบมีจุดแสงหกตำแหน่งที่มีความแตกต่างอยู่จริงๆ ดูเหมือนจะเป็นแสงสะท้อนจากดวงดาว ไม่ได้มาจากพืชน้ำเรืองแสงใต้ทะเลสาบ หากไม่มีคำชี้นำก็คงถูกมองข้ามไปได้ง่ายๆ ยากจะค้นพบความแตกต่างได้
หยวนกังกล่าวว่า “มีคนวางอุบายไว้ใต้ทะเลสาบ มีการปลูกพืชบางอย่างที่ป้องกันการเจริญเติบโตของพืชน้ำเรืองแสงไว้ในหกตำแหน่งนั้น เกิดเป็นพื้นที่มืดหกจุด ด้วยเหตุนี้จึงสะท้อนแสงดาวได้”
ก่วนฟางอี๋และหยวนฟางพลันกระจ่างขึ้นมา พยักหน้าเล็กน้อย สื่อว่าเข้าใจแล้ว
หนิวโหย่วเต้าเอ่ยว่า “เจ้าลองดูว่าแสงดาวในหกตำแหน่งนั้นอีกครั้งสิว่าจัดเรียงกันคล้ายกับสิ่งใด”
หยวนกังติดตามหนิวโหย่วเต้ามานาน แม้จะไม่เชี่ยวชาญ แต่พอได้ยินไปนานวันเข้าก็พอจะซึมซับมาเล็กน้อยเช่นกัน หลักการพื้นฐานบางอย่างพอจะเข้าใจอยู่ หลังจากพินิจดูอยู่ครู่หนึ่งก็อุทานออกมา “จัดเรียงไว้ค่อนข้างคล้ายตำแหน่งของเจ็ดธาตุ พวกดวงจันทร์เหมือนจะอยู่ในตำแหน่ง เพียงแต่ขาดดวงอาทิตย์ไปเท่านั้น”
…………………………………………………………………
[1]เป็นโคลงกลอนที่เปี่ยมสาระสำคัญแห่งหลักการฉีเหมินตุ้นเจี่ย